ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #1 : คำทำนาย

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 66


         


                                                                                         ตอนที่ 1 คำทำนาย


       ประตูห้องเล็กๆ บานหนึ่งเปิดออก ร่างของเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งวิ่งหายเข้าไปอย่างรวดเร็ว ภายในห้องลักษณะเหมือนห้องใต้หลังคา แสงสว่างน้อยมากจนเกิดความมืดตะคุ่มไปทั่ว หีบเก็บของต่างๆ กระจัดกระจายกองอยู่รอบห้อง มีฝุ่นจับเขรอะเต็มไปหมด เด็กชายค่อยๆ เดินเขย่งเท้าเพราะกลัวเกิดเสียงพลางหันไปมองประตูที่เปิดแง้มอยู่อย่างหวาดๆ เสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้กระดานที่เหยียบลงไปทำให้เขาสะดุ้งอยู่หลายครั้ง โชคดีที่เสียงเจ้าโชค สุนัขพันธุ์บางแก้วเพศเมียที่บ้านเขาเลี้ยงไว้ช่วยเห่าเสียงดังขรมถมเถกลบเสียงลั่นของไม้ได้เป็นอย่างดี มันคงไปเจอตัวอะไรแปลกๆ หลังบ้านอีกเป็นแน่ถึงเห่าดังขนาดนี้ เด็กชายคิดในใจและเคลื่อนตัวไปที่ชั้นหนังสือสุดมุมห้อง รื้อค้นตามชั้นหนังสือ ฝุ่นฟุ้งขึ้นมาเต็มไปหมด 

         "นี่คิดจะทำอะไรน่ะ!" เสียงตวาดแหลมดังขึ้นด้านหลัง เด็กชายสะดุ้งโหยงหันมาเจอแม่ตัวเองยืนเท้าเอว ตาเขียวขุ่น มือหนึ่งถือตะหลิวอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนสีเขียวสด

        "ผม ...  ผมมาหาของครับ" เด็กชายตอบอ้อมแอ้ม

        "ของ? ในห้องนี้เนี่ยนะ อย่ามาโกหกนะฟ้า คิดจะมาหาหนังสือไร้สาระอ่านอีกล่ะสิ" มารดาตะโกนใส่

        เปล่านะครับแม่" ฟ้ารีบแก้ตัว

        "พอ! รีบลงไปแต่งตัวไปโรงเรียนเดี๋ยวนี้ นี่จะสายแล้ว ยังมาทำเรื่องไร้สาระอยู่อีก ลงไปเดี๋ยวนี้นะ" เฟื่องยกตะหลิวขึ้นทำท่าจะตีลูกชาย เด็กชายรีบวิ่งพรวดหลบแม่ออกไปนอกประตูทันที ผู้เป็นแม่มองตามลูกชายอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะขยับเดินตามออกไป แต่แล้วก็ชะงักหันกลับมามองด้านหลังตรงชั้นหนังสือที่ลูกชายกำลังค้นเมื่อครู่ 

        เธอเดินไปที่ชั้นหนังสือ พยายามก้มมองหนังสือแต่ละเล่ม ค่อยๆ เอามือปัดฝุ่นบนหนังสือออก ยิ่งเธอเปิดดูชื่อหนังสือแต่ละเล่มมากเท่าใด ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

    -วิญญาณ- วิเคราะห์ 1 ในขันธ์ 5 อย่างถ่องแท้

    -สวรรค์และนรกตามจารึกไตรภูมิพระร่วง

    -กฎแห่งกรรมที่มาจากประสบการณ์จริงของบุคคลสำคัญในวงการพระพุทธศาสนาเมืองไทย

    -วันสิ้นโลกของคัมภีร์พุทธ พร้อมบทคัดย่อจากวรรณคดีสมัยสุโขทัย

    -ภาพป่าหิมพานต์ การศึกษาศิลปะผนังโบสถ์แบบประยุกต์

         "คุณพระช่วย! นี่มันอะไรกันเนี่ย" เธอกระซิบพลางเอามือปิดปากด้วยความหวาดหวั่น หนังสือที่ลูกชายตัวเองค้นนอกจากจะเกินวัยเขาด้วยแล้ว ยังชี้ให้เห็นว่าเด็กชายมีความสนใจในศาสตร์ที่ค่อนข้างออกไปทางปรัชญา ศาสนาและความเชื่อ ความหวาดกลัวบางอย่างเข้าเกาะกุมจิตใจหล่อนทีละนิด มันมาพร้อมกับความทรงจำในอดีตที่เธอพยายามจะลืมมัน แต่ทว่าลืมไม่ได้สักที...


        ย้อนไปหลายปีก่อนหน้านั้น ณ วัดที่ร่มรื่นท่ามกลางเมืองหลวงซึ่งดูจะสงบเงียบเหมือนทุกวัน เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่เพื่อมาพักผ่อนคลายจิตคลายใจได้เสมอ แต่สำหรับวันนี้ใครที่คิดจะมาหาความวิเวกในวัดนี้คงไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เมื่อหลวงพ่อชื่อดังของวัดนี้ที่ปกติไม่ค่อยลงจากกุฏิที่พักเท่าไร วันนี้ท่านลงมาที่ศาลาวัดเพื่อพบปะพูดคุยกับศิษยานุศิษย์โดยเฉพาะ

         หญิงสาวสองคนในชุดสีขาวเรียบร้อย ทุลักทุเลออกมาจากรถยนต์ที่จอดไว้ริมกำแพงวัด ก่อนที่จะรีบจ้ำอ้าวเดินเข้ามาในบริเวณวัดอย่างรวดเร็ว อากัปกิริยาของทั้งคู่ดูเร่งรีบจนแทบจะไม่มีเวลาพูดคุยกัน ในที่สุดก็มาถึงศาลาวัดที่มีผู้คนออกันเต็มไปหมด ผู้หญิงคนที่เดินมาถึงก่อนเพื่อนอีกคนเดินหายเข้าไปในศาลาท่ามกลางฝูงชนอยู่ครู่ใหญ่ ไม่นานก็โผล่หน้าออกมากวักมือเรียกเพื่อนที่ยืนรออยู่ด้านนอกศาลา

         "เฟื่องเร็ว ถึงคิวเราแล้ว" หญิงคนที่เดินถึงศาลาวัดก่อนโบกมือเรียกเพื่อนอีกคนอย่างร้อนรน   

         "เดี๋ยวสิ มุก กำลังรีบอยู่" เฟื่องเพื่อนสาวของมุกดาพูด เธอกำลังถอดรองเท้าด้วยความเร่งรีบ แล้วรีบวิ่งเข้าไปในศาลา 

         "แม่นแน่เหรอมุก" เฟื่องกระซิบถามเพื่อน

         "แม่นมาก ฉันดูมาแล้ว รีบเข้าไปเร็ว ตาแกแล้ว" มุกดารีบผลักหลังเพื่อนเข้าไป 

         "แล้วแกไม่เข้าไปเหรอ ฉันไม่กล้าดูคนเดียว ฉันกลัว กลัวท่านทักเรื่องไม่ดีๆ" เฟื่องวิตกกังวล

         "บ้า นี่พระนะ ไม่ใช่หมอดูหรือร่างทรง ท่านพูดแต่เรื่องดี ๆ เป็นมงคลทั้งนั้นแหละ ถ้ามีเรื่องร้ายท่านก็จะเตือนหรือหาทางแก้ให้ รีบไปสิ คนอื่นเขารอคิวกันอยู่" อีกฝ่ายรีบบอกเพื่อน

         เมื่อเข้ามาด้านใน เฟื่องเดินยอบตัวไปนั่งพับเพียบตรงหน้าพระภิกษุสงฆ์ชรารูปหนึ่ง เธอค่อย ๆ ก้มลงกราบช้า ๆ ก่อนจะเอามือประนมไว้ที่อก หญิงสาวเกิดอาการประหม่าไม่กล้าเหลือบมองใบหน้าท่าน 

         พระชรารูปนั้นเพ่งจ้องหน้าเธออยู่เป็นนานสองนาน บรรดาชาวบ้านฆราวาสที่นั่งรอคิวรอบ ๆ ศาลา ต่างพากันมองหน้าเลิ่กลั่กเพราะเห็นท่านเงียบผิดปกติ

         "ปกติท่านไม่เพ่งนานขนาดนี้นี่นา" ป้าคนหนึ่งพูดกับเพื่อน

         "จริงด้วย ทำไมคนนี้ท่านมองนานจัง หรือท่านจะไม่เห็นอนาคต!" ป้าอีกคนพูดเสียงดัง

         "พูดอะไรพล่อย ๆ นั่นปากเหรอ เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก" ป้าคนแรกพูดปรามเพื่อนตัวเองพลางบุ้ยปากพยักพเยิดไปทางเฟื่องที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อ

         เฟื่องเริ่มหวั่นวิตก เหงื่อเริ่มไหล ใจสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก

         "มีลูกชายใช่ไหมโยม" หลวงพ่ออยู่ดี ๆ ก็พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

         "เอ่อ ใช่เจ้าค่ะ หลวงพ่อ" ความตกใจแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย พระท่านรู้ได้อย่างไร

         "ดูลูกชายไว้ให้ดี ต่อไปเมื่อเขาเข้าสู่ปัญจ[1]ปีก่อนเบญจเพสจะหมกมุ่นในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ห้ามปรามเขาเอาไว้บ้าง อย่าให้ถลำลึก ไม่งั้นอนาคตจะเผชิญเรื่องที่มนุษย์รับไม่ไหว"

         "อะ... อะไรกันเจ้าคะ เรื่องที่มนุษย์รับไม่ไหว คืออะไรคะท่าน" เฟื่องพูดตะกุกตะกักด้วยความตกใจ

         "เรื่องอจินไตย[2]" หลวงพ่อตอบเสียงเรียบ

     

         ... ตั้งแต่วันนั้นสิ่งที่หลวงพ่อกล่าวกับเธอก็ยังเป็นความกังวลในจิตใจมาตลอด ที่ผ่านมาเธอเลี้ยงดูลูกชายของเธออย่างดี และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเลวร้ายใด ๆ กับลูกชายของเธอเป็นอันขาด ทว่าวันนี้สัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าลูกชายกำลังดำเนินรอยตามคำทำนายปริศนาของหลวงพ่อนั้นเหมือนจะสำแดงเดชขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นฟ้าอายุเพียง 3 ปี ส่วนตอนนี้ 11 ปีแล้ว เฟื่องยืนมองหนังสือที่ลูกชายแอบมาอ่านบนห้องใต้หลังคานิ่งอยู่พลางคิดใคร่ครวญ

         เธอไม่เคยสอนหรือเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนาหรือเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้ให้ลูกชายเธอฟังสักครั้งเพราะความกลัวในคำทำนายทายทักของหลวงพ่อเมื่อครั้งนั้น แต่นี่ลูกชายเธอกลับสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง หล่อนจึงตัดสินใจเก็บหนังสือทุกเล่มลงกล่องเอาไปเก็บไว้ที่ห้องของเธอ และบอกกับตัวเองว่าจะไม่ให้ลูกชายของตนยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้อีกต่อไป เธอตัดสินใจที่จะเตรียมนำหนังสือทั้งหมดไปบริจาคห้องสมุด เรื่องเหล่านี้ต้องถูกยับยั้ง

         แต่เธอจะหยุดมันได้จริงหรือ...

     

    *****

      

         หลายปีผ่านไป นภดลหรือฟ้าเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะมีผู้เป็นแม่เลี้ยงมาคนเดียวแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะโตมาไร้คุณภาพ วันนี้เขาจบการศึกษาจากชั้นมัธยมชั้นปีที่ 6 เรียบร้อยและกำลังสอบเข้าสถาบันอุดมศึกษาพอดี หนุ่มวัยรุ่นหน้าตาสะอาดสะอ้าน รูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำสนิท ผิวขาวเกือบซีดกำลังนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะร้องเรียกแม่เสียงดังลั่นบ้าน

         "แม่ครับ แม่"

         "อะไรตาฟ้า ร้องทำไม" ผู้เป็นมารดาตะโกนตอบ วิ่งมาหน้าห้องนอนลูกชาย

         "เปล่าครับแม่ ผมจะบอกว่าผลสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยออกแล้ว ผมติดด้วยครับแม่!" ฟ้าร้องด้วยความดีใจ ชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ประกาศรายชื่อผู้สอบตรงผ่าน

         เฟื่องอึ้งไปชั่วครู่ เดินมาดูชื่อของลูกชายบนหน้าจอ เธอยิ้มก่อนจะร้องออกมาดังลั่นเมื่อเห็นชื่อนภดลปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก

        "มีชื่อลูกจริง ๆ ด้วย ลูกสอบติดจริง ๆ รึนี่ โอ้ ไม่อยากจะเชื่อ ลูกจะได้เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เดี๋ยวแม่จะเอาไปอวดป้ามุกนะลูกนะ" เฟื่องรีบกอดลูกชายแน่นด้วยความดีใจ

         "ว่าแต่ลูกสอบตรงตั้งหลายที่นี่ แล้วที่ติดนี่คณะอะไรล่ะ" แม่ถามมองดูหน้าจอคอม

          "คณะมนุษยศาสตร์ เอกปรัชญาและศาสนาครับแม่" ฟ้าตอบ เฟื่องชะงัก ทำหน้าเหมือนได้ยินไม่ถนัด ยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปอย่างช้าๆ

          "อะไรนะ เอกอะไรนะลูก" มารดาหันหน้ามาถามลูกชายอีกครั้ง

          "ปรัชญาและศาสนาครับแม่" ลูกชายตอบอีกรอบ

          เฟื่องค่อยๆ ถอยห่างออกจากเครื่องคอมพิวเอตร์ เธอจ้องมองหน้าฟ้าอยู่ชั่วครู่ คราวนี้รอยยิ้มบนใบหน้าหายวับไปสิ้น ความเย็นชาปรากฏขึ้นมาแทนที่

          "ทำไมแม่ไม่รู้ว่าลูกสอบตรงคณะกับเอกอะไรนี่ด้วย" ผู้เป็นแม่ถามเสียงเย็น   

          "ผมสอบตั้งหลายที่นะครับแม่ บางที่ก็อาจจะไม่ได้บอกแม่" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง

          เฟื่องเดินไปที่เก้าอี้มุมห้อง นั่งลงอย่างหมดแรงพลางหลับตาลงชั่วครู่

          "แม่เป็นอะไรรึเปล่าครับ" ลูกชายถามด้วยความเป็นห่วง 

          แต่เฟื่องไม่ได้ฟังประโยคของลูกชายสักคำเดียว ในสมองของเธอได้ยินแต่คำพูดของหลวงพ่อเมื่อหลายปีมาแล้ว

         อย่าให้เขาหมกมุ่นในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องอจินไตย จงห้ามปรามเขา เป็นเรื่องที่มนุษย์รับไม่ไหว

          "สละสิทธิ์ซะ" จู่ๆ เฟื่องก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

          "อะไรนะครับ" ฟ้าหันมาถามอย่างไม่เชื่อหู

          "ฉันบอกให้แกสละสิทธิ์ซะ" มารดากล่าวเสียงเย็นชา ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธที่กำลังก่อตัวชึ้นมาในอก

          "หมายความว่าไงครับแม่ ทำไมผมต้องสละสิทธิ์" ฟ้าถาม งุนงงเป็นอย่างยิ่ง นี่มันไร้เหตุผลที่สุด

          "ไม่ต้องมาถาม สละสิทธิ์ซะ เอาคณะอื่นสอบตรงตั้งเยอะแยะไม่ใช่รึไง หรือไม่ก็รอแอดมิดชั่น ฉันไม่ให้แกเรียนปรัชญาศาสนาอะไรนี่ จบไปจะทำงานอะไร" ผู้เป็นแม่พูดรัวเร็ว หน้าอกสะท้อนขึ้นลงด้วยความโมโห

          "เกี่ยวอะไรกับงาน ไม่เข้าใจ ผมอุตส่าห์สอบติด มันไม่ใช่ง่ายๆ ที่จะติด ทำไมแม่ถึง..." ฟ้าพูดยังไม่ทันจบ มารดาก็ตะโกนดังลั่นคับห้อง ทำเอาอีกฝ่ายผงะไป

          "แกไม่ต้องมาไม่เข้าใจ ฉันสั่งแกไม่ให้เรียนก็คือไม่ให้เรียน ไปสละสิทธิ์ ฉันพยายามป้องกัน แต่แกกลับมุ่งเข้าหา ฉันไม่มีวันยอม" เฟื่องตะโกน ดวงตาวาววับเป็นประกายกล้า

          "ป้องกัน ป้องกันผมจากอะไร" ฟ้าขมวดคิ้วถาม ใบหน้าฉายแววสงสัยปนโกรธ แม่ของเขากำลังพูดถึงอะไรกันแน่    

          ผู้เป็นแม่เงียบไป หันหน้าไปทางอื่น 

          "ไม่ต้องสนใจ ทำตามที่ฉันบอกก็พอ" เฟื่องกลับมาพูดเสียงปกติตามเดิม แล้วเดินออกไปจากห้องของลูกชาย ทิ้งให้ฟ้ายืนนิ่งด้วยความไม่เข้าใจอยู่เช่นนั้น

                                   



    [1] เลข 5 หรือจำนวน 5

    [2] สิ่งที่ไม่อาจคิด สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×