คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER 10 : คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
*ยังไม่ได้แก้คำผิด
ระยะทางจากยูเอย์มายังที่หมายนั้น นับว่าไกลกว่าจากที่ผ่าน ๆ มาจนมิโดริยะกับฮิเมกิต้องลอบส่องสายตากันอย่างลับ
ๆ แม้อยากจะถามผู้ปกครองจำเป็นในวันนี้ใจแทบสั่นแต่ด้วยความเป็นน้องที่ดี
พอเห็นคนเป็นพี่กำลังรำลึกความหลังกับเพื่อนสนิทของตัวเอง
ก็เลยปิดปากเงียบได้แต่นั่งรอคำตอบยามถึงที่หมายเพียงอย่างเดียว
ดวงตาสีเขียวหม่นกวาดมองทิวทัศน์รอบข้างก็เป็นอันแปลกใจอีกครั้ง
เพราะแทนที่มันจะเป็นตึกสูงใหญ่รายล้อมอยู่สองข้างทางตามความเจริญของเมือง
บัดนี้สองทางที่รถคันหรูกำลังวิ่งผ่านนั้นกลับเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์
บ้านเรือนถูกสร้างอย่างห่างไกลคล้ายกับต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่าความแออัดในเมืองใหญ่
ๆ
นี่แหละหนาความแตกต่างของสังคมเมืองกับสังคมชนบท
และหากให้เขาเลือกว่าอยากอยู่กับสังคมไหนมากกว่า มิโดริยะย่อมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองให้เสียเวลาว่าตัวเขาย่อมเลือกความสงบมากกว่าความวุ่นวายอยู่แล้ว
ทว่านอกจากความแปลกใจที่ก่อตัวอยู่ข้างใน สัญชาตญาณที่มักถูกลับให้คมกริบเพื่อระวังภัยอันตรายจากผู้หวังร้ายก็เริ่มทำงานด้วยการสอดส่องหาศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืด
เพราะตลอดเวลาที่มิโดริยะกับฮิเมกิอาศัยอยู่ในยูเอย์หาได้อยู่อย่างสงบไม่
ยามค่ำคืนมาเยี่ยมเยือนในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงความฝันอันแสนหวาน
กลับมีดวงตาสีแดงสองคู่จ้องมองเหยื่อที่พยายามหาทางบุกรุกเข้ามาในยูเอย์อย่างเอาเป็นตาย
เพื่อจับเป้าหมายกลับไปให้นายของพวกมัน แต่พอทำท่าจะเข้ามาได้สำเร็จก็มักจะถูกผู้ล่าทั้งสองเก็บกวาดจนไม่เหลือซากเข้าเสียก่อน
คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าวิธีเก็บกวาดของอมนุษย์อย่างเช่นพวกเขานั้น
มันไม่ปกติเสียเท่าไหร่ แถมออกจะเละเทะเพราะความสะใจส่วนตัวของพวกเขาอีกเสียด้วย
“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก”
เรียวสึเกะที่เห็นท่าทางระแวดระวังของน้องเล็กทั้งสองก็เอ่ยบอกให้พวกเด็กน้อยผ่อนคลาย
“เคียวยะกับนัตสึกิเชือดทิ้งไปก่อนหน้านี้แล้วละ”
ทว่าประโยคถัดมาของพี่รองแห่งคฤหาสน์หงส์ดำเรียกสายตาขวาง ๆ
กับใบหน้ามืดครึ้มของไอซาวะที่หันมาจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นไปทั่วรถ
“นี่นายหมายความ---”
“บู่วววว ทำไมพวกเคียวจังได้สนุกอยู่ฝ่ายเดียวเล่า
ฮิเมะก็อยากเชือดแมลงพวกนั้นบ้างเหมือนกันนะ”
ยังไม่ทันที่ไอซาวะคาดคั้นเพื่อนสนิทจนจบประโยค
น้ำเสียงที่แสดงถึงความเสียดายสุดฤทธิ์ของเด็กสาวเพียงคนเดียวในรถก็เอ่ยขัดผู้เป็นอาจารย์เสียก่อน
“ไว้คราวหน้านะ”
เรียวสึเกะดีดหน้าผากของเด็กสาวที่ยื่นหน้าอยู่ระหว่างสองผู้ใหญ่อย่างแผ่วเบา
และมันเป็นจังหวะเดียวที่รถคันหรูจอดนิ่งสนิทอยู่บริเวณทางขึ้นเขาลูกหนึ่ง
รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ล้อมรอบเอาไว้ราวกับเป็นรั้วคอยขวางกั้นไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามายังที่แห่งนี้
ด้านหน้าบันไดทางขึ้นมีร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มผมสีดำยืนพิงต้นไม้อยู่
ดวงตาสีไพลินกับโครงหน้าหล่อเหลาอันแสนเย็นชาที่บัดนี้เป็นเปื้อนเลือดไปเสียครึ่ง
ไหนจะเสื้อผ้าบางส่วนก็เปื้อนไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
ซึ่งท่าทางและการวางตัวของอีกฝ่ายมันคล้ายคลึงกับหนึ่งในลูกศิษย์ของไอซาวะมากเสียจนเผลอเรียกชื่อออกไปอย่างลืมตัว
“โทโดโรกิ?”
“ฮิเซกิ เคียวยะต่างหาก” เจ้าของร่างที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นลูกชายฮีโร่อันดับหนึ่งถึงกับคิ้วกระตุก
เอ่ยแย้งอีกฝ่ายกลับไปด้วยความขุ่นเคืองแม้ใบหน้าจะเรียบเฉยไม่ขยับเขยื้อนสักมิลเดียวก็ตาม
กี่ครั้งแล้วที่เขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าเด็กนั่น
ไม่ว่าจะตอนมีชีวิตตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาลัยก็มักถูกคนอื่นมองว่าเป็นฝาแฝดของโทโดโรกิ
โชโตะอยู่เสมอ
แม้กระทั่งตอนตายและกลายเป็นอมนุษย์ไปแล้วก็ยังถูกเข้าใจผิดเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
ซึ่งมันน่าหงุดหงิดเป็นอย่างมากจนฮิเซกิอยากจะพุ่งเข้าไปต่อยปากคนทักเสียทุกครั้งที่ถูกเข้าใจผิด
และอาจารย์ยูเอย์ที่ยืนทำหน้าปลาตายอยู่ตรงหน้าก็เข้าข่ายบุคคลประเภทอยากต่อยหน้าของฮิเซกิ
เคียวยะพอดี
ถ้าไม่ติดที่มีเหล่าสมาชิกหงส์ดำยืนรออยู่ด้านบนละก็ บอกเลยว่าไอซาวะ
โชตะได้ถูกตัวปัญหาหมายเลขสองฝากคำทักทายบนใบหน้าสักหมัดสองหมัดไปนานแล้ว
“พวกคุณอายาโตะรออยู่ด้านบน แล้วก็คิดถึงนะอิสึคุ” ประโยคแรกกล่าวบอกทุกคน
แต่พอมาประโยคหลังใบหน้าหล่อเหลาก็ดันหันไปมองน้องเล็กของบ้านด้วยแววตาหยาดเยิ้มเต็มไปด้วยความคิดถึงอันแรงกล้า
เรียกสายตาหมั่นไส้จากเรียวสึเกะและฮิเมกิจนถึงขั้นพร้อมใจกันกลอกตามองบนกันเลยทีเดียว
“มั่นหน้าให้มันน้อย ๆ หน่อยก็ไม่มีใครว่าหรอกนะเคียวยะ”
“นาน ๆ ทีผมจะได้เจอกับอิสึคุ
ไม่ให้บอกคิดถึงตอนนี้แล้วจะให้ผมไปบอกคิดถึงตอนไหน
หรือจะให้ผมไปบอกต่อหน้าคุณอายาโตะ? เป็นพี่จะกล้าบอกหรือเปล่า”
แน่นอนว่าใครจะโง่ไปบอกคิดถึงเด็กน้อยที่ตนเองสนใจต่อหน้าคนเป็นหัวหน้ากลุ่มกันละ
ยิ่งอีกฝ่ายออกตัวแรงจนพวกที่มีความมั่นใจสูงยังต้องถอยให้ตั้งก้าวหนึ่ง
นับประสาอะไรกับคนเอื่อยเฉื่อยอย่างอามาเนะ เรียวสึเกะที่ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
อายาโตะแค่ยืนอยู่เฉย ๆ
ก็รับรู้ได้ถึงความน่ายำเกรงและแรงกดดันอันมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากร่างสูงสง่า
ชวนให้ผู้ที่เห็นเกิดความศรัทธาและสวามิภักกับอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
อาคาชิจิ อายาโตะเกิดมาเพื่อเป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุดทุกห่วงโซ่อาหาร
เป็นจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เปรยตามองผู้อยู่ต่ำกว่า และไม่มีผู้ใดสามารถโค่นล้มจักรพรรดิไร้พ่ายคนนี้ลงได้
ไม่มีแม้แต่ผู้เดียว
“เห็นไหมว่าพี่เองก็ไม่กล้าต่อหน้าคุณอายาโตะ”
เคียวยะที่เห็นพี่รองประจำบ้านยืนนิ่งคล้ายกับหินก็เอ่ยตอกย้ำเข้าไปอีกหนึ่งประโยค
ก่อนที่ดวงตาสีไพลินจะตวัดมองชายหนุ่มผู้มีสถานะเป็นอาจารย์ของยูเอย์เขม็ง
เขายังไม่ลืมหรอกนะที่อีกฝ่ายทักเขาเป็นเจ้าเด็กโทโดโรกินั่นน่ะ ถ้าไม่ติดที่เด็กน้อยของเขานับถืออีกฝ่ายเหมือนบิดาผู้ให้กำเนิดเช่นเดียวกับอดีตฮีโร่อันดับหนึ่งอย่างออลไมท์
“แต่ว่านะเคียวจัง” ฮิเมกิที่ยืนเงียบมองสถานการณ์ชวนน่าสนุกตรงหน้ามาสักพัก
ก็ยกมือขึ้นพร้อมกับเอ่ยคำถามดั่งเด็กน้อยอยู่ในช่วงวัยสงสัย
“ทำไมถึงปล่อยให้เลือดของพวกแมลงอาบอยู่บนใบหน้าได้ละ? หรือว่ามีแมลงมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้??”
“อ๋อ...เลือดนี่น่ะเหรอ” มือขาวซีดปาดคราบเลือดบนใบหน้าจนเต็มฝ่ามือ
ก่อนจะหันไปตอบเด็กสาวผมเงินว่า… “เลือดของบาคุโกน่ะ”
“เลือดของนัตสึจัง?”
“อือ”
เคียวยะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีดำขึ้นมาเช็ดเลือดบนใบหน้าของตัวเอง
ในขณะที่ปากก็เอ่ยอธิบายสาเหตุที่เลือดของตัวปัญหาหมายเลขหนึ่งมาอยู่บนใบหน้าของเจ้าตัว
“พอดีตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นคนรออยู่ที่นี่
คุณชูซาคุก็เลยให้พวกเราตัดสินกันด้วยกำลังแทน”
“แล้วเคียวจังก็ชนะนัตสึจังใช่ไหมละ”
“หึ!”
ใบหน้าหล่อเชิดขึ้นสูงอย่างภูมิใจในชัยชนะของตนเอง
ดวงตาสีไพลินช้อนมองน้องเล็กผู้น่ารัก แถมไม่วายยังเพิ่มดราเมจด้วยการออร่อนุ่มฟูกับแววตาระยิบระยับยิ่งกว่าดาวนับล้านที่แย่งกันส่องแสงอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนเสียอีก
ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าฮิเซกิ
เคียวยะเป็นหนุ่มหล่อสุดเย็นชาที่ทั้งหยิ่งยโสและไม่น่าเข้าใกล้เพราะบรรยากาศเย็นยะเยือกจากอัตลักษณ์น้ำแข็งของเจ้าตัว
แต่หากอีกฝ่ายอยู่กับมิโดริยะแค่สองต่อสองก็จะกลายเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว
สำหรับมิโดริยะแล้วพี่เคียวยะเป็นแมวมึนที่เชื่องกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“รีบขึ้นไปด้านบนกันเถอะ”
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยชมอีกฝ่ายอย่างที่มิโดริยะทำเป็นประจำ
ก็ดันถูกขัดด้วยพี่รองประจำบ้านอย่างเรียวสึเกะที่หลุดจากการเป็นหินเป็นที่เรียบร้อย
ก่อนที่ร่างสมส่วนจะก้าวขึ้นไปด้านบนโดยไม่ลืมที่จะคว้ามือเล็กของมิโดริยะให้เดินตามมาด้วย
“ดะ...เดี๋ยวสิ”
“ทำใจหน่อยนะเคียวจัง”
ฮิเมกิตบไหล่ของชายหนุ่มแปะ ๆ คล้ายให้กำลังใจ
ทว่าดวงตาสีม่วงหม่นกลับฉายความสะใจที่ตัวปัญหาหมายเลขสองดันนกในเรื่องทำคะแนนกับน้องเล็กของเธออีกแล้วน่ะสิ
ช่วยไม่ได้ละนร้า~
ในเมื่อคนที่เธอเชียร์ให้ลงเอยกับอิสึจังคืออายาโตะนี่หน่า
เพราะงั้นก็พยายามเข้าล่ะทุกคน~~~
ฮิเมกิอวยพรให้เหล่าหนุ่ม ๆ
ผู้ลงสมัครการแข่งขันคว้าหัวใจน้องเล็กสุดน่ารักประจำคฤหาสน์หงส์ดำ
ซึ่งแต่ละคนนั้นดีกรีร้ายกาจ ความเจ้าเล่ห์ แพรวพราวล่อลวงน้องเล็กเก่งไม่น้อยหน้ากันเลยแม้แต่น้อย
ก่อนที่เด็กสาวจะหันไปมองแขกผู้ได้รับเกียรติและการอนุญาตจากผู้นำองค์กร B.S. เป็นกรณีพิเศษ
ในการได้พบปะกับเหล่าสมาชิกคนที่เหลือ
ดวงตาสีม่วงหม่นจ้องมองผู้เป็นอาจารย์อีกสักพัก
รอยยิ้มแสยะฉายบนใบหน้างดงามกว่าเด็กสาววัยเดียวกัน น้ำเสียงหวานระรื่นหูแสดงถึงความตื่นเต้นคลุกเคล้าไปด้วยความสนุกสนานจะเอ่ยชวนไอซาวะให้เดินตามเธอขึ้นไปด้านบน
“พวกเราก็เดินขึ้นไปข้างบนกันเถอะอาจารย์แพนด้า”
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกเรียกฉันแบบนั้นเสียที” ไอซาวะละไม่เข้าใจว่าทำไมยัยเด็กจิ้งจอกถึงชอบเปรียบเขาเป็นแพนด้าอยู่เรื่อย
เคยสั่งห้ามไปแล้วก็คล้ายเป็นการยั่วยุให้เด็กคนนี้ดื้อรั้นมากกว่าเดิม
สุดท้ายผู้ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็คงหนีไม่พ้นตัวเขาที่ไม่อาจใจแข็งบีบบังคับเด็กสาวไปมากกว่านี้
แค่อีกฝ่ายยอมทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ภายใต้โอวาทของเขาในโรงเรียน ก็นับเป็นความสงบสุขสำหรับไอซาวะที่ไม่ต้องหัวหมุนไปมากกว่านี้
“เรื่องอะไรที่ฮิเมะจะปล่อยความสนุกนี้ไปกันละ” ฮิเมกิเอ่ยปฏิเสธคำขออีกฝ่ายทันที
รอยยิ้มร้ายกาจถูกมอบให้กับผู้เป็นอาจารย์อีกครั้ง
ก่อนที่เด็กสาวผมเงินจะกระโดดตามขั้นบันไดขึ้นไปด้านบนพร้อมกับฮัมเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดี
ให้ฮิเมะเลิกเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์แพนด้านงั้นเหรอ??
ไม่มีทางเสียหรอก
เพราะนี่เป็นความสนุกเพียงหนึ่งอย่างที่คอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้ฮิเมะพุ่งเข้าไปกระซวกคอแม่นางฟ้าให้มันจบ
ๆ ไปซะ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ภารกิจยังไม่เสร็จ เธอก็จะไม่หยุดเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์แพนด้าเด็ดขาด!!
“ให้ตายสิ”
“ยินดีด้วยที่คุณได้เป็นหนึ่งในคนโปรดของฮิเมกิ”
เคียวยะที่เดินรั้งท้ายสุดเอ่ยกับคนอายุมากกว่า ดวงตาสีไพลินเหลือบมองเล็กน้อยก็พบเจอกับสีหน้าแปลกใจของอีกฝ่าย
ที่คงคาดไม่ถึงละว่าจะเป็นหนึ่งในคนโปรดของเจ้าหญิงประจำบ้าน
มีไม่กี่คนหรอกที่ชิราโฮชิ
ฮิเมกิจะยอมเชื่อฟังและไม่สร้างความเดือดร้อนให้ปวดหัววุ่นวายทีหลัง ซึ่งไอซาวะ
โชตะเป็นหนึ่งในคนที่ฮิเมกิละเว้นให้เพราะความสนใจอีกส่วนหนึ่ง
“เธอน่ะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับโทโดโรกิสินะ”
คำถามนี้อีกแล้ว
ดวงตาสีไพลินกลอกไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพราะได้ยินคำถามนี้ซ้ำ ๆ
ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาและออกไปเดินเล่นในเมืองเพื่อรำลึกถึงความทรงจำอันแสนเลือนลางของตัวเอง
แต่นั่นแหละคือความฉิบหายที่เกาะติดเขายิ่งกว่าปลิงดูดเลือดที่โคตรขยะแขยงยิ่งกว่าสิ่งใด
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าเด็กโทโดโรกิ
โชโตะอยู่เสมอ และหนักสุดก็คงเป็ข่าวซุบซิบที่บอกว่าเขานั้นเป็นลูกลับ ๆ
ของโทโดโรกิ เอ็นจิที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน!!
ถามจริงเถอะ...บ้านนั้นมีใครผมดำแบบเขาไหม?
มีใครดวงตาสีไพลินเหมือนเขาหรือเปล่า??
บอกเลยว่าไม่มีแม้แต่คนเดียว!!!
เพราะงั้นเลิกเอาเขาไปเป็นส่วนนั้นของตระกูลโทโดโรกิเสียทีเถอะ!
“เป็นแค่ญาติกันเท่านั้น และอีกอย่างผมนั้นแตกต่างจากเจ้าเด็กนั่น”
“….”
“ผมไม่ได้โง่จนถูกอัตลักษณ์กาก ๆ ของชิโรนะ
ฮาสึมิชักจูงไปไหนมาไหนเป็นปี ๆ แบบนั้น”
รองเท้าหนังสีดำเหยียบบันไดขั้นบนสุดเป็นจังหวะเดียวกับประโยคถัดมาจบ
เป็นจังหวะเดียวที่ไอซาวะกำลังตกตะลึงยามเห็นกลุ่มคนสวมชุดดำ
ที่กำลังหันใบหน้าอันแสนคุ้นตาสำหรับโปรฮีโร่ใต้ดินคนนี้ ซึ่งบางคนก็เคยเห็นตอนมารับลูกศิษย์ทั้งสองออกไปข้างนอก
และบางคนก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนโดยเฉพาะชายหนุ่มผมสีดั่งฟางข้าวกับดวงตาสีแดงทับทิมที่กำลังจุดระเบิดสีดำอยู่ในมือ
“มาช้าชะมัดไอ้เวรน้ำแข็ง”
“แค่ยืนอยู่เงียบ ๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะบาคุโก”
“หา!!!
บอกกี่ครั้งแล้ววะว่าอย่าเรียกฉันด้วยนามสกุลนั่น!!!”
นัตสึกิตวาดเสียงลั่น สองมือเร่งเชื้อเพลิงให้ระเบิดในมือเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม
และก่อนที่ทั้งสองจะเปิดศึกหยุมหัว(?)กันอีกครั้ง
ก็ดันถูกน้ำเสียงเย็นยะเยือกอัดแน่นไปด้วยความกดดันอันมหาศาลของชายหนุ่มผมสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่ข้าง
ๆ เด็กหนุ่มผมเขียว
“ถ้าอยากตีกันมากนักก็ลงไปตีข้างล่าง อย่าได้เอานิสัยหมาบ้าของพวกเธอมาทำลายภาพลักษณ์ของ
B.S. เพราะไม่อย่างงั้น...” ดวงตาต่างสีจ้องมองตัวปัญหาทั้งสองที่กำลังหันหน้าหนีไปทางอื่น
เพราะความกลัวยามเห็นรังสีฆ่าฟันออกมาจากร่างสูงสง่าของผู้เป็นหัวหน้า
กอรปกับประโยคถัดมาที่เอ่ยต่อจากก่อนหน้านี้ มันยิ่งเป็นสัญญาณเตือนให้ทั้งสองรู้ว่าอาคาชิจิ
อายาโตะนั้น...
“ฉันจะเป็นคนส่งพวกเธอกลับไปนอนใต้สุสานเอง”
กำลังหงุดหงิดจนอยากจะเผาพวกเขาให้เป็นจุลสุด ๆ เลยละ
“คุณอายาโตะครับ”
“หืม? อิสึคุกำลังกลัวเหรอ
ไม่ต้องห่วงนะต่อให้เธอทำผิดร้ายแรงขนาดไหน เธอก็ยังคงเป็นเด็กน้อยผู้น่ารักของคฤหาสน์หงส์ดำตลอดไป”
“=__=”
หากอยากถามว่าสีหน้าของเหล่าสมาชิก B.S. ที่เหลือนั้นเป็นเช่นใด ก็ดูจากการที่ทุกคนพร้อมใจกันมองผู้เป็นหัวหน้า
ที่กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนให้แก่น้องเล็กของกลุ่มด้วยแววตาว่างเปล่า
หากเลือกเบ้ปากใส่อีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องโดนเผาจนไหม้เกรียมไปเสียก่อน
ผู้ที่ริเริ่มเป็นคนแรกก็คงหนีไม่พ้นตัวปัญหาทั้งสองที่ตอนนี้กำลังกลอกตามองบนพร้อมกับคิดในใจไปในทางเดียวกันว่า…
‘คุณอายาโตะเป็นคนสองมาตรฐานตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?’
‘โคตรสองมาตรฐานเลยนี่หว่า’
แปะ แปะ แปะ
“แฮ่ม!
คือก็ไม่อยากจะขัดบรรยากาศน่าหมั่นไส้กันเท่าไหร่หรอกนะ
แต่เราจะปล่อยให้เซอร์ไพรส์ที่อุตส่าห์ทำมาเพื่อน้องเล็กเสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้หนา”
ชูซาคุตบมือเรียกความสนใจจากทุกคนให้มามองที่เจ้าตัวเป็นจุดเดียว ดวงตาสีเงินหยีลงเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้นจนเห็นเขี้ยวเล็ก
ๆ
ขับให้ใบหน้าหล่อเหลาของอดีตแพทย์ฮีโร่มือฉมังกลายเป็นหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีภายในพริบตา
“นั่นสิ นี่มันก็เสียเวลาไปมากแล้ว” อายาโตะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของชูซาคุ ดวงตาต่างสีกวาดมองสมาชิก B.S.
คนอื่น ๆ คล้ายกับส่งสัญญาณให้รู้ว่าหลังจากนี้พวกเขาควรทำอะไรต่อ
ยามที่น้องเล็กได้พบเจอกับสิ่งที่รออยู่ด้านหลังพวกเขา
สิ่งที่เปรียบดั่งความปรารถนาอีกครึ่งหนึ่งที่ทำให้มิโดริยะ อิสึคุกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“มานี่สิอิสึคุ”
มิโดริยะเดินตามชายหนุ่มผมแดงไปอย่างว่าง่าย
ดวงตาสีเขียวหม่นที่เอาแต่จดจ่อความวุ่นวายตรงหน้า จนไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้างบนภูเขาที่นอกจากจะมีดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานแย่งกันอวดโฉมความงดงามจนละลานตาแล้ว
ยังมีบ้านขนาดกลางหนึ่งหลังตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่เท่าไหร่นัก
เพียงแค่ก้าวขาเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้นเรื่อย ๆ
ความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวอยู่ในกายของมิโดริยะ
กลิ่นอายแห่งความอ่อนโยนผสมกับความผ่อนคลายชวนให้จิตใจอันแสนว่างเปล่ารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ดวงตาสีเขียวหม่นมองปล่องไฟที่มีควันสีขาวลอยฟุ้งออกมาก่อนจะสลายไปเมื่อถึงเวลาของการระเหย
กลิ่นอาหารลอยฟุ้งไปทั่วบ่งบอกถึงการมีอยู่ของมนุษย์ในบ้านตรงหน้า
และดูเหมือนเหล่าพี่ ๆ ในกลุ่มจะรู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะกับชายหนุ่มผมแดงที่กำลังเคาะประตูอยู่ข้าง ๆ เขา
“รอสักครู่นะคะ”
กึก!!!
เพียงแค่ได้ยินเสียงขานรับจากอีกฝั่ง ร่างกายทุกส่วนของมิโดริยะก็พลันหยุดนิ่งราวกับถูกสาป
ดวงตาสีเขียวหม่นเบิกกว้างก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความสับสนเพราะคิดว่าตัวเองคงจะหูฝาดหรือไม่ก็หลอนไปเองว่าเสียงที่อยู่อีกฟากของประตูนั้น....
คือเสียงของผู้หญิงที่มิโดริยะ อิสึคุรักสุดหัวใจ
ไม่ใช่หรอก...มันคือสิ่งที่เขาคิดไปเองคนเดียว
เลิกคิดซะมิโดริยะ นายไม่มีสิทธิ์ได้ยินเสียงนั่นอีกต่อไป
ไม่มีสิทธิ์แม้แต่---
แกร็ก!!!
“ขอโทษที่ให้รอนะจ๊ะอายาโตะคุง พอดีน้ากำลังทำ---”
ประโยคที่กล่าวกับแขกผู้มาเยี่ยมเยือนประจำด้วยน้ำเสียงสดใสค่อย ๆ
เบาลงจนขาดช่วง ยามที่ดวงตาสีเขียวสดใสเห็นใครอีกคนยืนอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มผมแดง
รูปร่างแบบนี้ ใบหน้าแบบนี้
ไหนจะดวงตาสีเขียวหม่นคู่นั้นมันช่างคุ้นเคยเสียจนดวงตาสีเขียวสดใสของหญิงสาววัยกลางคนสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง
ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มพร้อมกับเสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นเรื่อย
ๆ จนร่างกายที่เมื่อก่อนมีน้ำมีมวลบัดนี้กลับผอมบางจนน่าใจหาย
แค่เวลาผ่านไปไม่กี่ปี มิโดริยะ
อิสึคุไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะบอบช้ำจนหัวใจแสนตายด้านของเขาบีบรัดและกรีดแทง
จนมันเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนถูกตึกหล่นลงมาทับไม่รู้ตั้งกี่เท่า
“ฮึก”
“….”
“ฮึก...อะ...อิสึคุ…”
แหมะ
มือขาวซีดยกขึ้นแตะใต้ตาก็พบกับสัมผัสเปียกชื้นที่กำลังไหลเป็นสายไม่ต่างจากคนตรงหน้า
ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรงเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่มันจุกอยู่ในลำคอจนเผลอสำลักไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
มิโดริยะพยายามเอ่ยทักทายคนตรงหน้าแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเพราะก้อนสะอื้นมันจุกอยู่ในลำคอเสียจนคนอื่น
ๆ ที่เหลือรู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมกับเจ้าตัว และแล้วพยายามของมิโดริยะก็สำเร็จยามน้ำเสียงสั่นเทาเอ่ยเรียกหญิงสาววัยกลางคนตรงหน้าว่า…
“มะ...แม่ครับ”
“อิสึคุ ฮือออออออ”
ความคิดเห็น