ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    麒麟與月亮 กิเลนเคียงจันทร์

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่.3 ยกกายใจให้ท่านตอบแทน ไม่เลวเลยใช่ไหม 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 110
      4
      14 เม.ย. 64

    บทที่.3

    ยกกายใจให้ท่านตอบแทน ไม่เลวเลยใช่ไหม

    ค่ำคืนนี้ ดวงจันทร์เต็มดวงฉายแสงอ่อนละมุน เตียงกว้างม่านขาว ชิงเถานอนพลิกกายไปมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ 

    เขาดับเทียนนานแล้ว ยามนี้ทั่วทั้งห้องจึงเหลือเพียงแสงจันทร์ ที่ลอดเข้ามาจากทางบานหน้าต่าง คอยให้แสงสว่างพอให้เห็นรอบข้าง 

    ครุ่นคิดไปถึงคนผู้นั้น และชีวิตต่อจากนี้ อีกไม่นานเขาคงเดินทางมาถึงแล้ว กับหลี่เค่อเฟิง ชิงเถายังคิดหาวิธีเอาไว้มากมาย ไม่รู้ว่าต้องเลือกวิธีไหน จึงจะสามารถติดตามอีกฝ่าย เข้าสู่หุบเขาแสงจันทร์ได้ 

    สถานที่นั้น แน่นอนว่าไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า บางคนเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ก็มี เรื่องราวในยุทธภพ เขาเองก็รู้มาบ้าง แม้หลายปีมานี้ติดตามจวิ้นอ๋อง ห่างร้างจากเรื่องเหล่านี้ไปมาก แต่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย ทำตัวเป็นคุณชายหอบผ้าหนีตามคนไร้หัวใจมาเฉย ๆ 

    หุบเขาแสงจันทร์ คือที่ตั้งของพรรคเสี้ยวจันทรา พรรคเสี้ยวจันทราตั้งแต่ก่อตั้ง จนตกถึงมือหลี่เค่อเฟิง วันเวลายาวนานหลายร้อยปี ยังคงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพรรคมาร 

    จะด้วยวิชายุทธ์ที่สืบต่อกันมา หรือด้วยสถานที่ตั้งที่ไม่เป็นมงคลเท่าใด หรือด้วยความแปลกแยกไม่สุงสิงกับผู้ใด ชิงเถาก็ไม่อาจทราบได้ ว่ายุทธภพคัดเลือกแยกแยะ แต่ละค่ายสำนัก ที่นี่คือพรรคมาร ที่นี่คือพรรคฝ่ายธรรมะ ด้วยกฎเกณฑ์ใด

    เขาเลือกที่จะข่มตาให้หลับ พักเอาแรงไว้ ต่อไปยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก แต่การนอนหลับในคืนจันทร์เต็มดวงของเขา คล้ายถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีวันสงบสุข ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงประตูไม้ค่อย ๆ เปิดออก พร้อมกับเสียงฝีเท้า แม้แผ่วเบามาก แต่ยังพอจับทางได้ 

    หลี่เค่อเฟิงกลับส่งมือสังหารหญิงมาขัดขวางเขา?

    ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นในความมืด ยังไม่ทันที่สตรีผู้นั้นจะมาถึงตัว ชิงเถาก็ผุดลุกขึ้น พลิกกายออกไปด้านนอก มืองอออกเป็นกรงเล็บ กำรอบลำคอของนาง ดึงร่างอรชรนั้นกดลงบนเตียง เอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น "ผู้ใดส่งเจ้ามา"

    หรงซินเยว่ไหนเลยจะตอบได้ ดวงตานางเบิกกว้าง กระทั่งเรี่ยวแรงจะตอบโต้ยังไม่มี นางดิ้นขลุกขลักอย่างตื่นตระหนกอยู่นาน จนบุรุษเบื้องหน้าคลายมือผ่อนแรงลง "เจ้าปล่อยข้านะ!"

    ชิงเถาปรายตามองอีกฝ่าย จากนั้นกดฝ่ามือลงอีกครั้ง จนแม่นางน้อยร้องลั่น "ข้าพูด ๆ พูดแล้ว!"

    "..."

    "เป็นท่านประมุขของพวกเรา…"

    "หลี่เค่อเฟิงกลับต้อนรับแขนเช่นนี้" ประมุขในอาณาเขตของพรรคมาร ไม่มีทางมีผู้อื่น ดวงตาของชิงเถาหรี่ลง "หรือมั่นใจในฝีมือเจ้ามาก แม่นางน้อยผู้หนึ่ง กลับคิดสังหารข้าเชียว?"

    "ไม่ใช่นะ!" หรงซินเยว่ตื่นตระหนกกว่าเดิม คำกล่าวนี้ของชิงเถา น่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่ลำคอถูกบีบแน่นเสียอีก "ท่านประมุขมิได้ส่งข้ามา เอ่อ มาฆ่าเจ้า"

    "แล้วส่งมาทำไม

    หรงซินเยว่ชั่งใจครู่หนึ่ง จึงกล่าว "ปรนนิบัติเจ้า ใช่ ท่านประมุขส่งข้ามาปรนนิบัติเจ้า!"

    "แม่นางเจ้าแต่งงานหรือยัง" ใบหน้าของคุณชายชิงปรากฏรอยยิ้ม กลับเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกกว่าเมื่อครู่ "หากแต่งแล้ว ข้าจะส่งสามีเจ้าตามไปภายหลัง หากยังมิได้ตบแต่งเป็นภรรยาผู้ใด"

    ฟังถึงตรงนี้ หรงซินเยว่ก็เอ่ยแทรกเขา "เจ้าจะแต่งข้าเป็นภรรยา?"

    "วันหน้าจะหาบุรุษที่ดีสักคน จัดงานแต่งผีให้เจ้า ให้เขากราบไหว้ฟ้าดินกับป้ายหลุมศพเจ้า จากนั้นฝังเขาไว้ข้างเจ้าดีหรือไม่"

    หรงซินเยว่สั่นสะท้าน กล่าวเช่นนี้คือจะสังหารนางใช่หรือไม่ คนผู้นี้ภายนอกดูเป็นสุภาพบุรุษ สง่าผ่าเผย แม้ยามลงมือจะดุดันอยู่บ้าง ก็ยังถือว่าน่ามอง แต่ยามเอ่ยเรื่องเข่นฆ่าสังหาร กระทั่งคิดจัดงานแต่งผีให้นาง เหตุใดจึงดูวิปลาสเช่นนี้ นี่ท่านประมุขส่งนางมาให้ตัวอะไร!

    "ว่าอย่างไร" มือของชิงเถาค่อย ๆ คลายออกจากลำคอของนาง มืออีกข้างกลับปรากฏถุงมือเสิ่นมู่ "ภายใต้ถุงมือคู่นี้ ข้ารับรองกับเจ้าได้ ไม่ทรมานหรอก"

    หรงซินเยว่ไหนเลยจะกล้ารีรอ นางรีบกล่าว "คุณชายเกรงใจแล้ว ผู้น้อยยังอยากหาคู่ครองด้วยตนเองอยู่เจ้าค่ะ"

    "แต่เมื่อครู่มิใช่เจ้าบอกหรือ ว่าท่านประมุขของเจ้าให้มาปีนขึ้นเตียงข้า" น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าคนอยู่ในห้วงอารมณ์ใด "ในเมื่อเจ้ายอมรับ ให้หลี่เค่อเฟิงเลือกชีวิตให้เจ้าได้ เหตุใดไม่ยอมรับเจ้าบ่าวในอนาคตที่ข้าจะหาให้?"

    "เป็นบ่าวไม่รู้ความ คุณชายโปรดอภัย!"

    ชิงเถาถอนหายใจ ในที่สุดก็เลิกข่มขู่นาง เขาคลายมือจากลำคอขาว จากนั้นเดินไปจุดเทียน เปลวเทียนเล่มแล้วเล่มเล่า ทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างไสว ก่อนหันกลับมาเผชิญหน้า กับร่างอรชรที่ขดตัวอยู่บนเตียง "ประมุขของพวกเจ้าเล่า"

    "ยังมาไม่ถึง" หรงซินเยว่ขยับเข้าไปชิดขอบเตียงด้านใน ดวงตาที่ใช้มองชิงเถายังหวาดกลัวไม่น้อย 

    "เหตุใดเขาถึงให้เจ้ามาปรนนิบัติข้า"

    "ข้าไม่ทราบ"

    "ช่างรู้จักเล่นสนุกเสียจริง" คำกล่าวนี้แน่นอนว่ามิได้หมายถึงนาง หลี่เค่อเฟิงคิดสิ่งใด เขาล้วนมิอาจเข้าใจอีกฝ่าย เพียงแต่ที่พอจะเดาได้ ก็คือคนคงตั้งใจยัดเยียดคนงามให้เขา จากนั้นขับไล่ไสส่งกัน ดวงตาหลิวหลีจ้องมองอีกฝ่ายอยู่เป็นนาน สุดท้ายชิงเถาก็ถอนหายใจออกมาเนือย ๆ "รู้หรือไม่ เหตุใดข้าตามท่านประมุขของพวกเจ้ามา"

    หรงซินเยว่ส่ายหน้า นางไหนเลยจะทราบได้ คนในพรรคล้วนเพียงได้รับจดหมายหนึ่งฉบับจากท่านประมุข ขัดขวางคนผู้นี้ อย่างไรก็ไม่ให้เขารั้งอยู่ที่เมืองหน้า ต้องจากไปก่อนท่านประมุขจะกลับมา กระทั่งให้ใช้แผ่นสาวงามก็ได้ 

    ชิงเถาเดินเข้าไปใกล้นาง ก้มลงให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับหรงซินเยว่ นิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากตน "ชู่"

    "..."

    "เรื่องนี้น่ะ เป็นเรื่องระหว่างคนสองคนเข้าใจไหม"

    "..."

    "เรื่องลับ ๆ ที่ไม่สามารถบอกออกไปได้ ระหว่างบุรุษสองคนอะไรประมาณนั้น"

    "!!!"

    เช่นนี้ยามหรงซินเยว่ออกมาจากห้องของชิงเถา หรงซินรั่วจึงเห็นพี่สาวของนาง ทำตัวราวกับกลายเป็นหุ่นเชิด เหม่อลอยอยู่เป็นนาง สภาพยังดูดี ไม่นับว่าเป็นคนที่เพิ่งผ่านเรื่องดีงามเช่นนั้นมา เสื้อผ้าอาภรณ์เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ลำคอกลับขึ้นรอยนิ้วมือชัดเจน ดูก็รู้ว่าเพิ่งถูกบีบคอมา 

    นางถามพี่สาวตนเองด้วยความสงสัย "ตกลงเมื่อครู่นี้ ท่านเข้าไปทำอะไรมากันแน่"

    "...ซินรั่ว" หรงซินเยว่เอ่ยเรียกน้องสาว น้ำเสียงยังเหม่อลอย "เจ้าว่าข้าควรตายตอนนี้เลย หรือรอให้ท่านประมุขมาฆ่าข้าก่อน"

    "อะไรนะ"

    "ต้องมารับรู้เรื่องภายในครอบครัวผู้อื่นเช่นนี้ ข้าคิดว่าอายุขัยที่มีคงไม่เหลือแล้ว"

    "แล้วตกลงเจ้าหมายถึงอะไร!" หรงซินรั่วมองดูพี่สาวตนเองเดินจากไป คนเดินไปไกลแล้ว การก้าวเดินก็ยังไม่มั่นคง เซไปเซมา ดูแล้วจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่

     

    ดูเหมือนชิงเถาพอจะมีโชคอยู่บ้าง ในคืนที่สองที่เขาพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ไม่มีแม่นางน้อยหลงทางเข้าห้องเขาอีกแล้ว ทั้งหลี่เค่อเฟิงก็เดินทางมาถึงพอดี ม้าที่ประมุขหลี่ขี่มา เป็นอาชาเหงื่อโลหิต ตลอดตัวเป็นสีดำทมิฬ ชิงเถานั่งอยู่บนหลังคาเรือนชาวบ้าน ในมือมีกาสุราที่หยิบมาจากโรงเตี๊ยม เขายกขึ้นดื่ม ดวงตายังจ้องมองไปเบื้องล่าง 

    คล้ายหลี่เค่อเฟิงสัมผัสได้ ว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ คนจึงเงยหน้าขึ้นมา สบตากับเขาเข้าพอดี คุณชายชิงยกยิ้มน้อย ๆ โบกมือให้เขา ท่าทางยังดูร่าเริงท่ามกลางแสงจันทร์ "ประมุขหลี่เดินทางมาถึงค่ำมืดดึกดื่น สนใจมาดื่มสุราชมจันทร์ด้วยกันหรือไม่"

    หลี่เค่อเฟิงใบหน้าถมึงทึง ไม่น่ามอง ดวงตาคมถลึงมองชิงเถาอย่างมาดร้าย คนกลับไม่สะทกสะท้าน โปรยยิ้มการค้าตอบกลับมา "ไม่ดื่มก็ไม่ดื่มสิ ดุทำไมเล่า"

    "..."

    "ท่านไม่ดื่ม งั้นข้าก็ไม่ดื่มแล้ว" กาสุราถูกวางทิ้งไว้เช่นนั้น "รอก่อน จะลงไปหาท่านเดี๋ยวนี้"

    "ไม่ต้องลง!" ยังกล่าวไม่ทันจบ ร่างของคนผู้นั้นก็กระโดดลงมา วิชาตัวเบาของเขานับว่ายอดเยี่ยม จากบนหลังคากระทั่งขึ้นมาบนหลังม้าตัวเดียวกัน ชิงเถาทำได้อย่างไร้ที่ติ แผ่วเบาราวกับปุยนุ่น ขนาดขึ้นมานั่งช้อนอยู่ด้านหลังเขา อาชาที่เขาขี่อยู่ก็ยังไม่ตื่นตกใจ "...เจ้า!"

    "ประมุขหลี่จะกลับหุบเขาแสงจันทร์เลย หรือว่าจะพักในเมืองสักคืน" อีกฝ่ายเอ่ยถาม คางยังวางอยู่บนไหล่ของชายหนุ่ม มือสองข้างโอบรอบเอวสอบเอาไว้หลวม ๆ พลางยื่นฝ่ามือไปช่วยหลี่เค่อเฟิงจับบังเหียนม้า

    ประมุขหลี่มิใช่คนใจเย็นนัก ใต้หล้านี้ผู้ที่เขายอมอ่อนข้อให้ ล้วนนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว เมื่อเดือนก่อนถูกบุกรุกห้องนอนก็ทีหนึ่ง ครั้งนี้ต่อหน้าผู้คนในพรรคมากมาย ยังถูกชิงเถากินเต้าหู้ไปคำโต หากเขาไม่บันดาลโทสะ ก็คงมีใจให้คุณชายชิงไปแล้ว 

    ข้อมือของชิงเถาถูกกำเอาไว้ แรงของประมุขหลี่มากกว่าเขาอยู่สามส่วน เขาเพียงออกแรงดึงเท่านั้น ร่างของชิงเถาก็เอนไปด้านข้าง จวนจะตกจากหลังม้า 

    ก่อนที่จะตกลงไปจริง ๆ คนกลับรวดเร็วกว่า พลิกตัวตีลังกาลงไปด้านข้าง พลางสะบัดข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุม จากนั้นเป็นฝ่ายดึงข้อมือของหลี่เค่อเฟิงบ้าง ดึงให้เขาลงมาด้วยกัน ประมุขหลี่ไม่ทันได้ตั้งตัว ตกลงจากหลังม้าทั้งอย่างนั้น ดีที่ด้านล่างมีชิงเถาคอยรับอยู่ จึงไม่ขายหน้าต่อหน้าคนมากมาย 

    แต่ไม่ขายหน้าก็เรื่องหนึ่ง คนรับเขาเอาไว้ด้วยการดึงไปกอดรัด โอบเอวแนบชิดก็อีกเรื่อง คนทั้งสองหมุนวนออกจากจุดที่อาชายืนอยู่ หลี่เค่อเฟิงผลักร่างของชิงเถาออก รวมลมปราณไว้บนฝ่ามือ ซัดออกไปเล็งจุดตายที่กลางหน้าผาก ชิงเถาเอนหลบอย่างว่องไว ใช้มือป้องกันตัวหลายกระบวนท่า 

    คนทั้งสองโรมรันพันตูกันอยู่นาน หนึ่งต้องการให้อีกฝ่ายเสียเลือดเสียเนื้อ อีกหนึ่งกลับเพียงอยากหยอกเย้าเขา กว่าสิบกระบวนท่าผ่านพ้น ก็ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ คนจากพรรคเสี้ยวจันทรามองการต่อสู้ดุเดือดนี้แล้ว กลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาด 

    ประมุขของพวกเขา วรยุทธ์ไม่เป็นสองรองผู้ใด ใต้หล้านี้จะหาคนเทียบกับเขา นับดูแล้วยังมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ แต่คนผู้นี้กลับสู้กับท่านประมุขได้หลายสิบกระบวนท่า ไม่มีทีท่าว่าจะเพลี่ยงพล้ำ ทั้งยังดูสบาย ๆ ราวกับกำลังเกี้ยวนารี ชมจันทรา ลูบไปลูบมา จนท่านประมุขเริ่มหน้าแดงหมดแล้ว 

    ภาพเช่นนี้ ช่างชนให้ผู้คนเข้าใจผิด ทั้งยังลำบากใจ จะชมดูเฉย ๆ ก็ไม่เข้าท่า จะยื่นมือเข้าช่วย ก็กระอักกระอ่วนใจ

    หลี่เค่อเฟิงถูกเขาลูบจนหูแดงไปหมด ไม่รู้ว่าสู้กันอย่างไร สายรัดเอวเขาถึงหลุดไปด้วย เขาถลึงตามองอีกคน ไม่รู้ควรด่าคนผู้นี้ว่าหน้าด้าน หรือหน้าหนา คิดไปคิดมาก็ด่าไม่ออก เพราะหากด่าไป ก็คงจะถูกเขาเอาอาลู่มาข่มขู่อีก 

    "ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ประมุขหลี่ช่างขยันหมั่นเพียร" มือแกว่งสายรัดเอวของอีกฝ่ายไปมา "ข้ากลับเหน็ดเหนื่อยแล้ว ยอมแพ้ท่านแล้วกัน"

    "เจ้า…"

    "ท่านกำลังจะชมว่าข้าใจกว้างใช่ไหม ขอบคุณ"

    น่าตายนัก!

    สภาพของหลี่เค่อเฟิงยามนี้ กระทั่งผู้ติดตามยังทนดูต่อไปไม่ได้ ต้องพากันเบนหน้าหนี สองฝาแฝดหรงซินเยว่ และหรงซินรั่วที่เฝ้ามองดูเหตุการณ์มาตลอด เดินออกมาจากในมุมอับแสง ใบหน้าของสตรีทั้งสองยังเดี๋ยวแดง เดี๋ยวซีด เป็นหรงซินเยว่ที่กล่าวก่อน "คารวะท่านประมุขเจ้าค่ะ"

    "พวกเจ้าไปตายมาหรือ" หลี่เค่อเฟิงหันไปถลึงตาใส่พวกนาง "บอกให้ไล่เขาไป เหตุใดคนยังอยู่อีก"

    หรงซินเยว่ตอบอย่างกระอักกระอ่วน "บ่าวเห็นว่า คุณชายชิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับท่านประมุข จึงคิดว่า…"

    "ถึงกับกล้าคิดแทนข้าเชียว"

    "บ่าวมิกล้า"

    "ท่านจะไปดุด่าพวกนางทำไม" ชิงเถาเอามือไขว้หลัง เดินตรงเข้ามาหา ยังคงมีรอยยิ้มการค้าแต่งแต้มใบหน้า "แม่นางเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังท่าน เป็นข้าที่น่าสงสาร ถูกท่านขับไล่ไสส่งครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายพวกนางทนความเวทนาไม่ไหว จึงยอมให้ข้าอยู่รอท่านที่นี่"

    ข้านี่ที่น่าเวทนา! 

    หลี่เค่อเฟิงเอ่ยเสียงลอดไรฟัน "กลับไปเมืองเฉิงตูของเจ้าเสีย"

    "ข้าอยากอยู่ที่นี่"

    "ที่นี่ไม่มีที่สำหรับเจ้า"

    "ข้าอยากอยู่กับท่าน"

    "แต่ข้าไม่อยากอยู่กับเจ้า"

    "เฮ้อ" ใบหน้าหล่อเหลาของคุณชายชิงสลดลง เขาก้มหน้าน้อย ๆ พึมพำกับตนเอง "ดั้นด้นรอนแรมตามท่านมา กลับพบว่าที่ตามมาเป็นคนไร้หัวใจผู้หนึ่ง ผู้แซ่ชิงเจ็บปวดยิ่ง เช่นนี้ควรทำอย่างไรดี"

    หลี่เค่อเฟิงตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย "เรื่องของเจ้า"

    ชิงเถากลับเงยหน้าขึ้น มีรอยยิ้มน้อย ๆ เช่นเดิมแต่งแต้มใบหน้า ปากก็พูดพร่ำต่อ "ข้าเสียใจมาก เมื่อเสียใจก็ต้องหาที่ระบาย เช่นนี้ดีกว่า ข้าเขียนจดหมายสักฉบับ บอกเล่าถึงความยากลำบากที่ผ่านมา ทั้งความไร้หัวใจที่ท่านมอบให้ ทุกตัวอักษรบรรยายคำพูดท่าน รับรองจะไม่ให้ตกหล่น จากนั้นส่งกลับไปเมืองเฉิงตู ให้พระชายาลู่หยุนอ่านสักรอบ เมื่อไปถึงเมืองเฉิงตูแล้ว เขาจะต้องมายืนรอรับข้าที่ประตูเมือง กอดปลอบพี่ชายที่ได้รับความลำบาก จากนั้นชั่วชีวิตไม่พบท่านอีก จุดจบเช่นนี้ ประมุขหลี่คิดว่าดีหรือไม่"

    "เจ้ากล้าหรือ!" ครั้งที่สองแล้ว คนเอาอาลู่มาขู่เขาครั้งที่สองแล้ว!

    "ข้าไหนเลยจะกล้าข่มขู่ท่านประมุข" มือข้างหนึ่งของเขาแบออก ยื่นส่งสายรัดเอวคืนให้อีกฝ่าย "พวกเราพบกันคนละครึ่งทางไม่ดีหรือ ข้าติดตามท่าน ท่านไม่ต้องใยดีก็ได้ แต่ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะบาดหมางกับพระชายา เราก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย"

    หลี่เค่อเฟิงหลุบตาลงมองสายรัดเอวของตน ก่อนกวาดตามองรอยยิ้มที่ขัดตานั้นรอบหนึ่ง ก็แค่นเสียงเหอะ มือกระชากของคืนจากอีกฝ่าย สะบัดชายเสื้อเตรียมเดินจากไป "อย่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจกับเจ้าแล้วกัน"

    ชิงเถาระบายยิ้มเต็มใบหน้า "ไม่โทษท่านหรอก"

    ในที่สุดก็ได้ติดตามอีกฝ่าย เข้าสู่หุบเขาแสงจันทร์ ค่ำคืนนี้นอกจากชิงเถาจะประสบความสำเร็จแล้ว ยังกลายเป็นขี้ปากคนทั้งพรรคเสี้ยวจันทรา หนึ่งคืนผ่านไป เขาก็กลายเป็นอนุภรรยาลับ ๆ ของประมุขหลี่ เพราะทนความอดสูจากการหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ไหว จึงต้องเร่งติดตามท่านประมุขกลับมา ร้องขอความเมตตา? ให้ท่านประมุขอนุญาตให้เขาอยู่ข้างกาย 

    บางคนถึงกับบอกว่า ยามที่ท่านประมุขอยู่ในเมืองเฉิงตู ก็เคยจุมพิตดูดดื่มกับเขาท่ามกลางแสงจันทร์ ไม่มีมูลไหนเลยจะมีเหตุ หากคนทั้งคู่มิได้เป็นอะไรกันจริง มีหรือคนจะกล้าติดตามท่านประมุขมาขนาดนี้ 

    คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ก็เห็นจะเป็นประมุขหลี่ และเสี่ยวเถาเอง คนลือกันไปสามเรื่องแปดเรื่อง กระทั่งไปถึงประเด็นที่ว่า ผู้ใดอยู่เบื้องล่างแล้ว พวกเขาทั้งสองก็ยังคงไม่รู้อะไรเลย

     

    เมื่อผ่านประตูศิลาขนาดใหญ่เข้ามา ก็นำม้าขึ้นมาไม่ได้แล้ว จำต้องทิ้งเอาไว้ตรงตีนเขา อาณาเขตของพรรคเสี้ยวจันทรา ควบคุมทั้งหุบเขาแห่งนี้ หากอยากจะขึ้นไปบนสุดซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนัก ยังต้องเดินด้วยเท้า ระหว่างทางขึ้นเขามีเหม่ยฮวาสีแดง สองข้างทางเป็นทิวทัศน์เขาสูง สุดลูกหูลูกตา กว้างใหญ่ คล้ายมองเห็นได้ทั่วหล้า

    ชิงเถาเดินตามหลังหลี่เค่อเฟิงขึ้นไป ระยะห่างเรียกว่าไม่เกินห้าก้าว ส่วนคนที่เหลือไหนเลยจะกล้าเข้าใกล้พวกเขา ทิ้งระยะห่างจากพวกชิงเถาไปเกือบยี่สิบก้าว หรงซินเยว่ทนไม่ไหว เอ่ยกับพี่น้องในพรรคที่มาด้วยกัน น้ำเสียงยังค่อนข้างเบา "พวกเจ้าว่าท่านประมุขกับ...นั่นน่ะ ความสัมพันธ์แบบ...หรือไม่"

    เสี่ยวซีขัดใจกับคำพูดนาง จึงกล่าว "กับอะไร แบบอะไร เสี่ยวเยว่เจ้าพูดมาให้มันชัดหน่อยมิได้หรือ

    "ก็นั่นไง" หรงซินเยว่สวมชุดแดงทั่วร่าง ยามนางทำท่าที่ฮึดฮัด ชายชุดยังแกว่งไปมา "ความสัมพันธ์แบบที่บอกผู้อื่นไม่ได้ อะไรประมาณนั้น"

    "หมายถึงคุณชายชิงเป็นคนรักลับ ๆ ของท่านอือ!"

    หรงซินรั่วรีบยกมือขึ้น ปิดปากเสี่ยวม่าวไว้ "ระวังปากเจ้าหน่อย"

    "นี่ตกลงว่าเรื่องนี้ พวกเรากำลังพูดกันลับหลังท่านประมุขหรือ" เสี่ยวซีเอ่ยถาม มือยังช่วยเสี่ยวม่าวแกะอุ้งมือของสตรีผู้ซึ่งเป็นแฝดผู้น้อง

    หรงซินเยว่กลอกตา เขาถามอีกฝ่าย "หรือเจ้ากล้าไปพูดต่อหน้าท่านประมุข"

    ไม่กล้าอยู่แล้ว นี่ก็ยังต้องรักชีวิตกันอยู่นะ การนินทาผู้อื่นต่อหน้า ไม่นับว่าเป็นบุรุษที่ดี…

    หรงซินรั่วยอมปล่อยมือในที่สุด พวกเขารอกระทั่งหลี่เค่อเฟิง และชิงเถาเดินต่อไปไกลแล้ว จึงเริ่มบทสนทนาต่อ "เสี่ยวซี เสี่ยวม่าว พวกเจ้าเล่ามา ระหว่างอยู่ที่เมืองเฉิงตู เกิดอะไรขึ้นกันแน่"

    สรุปการเล่ายืดยาวง่าย ๆ ของเสี่ยวม่าวแล้ว ก็คือพวกเขาเคยจูบกันครั้งหนึ่ง ทั้งเคยอยู่ในห้องเดียวกัน สถานะความสัมพันธ์ก็คือคลุมเครือ

    ศิษย์น้อยใหญ่ในพรรค ทั้งผู้อาวุโสทั้งสาม ต่างพร้อมใจกันออกมาต้อนรับหลี่เค่อเฟิง เมื่อมาถึง พวกเขาก็ต่างต้องประหลาดใจ ข้างกายหลี่เค่อเฟิงไม่ใช่ลู่หยุน กลับเป็นคนผู้หนึ่งที่ไม่คุ้นหน้า ทุกคนต่างทักทายกันพอเป็นพิธี ประมุขหลี่เหลือบตามองชิงเถาเล็กน้อย เห็นเขาไม่พูดไม่จาก็แค่นยิ้ม บอกกับเสี่ยวม่าว "ให้เขาไปนอนห้องเก็บฟืนที่โรงครัวแล้วกัน ห้องหับในพรรคเราไม่ค่อยมี คงต้อนรับเขาไม่ไหว"

    คำพูดนี้แน่นอนว่าชิงเถาก็ได้ยิน เขาเพียงระบายยิ้มตอบกลับเท่านั้น ไม่ได้สะทกสะท้านกับการถูกไล่ไปนอนห้องเก็บฟืน เป็นเสี่ยวม่าวเสียอีก พอฟังแล้ว ก็ถึงกับต้องหันกลับไปมองตึกสูงมากมาย ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าใหม่อีกครั้ง พรรคเสี้ยวจันทราของพวกเขา เคยขาดแคลนห้องหับตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำเช่นนี้มิใช่ท่านประมุขอยากรังแกคนหรือ 

    คนถูกรังแกกลับไม่อาทรต่อสิ่งเหล่านั้น เขาเพียงประสานมือ "ประมุขหลี่น้ำใจกว้างขวาง รับผู้น้อยมาเลี้ยงดู ถึงกับได้นอนในห้องเก็บฟืนของพรรคเสี้ยวจันทรา ไม่เลวเลย"

    หลี่เค่อเฟิงมุมปากกระตุก เขาจ้องรอยยิ้มบนใบหน้าของชิงเถาครู่หนึ่ง ใจยังอยากยื่นมือไปข่วนหน้าเขาสักครั้ง แต่ก็อดใจไว้ บอกตนเองว่าอย่าได้วู่วาม จากนั้นสะบัดชายเสื้อเดินจากไป

    เสี่ยวม่าวพาชิงเถามายังห้องเก็บฟืนที่ว่า แม้ปากจะบอกว่าไม่เลว ความจริงกลับเลวร้ายมาก ห้องนี้มีแต่ฝุ่นและไม้ฟืน ที่ทางที่พอจะนอนได้ ก็มีเพียงพื้นที่เปรอะเปื้อนฝุ่น "ขอบคุณพวกเจ้ามาก"

    เสี่ยวม่าวกลับไม่วางใจ ถามเขาอีก "ท่านจะนอนที่นี่จริงหรือ"

    ดีชั่วอย่างไร คนก็เป็นองครักษ์คนสนิทของจวิ้นอ๋อง ยามที่อยู่เมืองเฉิงตู พวกเขาก็ได้คนผู้นี้คอยดูแลไม่มากก็น้อย แม้เรื่องในบ้านผู้อื่น เสี่ยวม่าวไม่อาจเข้าใจได้ ทั้งไม่รู้ทำไมท่านประมุขหมางเมินท่านชิงเถา แต่ทำเช่นนี้ก็ออกจะไร้เหตุผลเกินไปหน่อย

    เฮ้อ ทั้งที่คืนนั้นยังจูบกันไม่อายบ่าวไพร่อยู่แท้ ๆ

    "ไม่เป็นไร" ชิงเถาระบายยิ้ม "กลางทะเลทรายข้าก็นอนได้ นับประสาอะไรกับห้องเก็บฟืน"

    เสี่ยวม่าวกวาดตามองเขารอบหนึ่ง ยังรู้สึกไม่ดีนัก เอ่ยถามเขาด้วยความลังเล "หรือว่าท่านไปนอนกับข้า…"

    "เสี่ยวม่าว" เสี่ยวซีที่อยู่ด้านข้างกดเสียงต่ำ "คำสั่งท่านประมุข เจ้ากล้าไม่ใส่ใจ?"

    "แต่ว่า…

    "ไม่เป็นไรจริง ๆ" ชิงเถานั่งลงบนพื้น พยักหน้าบอกให้พวกเขาวางใจ "ข้านอนได้ หากประมุขของพวกเจ้ารู้เข้า ว่าพวกเจ้ายื่นมือมาช่วยข้า จะทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนนะ"

    "ท่าน...นอนได้จริงหรือ"

    "ได้สิ"

    เสี่ยวม่าวชั่งใจอยู่นาน สุดท้ายก็ยอมล่าถอย "เช่นนั้นวันพรุ่งข้าจะมาหาท่านแต่เช้า"

    คุณชายชิงยิ้มบาง รู้สึกขอบคุณเขาด้วยใจจริง "ราตรีสวัสดิ์"

    ล่วงเลยไปถึงยามยามโฉ่วช่วงปลายแล้ว ประตูห้องเก็บฟืนถูกเปิดออกเชื่องช้า เงาร่างของคนผู้หนึ่ง ทอดเป็นทางยาวผ่านแสงจันทร์ สะท้อนในห้องคับแคบ ในมือคนผู้นั้นยังมีผ้านวมผืนใหญ่หนึ่งผืน 

    หลี่เค่อเฟิงนั่งลงแผ่วเบา มองคนที่กำลังหลับไหลอยู่ ใบหน้านั้นยังมีร่องรอยของความอ่อนเพลียไม่น้อย เขานั่งหลับแผ่นหลังพิงไปกับกองฟืน ศีรษะยังสัปหงกหลายต่อหลายครั้ง ดูก็รู้ว่าคงไม่สบายตัว 

    ใบหน้าของประมุขพรรคเสี้ยวจันทรา ไม่คลายความตึงเครียด แต่กลับเคร่งขรึมกว่าเดิม คนโง่เง่าเช่นนี้ก็มีด้วย เดือนทั้งเดือนวิ่งไล่ตามเขา เจอหน้าก็พูดจาให้เขาโมโห พอเขาเผลอก็เข้ามาหาเรื่องลวนลามกัน แล้วยังชอบทรมานตนเองเช่นนี้อีก มือหนาดึงผ้าห่มคลีออก ห่มให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ 

    หลี่เค่อเฟิงปรายตามองสภาพในห้องเก็บฟืนแห่งนี้ ในใจยังลอบด่าทอเจ้าโง่เสี่ยวม่าวเสี่ยวซี ห้องเก็บฟืนสภาพเช่นนี้ เหตุใดพวกเขาไม่ดู สถานที่เช่นนี้ใช่ที่ให้คนนอนได้หรือ ในพรรคของเขา กลับมีห้องเก็บฟืนที่โกโรโกโสเช่นนี้ ประมุขรู้สึกรับไม่ได้ จนอยากจะสั่งให้ทุบสร้างใหม่เสียเดี๋ยวนี้

    กว่าหลี่เค่อเฟิงจะจากไป ก็รุ่งสางแล้ว ชิงเถาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา แสงจากด้านนอกส่องผ่านรอยแตกจากแผ่นกระเบื้องด้านบน เขาขยี่ตาอ้าปากหาว ก่อนพบว่าบนตัวมีของสิ่งหนึ่งทับอยู่ 

    ชิงเถามองผ้านวมผืนใหม่อย่างงงงวย ก่อนจะดึงมันมาพับให้ดี พลางคิดว่าคงเป็นเจ้าเด็กเสี่ยวม่าว ทนเวทนาเขาไม่ไหว จึงแอบเอามาให้เมื่อคืน ด้านนอกมีเสียงความเคลื่อนไหว พร้อมทั้งเสียงของคนสองคน "ท่านชิงเถา"

    "เข้ามาเถอะ"

    เสี่ยวม่าวผลักประตูไม้เก่าเข้ามา ก็พบชิงเถาที่ยังนั่งอยู่บนพื้น เขานำอ่านน้ำไปวางไว้เบื้องหน้าอีกฝ่าย ยื่นผ้าขาวสะอาดให้อย่างกระตือรือร้น "ล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะขอรับ ข้าจะพาท่านไปกินข้าวเช้า"

    ชิงเถาพยักหน้ารับ แม้ยังง่วงอยู่ไม่น้อย ก็ฝืนเอาไว้ ล้างหน้าล้างตาจนรู้สึกสดชื่นขึ้น จากนั้นยื่นผ้าห่มส่งคืนให้อีกฝ่าย "ขอบใจเจ้ามาก แต่วันหลังอย่าได้ทำเช่นนี้ หากประมุขหลี่รู้เข้า เจ้าอาจจะถูกตี"

    "เอ๊ะ" เสี่ยวม่าวมองผ้านวมผืนนั้น ดวงตากลมราวกับลูกกวางเบิกขึ้นน้อย ๆ จากนั้นส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย มือเล็กยังดันผ้านวมคืนให้เขา "นี่มิใช่ของข้านะขอรับ"

    "ไม่ใช่ของเจ้า?" คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที ชิงเถาก้มลงมองผ้านวมบนตักของตน พึมพำคล้ายถามตนเอง "แล้วของใคร…"

    หรือว่า…

    แม้ใจจะคิดเช่นนั้นไปแล้วเก้าในสิบส่วน ชิงเถาก็ยังไม่กล้าปักใจเชื่อตนเองนัก คนผู้นั้นจะทำเช่นนี้หรือ ถึงกับมายังห้องเก็บฟืนที่เต็มไปด้วยฝุ่นเคอะ เพื่อนำผ้าห่มผืนนี้มาให้เขา คิดได้เช่นนั้น หัวใจที่ด้านชาก็อุ่นวาบ เขาดึงผ้านวมที่พับเรียบร้อยแล้วผืนนั้นขึ้นมากอดไว้ กอดแล้วก็คล้ายจะไม่พอใจ ยังแนบใบหน้าลงไป หลับตาซึมซับไออุ่นจากเนื้อผ้า

    เสี่ยวม่าวอ้าปากค้าง ไม่รู้ควรทำเช่นไร นี่ท่านชิงเถาง่วงมากหรือ เพิ่งลืมตาตื่นก็จะหลับอีกแล้ว ถึงกับตัดใจยกศีรษะขึ้นไม่ไหวเชียว ภายในใจเสี่ยวม่าว ยังเกิดความสงสารคนตรงหน้าไม่น้อย เมื่อคืนเกรงว่าเขาจะนอนไม่หลับเลยกระมัง ในห้องเก็บฟืนนี้ทั้งร้อนทั้งอับ หายใจเข้าไปก็ได้กลิ่นฝุ่นเต็มจมูก 

    เนิ่นนานกว่าชิงเถาจะตัดใจได้ เขาเอียงหน้ามาหาเสี่ยวม่าว "ประมุขหลี่รับอาหารเช้าตอนกี่ยาม"

    เสี่ยวม่าวมองไปด้านนอก "ยามนี้เสี่ยวซีน่าจะเตรียมโต๊ะเสร็จพอดีขอรับ"

    "เช่นนั้นก็ไปกัน" ชิงเถาลุกขึ้นยืน มือยังหอบเอาผ้านวมผืนนั้นมาด้วย "ไปกินข้าวกับประมุขของพวกเจ้าสักมื้อ"

    "หะ…" เสี่ยวม่าวตาเหลือก รีบเอ่ยห้าม "หากท่านไป มิใช่จะยิ่งทำให้ท่านประมุขมีโทสะหรือ"

    "เขาไม่ตีพวกเจ้าหรอก อย่างมากก็ไล่ข้าออกมา"

    กล่าวจบคนก็เดินนำไปแล้ว คุณชายท่านนี้ รบกวนให้เกียรติคนในพรรคเช่นข้าหน่อยได้หรือไม่ ท่านเพิ่งมาเมื่อวาน จะเดินราวกับเป็นบ้านของตนไม่ได้นะ ผู้นำทางเช่นข้าจะมีประโยชน์อะไร! ร่างเล็กวิ่งไปนำทางให้ชิงเถา ท่าทียังขยันขันแข็ง ราวกับอยากจะบอกชายหนุ่มให้ชัด เสี่ยวม่าวมีประโยชน์นะ!

    หลี่เค่อเฟิงนั่งจิบชาเย็นเฉียบ รอน้ำแกงชามสุดท้ายมาขึ้นโต๊ะ น้ำชายังไม่ทันได้กลืน ก็แทบจะพ่นออกมา เมื่อร่างของชิงเถาปรากฏตัวขึ้น คนมาก็มาเถอะ หอบผ้าห่มเขามาด้วยเพื่ออะไร!

    วันนี้อากาศแจ่มใส ดวงตะวันมิได้ร้อนแรงนัก คุณชายชิงก็ยังคงมีรอยยิ้มเบิกบาน เจิดจ้า โปรยยิ้มมาตลอดทาง ทำเอาบรรดาศิษย์ชายหญิงในพรรคเสี้ยวจันทรา ใบหน้าแดงเถือกไปตาม ๆ กัน จะมีก็แต่ประมุขหลี่ผู้สูงส่งเท่านั้น ที่เมื่อเห็นหน้าเขาเข้า ก็ทำราวกับเพิ่งกลืนยาขมมา ปากยังถามออกไปโดยไม่คิด "เจ้ามาทำไม"

    "มากินข้าวเป็นเพื่อนท่าน"

    "ใครเชิญ?"

    "ข้าเชิญตัวเองได้ ประมุขหลี่ไม่ต้องเกรงใจ"

    วันนี้ก็ยังน่าตายเหมือนเดิม!

    ด้วยคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา หลี่เค่อเฟิงจึงไม่สนใจเขาอีก คนอยากนั่งก็ให้นั่งไปแล้วกัน "...เสี่ยวซี"

    "..."

    "เสี่ยวซี!"

    "ขอรับ!" เสี่ยวซีที่เหม่อลอยอยู่สะดุ้งโหยง รีบขานรับผู้เป็นนาย

    หลี่เค่อเฟิงปรายตามองเขาอย่างเย็นชา ก่อนถาม "รอข้าจุดธูปเชิญบรรพบุรุษมาร่วมโต๊ะหรือ เอาข้าวมา"

    "อะ ข้าวอยู่นี่ขอรับ" เขานำชามข้าวพร้อมตะเกียบวางไว้ตรงหน้าผู้เป็นนาย ก่อนมองเลยไปทางอีกคนที่เพิ่มเข้ามา "เอ่อ แล้วของท่านชิง…"

    เฮ้อ "ไปตักข้าวมาอีกชาม"

    เสี่ยวซีรับคำแล้วหลบออกไป เหลือเพียงชิงเถาที่ยังคงจ้องมองบุรุษตรงหน้า ก่อนใช้คางเกยเอาไว้บนผ้านวมนุ่ม หลี่เค่อเฟิงเห็นท่าทางเกียจคร้านเช่นนี้ของเขา ก็เกิดขัดตาขึ้นมา "บนโต๊ะอาหาร เจ้าลากผ้าห่มมาด้วยทำไม'

    "ในห้องเปื้อนมาก ข้าไม่อยากทิ้งเอาไว้ให้ฝุ่นจับ"

    มือที่กำลังจะคีบอาหารชะงักไปหนึ่งจังหวะ หลี่เค่อเฟิงเปลี่ยนทิศทางของตะเกียบ ท่าทางลื่นไหล เขาคีบอาหารให้ตนเองสองสามอย่าง กินโดยไม่รออีกคน หางตากลับลอบสังเกตชิงเถาไปด้วย ใบหน้าของคนผู้นั้นยังคงอิดโรย แม้ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน ก็ยังไม่ใคร่จะดีนัก 

    "ขอบคุณมาก"

    "แค่ก ๆ" อยู่ ๆ ชิงเถากลับเอ่ยขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย หลี่เค่อเฟิงสำลักข้าวในปาก จนต้องรับชาจากมืออีกคนมาดื่ม พอดีขึ้นแล้วก็หันไปถลึงตาใส่เขา "พูดจาเหลวไหลอะไรอีก"

    ชิงเถายังคงยิ้ม "ผ้านวมที่เอามาให้เมื่อคืน ขอบคุณมาก"

    "ใครเอาอะไรไปให้เจ้าไม่ทราบ!" ลำคอของหลี่เค่อเฟิงแข็งทื่อไปทั้งอย่างนั้น "ข้าก็นอนของข้าอยู่ดี ๆ เจ้าอย่ามาปรักปรำกันมั่ว ๆ นะ"

    "ผ้าห่มผืนนี้มิใช่ของท่าน?" 

    "ย่อมมิใช่อยู่แล้ว!"

    "แน่หรือ"

    "แน่เสียยิ่งกว่าแน่" ปลายคางมนเชิดขึ้น ดูทั้งหยิ่งยโส และถือดี ดวงตาเรียวยังปรายมองชิงเถาอย่างเหยียดหยาม "อย่าได้คิดว่าเปิ่นจั้วจะสนใจเจ้า"

    ยามนั้นเอง หรงซินเยว่ก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา นางตะโกนถามหลี่เค่อเฟิงเสียงดัง ไร้มาดกุลสตรีอันพึงมีไปจนหมด "ท่านประมุขเจ้าคะ! ผ้านวมให้ห้องหายไปไหนเจ้าคะ บ่าวหาไม่เจอ"

    หลี่เค่อเฟิง "..."

    "หึ" ชิงเถาขำพรืดออกมา ยังสัพยอกเขาด้วยทีเล่นทีจริง "ผ้านวมก็มอบให้แล้ว เช่นนั้นข้ายกกายใจให้ท่านตอบแทน ไม่เลวเลยใช่ไหม"

    หรงซินเยว่ เจ้าเด็กไร้ปัญญา!

     

    *ยาม โฉ่ว 00:00-02:59 น.




    อะจ้า คนมันไม่มีใจให้เขาอะเนาะะะะะะะะะะ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×