...ณ กรุงเทพเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ทุกชีวิตต่างก็ดิ้นรนทำงานเพื่อให้ตนเองอยู่รอด หรือเพื่อครอบครัวที่รออยู่ข้างหลัง วันเวลาไม่หยุดนิ่งและบางคนก็ไม่หยุดนิ่งเช่นกัน แม้กระทั่งค่ำคืนที่สายฝนโปรยปรายอย่างนี้...
...ไม่ว่ายากดีมีจน คนเลวหรือคนชั่ว ก็ล้วนต้องบรรจบพบกับความตายเหมือนกัน!
หญิงสาวตรงหน้าพยายามคืบคลานหนีบางอย่างด้วยขาที่หักจากการถูกทุบ ดวงหน้าที่เคยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางถูกลบด้วยสายฝนและน้ำตาจากความกลัวจากเบื้องลึกในจิตใจ สัญชาตญาณสั่งให้เธอต้องหนี หนีจากสิ่งที่มันกำลังจะคร่าชีวิตเธอ แต่หญิงสาวได้แต่คลานอย่างเชื่องช้าเพราะขาสองข้างนั้นหักราวกับท่อนไม้ที่ถูกบดจนแหลก รอยช้ำบนร่างกายบ่งบอกว่าเธอสู้อย่างเต็มที่เพื่อเอาชีวิตรอด ทำให้บางอย่างที่อยู่ตรงหน้าเธอหงุดหงิด มันโยนท่อนไม้ทิ้งด้วยอารมณ์ไม่สมประสงค์ พลางสบถท่ามกลางเสียงฝนที่ดังกลบเสียงร้องคร่ำครวญขอชีวิตของหญิงสาว
บางอย่างก้าวย่างอย่างเชื่องช้าราวกับจะชื่นชมผลงานตนเอง ผลงานที่มีชีวิตที่กำลังคลานหนีจากความตายที่มันกำลังจะมอบให้ และบางครั้งความตายก็เป็นความปราณีอย่างล้นเหลือ เมื่อครั้งก่อนนั้น มันปรารถนาในความตายเหลือเกิน มันใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในขุมนรก เฉกเช่นตายทั้งเป็น มันโหยหาความตาย มันอยากให้ใครสักคนฆ่ามันเหลือเกิน แต่หากวันนี้มันสามารถหลุดพ้นมาได้แล้ว แต่วิญญาณปีศาจร้ายในจิตใจยังคงโหยหา รอคอย..และบ่มเพาะความชั่วร้ายที่รอวันกำเนิดขึ้นมาเหมือนเด็กทารกที่อยากเกิดมาลืมตาดูโลก
ชีวิตบางคนก็ไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่จะให้จดจำเสียด้วยซ้ำ บางคนซ่อนอยู่ในคราบชายแก่ผู้ใจดี หรือลูกแกะน้อยไร้เดียงสา มันเคยหลงกลมาแล้ว...พวกมันย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของมันแทบไม่มีชิ้นดี ทำให้มันกลายสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีแม้แต่สัญชาตญาณมนุษย์ เป็นเพียงสิ่งที่มีลมหายใจที่รอการแก้แค้นเท่านั้น
อิฐแตกๆก้อนหนึ่งขวางทางเดิน มันก้มลงมองด้วยความสมเพช อิฐก้อนอื่นๆต่างเรียงตัวกันเป็นระเบียบเพื่อสร้างเป็นตึก เป็นถนน เป็นกำแพง แต่อิฐก้อนนี้ราวกับถูกสลัดทิ้งอย่างไม่ใยดีจากพรรคพวกของมัน ไม่ได้รับการยอมรับให้อยู่เพื่อสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นเพียงแค่ก้อนอิฐแตกๆรอวันผุพังตามกาลเวลา มันช่างเหมือนกับตัวมันอะไรเสียอย่างนั้น...
มือที่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือสีดำเอื้อมหยิบอิฐก้อนนั้นด้วยความระมัดระวัง มันอาจหล่นจากตึกหรือกำแพง มาอยู่บนถนน ฝนจากท้องฟ้ายามดึกนั้นทำให้มันลื่นมือจนแทบถือไม่อยู่ แต่ถึงกระนั้นมันก็หนักพอจะทุบ หัวใครสักคนให้แหลกคามือได้ไม่ยากเลยเช่นกัน
หญิงสาวยังคงคลานต่อไปด้วยความหวังว่าตนเองจะรอด มันหัวเราะหึในลำคอ มันก็เคยมีความหวังเหมือนกัน หวังว่าตนเองจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้สักวัน และมันก็ทำได้สำเร็จ
แต่หากฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอน มันไม่ได้หลุดพ้นออกมาจริง!
มือเพชรฆาตจับผมหล่อนกระชากอย่างไม่ไยดี เสียงร่ำครวญครางร้องขอชีวิตของเธอดังออกมาแค่ลำคอ หลังจากนั้นมันเปลี่ยนเป็นเสียงไอจากการสำลักน้ำฝนและแรงบีบจากมือฆาตกร อิฐสีดำแดงถูกเงื้อขึ้นจนสุดแขน และฟาดลงบนศีรษะเหยื่อผู้น่าสงสาร
ตุบ!
เสียงอิฐกระทบกับศีรษะดังตุบ ก่อนจะดังแบบนั้นไปอีกหลายครั้งจนกระทั่งร่างของหล่อนแน่นิ่งไป เลือดสีแดงไหลเจิ่งนองแผ่ท่วมร่างเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นรัศมีกระจายกลิ่นคาวไปทั่วตรอกแคบๆสกปรก มันสมองและเศษชิ้นส่วนไหลเยิ้มผสมกลิ่นเลือด สมอง..ที่เคยบรรจุความรู้สึก ความทรงจำ ความรู้ และศีลธรรม บัดนี้กลายเป็นเพียงเศษเนื้อสกปรกไร้ค่า
กระดาษขาวถูกหยิบจากจะกระเป๋าเสื้อของฆาตกร เลือดที่ติดอยู่ถุงมือซืมเข้าเนื้อกระดาษเป็นจุดตามที่สัมผัส นิ้วชี้ข้างซ้ายจิ้มเลือดจากถนนป้ายลงบนกระดาษ เมื่อเสร็จมันจึงยัดเข้าปากเหยื่อ
สายฝนซัดกระหน่ำเทลงมาราวกับเป็นใจให้กับการฆาตกรรมครั้งนี้ มันยิ้มเยาะให้ศพตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย และจากไปพร้อมอิฐเปื้อดเลือดก้อนนั้น...
เสียงไซเรนและแสงสีแดงสลับน้ำเงินแวบวับไปทั่วตรอกสกปรกท่ามกลางสายฝนและเงามืดดำของช่วงเวลากลางคืนในกรุงเทพ อันเป็นเมืองหลวงที่ไม่เคยหยุดนิ่ง รถสีดำเลื่อมเป็นมันคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดเหมือนกับรถคันอื่นๆ แต่ที่ไม่เหมือนคือร่างสูงของชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากรถในเสื้อกันฝนสีฟ้าบางๆที่แค่พอกันฝนได้ ร่างสูงดูสง่าสมชาติชายของเขา ประกอบกับใบหน้าที่คมเข้มที่เคร่งขรึมในเวลาปฏิบัติหน้าที่ชวนให้เกรงขาม คิ้วเข้มหนากระตุกเป็นบางครั้ง จมูกโด่งดมกลิ่นคาวเลือดน่าขยะแขยง ปากบางเป็นกระจับเม้มแน่นพลางพิจารณาเหตุการณ์ตรงหน้า ตั้งแต่อยู่แผนกฆาตกรรมมาสามปีเขายังไม่เคยเจอคดีแบบนี้มาก่อนเลย
...ฆาตกรทิ้งกระดาษไว้ให้ โดยหมึกก็คือเลือดของผู้ตายเอง..
“สีแดงเป็นแม่สี ไม่มีสีใดผสมกันแล้วให้สีแดงได้..”
“อะไรของมันวะ?”
ชายหนุ่มพิจารณากระดาษที่เขียนประโยคชวนพิศวงพลางขมวดคิ้วเข้ม โดยมีผู้ช่วยของเขายืนอยู่ใกล้ๆ
“ฆาตกรนี่อารมณ์ศิลปินจังเลยนะคะ..ฉันเคยเรียนวิชาศิลปะตอนม.ปลาย ครูก็สอนเรื่องนี้เหมือนกัน”
สารวัตรกริซเงยหน้ามองผู้ช่วยของเขา เจ้าหล่อนมีใบหน้าเรียวรูปไข่แบบพิมพ์นิยม คิ้วบางตรง จมูกโด่งเชิดแบบคนดื้อรั้น ปากบางเรียว รวมๆแล้วเจ้าหล่อนก็สวยดีเสียแต่ว่ามีดวงตาง่วงๆเหมือนใกล้หลับตลอดเวลา แต่เจ้าหล่อนก็ทำงานดี ดีกว่าผู้ช่วยเขาอีกสองคนเยอะ...
“เฮอะ ผู้หมวด ฆาตกรก็คือฆาตกร ต่อให้มันเอารูปโมนาลิซ่ามาวางไว้ข้างศพมันก็คือฆาตกรอยู่วันยังค่ำ มีไม่วันเป็นศิลปินได้หรอกน่า..”
“ค่ะ สารวัตร"
“แล้วหมวดดินกับหมวดไกรมารึยังล่ะ?"
“ยังค่ะ...ดิฉันโทรตามแล้ว พวกเขาบอกว่าจะมาในยี่สิบนาที..”
“แล้วนี่กี่นาทีแล้ว?"
“ยี่สิบห้านาที กับอีกสามสิบสองวินาทีค่ะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียด สองคนนั้นต่อให้ให้เวลากี่นาทีมักจะมาสายเกินสิบนาทีเสมอ แต่ความขยันทำงานและความตั้งใจของทั้งคู่ทำให้เขาพอให้อภัยได้ ป่านนี้คงเหยียบร้อยแปดอยู่ล่ะมั้ง..
หน่วยพิสูจน์หลักฐานและตำรวจต่างทำงานอย่างขมักเขม้นท่ามกลางฝนที่ยังปรอยๆอยู่ กล้องถ่ายรูปปล่อยแสงแฟลชออกมาเพื่อบันทึกร่างไร้วิญญาณที่อยู่ตรงหน้าเพื่อประกอบการสืบสวนคดี และใกล้ๆศพนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งในเสื้อกันฝนสีดำกำลังพลิกตรวจสอบศพตามหน้าที่ของเขา และเหมือนเขาคงจะรู้ว่าถูกสารวัตรจ้อง จึงผละจากศพเดินมาหาเขาพลางรายงานอย่างฉะฉาน
“ผู้ตายคาดว่าน่าจะถูกทำร้ายร่างกายอย่างหนักก่อนจะเสียชีวิต เพราะดูจากขาทั้งสองข้างที่หักและรอยช้ำทั่วร่างกาย และน่าจะเสียชีวิตจากการถูกทุบศีรษะจนตาย ไม่ใช่การฆ่าชิงทรัพย์เพราะทรัพย์สินผู้ตายยังอยู่ครบ และไม่ใช่การฆ่าข่มขืนเพราะไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายทางเพศ..”
คุณหมอหนุ่มรายงานอย่างฉะฉาน พลางจ้องมองใบหน้าผู้หมวดเป็นนัยว่าให้รายงานต่อจากเขา เพราะในมือของเธอมีกระเป๋าของผู้ตายอยู่..
“ผู้ตายชื่อนางวิไลวรรณ พรรณสุวรรณค่ะ อายุ44ปี เป็นเจ้าของกิจการโรงแรมเดอะ พาราไดซ์ ที่เขตบางขุนเทียนค่ะ”
สารวัตรกริซนิ่วหน้า เพราะชื่อโรงแรมที่เธอทำกิจการอยู่ มันเป็นโรงแรมเดียวกันที่เขาเคยจัดงานแต่งงานเมื่อห้าปีที่แล้ว กับรินทร์ภรรยาของเขาเอง..
สารวัตรเดินผละจากผู้หมวดและคุณหมอไปยังศพหญิงตรงหน้า...
“ตัวเอง..ตัวเองว่ามีอะไรแปลกๆมั้ย”
ผู้หมวดสาวถามคุณหมอหนุ่มที่อยู่ข้างๆ หรือในอีกความสัมพันธ์หนึ่งคือทั้งคู่เป็นสามี-ภรรยากันนั่นเอง
“อะไรเหรอ?”
“เราว่านี่ไม่ใช่คดีฆาตกรรมธรรมดาๆแล้วล่ะ ฆาตกรสังหารเหยื่อ แล้วทิ้งกระดาษที่หมึกเขียนเป็นเลือดผู้ตายเอง แล้วดันเป็นประโยคอะไรก็ไม่รู้'สีแดงเป็นแม่สี ไม่มีสีใดผสมกันแล้วให้สีแดงได้..' มันน่างงมั้ยตัวเอง?”
“ประโยคที่แทบไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการฆาตกรรมเลย มันต้องการอะไรกันแน่?”
“เตงพูดคำเดียวกับในใจเค้าเลย..”
สารวัตรหนุ่มเดินเข้าใกล้ศพผู้ตายจนกลิ่นคาวเลือดปะทะเข้าจมูกจนแทบอาเจียน เขาคุกเข่าลงพลางพิจารณาร่างไร้วิญญาณตรงหน้า มันเป็นใครกัน? ไอ้ฆาตกรแม่สี มันต้องการอะไรกันแน่...?
คดีนี้ไม่น่าจะง่ายๆเสียแล้ว...
สวัสดีค่ะ..เปิดมาก็ฆ่ากันเลย คดีนี้ฆาตกรต้องการอะไรกันแน่นะ แล้วสีแดงคืออะไร ทำไมฆาตกรต้องทิ้งปริศนาแม่สีสีแดงไว้ด้วย นิยายเรื่องนี้เป็นเเนวสืบสวน-สอบสวนค่ะ อาจจะมีเครียดบ้างแต่ก็ไม่เยอะ เพราะเราเตรียมตัวโจ๊กไว้เเล้ว(ฮ่าๆ) ตอนนี้เป็นตัวเปิดเรื่องค่ะ และอาจจะมีผิดพลาดบ้างเล็กๆน้อยๆ เช่นคำผิดอะไรพวกนี้ ช่วยติช่วยแก้ไขด้วยนะคะ เม้นก็ดีเช่นกัน และสุดท้าย
เราต้อนรับนักอ่านทุกท่านแม้แต่นักอ่านเงาเช่นกันค่ะ ขอบคุณที่เปิดอ่านนะคะ รักรีดเดอร์ทุกท่านเลย
อักษรารินทร์
กลกฤตฆาต
กล-หลอกลวง,ทำให้เข้าใจผิด
กฤต-สำเร็จ,กระทำสำเร็จ
ฆาต-ฆ่าตาย,ฆ่าให้ตาย
"การฆ่าที่สำเร็จและมีการหลอกลวงเกิดขึ้น"
ความคิดเห็น