ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #12 : ศัตรูแอบแฝง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 439
      21
      8 ม.ค. 67

    ตอนที่ 13 ศัตรูแอบแฝง

     

     

         "ถูกแล้ว นั่นแหละคือแส้ของข้า เจ้าช่วยส่งมันมาให้ข้าที" วิทยาธรเร่งเร้าด้วยความร้อนรน

         ฐานิดายืนมองร่างกายของชายผู้ถูกรัดรึงด้วยเถาวัลย์อย่างแปลกใจ สายตายังคงจับจ้องไปที่สีผิวของชายผู้นั้นที่มีสีส้มอย่างประหลาด รวมไปถึงชุดหนังสัตว์ที่สวมใส่ก็คล้ายคนโบราณในรูปวาดที่เธอเคยเห็นตามหนังสือ ยกเว้นใบหน้า... เพราะดูเขายังหนุ่มและสะอาดอ้านพอควร

         เราจะไว้ใจเขาได้รึเปล่า หญิงสาวคิดใคร่ครวญในใจ

         "คุณอาศัยอยู่ที่นี่เหรอคะ" ฐานิดาถามออกไป ยังไม่ยื่นแส้คืนให้วิทยาธร

         "ใช่ และเราหาใช่สิ่งร้ายไม่ เราไม่มีอันตรายกับเจ้าแน่นอน อย่าหวาดกลัวเราไปเลย ส่งแส้นั่นมาให้เราเถิด" วิทยาธรเร่งสำทับมาอีกรอบ

         "ถ้าหนูคืนแส้นี่ให้คุณ คุณจะช่วยอะไรหนูบางอย่างได้ไหมคะ" อีกฝ่ายต่อรอง

         "เป็นเช่นนั้น แม่หญิง" วิทยาธรรีบรับปาก

         มนุษย์สาวยืนนิ่งอย่างตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ร่างของวิทยาธรที่ถูกพันธนาการ หญิงสาววางแส้สีทองไว้ในมือของวิทยาธรที่โผล่ออกมาจากเถาวัลย์แล้วค่อย ๆ เดินถอยหลังออกมา

         วิทยาธรหลับตา ท่าทางเหมือนจะบริกรรมคาถาอะไรสักอย่าง ก่อนจะหวดแส้ในมือไปรอบด้าน เสียงเฟี้ยวขวับและประกายที่ปะทุออกมาจากแส้นั้นทำเอาฐานิดาสะดุ้งด้วยความตกใจ 

         เถาวัลย์ไม้แกร่งค่อย ๆ แตกออกทีละเส้น ๆ เมื่อถูกแส้ทรงพลังฟัดฟาด ความแข็งแกร่งที่แฝงไว้ด้วยอำนาจบางอย่างมาแต่เดิมนั้น ครานี้ไม่สามารถต้านทานแส้ของวิทยาธรได้ เมื่อเครื่องพันธนาการถูกปลดเปลื้องไป วิทยาธรก็เบียดตัวออกจากกลุ่มไม้ที่พันกันยุ่งเหยิงมายืนบนพื้นอีกครั้งอย่างยินดี

         ชาวฟ้ากายสีส้มสำรวจร่างกายตนเองอย่างถี่ถ้วน เก็บแส้สีทองม้วนติดไว้ข้างเอว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสตรีที่โผล่มาช่วยเขาไว้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก

         ผู้หญิงตรงหน้ามีสีหน้าแววตาตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา ดวงตาเธอล่อกแล่กไปมาด้วยความตื่นกลัว เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เนื้อตัวร่างกายขะมุกขะมอมเต็มไปด้วยบาดแผลเหมือนเพิ่งผ่านอะไรที่สมบุกสมบันมาสักอย่าง

         นางผู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในป่าหิมพานต์ ไม่ใช่ชาวฟ้า แสดงว่าต้องเป็นมนุษย์ แต่จะเป็นมนุษย์จากทวีปใดกันล่ะ วิทยาธรสงสัยในใจ 

         "ท่านมีนามว่ากระไร แล้วพื้นเพหลักแหล่งท่านอยู่แห่งใด" วิทยาธรร้องถามออกไป

         "หนูชื่อฐานิดา หรือเรียกสั้นๆ ว่าแป๋ว หนูมาจากอีกที่หนึ่ง ความจริงหนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว" หญิงสาวตอบรัวเร็ว

         "แล้วสิ่งที่แม่หญิงจะให้ข้าช่วยนั้นคือสิ่งใดหรือ" บุรุษกายสีส้มถาม

         "ช่วยหนูตามหาเพื่อนทีค่ะ หนูพลัดหลงกับพวกเขา" 

          วิทยาธรขมวดคิ้วอย่างรู้สึกสะกิดใจ จ้องมองหญิงสาว

         "ท่านบอกว่าเพื่อนงั้นรึ เพื่อนของท่านมีกี่คน" 

         "มี 4 คนค่ะ แต่ตอนนี้เราทุกคนน่าจะกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง หนูอยากให้คุณช่วยตามหาคนอื่น ๆ ด้วยค่ะ" หญิงสาวขอร้อง

         แต่วิทยาธรไม่ได้ฟังที่หญิงสาวตรงหน้าพูดสักนิด ความคิดในใจนั้นฉายวาบขึ้นมาอย่างฉับพลัน ต้องใช่แน่ๆ เจ้ามนุษย์สองคนที่เขาพบที่ลานใต้ต้นมักกะลีผล ต้องเป็นเพื่อนของนางผู้นี้แน่นอน นี่หมายความว่า 1 ใน 4 ของพวกมัน ได้เดินเข้ามาสู่อุ้งมือของเขาเองเทียวหรือ วิทยาธรซ่อนยิ้ม พยายามไม่แสดงความรู้สึกออกไปทางใบหน้ามากนัก ก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจ

         "เพื่อนของท่าน เป็นบุรุษหนุ่มตัวสูงผิวซีดขาว กับสตรีผมสั้นสีน้ำตาลใช่หรือไม่"

         อีกฝ่ายตาเบิกกว้าง อ้าปากค้างหลายวินาทีทีเดียวกว่าจะพูดออกมาได้อีกครั้ง

         "นี่... นี่คุณรู้จัก เพื่อนหนูด้วยเหรอคะ คุณรู้จักพวกเขาได้ไง คุณเจอเขาเหรอคะ" 

          วิทยาธรตาลุกวาวอย่างมีชัย ใช่แน่แล้ว เธอคนนี้ก็คือมนุษย์ 1 ใน 4 คนที่เข้ามาในหิมพานต์ ไม่ผิดตัวแน่ 

          วิทยาธรเจ้าเล่ห์แกล้งทำหน้าสลดเสียใจ ก้มหน้าลง พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า

         "ข้าเจอพวกเขาจริง แม่หญิง เมื่อข้าเห็นพวกเขาทีแรก ข้าก็มั่นใจว่าเป็นมนุษย์ที่หลงทาง จึงเสนอตัวนำทางให้ แต่อนิจจา ข้าถูกปฏิเสธ มิหนำซ้ำ ข้ายังถูกทำร้าย ที่ข้าถูกกักขังด้วยเถาวัลย์ก็เพราะสหายของท่าน"

          หญิงสาวได้ฟังก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงอยู่สักพัก ก่อนจะส่ายหน้าจนเส้นผมสะบัด

         "ผิดคนแล้วล่ะค่ะ เพื่อนหนูไม่ใช่คนแบบนั้น คุณคงเจอคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเราเข้า หนูรู้จักเพื่อนของหนูดี พวกเขาไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ โดยเฉพาะฟ้า" 

         "เช่นนั้นแม่หญิงคงจะไม่รู้อะไรอีกมาก ป่าแห่งนี้สามารถแปรเปลี่ยนจิตใจมนุษย์ทุกผู้ที่ก้าวล่วงเข้ามา ความมืดดำในใจของมนุษย์ที่อยู่ภายในจะเผยออกมาอย่างเต็มที่ เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งร้าย สหายของท่านก็เช่นกัน ที่พวกเขาทำกับข้าเช่นนี้เพราะถูกชักจูงจากสิ่งร้าย! แม้แต่ตัวแม่หญิงเองจะปฏิเสธหรือว่าที่ผ่านมาไม่ได้เจอสิ่งร้ายใด ๆ เลย" วิทยาธรพูดใส่หญิงสาว

         ฐานิดายืนนิ่ง สิ่งที่เธอเผชิญมาทั้งหมดค่อย ๆ ฉายขึ้นมาในมโนภาพ ทั้งบ่อโคลนดูด สภาวะขาดน้ำ ผลไม้พิษ ป่ามืด พญาครุฑ แต่เธอก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าเพื่อนทั้งสองจะทำเช่นนั้น 

         "หนูยังไม่เชื่อหรอกค่ะ ที่ว่าเพื่อนหนูจะทำร้ายคุณ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่พวกเขาจะทำแบบนั้น นอกเสียจากว่าคุณจะไปทำร้ายเขาก่อน หรือไม่ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด" หล่อนโต้ตอบ

         วิทยาธรลอบกัดฟัน สตรีผู้นี้หลอกยากเสียจริง เห็นทีจะต้องใช้วิชาเฉพาะตัว

         "สิ่งที่ทำให้สหายของท่านเปลี่ยนไปคือมักกะลีผลอย่างไรเล่า" วิทยาธรกล่าว

         "มักกะลีผล? อะไรคือมักกะลีผลเหรอคะ" ฐนิดาถามเสียงสูง

         "เป็นปิศาจชั่วร้ายที่แฝงอยู่ตามไพรดิบ พวกมันเกิดจากต้นไม้ คอยชักจูงคนทั่วไปให้หลงผิด บางทีก็หลอกปั่นหัวให้ฆ่าฟันกันเอง สนองความดิบเถื่อนในสันดานของมัน" วิทยาธรโป้ปดอย่างสะใจ

         "มีอะไรแบบนั้นด้วยหรือคะ สิ่งนั้นหรอกหรือที่ชักจูงเพื่อนของหนูทั้งสองให้ทำร้ายคุณ" อีกฝ่ายถามท่าทางตกตะลึง

         "เป็นเช่นนั้น แม่หญิง" วิทยาธรตอบพลางยิ้มมุมปาก

         ฐานิดาคิดไตร่ตรองในหัวอย่างสับสนและไม่แน่ใจ แต่เดิมจากที่เชื่อมั่นว่าเพื่อนของเธอไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน มาคราวนี้กลับกลายเป็นสองจิตสองใจ

         "ถ้าท่านยังไม่เชื่อในคำพูดของข้า ก็จงไปดูไปรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตาตนเองเถิด" วิทยาธรพูดพลางยื่นแขนออกมาแล้วแบมือต่อหน้าเธอ หญิงสาวมองอย่างงุนงง

         "อะไรกันคะ คุณหมายความว่ายังไง จะทำอะไรหรือ"

         "จับมือข้าสิ ข้าจะทำให้ท่านเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ท่านจะได้หมดข้อสงสัยเสียที ว่าสหายของท่านเปลี่ยนไปเช่นใดและมักกะลีผลมันร้ายเยี่ยงไร" วิทยาธรกล่าว

         ฐานิดามองมือที่ยื่นมาให้จับอย่างไม่แน่ใจ เธอไม่รู้ว่าจะเจอจะเห็นอะไรบ้าง แต่ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นฝ่ายชนะ หญิงสาวค่อย ๆ เดินเข้าไปหาวิทยาธรอย่างช้า ๆ ยื่นมือไปวางบนมือสีส้มของเขาที่แบรออยู่

         ฉับพลันรอบด้านของหญิงสาวก็มืดมิด ร่างของเธอเหมือนจะคะมำลงไปในหลุมสีดำที่มืดมนไร้ขอบเขตและหมุนติ้วไปมา จนในที่สุดเธอก็กลับมายืนบนพื้นดินอีกครั้ง 

         เธอมองไปรอบด้านด้วยความตื่นกลัว แล้วก็พบว่าตนยังยืนในจุดเดิมตอนที่จับมือของวิทยาธรนั่นเอง หญิงสาวอ้าปากเตรียมจะหันไปพูดกับวิทยาธรว่าจะเล่นตลกอะไร แต่แล้วก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา

         "ข้าสามารถนำทางท่านทั้งสองได้แน่นอนขอรับ" เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้นซึ่งฐานิดาจำได้ว่าเป็นเสียงของวิทยาธร

         หล่อนเหลียวมองหาต้นตอของเสียง แล้วเธอก็เห็น... นภดลกับสินียืนอยู่คู่กัน โดยมีวิทยาธรนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า หญิงสาวเกือบตะโกนเรียกชื่อเพื่อนออกไปแต่ก็นึกขึ้นได้ว่า นี่มันภาพอดีตที่วิทยาธรแสดงให้เธอดูเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อนเธอจริง ๆ ฐานิดาจึงได้แต่ยืนมองต่อไปตามเดิม

         "วิทยาธร ท่านจะมานำทางให้พวกเราออกจากป่านี้หรือ ท่านพูดจริงหรือ" นภดลถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย

         "แน่นอนขอรับ หน้าที่ข้าคือช่วยเหลือมนุษย์ที่พลัดหลงในป่านี้บ่อย ๆ ขอรับ" วิทยาธรตอบ ก้มศีรษะลง

         "เช่นนั้น วิทยาธร ทำไมท่านถึงเสนอตัวล่ะ ต้องการสิ่งตอบแทนอย่างนั้นหรือ" นภดลถาม

         "หามิได้ขอรับ ตัวข้ามิได้หวังสิ่งตอบแทนอันใด ข้าน้อยหวังแค่ว่าจะช่วยเหลือมนุษย์จริง ๆ นะขอรับ ว่าแต่สหายของท่านอีกสองคน จะไปตามหาเขาก่อนหรือไม่ขอรับ" วิทยาธรถามอย่างนอบน้อม

         "โอ๊ย ยัยแป๋วนั่นน่ะเหรอ ช่างมัน ใครจะไปช่วย ปล่อยให้มันตายไปนั่นแหละดี รำคาญ เกลียดมันมาตั้งแต่ปี 1 ตาย ๆ ไปซะได้ก็ดี อย่าเสียเวลาไปช่วยมันนะฟ้า" สินีพูดเสียงแหลม  

         "เราก็คิดเหมือนต่าย เราไม่มีเวลาไปช่วยพวกไร้ค่าพวกนั้นหรอก ทั้งแป๋วและเอก ป่านนี้คงตายไปแล้วเพราะทั้งสองคนนั่นก็โง่พอ ๆ กัน" นภดลพูดเสียงเย็นเยียบ สินีหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ฐานิดาที่ยืนฟังอยู่ถึงกับตัวร้อนวูบวาบด้วยความโกรธ ต่ายคิดอย่างนั้นกับเราจริงหรือ แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ แม้แต่ฟ้า ก็คิดแบบเดียวกันหรือนี่

         "เช่นนั้น ท่านมีวิชา ความรู้ หรือสิ่งใดที่จะนำพาเราออกไปจากที่นี่ได้บ้าง" นภดลถามต่อ

         วิทยาธรหยิบสิ่งหนึ่งออกมาเทินไว้เหนือศีรษะ มันดูคล้าย ๆ กล่องไม้เก่า ๆ ที่สลักลวดลายงดงาม

         "สิ่งที่อยู่ในกล่องเหล่านี้คือมนตรา ของลงอักขระ ซึ่งเป็นวิชาเฉพาะเผ่าพันธุ์ข้าที่สามารถช่วยพวกท่านให้พ้นภัยต่าง ๆ ในป่านี้ได้ขอรับและสิ่งนี้" วิทยาธรวางแส้สีทองที่ม้วนขดไว้อย่างเป็นระเบียบข้าง ๆ กล่องไม้พลางกล่าวต่อว่า "นี่คือแส้ของข้า อาวุธประจำตัวขอรับ"

         นภดลหยิบกล่องไม้ขึ้นมาเปิดดู ส่วนสินีหยิบแส้ขึ้นมาลูบคลำไปมาอย่างสนใจ นภดลมองดูของในกล่องแล้วยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

         นภดลกับสินีเหลือบมองกันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้าให้กัน ทันใด นภดลก็ฉวยเอากล่องไม้นั้นเก็บลงกระเป๋ากางเกงทันที ส่วนต่ายเหวี่ยงแส้สีทองให้กระเด็นออกไปไกล

         "ท... ท่าน... ท่านทั้งสองจะทำอันใด" วิทยาธรร้องเสียงหลง ขยับจะลุกขึ้น

         นภดลชักไม้ยาวปลายแหลมคมคล้ายหอกออกมาจากข้างตัวแล้วจ่อเข้าที่ลำคอของวิทยาธรอย่างรวดเร็ว บุรุษกายสีส้มชะงัก ตาเบิกกว้างจับจ้องไปที่ไม้ปลายแหลมด้วยความหวาดกลัว

         "นั่ง!" นภดลสั่งเสียงเข้ม

         "พวกท่านจะทำอันใดกันแน่ ได้โปรดขอสิ่งของของเราคืนด้วย" วิทยาธรร่ำร้อง นั่งลงช้า ๆ

         "ไอ้หน้าโง่ ของวิเศษของตัวเองแทนที่จะเก็บไว้ให้ดี กลับเอามายื่นให้พวกเรา แกมันโง่ วิทยาธร เพราะฉะนั้นก็เสียค่าโง่ซะเถอะ" สินีร้องออกมาอย่างสะใจ

         "พวกท่านหลอกข้า ทำไมถึงทำเช่นนี้" วิทยาธรร้องออกมา ทำท่าจะลุกพรวดพราดขัดขืน

         นภดลใช้อีกด้านของไม้ปลายแหลมกระแทกเข้ากับช่วงท้องของวิทยาธรเต็มแรง วิทยาธรร้อง "อ๊อก" ออกมาด้วยความจุก มือกุมท้องตัวงอเป็นกุ้ง นภดลเงื้อไม้ฟาดไปที่กลางหลังอีกทีอย่างแรงจนวิทยาธรทรุดฮวบลงกับพื้น 

         "ทำดีมาก สหายของข้า" เสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น

         ฐานิดาเพ่งมองไปยังร่างของหญิงสาวที่มาใหม่ เธอเดินออกมาจากเงามืด เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก หน้าอกและช่วงล่างของเธอถูกปกปิดและห่อหุ้มด้วยใบไม้หนาเตอะ ความรู้สึกของฐานิดาบอกกับตัวเองว่า นี่ไม่ใช่มนุษย์

         "ท่านได้ของวิเศษจากมันมาแล้วใช่หรือไม่ สหายข้า" หญิงผู้นั้นถามฟ้า

         "ได้มาแล้ว มักกะลีผล" นภดลตอบ มักกะลีผลหรือ! ฐานิดาคิด นี่กระมังปิศาจร้ายที่วิทยาธรพูดถึง 

         มักกะลีผลนางนั้นก้มลงเก็บแส้สีทองที่สินีเหวี่ยงออกมา เธอลูบไล้ไปตามความยาวของแส้ สายตามองไปที่วิทยาธรอย่างยิ้มเยาะ 

         "อาวุธของมันชนิดนี้จะไม่สามารถใช้การได้ถ้าผู้ที่ใช้ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง ฉะนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับเรา" เธอพูดจบก็เหวี่ยงแส้สีทองทิ้งไปอย่างไม่แยแส 

         "มะ... มักกะลีผล ทำไมเจ้าทำแบบนี้ เจ้าใช้วิชาชั่วชักจูงมนุษย์ให้ทำสิ่งเลวร้ายแทนเจ้างั้นหรือ ท้าวจตุโลกบาล[1]จะต้องลงโทษเจ้า" วิทยาธรกรีดร้องออกมาด้วยความคับแค้น 

         มักกะลีผลแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง 

         "อย่าเอาท้าวจตุโลกบาลมาขู่ข้าเสียให้ยาก วิทยาธร ตอนนี้เจ้าไร้พลัง ไร้อาวุธ ก็เหมือนไร้มือไร้เท้า ฉะนั้นจงห่วงตัวเองก่อนเถิด" เธอพูดเยาะเย้ยถากถาง

         มักกะลีผลเดินเข้ามายืนค้ำร่างวิทยาธรที่นอนพังพาบอยู่ ก้มลงมองด้วยความชิงชังก่อนจะหลับตาบริกรรมคาถา

         เถาวัลย์ขนาดใหญ่และหนาเกือบเท่าข้อมือพุ่งออกมารัดร่างของวิทยาธรไว้ วิทยาธรร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจ พยายามดิ้นให้หลุดจากเถาวัลย์ที่พันรอบกายอย่างแน่นหนา 

         ภาพที่วิทยาธรกรีดร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนานั้น ทำให้ฐานิดาเกือบวิ่งเข้าไปช่วย แต่เธอก็นึกขึ้นได้ว่านั่นคือภาพอดีตที่ผ่านมาแล้ว หาใช่ปัจจุบันไม่ จึงระงับอารมณ์ตัวเองไว้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือยืนมองวิทยาธรที่ถูกเถาวัลย์พันกายด้วยความสงสารเท่านั้น

         วิทยาธรถูกมัดไว้กับโคนต้นไม้ใหญ่ ร่างไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ มักกะลีผลจ้องมองอย่างชั่วร้ายแล้วหันหลังเดินจากไป นภดลยิ้มเย็นเยียบก่อนจะเดินตามเธอไปอย่างไม่สนใจเสียงร้องขอให้ช่วยของวิทยาธร ส่วนสินีก็หัวเราะเยาะเย้ยอย่างสาแก่ใจ ทิ้งให้วิทยาธรถูกกักขังอย่างโดดเดี่ยวเช่นนั้น

         จากนั้นรอบด้านก็มืดมิด ฐานิดารู้สึกว่าตัวเองถูกฉุดออกมาจากหลุมดำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับมายืนอยู่ในเวลาปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง

         วิทยาธรปล่อยมือที่จับกับหล่อนไว้ หญิงสาวรู้สึกช็อกกับสิ่งที่เห็น สิ่งที่รับรู้ เธอนั่งอย่างหมดแรงบนก้อนหิน เอามือปิดหน้า ทำไมฟ้ากับต่ายถึงเป็นคนแบบนั้น ใจจริงของเพื่อนทั้งสองเป็นแบบนั้นเองหรอกหรือ แล้วมักกะลีผลชั่วร้ายตนนั้น เธอต้องการอะไรกันแน่

         วิทยาธรมองสตรีตรงหน้าที่นั่งหมดแรงอย่างชั่วร้าย แค่สร้างภาพลวงตาง่าย ๆ บิดเบือนความเป็นจริงที่เกิดขึ้น มนุษย์ผู้นี้ก็ตกลงใจเชื่อในทันที การเจอะเจออะไรที่เหนือโลกแม้แต่เพียงนิดเดียวก็หลงเชื่อในทันทีทันใดนี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์

         "เห็นแล้วใช่หรือไม่ แม่หญิง ว่าเพื่อนของท่านไม่ใช่คนดีอะไร แต่ความจริงแล้วมักกะลีผลอัปรีย์นั่นมันก็ควบคุมและชักจูงสหายของท่านอยู่ด้วยเช่นกัน" วิทยาธรใส่ไฟต่อ

         "หนูขอโทษที่ไม่เชื่อคุณแต่แรก คุณโดนเล่นงานหนักจริง ๆ หนูขอโทษค่ะ" ฐานิดาพูดอย่างเศร้าเสียใจ

         "ฉะนั้น แม่หญิง ท่านต้องเดินทางตามสหายทั้งสองของท่านให้เจอ ข้าจะทดแทนคุณที่ท่านช่วยข้าไว้โดยการนำทางให้ท่าน และเมื่อท่านพบเจอสหายของท่านแล้ว แม่หญิงก็จงสังหารมักกะลีผลนั่นเสีย" 

         หญิงสาวชะงัก หันมามองหน้าวิทยาธร

        "คุณว่าอะไรนะ จะให้ฉันฆ่ามักกะลีผลคนนั้นหรือ"

        "เป็นเช่นนั้น แม่หญิง"

        "ไม่!" เธอร้อง ผุดลุกขึ้นยืน "นะ... หนูไม่ฆ่าตัวอะไรหรือใครหรอกนะคะ"

        วิทยาธรเอื้อมคว้ามือทั้งสองของหญิงสาวมาไว้ในอุ้งมือของเขา แล้วแตะปลอบเบา ๆ ดุจมารดาจับมือให้กำลังใจบุตรด้วยความรักฉะนั้น

         "ไม่ต้องหวาดหวั่นดอก ไม่ต้องกลัวบาปด้วยเช่นกันแม่หญิง เพราะนางไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นแค่สิ่งโสโครกในป่านี้ การฆ่านางถือว่าไม่ผิดบาปอันใด แต่ถ้าไม่ฆ่า เพื่อนทั้งสองของท่านก็จะถูกหลอกใช้ตลอดไป แล้วท่านเองก็จะไม่มีวันออกจากป่านี้ได้ หนทางเดียวก็คือ ฆ่านางซะ!"

         ฐานิดามองหน้าวิทยาธรนิ่ง บุรุษกายสีบุษราคัมยิ้มแล้วพยักหน้าให้กำลังใจ หญิงสาวหลับตาลงก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ "หนูจะเอาไปคิดดูแล้วกันค่ะ"

         วิทยาธรลอบยิ้มอย่างมีชัย ในที่สุด เธอก็ติดกับจนได้

         "แต่คุณจะเป็นอันตรายไหม ถ้านำทางหนูไปเจอพวกเขา เขาต้องเล่นงานคุณอีกแน่ ๆ" อีกฝ่ายกังวล

         "ข้อนั้นไม่ต้องห่วงแม่หญิง" วิทยาธรพูดพลางล้วงของสิ่งหนึ่งออกมา 

         สิ่งนั้นเป็นหุ่นดินเผาขนาดเล็ก สวมใส่ชุดหนังสัตว์ ผิวกายเป็นสีส้มเหมือนวิทยาธร

         "นี่คือข้า ข้าจะรวบรวมดวงจิตสิงสู่อยู่ในหุ่นนี้ ท่านก็จงเก็บข้าไว้ติดตัวตลอด พวกนั้นจะไม่มีทางรู้ว่าข้าติดตามมาด้วย แล้วข้าจะติดต่อสื่อสารท่านผ่านทางดวงจิต เพื่อนำทางท่านและแนะนำท่าน" 

         ฐานิดาอ้าปากค้าง แต่ก่อนที่เธอจะถามอะไรออกไป วิทยาธรก็หลับตา ประนมมือบริกรรมคาถา แล้วร่างของวิทยาธรก็หายวับกลายเป็นดวงไฟสีส้มเล็ก ๆ  ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศชั่วครู่ ก่อนจะพุ่งเข้ามาในหุ่นดินเผาที่ฐานิดาถืออยู่

         หุ่นดินเผานั้นร้อนขึ้นมาวูบหนึ่งเช่นเดียวกับดวงตาของหุ่นที่แดงวาบขึ้นสักพัก ก่อนจะหายไป

         "เก็บข้าให้มิดชิดเถิด แม่หญิง แล้วรีบเร่งเดินทาง มุ่งทิศอุดรไปเรื่อย ๆ ไม่นานท่านจะเจอสหายของท่านในเร็ววัน" เสียงของวิทยาธรดังขึ้นโดยไม่มีตัวตน

         หญิงสาวเจอเรื่องประหลาดมาเยอะจนน่าจะไม่หวาดกลัวหรือคลางแคลงใจในสิ่งใดอีก แต่คราวนี้อดรู้สึกอึ้งไม่ได้จริงๆ เมื่อเธอตั้งสติได้ก็รู้ว่าคงเป็นเสียงที่สั่งผ่านดวงจิตอย่างที่วิทยาธรกล่าว จึงจัดการเก็บหุ่นดินเผานั่นให้มิดชิด สูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะเดินผละออกจากบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว

         ป่าทึบอีกด้านค่อย ๆ แหวกทางเปิดออกหลังจากที่ฐานิดาเคลื่อนกายหายไป  สตรีนางหนึ่งเผยตัวออกมา 

        สายตาที่คัพธัพวดีมองตามหญิงสาวนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและไม่สบายใจ

     

    *****

         

         วรองค์ของพระเทวีผู้เป็นเลิศทั้งความงามและอิทธิฤทธิ์ ประทับอยู่ในท่าสีหไสยาสน์บนก้อนหินเรียบยาวแต่ยกสูงคล้ายแท่น วรกายของพระนางอยู่ในขนาดปกติ ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนดั่งคราวแรกที่เจออีกต่อไป

         "ลักษณ์นารา!”

         นภดล สินีและนารีผล ผุดลุกขึ้นและวิ่งกรูเข้ามาหาพระนาง ทั้งคู่วิ่งเข้ามาจนถึงแท่นหิน ความรู้สึกราวกับได้เจอผู้ช่วยชีวิต ส่วนนารีผลได้แต่ก้มลงนั่งพับเพียบอย่างเจียมตนอยู่วงนอก

         ลักษณ์นาราลืมพระเนตรขึ้น ดวงเนตรของพระนางไม่เป็นสีแดงฉานดุจเพลิงอีกต่อไปแล้ว องค์เทวีแย้มพระสรวลอย่างใจดี

         ทั้งสามก้มลงกราบพระนางด้วยความดีใจ ในที่สุดพระองค์ก็จะมาช่วยแล้ว ลักษณ์นาราทอดพระเนตรไปที่เพื่อนสาว

         "ข้าขอชื่นชมเจ้า หญิงสินี ข้านึกไม่ถึงว่าเจ้าจะช่วยสหายของเจ้าได้ดีเยี่ยมเช่นนี้ เจ้าฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างกล้าหาญ จงรักษาความกล้างามนี้ต่อไปเถิด" พระนางตรัส สินีตัวสั่นด้วยความปีติ

         "ส่วนเจ้า นภดลเจ้าก็ทำได้ดีเกินคาด มีความเป็นผู้นำ ที่สำคัญเจ้ายังช่วยมักกะลีผลตนหนึ่งให้รอดพ้นจากอันตราย" นภดลได้ยินก็ก้มลงกราบพระเทวีอีกรอบ

         "นารีผลเอ๋ย" ลักษณ์นาราตรัสเรียกด้วยความปรานี นารีผลที่นั่งอยู่วงนอกสะดุ้งเฮือก

         "เข้ามาหาข้าใกล้ ๆ เถิด อย่าคิดว่าตัวเองต่ำต้อยจนไม่สามารถเข้าเฝ้าข้าได้ เข้ามาเถิด นางผู้กล้าหาญ" นารีผลค่อย ๆ เงอะงะลุกขึ้นยืน เดินตัวสั่นมาใกล้ ๆ แท่น ก่อนจะก้มลงกราบ

         ลักษณ์นาราลูบหัวนารีผลอย่างเอ็นดู

         "เจ้าช่างกล้าหาญนัก เป็นเพียงแค่สิ่งที่องค์อมรินทร์สร้างขึ้น แต่อาจหาญเกินมนุษย์  ขอให้ความดีที่เจ้าช่วยมนุษย์ไว้จงเป็นกำแพงคุ้มภัยให้ตัวเจ้าด้วยเทอญ" พระนางอวยพร นารีผลก้มลงกราบอีกรอบด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

         สินีสะกิดชายหนุ่มเบา ๆ และพยักหน้าให้เพื่อน ทำท่าจะพูดอะไรกับองค์เทวี แต่ลักษณ์นาราชิงตรัสขึ้นก่อน

         "เจ้าจะถามข้าใช่ไหม ว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันคืออะไรกัน ไม่ว่าจะเรื่องการที่ข้าส่งพวกเจ้าเข้ามาในป่านี้ การพลัดหลงกับเพื่อน จุดหมายที่เจ้าจะไป แต่ข้าจะอธิบายทุกสิ่งให้มากกว่านั้นอีก อธิบายแม้แต่เรื่องที่คัพธัพวดีเคยเอ่ยถึงอดีตชาติของเจ้า หรือเรื่องที่มารดาของเจ้าห้ามปรามมิให้เจ้าศึกษาในศาสตร์ที่เจ้าสนใจ" นภดลได้ยินก็ถึงกับอึ้งตะลึงงัน นี่แสดงว่าทุกอย่างนั้นเกี่ยวพัน เชื่อมโยงกันอย่างนั้นหรือ

         "แต่ก่อนที่ข้าจะอธิบาย ข้าขอถามเจ้าข้อหนึ่งก่อน" ลักษณ์นาราตรัส

         "เจ้าเคยได้ยินคำทำนายของพระพุทธเจ้าที่เคยกล่าวถึงเหตุการณ์ในโลกมนุษย์หลังกึ่งพุทธกาลหรือไม่"

     

     

     

     



    [1] ท้าวมหาราชระดับหัวหน้าในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ปกครองทิศทั้งสี่อันประกอบด้วย ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวเวสสุวรณ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×