ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    麒麟與月亮 กิเลนเคียงจันทร์

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่.2 หุบเขาแสงจันทร์ 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 141
      6
      4 ก.ค. 64

    บทที่.2

    หุบเขาแสงจันทร์

    แสงเทียนภายในห้องยังคงสว่างไสว ชิงเถาก้าวเข้าไปภายในด้วยท่วงท่ามั่นคง กวาดตามองรอบหนึ่ง จึงพบแผ่นหลังกว้างยืนเหม่อลอยอยู่ที่ริมหน้าต่าง 

    คล้ายอีกฝ่ายเพิ่งรู้ตัว ใบหน้าคมของหลี่เค่อเฟิงหันกลับมา ปรายตามองชิงเถาด้วยแววตาสับสน "เจ้าอีกแล้ว"

    "เป็นข้า" ชิงเถายกยิ้ม ก้าวเดินไปหาอีกฝ่าย ไม่แยแสท่าทีไม่เป็นมิตรตรงหน้า

    "สะกดรอยตามข้ามา?" หลี่เค่อเฟิงเอ่ยถาม ประมุขหลี่กวาดตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาหยามเหยียด

    คนกลับมิได้อาทรต่อท่าทางเช่นนี้ของเขา ชิงเถาส่ายหน้าเชื่องช้า เอ่ยตอบกลับ "ผู้ที่สะกดลอยตามผู้อื่นมา เหตุใดต้องออกมาปรากฏตัวให้ท่านเห็นเล่า ประมุขหลี่เดาผิดแล้ว"

    "ไร้เหตุผลสิ้นดี" กล่าวจบก็คร้านจะสนใจเขา หลี่เค่อเฟิงเบนสายตาหนีออกไปนอกหน้าต่าง "ออกไปเสีย"

    "ขอนอนด้วยสักคืนได้หรือไม่

    "เจ้า!" ดวงคมคมตวัดมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน "เหตุใดจึงต้องเกราะติดข้า"

    คุณชายชิงตอบกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี "เพราะท่านน่ารักมาก"

    หลี่เค่อเฟิงหรี่ตาลง พยายามชั่งใจตนเองให้มาก หากยามนี้เขาสังหารอีกฝ่ายเสีย ผลที่ได้รับจะร้ายหรือดีมากกว่า เพียงแต่ชิงเถาก็คงคิดเช่นเดียวกัน เขาไม่ทิ้งสายตาเอาไว้บนร่างของหลี่เค่อเฟิงอีก แต่กลับหมุนกายไปทางเตียงกว้างแทน "วันนี้ข้าตากฝนมาหลายชั่วยาม เกรงว่าหากไม่พักผ่อนให้ดี วันพรุ่งต้องล้มป่วยแน่"

    "..."

    "มีสิ่งใดบอกกล่าว ก็เอาไว้คุยกันพรุ่งนี้เถอะ" เสื้อคลุมตัวนอกถูกปลดออก พาดไว้กับราวส่ง ๆ ก่อนปีนขึ้นไปบนเตียงของเจ้าของห้องอย่างถือวิสาสะ ขยับที่ทางเผื่อไว้ให้อีกคนอย่างเอาใจใส่ "เค่อเฟิงท่านมานอนเถอะ"

    ยามนั้นเอง ฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยปราณมารของอีกฝ่าย ก็พุ่งตรงเข้าหาเขาไม่ยั้งไมตรี แผ่ไอสังหารเข้าโจมตีเขาอย่างไม่ไว้หน้า

    ถุงมือเสินมู่พลันปรากฏบนมือขวาของชิงเถา เขาใช้ฝ่ามือสะท้อนคลื่นพลังสายนั้นกลับไป ใบหน้ายังคงเรียบเฉย "ดึกดื่นปานนี้ ท่านประมุขยังคงมีอารมณ์พลุ่งพล่างหรือ"

    "ออกไปจากห้องของเปิ่นจั้ว"

    "หากเสี่ยวหยุนรู้ว่าท่านลงไม้ลงมือกับข้า ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของเขา ประมุขหลี่คิดว่าเจ้าตัวน้อยนั่นจะรู้สึกเช่นไร

    "น่าตายนัก!" หลี่เค่อเฟิงถลึกตาจ้องมองมือข้างนั้นของชิงเถา คนผู้นี้ไร้เหตุผลสิ้นดี วันดีคืนดีก็มาบอกว่าเขาคือคนที่ตนเองรู้จัก ยังมายัดเยียดตนเองให้เขา จะติดตามเขา ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!

    คืนนั้นชิงเถาครอบครองเตียงของประมุขหลี่ได้สำเร็จ หนึ่งคนนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน อีกคนกลับนั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่าง กระทั่งรุ่งสางก็ยังมิอาจข่มตาหลับ 

    ชิงเถาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงยามเฉิน ก็พบหลี่เค่อเฟิงนั่งสัปหงกอยู่ริมหน้าต่าง เขาเดินเข้าไปด้วยฝ่าเท้าที่เงียบเชียบ ก้มหน้าลงให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย มือยังช่วยปัดปอยผมที่ไม่เรียบร้อยให้เขา พลางยกยิ้ม "เฟิงอวิ๋น ท่านนี่ดื้อรั้นจริง ๆ เลย"

    คนผู้นี้เดิมทีไม่เข้าตาเขาเลย แต่พอจดจำได้ว่าเขาคือเฟิงอวิ๋น ไม่รู้ทำไมชิงเถากลับรู้สึกว่า หลี่เค่อเฟิงหล่อเหลา น่าดึงดูดนัก มองอย่างไรก็ไม่เบื่อหน่าย สายตายามมองคนที่ยังคงหลับไหลของชิงเถา ปรากฏความรู้สึกหลากหลาย สับสน ก่อนความรู้สึกเหล่านั้นจะจางหายไป ริมฝีปากบางจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากของอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้

    แต่ด้วยไม่อยากบีบคั้นเขามากเกินไปนัก สุดท้ายชิงเถาจึงหยิบผ้าห่มมาคลุมให้เขา ก่อนตัดใจจากไป เดินทางล่วงหน้าไปยังเส้นทางอีกสายแทน ค่อยไปดักรอเขาที่ทางเข้าหุบเขาแสงจันทร์ก็ยังไม่สาย

    เค่อเฟิง...วันนี้ท่านรักผู้อื่นไปแล้ว ข้าไม่โทษท่าน เพราะข้าหาท่านพบช้าเกินไป

    หลังจากนี้ ท่านจะไม่รักข้านี่ก็ย่อมไม่เป็นไร

    ท่านรำคาญข้า ข้าก็ไม่ถือสา

    แต่หากท่านคิดจะไปจากข้า ข้าจะให้ท่านรู้ว่าบนโลกนี้มีเพียงข้าเท่านั้น ที่สามารถยืนเคียงข้างท่านได้ หากคิดดื้อรั้นให้ผู้อื่นมาแทนที่ เราได้เห็นดีกันแน่

    ด้วยไม่อยากบีบคั้นเขามากเกินไปนัก สุดท้ายชิงเถาจึงหยิบผ้าห่มมาคลุมให้เขา ก่อนตัดใจจากไป เดินทางล่วงหน้าไปยังเส้นทางอีกสายแทน ค่อยไปดักรอเขาที่ทางเข้าหุบเขาแสงจันทร์ก็ยังไม่สาย

     

    เจ้าไป๋เหอเห็นผู้เป็นนายเดินเข้ามา กีบเท้าทั้งสี่ก็ย่ำลงบนพื้นด้วยความดีใจ หลิงที่ให้อาหารมันอยู่ลุกขึ้นมองผู้เป็นนาย ไถ่ถามเขาอย่างเป็นกันเอง "เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่ขอรับคุณชาย"

    "ดีมากทีเดียว" มือสากที่ผ่านการเคี่ยวกรำ ฝึกวิชา ลูบไปบนแผงคองดงามของม้าคู่ใจ "วันนี้ยังต้องเดินทางอีกใกล ไป๋เหอลำบากเจ้าแล้ว"

    หลิงส่งห่อกระดาษสีน้ำตาล ที่ด้านในบรรจุหมั่นโถวทอดร้อนให้ผู้เป็นนาย "กินอะไรรองท้องสักหน่อยเถอะขอรับ ผ่านหมู่บ้านหนิงอันไป ทางข้างหน้าคงจะไม่มีอาหารร้อน ๆ เช่นนี้ให้กินแล้ว"

    ผู้เป็นนายรับสิ่งนั้นมากัดอย่างไม่อิดออด ชิงเถานั่งมองหลิงป้อนหญ้าให้ไป๋เหอ รออย่างใจเย็นให้เจ้าม้าตัวนี้กินอาหาร 

     

    พวกเขาออกจากหมู่บ้านหนิงอันมาเจ็ดวันแล้ว มุ่งขึ้นไปทางเหนือสุดของแคว้นเป่ยซาน ที่นั่นคือที่ตั้งของหุบเขาแสงจันทร์ หุบเขาลึกลับที่ว่ากันว่าถูกยึดครองด้วยพรรคเสี้ยวจันทรามาช้านาน จากรุ่นสู่รุ่น ครอบครองพื้นที่ของหุบเขานั้นทั้งหมด คนนอกก้าวเข้าไป สุดท้ายไม่เคยได้กลับออกมา

    "หลิง" น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยดังขึ้น เรียกความสนใจของหลิงให้หันมอง ชิงเถายื่นมือออกไปเชื่องช้า แบออกตรงหน้าเขา "แผนที่"

    แผ่นหนังเก่าเก็บม้วนหนึ่ง ถูกประคองยื่นส่งให้ผู้เป็นนาย "คุณชายขอรับ นี่ก็นานแล้ว เหตุใดยังไม่ถึงครึ่งทางอีกเล่าขอรับ"

    ชิงเถาก้มหน้ามือแผนที่ในมือ คิ้วขมวดมุ่น "ไม่รู้"

    "หรือแผนที่นี่จะมีปัญหาที่ตรงไหน?"

    ดวงตาคมตวัดมองคนสนิทของตน เพียงมองนิ่ง ๆ หลิงก็หดคอหนี พลางรีบละล้าละลังกล่าว "ไม่มี ต้องไม่มีปัญหาแน่ ๆ ขอรับ นี่ต้องเป็นเพราะม้าของเราฝีเท้าไม่ได้เรื่อง…"

    "ฝีเท้าเจ้าสิไม่ได้เรื่อง" กล่าวจบแผนที่ม้วนนั้น ก็ถูกชิงเถาโยนใส่ศีรษะของผู้ติดตามทันที

    หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว "เป็นข้าไม่ดีเองขอรับ"

    อากาศช่วงนี้เดี๋ยวแดดเดี๋ยวฝน ม้าของเขาวิ่งมาได้สิบวันก็เริ่มไม่ไหวแล้ว ยามนี้จำเป็นต้องหาสถานที่ซึ่งสามารถซื้อม้าตัวใหม่ได้ ไป๋เหอคงต้องฝากให้หลิงพามันกลับเมืองหลวง 

    ควบม้าผ่านแนวป่ามาอีกราวสิบลี้ ชิงเถาก็พบหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาตัดสินใจพาหลิงเข้าไปในหมู่บ้าน ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ กระทั่งโรงเตี๊ยมยังไม่มี ยิ่งเมื่อมีคนแปลกหน้าผ่านทางมา ผู้คนก็ยิ่งหวาดกลัว ไม่กล้าสู้หน้าเข้าไปอีก 

    ชิงเถามองดูสถานะการณ์ของตนยามนี้ หากไม่เข้าไปเคาะประตูบ้านคนด้วยตนเอง อย่าว่าแต่ม้าดีสักตัว กระทั่งน้ำเปล่าสักถ้วย เขาก็คงหาไม่ได้ จึงตัดสินใจลงจากหลังม้า เลือกบ้านที่ดูน่าจะพอมีน้ำให้ขอกิน แล้วเดินเข้าไปลองเคาะประตูดู 

    มือเรียวยื่นออกไปเคาะประตูอยู่นาน กลับไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ที่จะออกมาเปิดประตูให้เขา กระทั่งเห็นว่าผู้เป็นนายยืนเช่นนั้นอยู่นานแล้ว หลิงจึงเดินมาหยุดอยู่ข้างเขา "คุณชายขอรับ ทำเช่นนี้ไปจนตะวันตกดิน เกรงว่าก็คงไม่มีผู้ใดมาเปิดประตูให้ท่าน"

    ชิงเถาเลิกคิ้วขึ้น ถอยหลบให้อีกฝ่าย อยากดูว่าเขามีวิธีการเช่นไรเหมือนกัน พออีกคนเดินมาหยุดยืนแทนที่เขา ก็พลันตะโกน จนแม้แต่เขายังพลอยสะดุ้งไปด้วย "มีใครอยู่ไหม! บ้านหลังนี้มีผู้ใดอยู่บ้าง เปิด ประ ตู หน่อย!"

    ซ่า!

    น้ำล้างพื้นถังหนึ่ง ถูกเด็กสาวที่เพิ่งเปิดประตูออกมา ยกขึ้นสาดใส่ใบหน้าของหลิงเต็มรัก ชิงเถาก้าวถอยหลัง หลบหยดน้ำที่กระเด็นมาทางตน ยังมองผู้ติดตามของตนด้วยแววตาเหยียดหยาม "หลายปีที่ผ่านมา ข้ากลับเลี้ยงตัวโง่งมเช่นนี้เอาไว้ข้างกายหรือนี่"

    หลิงลอบเบะปาก ฟังผู้เป็นนายทอดถอนใจใส่ตน ก็เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมขึ้นมา มือหนาลูบหน้าตนเองที่เปียกปอน พลางกล่าว "น้ำถูพื้นมีไว้ถูพื้น แม่นางน้อยยกขึ้นมาสาดคนเช่นนี้ ไม่ค่อยถูกต้องกระมัง"

    หญิงสาวกลับไม่สนใจ ตั้งท่าจะขว้างถังในมือใส่อีกรอบ ชิงเถารีบประสานมือ เอ่ยกับนางอย่างสุภาพ "แม่นางท่านนี้โปรดใจเย็นก่อน"

    "ออกไปให้พ้นนะ!"

    "..."

    "ไสหัวไป!"

    ชิงเถากระพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าตนเองไปล่วงเกินนางหรืออย่างไร แต่ก็ยังคงกล่าว "แม่นางโปรดระงับโทสะสักครู่ หากเสียงตะโกนของบ่าวบ้านข้า ทำให้ท่านตกใจ เช่นนั้นข้าจะตีเขาสักครั้ง สั่งสอนให้ท่านดีหรือไม่"

    หลิงหันขวับมองผู้เป็นนาย เดินทางรอนแรมมาด้วยกัน มิใช่วันสองวันนะขอรับ ท่านจะมาทำตัวไร้น้ำใจเช่นนี้หรือ!

    "พวกเจ้าต้องการอะไร!" หญิงสาวคล้ายไม่สนใจข้อเสนอนี้ กลับยิ่งโมโหหนักกว่าเก่า "มาเคาะบ้านผู้อื่นเช่นนี้ ยังตะโกนโหกเหวก คิดทำสิ่งใดกันแน่"

    "...ท่านแม่"

    เสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายดังมาจากทางด้านหลัง ชิงเถามองผ่านร่างของสตรีนางนั้นเข้าไป พลันพบกับเด็กหน้าตามอมแมมผู้หนึ่ง กำลังเกาะเสาบ้าน มองมาทางนี้ เด็กชายเรียกอีกฝ่ายว่าท่านแม่ กวาดตาดูแล้วอายุของนาง ยังดูน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ ความจริงเป็นฮูหยินแล้ว

    เขาขยับไปด้านข้างเล็กน้อย เตะขาหลิงเต็มแรง ให้เขารีบขออภัยอีกฝ่าย ทำสองแม่ลูกตกใจกลัวเช่นนี้ ชาวบ้านชาวเมืองจะมองเขาเช่นไร ยังจะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ใดได้อีก "ที่แท้เป็นฮูหยินน้อย เมื่อครู่เสียมารยาทกับท่านจริง ๆ ขอฮูหยินน้อยโปรดอภัย"

    "เจ้ายังจะ…"

    "ที่เคาะประตูบ้านท่าน ก็เพียงอยากจะขอน้ำดื่ม และถามคำถามสักหน่อยเท่านั้น บ่าวของข้าร้อนใจว้าวุ่น จึงทำเกินกว่าเหตุ" ชิงเถาไม่เปิดโอกาสให้เขา รีบเอ่ยต่อ "เรื่องเป็นเช่นนี้แม่นาง พวกข้าเดินทางรอนแรมมาจากเฉิงตู กำลังจะไปยังเมือง...จี๋หลิน"

    "จี๋หลิน?" ผู้คนแถวนี้ย่อมเคยได้ยิน จี๋หลินเป็นเมืองใหญ่ ที่ต้องเดินทางขึ้นเหนือไปหลายสิบลี้ "พวกเจ้าจะไปเมืองจี๋หลินหรือ"

    "เป็นเช่นนั้นแม่นาง" ชิงเถายามกล่าววาจา ก็ทั้งหนักแน่น และสุขุม ชายหนุ่มมีบุคลิกสูงสง่า ทั้งยังมีความเป็นสุภาพชน วางตัวเรียบร้อย แม้ท่วงท่าคล้ายจอมยุทธ์ ก็ยังมีความเป็นบัณฑิตอยู่ในที "ความจริงเดินทางครั้งนี้ไม่ราบรื่นนัก ยังต้องแข่งกับเวลา ยามนี้ม้าของพวกเราเดินทางไม่ไหวแล้ว จึงอยากหาซื้อม้าดีสักตัว ไม่ทราบว่าแม่นางพอจะบอกพวกเราได้หรือไม่ ม้าดีนั้นหาซื้อได้จากที่ใด เรื่องราคาข้าไม่เกี่ยงถูกแพง"

    ฮูหยินน้อยผู้นั้นยังคงไม่วางใจ ถามเขาต่อ "พวกท่านจะไปเมืองจี๋หลินทำไม"

    เรื่องนี้ชิงเถาคิดเอาไว้แล้ว ยามคนเอ่ยถาม เขาก็สามารถตอบกลับไปได้อย่างลื่นไหล "ภรรยาเขาขอกลับบ้านเดิม ยามนี้จะคลอดบุตรแล้ว เขาจึงต้องรีบกลับไปดู"

    หลิงที่อยู่ ๆ ก็ถูกยัดเยียดภรรยา และบุตรในท้องที่ไม่มีจริงให้ "..."

    ท่านเคยคิดหรือไม่ หากภรรยาที่เมืองเฉิงตูของข้ารู้เข้า ตัวข้าผู้นี้จะมีชะตากรรมเช่นใด คุณชายท่านนี่มันเลือดเย็นจริง ๆ

    แววตาของฮูหยินน้อยเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางชั่งใจครู่หนึ่ง จึงยอมชี้บอกทาง "เดินตรงไปทางทิศนั้น ผ่านไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน ถามคนแถวนั้นก็ได้ หลังใดคือบ้านท่านลุงเหวิน เขามีม้าดีอยู่สองสามตัว หากโชคดีอาจจะยอมขายให้ท่าน หากโชคร้ายกระทั่งคนท่านก็หาไม่พบ"

    "ข้ามักเป็นคนที่โชคดี ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ" คุณชายชิงระบายยิ้ม ยังมองเลยไหล่นางไป กล่าวกับเด็กน้อย "มานี่หน่อยได้ไหม พี่ชายมีของจะให้เจ้า"

    เด็กชายไม่คุ้นกับคนแปลกหน้านัก เขาทำท่าทางลังเลครู่หนึ่ง แต่เห็นว่าตรงนั้นมีมารดาตนอยู่ด้วย จึงวางใจเดินเข้าไปหาชิงเถา

    ชิงเถาย่อตัวนั่งลงต่อหน้าเด็กน้อย เขาล้วงเอาห่อผ้าเล็ก ๆ จากในอกเสื้อออกมา เป็นขนมดอกกุ้ยไม่กี่ชิ้น "พี่ชายไม่มีสิ่งใดติดตัว มีเพียงขนมไม่กี่ชิ้นนี้ เจ้าเอาไปกินเถิด"

    เด็กน้อยมองชายหนุ่ม พี่ชายผู้นี้ มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา บุรุษในหมู่บ้านไม่มีผู้ใดเป็นเช่นเขา เพราะแปลกประหลาดเกินไป เด็กน้อยไม่รู้ความแยกแยะดีไม่ดียังไม่เป็น สุดท้ายไม่กล้ายื่นมือออกมารับ 

    มารดาของเขาเห็นเช่นนั้น ก็กล่าวว่า "คุณชายท่านเกรงใจไปแล้ว ท่านเก็บขนมเอาไว้เถอะ อาปิงเขา…"

    "ไม่มีพิษหรอก" ว่าจบก็โยนขนมเข้าปากตน เคี้ยวอยู่สักพักจึงยื่นที่เหลือให้เขา "ฮูหยินน้อยวางใจ ข้าไม่ทำร้ายพวกท่าน"

    ฮูหยินน้อยผู้นั้นนิ่งงัน เมื่อไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรแล้ว นางจึงยื่นมือออกไปรับขนมมาไว้ด้วยตนเอง ได้ยินชายหนุ่มตรงหน้ากล่าวทั้งรอยยิ้ม "ขอตัว"

    คนเดินจากไปไกลแล้ว นางจึงเพิ่งทราบ ที่แท้ขนมดอกกุ้ยคือสิ่งบังหน้า ที่ชายหนุ่มตั้งใจจะให้พวกนางแม่ลูก คือตั๋วเงินราวห้าสิบตำลึง สำหรับครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่ง เงินจำนวนนี้ ยังสามารถทำให้พวกนางแม่ลูก มีชีวิตที่ไม่ต้องอดอยากไปอีกหลายเดือน

    "มอบเงินให้พวกนางไปมากขนาดนั้น พอบิดาเด็กกลับมา พวกเขาจะทำเช่นไรขอรับ" หลิงเดินตามหลังผู้เป็นนาย เขาย่อมเห็นว่าด้านในห่อขนมมีสิ่งใดอยู่ ยิ่งไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดคุณชายของเขาต้องทำเช่นนั้น

    ชิงเถาเดินทอดน่อง ไม่เร็วไม่ช้า กวาดตาสำรวจหมู่บ้านแห่งนี้ ยังใจกว้างบอกกับหลิงให้หายข้องใจ "สองแม่ลูกคู่นั้น ไม่มีบุรุษค่อยเลี้ยงดูหรอก ข้าให้พวกนางเป็นค่าถามทางเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไร"

    ห้าสิบตำลึง... 

    หลิงลอบนิ่วหน้า แต่เมื่อคิดให้ดีแล้ว ห้าสิบตำลึง เงินจำนวนนี้สำหรับคุณชายของเขา ที่มีจวิ้นอ๋องเป็นบ่อเงินบ่อทองแล้ว ก็ไม่นับว่ามากมายอะไรจริง ๆ อีกทั้งคุณชายชิงเป็นคนใจดี เขาให้เงินผู้อื่น มากกว่าที่ตนเองใช้เอง เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้น แต่ว่า… "คุณชายรู้ได้อย่างไรขอรับ ว่าพวกเขาแม่ลูกไม่มี…"

    "เจ้านี่มันเกินเยียวยาจริง ๆ นะ" ชิงเถาตวัดสายตามองหลิงอย่างเอือมระอา คนคนนี้อะไรก็ดีไปหมด เสียอย่างเดียว ยามอยู่กับเขาชอบทำตัวโง่งม คล้ายคนชอบเป็นที่ระบายอารมณ์ให้เขา หากวันใดไม่ถูกเขาด่า ยังจะถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ "สองแม่ลูกอยู่ด้วยกัน ดูหวาดระแวงคนเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นนางออกหน้ามาคุยกับเรา ท่าทางเช่นนั้น หากมิใช่ไม่คุ้นชินกับคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิม ก็คือไม่เคยมีบุรุษอยู่ดูแลแต่แรก ผู้เป็นมารดาจึงเคยชินที่จะปกป้องบุตร ไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้เขา"

    "คุณชายไม่คิดว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาไม่คุ้นกับคนแปลกหน้าหรือขอรับ"

    "สติปัญญาเจ้าก็มีแค่นี้ จะถามอะไรนัก" คร้านจะตอบคำถามเขาแล้ว ชิงเถาจึงเดินจากไป 

    เมื่อมาถึงบ้านท่านลุงเหวินที่ว่า ชิงเถาก็เดินตรงไปยังทางที่เป็นคอกม้า กวาดตามองรอบหนึ่ง ก็เห็นชายชรา นอนอยู่ใต้ต้นไม้ ใบหน้ายังถูกปิดเอาไว้ด้วยหมวกฟาง 

    เขาเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แต่เพียงระยะห่างกันน้อยกว่าหนึ่งจั้ง คนก็หยิบก้อนหินขึ้นมา ดีดใส่เขาทีเดียวถึงสามก้อน! ก้อนหิวอัดแน่นไปด้วยกำลังภายใน หากโดนเข้าเนื้อคงเขียวช้ำไปหลายวัน ชิงเถากระโดดหลบหินก้อนแรก จากนั้นพลิกตัวไปด้านขวาอีกหน่อยเพื่อหลบหินก้อนที่สอง ส่วนหินก้อนสุดท้ายก็ใช้ปลายเท้าเตะคืนไปให้อีกฝ่าย "เข้ามาโดยมิได้รับอนุญาต ขอผู้อาวุโสโปรดอย่าได้ถือสา"

    ท่านลุงเหวินผู้นั้น ลืมตาขึ้น ยกหมวกฟางขึ้นเผยให้เห็นใบหน้า คนตวัดดวงตามองชิงเถารอบหนึ่ง จึงกล่าว "เป็นจอมยุทธ์น้อยจากที่ใดมาเยี่ยมเยือนเราผู้เฒ่า ข้าอยู่มาจนป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน"

    "มิได้ขอรับ ๆ" ชิงเถายกยิ้ม "ผู้น้อยเพียงผ่านทางมา ได้ยินว่าท่านลุงเหวินมีม้าดีอยู่ อาชาของข้าวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว จึงอยากจะมาถามท่านดู อาชาชั้นดีสองตัวนี้ ท่านขายหรือไม่"

    ผู้เฒ่าเหวินเหลือบมองอาชาในคอกไม้ น้ำเสียงยังไร้เยื่อใย "ไม่ขาย"

    "ร้อยตำลึง"

    "ไม่ขาย"

    "เช่นนั้นตัวละสองร้อยตำลึง"

    "ไม่ขาย"

    "ตัวละห้าร้อยตำลึง"

    "บ้านเจ้าเป็นบ่อเงินบ่อทองหรือ"

    ชิงเถาหัวเราะออกมา แม้บอกไม่ได้ว่าบ้านเขาเป็นผู้ใด ก็ยังกล่างอารมณ์ดี "แม้มิอาจบอกว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง ก็ยังมีจ่ายให้ท่านแน่นอน หากท่านยอมขาย ข้ายังจะแถมสุราดีให้ท่านอีกหลายไหด้วย"

    พอกล่าวถึงสุรา ผีสุราในกายของผู้เฒ่าเหวินก็เริ่มเร่งเร้า คนที่เมื่อครู่ห้าร้อยตำลึงก็ไม่ยอมขาย ยามนี้กลับเริ่มเผยใบหน้าลังเลออกมา "สุราหรือ เป็นสุราดีอะไร"

    ชิงเถาระบายยิ้มเจิดจ้า คำพูดเขายังแฝงแววเร้นลับอยู่ในที "ย่อมเป็นนารีแดงหมักร้อยปี ยังมีสุรานมม้าจากนอกด่าน ที่ว่ากันว่าอ่อนนุ่มราวปุยเมฆ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร เป็นสุราดอกท้อหมักไม่กี่ปีเท่านั้น แต่แม้หมักไม่กี่ปี ที่กล่าวมานี่ล้วนเป็นฝีมือการหมักของเทพสุราเลื่องชื่อ อู๋เหลียวตง"

    "อะไรนะ!" ผู้อาวุโสเหวินลุกขึ้นยืน ใบหน้านั้นยังแฝงแววของความตื่นเต้นอยู่ในที "เจ้า เจ้าบอกว่า ทั้งหมด ทั้งหมดเป็นเทพสุราหมักด้วยตนเอง จะเป็นไปได้อย่างไร!"

    คำกล่าวเหลวไหลเช่นนี้ของชิงเถา เมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ก็สะท้านฟ้าสะเทือนดิน เขากลับไม่แยแส "เป็นความจริงทุกประการ ข้ายกให้ท่านได้ห้าไห หากมีของปลอมแม้แต่ไหเดียว ยังยอมให้ท่านเอากระบี่มาเลาะกระดูกข้าได้เลย!"

    สุราของเทพสุราเหลียวตง แม้เพียงไหเดียว มีเงินพันตำลึง ยังใช่ว่าจะสามารถหาซื้อมาได้ นี่มันเป็นการค้าที่ได้กำไร ยิ่งกว่ากำไร! แม้ภายในใจชายชราจะยอมแพ้แล้ว ในปากยังมีน้ำลายที่พร้อมจะไหลออกมาไม่หยุด เขาก็ยังคงรักษาท่าที ไม่ยอมเผยไพ่ในมือโดยง่าย หยั่งเชิงชิงเถาว่า "ข้าวจะกินเช่นไรก็ได้ แต่วาจาจะกล่าวส่งเดชไม่ได้ สุราของเทพสุราห้าไห มีค่ากว่าหนึ่งพันตำลึงนั่นอีก หากเจ้ามีของดีปานนี้อยู่จริง ม้าสองตัวนี้เพียงสุราไหเดียว ข้าก็คงยอมมอบให้ เหตุใดจึงต้องยกให้มากมาย มิใช่ว่าเจ้ากำลังหลอกเราผู้เฒ่าหรือ"

    ฟังเขากล่าวจบ ชิงเถาก็คว้าเอาถุงหนังข้างเอวหลิงมาถือไว้ เขาเปิดฝาส่งให้ถึงมือผู้อาวุโส "นี่ก็เป็นสุราของเทพสุรา ท่านลองชิมดูสักคำ ก็จะรู้เอง ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดมอบให้ท่านได้มากมายนั้น เมื่อก่อนข้ามีวาสนากับเทพสุราไม่น้อย ต่อมายังได้สุราจากเขามากมาย ห้าไหนี้ไม่นับเป็นอะไร"

    ท่านเหวินเมื่อได้กลิ่นสุราในถุง ก็เกือบจะทำน้ำลายหกจริง ๆ สุราในถุงใบนั้น คงเป็นนารีแดง หมักอย่างต่ำ ๆ ก็ห้าสิบปี ตัวสุราส่งกลิ่นหอมกำจายทั่วบริเวณ เขายกสุราขึ้นมาดมดู ก่อนกรอกเข้าปากตนเองไปเกือบครึ่งถุง ยังส่งเสียงด้วยความรู้สึกสะใจ "สุราดี สุราดี!"

    หลิงมองภาพนั้น แทบจะน้ำตาไหลพราก คุณชายขอรับ ท่านจะรังแกคนเกินไปแล้ว!

    เห็นผู้ติดตามของตน ทำหน้าราวกับจะกลั้นใจตายลงตรงนี้ ชิงเถาก็หันกลับไปกระซิบกับเขา "วันหน้าจะไปขุนสุราจากบนเขาคืนให้เจ้า หักห้ามใจไว้ก่อน"

    ได้ยินคำนี้ของผู้เป็นนาย ความเสียใจก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น หลิงเอ่ยเสียงลอดไรฟัน "คุณชายโปรดถนอมชีวิตด้วยขอรับ"

    ท่านขุดเอาสุราเขาออกมา จนจะหมดภูเขาแล้ว หากวันใดเทพสุราเกิดมีโทสะจริงจังขึ้นมา คิดเอาชีวิตท่าน สกุลชิงก็ไม่เหลือผู้สืบทอดแล้วนะขอรับ!

    ชิงเถาหาได้อาทรต่อสิ่งนี้ เขาหันกลับไปอาวุโสเหวิน ที่ยามนี้ยึดเอาสุราของหลิงไปเรียบร้อย "ตกลงเรื่องม้า ผู้อาวุโสเห็นว่า…"

    "ข้าขาย!"

    "ขอบคุณผู้อาวุโสที่มีจิตใจเมตตา" เขาประสานมือ จากนั้นก็เป็นการส่งมอบของและม้า ม้านั้นเอาไปได้เลย เพียงแต่เขามิได้พบเอาสุรามาด้วย ยามนี้จึงถือเป็นโอกาสดี ในการสลัดหลิงให้พ้นทาง 

    ชิงเถาเขียนหนังสือให้ผู้อาวุโสหนึ่งฉบับ มอบตราสัญลักษณ์ประจำตัวของตนให้กับหลิง "เจ้าไปเอาของกลับมา มอบให้ถึงมือผู้อาวุโส"

    "สิ่งนี้อยู่ที่จวนหรือขอรับ" หลิงมองหนังสือฉบับนั้น แววตาหวาดระแวง คำกล่าวต่อมาของผู้เป็นนาย ก็แทบทำให้เขาปาของในมือทิ้งทันที

    "ไม่" ชิงเถาบอกเขาด้วยความจริงใจ "ทั้งหมดอยู่วังจวิ้นอ๋อง"

    ท่านฆ่าข้าเถอะคุณชาย…

     

    หลังจากได้ม้าตัวใหม่ และฝากฝังธุระกับหลิงแล้ว ชิงเถาก็เดินทางต่อ เขาผ่านเข้าไปในเมืองจี๋หลินจริง แต่ก็เพียงแวะซื้อเสบียงเล็กน้อย กับหมวกอีกใบเท่านั้น 

    แดดวันนี้ร้อนอบอ้าว คืนนี้คงมีพายุฝนอีกแน่ เขาตัดสินใจไม่พักอยู่ในเมือง เร่งเดินทางต่อไปไม่หยุด ใช้วิธีการค่ำไหนนอนนั่น หากฝนตก ก็หาถ้ำสักแห่ง หลบฝนได้เป็นพอ 

    ยังดีม้าตัวใหม่ที่ซื้อมา พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เป็นเพราะว่ามันแข็งแรงดี จึงสามารถทนต่อการเดินทาง ที่ทั้งเร่งรีบและทรหดเช่นนี้ได้ 

    ผ่านไปอีกยี่สิบวัน เขาก็มาถึงเมืองการค้าเล็ก ๆ ตรงตีนเขาแล้ว หากคิดเข้าหุบเขาแสงจันทร์ ยังต้องผ่านไปทางเมืองแห่งนี้ ด้วยความที่สถานที่แห่งนี้ อยู่ในเขตปกครองของพรรคเสี้ยวจันทรา คนเฝ้ายามที่ทางประตูเมือง จึงมิใช่ทหารของเจ้าเมือง แต่เป็นศิษย์พรรคมาร

    ชิงเถารอนแรมมาหลายวัน ยามนี้ไม่มีกระทั่งแรงจะเดิน เขาอยากจะไปนอนพักเอาแรงสักหน่อย ให้ตนพอมีแรงขึ้นมาบ้าง รอหลี่เค่อเฟิงมาถึง ค่อยไปตามตอแยเขา

    แต่เหมือนฟ้าไม่เข้าข้างเขา เมื่อเขาไปถึงหน้าประตูเมือง ศิษย์พรรคเสี่ยวจันทราสองคนนั้น ก็ยกดาบใหญ่ขวางเขาไว้ คนพวกนั้นมองหน้าเขา จากนั้นหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร คนก้ม ๆ เงย ๆ มองมันสลับกับใบหน้าของเขา จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง "เจ้าห้ามเข้า"

    ถึงกับทำเช่นนี้?

    ชิงเถาหรี่ตาลง มุมปากยังมีรอยยิ้มเป็นมิตรประดับอยู่ "ในกระดาษแผ่นนั้นเป็นสิ่งใดหรือ ประกาศห้ามข้าเข้าเมือง?"

    อีกฝ่ายชะงักไปหนึ่งจังหวะ จากนั้นทำหน้าโมโหร้าย "สู่รู้! บอกว่าเข้าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไสหัวไป!"

    "เท่าไหร่"

    "อะไรนะ…"

    "ค่าผ่านทาง เท่าไหร่

    "เจ้านี่พูดไม่รู้เรื่อง!"

    "ห้าสิบตะลึงพอไหม?" มือล้วงหยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อ "นี่สามารถไปขึ้นเงินได้หลายที่ หากไม่พอข้าจะจ่ายเพิ่ม"

    คนสองคนมองหน้ากัน เงินที่ว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย แต่หากปล่อยให้คนผู้นี้ผ่านเข้าไป ไม่แน่ว่าผู้อาวุโสในพรรค อาจจะถึงกับสั่งโบยพวกเขา ยังไม่ทันขบคิดให้ดี น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยของชิงเถาก็ดังขึ้นอีกครั้ง คนยังโบกตั๋วเงินต่างพัด 

    "หนึ่งร้อยตำลึงเงิน"

    หนึ่งร้อยตำลึงเงิน เป็นเงินมากเท่าใด ชาวบ้านธรรมดาไหนเลยจะกล้าคิดฝัน ศิษย์จากพรรคมารที่เร้นกายในหุบเขา ทั้งวันฝึกวิชา ไม่ค่อยได้ท่องโลกกว้าง ไหนเลยจะอดทนได้ สุดท้ายพวกเขาก็ยอมรับเงินจากชิงเถา ให้เขาผ่านเข้าเมือง รอจนผู้อาวุโสถามไถ่ ค่อยบอกว่าพวกเขาด้อยความสามารถ ขวางทางคนเอาไว้ไม่ได้ นั่นก็ใช้ได้แล้ว

    ชิงเถาขี่ม้าเข้าเมือง อารมณ์ชื่นมื่น พูดคุยกันได้โดยไม่ต้องลงไม้ลงมือ เขาไม่ต้องเหนื่อย นี่จึงนับว่าดีมาก ด้วยเพราะอยู่กับจวิ้นอ๋องมาหลายปี นิสัยรักสบายก็ย่อมติดมาจากอีกฝ่าย ไม่มากก็น้อย

    ปกติชิงเถาไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้ หลายวันที่เดินทางมาที่นี่เขาคิดว่า ตนเองคงใช้เงินมากกว่าที่เคยใช้มาตลอดหลายปีแล้ว แต่ช่างเถอะ เงินไม่พอก็ยังมีจวิ้นอ๋อง

    เมืองการค้าแห่งนี้ นับว่าคึกคักไม่เลว แม้เป็นอาณาเขตของพรรคมาร ก็ไม่วุ่นวายทุกข์ยาก ผู้คนแย้มยิ้มให้กัน บรรยากาศน่าอยู่ไม่น้อย นี่กลับแสดงให้เห็นได้ ว่าหลี่เค่อเฟิงไม่นับว่าเลวร้าย คนสามารถจัดการกับเรื่องเหล่านี้ ให้ชาวบ้านได้กินอิ่มนอนหลับ ต้องเป็นบุรุษที่ไม่เลวคนหนึ่งแน่

    ชิงเถาฝากม้าเอาไว้ที่โรงรับเลี้ยงชั่วคราว จากนั้นเดินหาโรงเตี๊ยม ผ่านไปครึ่งวันก็ยังหาที่มีห้องว่างไม่ได้ กระทั่งเดินลัดเลาะตามตรอก มาจนถึงทางตันแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าเป็นตึกสูงขวางทางอยู่ ป้ายยังเขียนว่าโรงเตี๊ยมเจ็ดวิญญาณ พออ่านแล้ว มุมปากขององครักษ์หนุ่มกระตุกทันที เพียงอ่านป้ายก็ยังรู้สึกไม่ดีแล้ว

    อัปมงคลปานนี้ ผู้ใดจะเข้าพัก...

    แต่คืนนี้ไม่เขาไม่มีที่นอนแล้ว หากไม่ลองเข้าไปถามดู เกรงว่าคงต้องเลือกสักมุมในเมือง ปัดฝุ่นให้ดีจากนั้นนั่งหลับเอา 

    เขาก้าวเข้าไปภายในร้าน ด้านในตกแต่งด้วยโคมสีแดง ผ้าม่านไปถึงฉากบังลม ล้วนเป็นสีแดงทั้งหมด อย่าว่าแต่แขกสักคนเลย สุนัขสักตัวอย่างไม่มี ชิงเถากัดกระพุ้งแก้ม ขบคิดว่าควรถอยออกไปตอนนี้ดีหรือไม่ เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีชอบกล

    แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำเช่นนั้น ก็มีน้ำเสียงเย็นยะเยือกดังมาจากทางด้านหลัง "คุณชายท่านนี้ ต้องการห้องพัก หรือว่าอาหารเจ้าคะ"

    เมื่อหันกลับไป เขาพบสตรีในอาภรณ์สีแดงรัดรูป แต่งกายไม่มิดชิง ผนวกกับบรรยากาศรอบกายแล้ว ยังนึกว่าตนเองอยู่ในหอนางโลมเสียอีก ชั่งใจครู่หนึ่งชิงเถาจึงกล่าว "ห้องพักหนึ่งห้อง อาหารสามเวลา ช่วยยกขึ้นไปให้ด้วย"

    "ห้องพักกับอาหาร รวมแล้วตกคืนละห้าตำลึงเจ้าค่ะ คุณชายคิดจะพักกี่คืนเจ้าคะ"

    "ข้ามารอคน พักไปเรื่อย ๆ แล้วกัน"

    "เช่นนั้นจะให้เสี่ยวเอ้อนำทางท่านไปห้องพัก" หญิงสาวเอ่ย มือยังจดบันทึกเปิดห้องพัก "เสี่ยวเอ้อ พาคุณชายไปยังห้องพัก"

    นางกล่าวจบ ก็มีคนเดินออกมา เสี่ยวเอ้อไม่ได้มีท่าทีนอบน้อม ออกจะโผงผางด้วยซ้ำ เขาผายมือให้ชิงเถา "คุณชายเชิญ!"

    เมื่อเสี่ยวเอ้อพาชิงเถาจากไปแล้ว คนอีกผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลัง นางเป็นสตรีในชุดอาภรณ์สีม่วงอ่อน งดงามอ่อนช้อยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสตรีในชุดแดงเลย อีกทั้งพวกนางทั้งคู่ยังหน้าตาเหมือนกัน แยกอย่างไรก็แยกไม่ออก

    "ซินรั่วเจ้าว่าเขาเป็นเช่นไร" สตรีในชุดแดงวางพู่กัน ริมฝีปากที่แต้มสีชาดแย้มยิ้ม ยังเอ่ยถามน้องสาวฝาแฝดของตน

    หรงซินรั่วถูกพี่สาวถาม นางเหลือบตามองไปยังทางเดิน ซึ่งชิงเถาเพิ่งเดินจากไป จากนั้นหันมองกองเงินที่วางอยู่ตรงหน้าพี่สาว คำเดียวที่นางคิดออกมา เพื่อบรรยากาศคนผู้นี้ก็คือ "ไม่เลว"

    "ไม่เลวจริง ๆ" ซินเยว่หัวเราะ "ใช้เงินมือเติบปานนี้ หากผูกมิตรไว้ วันหน้าต้องไม่ขาดทุนแน่ แต่ไม่รู้ทำไม ท่านประมุขของเราต้องรังเกียจเขานัก"

    "ใจท่านประมุข พวกเราสามารถคาดเดาส่งเดชได้หรือ"

    ที่ทำได้ ก็มีเพียงก้มหน้าทำตามคำสั่งเท่านั้นแหละ



    *เปิ่นจั้ว : คำเรียกแทนตัวเองของบุคคลที่ยิ่งใหญ่

    *ยามเฉิน 07:00 - 08-59 น.

     


    งานดักรอต้องมา ว่าแต่นี่กิจกรรมโรงเตี๊ยมบ้านไหนน้าาาาา


    พูดคุยกับเถียนซินได้ที่

    เพจ เถียนซิน

    ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×