ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : \' ชา \' มาจากไหนใครรู้บ้าง
                เคยสงสัยไหมว่า ชาที่ทุกๆ ท่านเคยดื่มอยู่เป็นประจำนั้นมีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน จากการสันนิษฐานของนักวิชาการหลายท่านกล่าวว่า แหล่งกำเนิดโดยธรรมชาติของชา มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ใกล้ต้นน้ำอิรวดี แล้วแพร่กระจายพันธุ์ไปตามพื้นที่ใกล้เคียง ชา มาจากพืชตระกูลคาเมลเลีย ไซเนนซิสมีถิ่นกำเนิดอยู่ในจีนและ อินเดีย มีลักษณะเป็นพุ่ม ใบสีเขียว หากปล่อยให้เจริญเติบโตเองในป่าก็จะให้ดอกสีขาว ส่งกลิ่นหอมในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อดอกชาโตเต็มที่จะให้ผลชาที่ภายในมีเมล็ด 1-3 เมล็ด ต้นชาต้องได้รับการผสมละอองเกสรกับต้นชาอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนยีนและโครโมโซมซึ่งกันและกัน เมื่อต้นชาโตเต็มที่ถึงเวลาฤดูเก็บเกี่ยว เครื่องมือที่ดีที่สุดในการเก็บชาไม่ใช่เครื่องจักรราคาแพงแต่อย่างใด หากแต่เป็น \' มือ \' ของมนุษย์นั่นเอง
    การดื่มชานั้นเริ่มในประเทศจีนคาดว่าไม่น้อยกว่า 2000 กว่าปีก่อนคริสตกาล บ่งบอกให้รู้ว่ามนุษย์โลกสนใจและ ใส่ใจสุขภาพมาตั้งแต่นมนานกาลแล้ว ในหนังสือเล่มหนึ่งได้กล่าวถึงตำนานการดื่มชาของคนจีนไว้หลายตำนาน เรื่องมีอยู่ว่า จักรพรรดิเสินหนง ของจีน ซึ่งเป็นบิดาแห่งการแพทย์ศาสตร์ ค้นพบวิธีการชงชาโดยบังเอิญ เมื่อพระองค์ทรงต้มน้ำดื่มใกล้ๆ กับต้นชา ขณะรอคอยให้น้ำเดือด กิ่งชาได้หล่นลงมาในหม้อชา สักพักหนึ่งเมื่อพระองค์ทรงเอากิ่งชาออกแล้ว กลิ่นหอมกรุ่นก็โชยมา ในเวลาต่อมาจึงมีการดื่มชากันอย่างแพร่หลาย
    อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า ในสมัยหนึ่งนานมาแล้ว ได้เกิดโรคอหิวาตกโรคระบาดในเมืองจีน ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เกี้ยอุยซินแส พบว่า สาเหตุของการเกิดโรคเกิดจากผู้คนพากันดื่มน้ำสกปรก จึงแนะนำให้ชาวบ้านต้มน้ำดื่ม และเพื่อให้ชาวบ้านเชื่อจึงเสาะหาใบไม้มาอังไฟให้หอมเพื่อใส่ลงไปในน้ำต้มเกี้ยอุยซินแสพบว่า มีพืชชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมมากเป็นพิเศษ มีรสฝาดเล็กน้อยและแก้อาการท้องร่วงได้ดี จึงได้เผยแพร่วิธีการนี้ให้ชาวบ้านได้ทำตาม ซึ่งพืชที่มีกลิ่นหอมคือต้นชานั่นเอง
    ตำนานสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ นักบวชชื่อธรรม ซึ่งเป็นโอรสของกษัตริย์อินเดีย ได้เดินทางมาจาริกบุญ เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาในจีนในช่วงแผ่นดินของพระจักรพรรดิถูตี่ ในช่วงปี ค.ศ.519 จักรพรรดิถูตี่ทรงนิยมชมชอบนักบวชจึงได้นิมนต์ให้นักบวชไปพักอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่งในเมืองนานกิง ขณะที่นักบวชได้สวดมนต์ภาวนาอยู่ก็เกิดเผลอหลับไปทำให้ชาวจีนหัวเราะเยาะ เพื่อเป็นการลงโทษมิให้กระทำความผิดเช่นนั้นอีก ท่านธรรมจึงตัดหนังตาตนเองทิ้งเสีย หนังตาเมื่อตกถึงพื้นก็เกิดงอกเป็นต้นชา ซึ่งเป็นนิมิตที่แปลกชาวจนจึงเก็บชามาชงในน้ำดื่มเพื่อรักษาโรค
    การดื่มชานั้นเริ่มในประเทศจีนคาดว่าไม่น้อยกว่า 2000 กว่าปีก่อนคริสตกาล บ่งบอกให้รู้ว่ามนุษย์โลกสนใจและ ใส่ใจสุขภาพมาตั้งแต่นมนานกาลแล้ว ในหนังสือเล่มหนึ่งได้กล่าวถึงตำนานการดื่มชาของคนจีนไว้หลายตำนาน เรื่องมีอยู่ว่า จักรพรรดิเสินหนง ของจีน
    อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า ในสมัยหนึ่งนานมาแล้ว ได้เกิดโรคอหิวาตกโรคระบาดในเมืองจีน ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เกี้ยอุยซินแส พบว่า สาเหตุของการเกิดโรคเกิดจากผู้คนพากันดื่มน้ำสกปรก จึงแนะนำให้ชาวบ้านต้มน้ำดื่ม และเพื่อให้ชาวบ้านเชื่อจึงเสาะหาใบไม้มาอังไฟให้หอมเพื่อใส่ลงไปในน้ำต้มเกี้ยอุยซินแสพบว่า มีพืชชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมมากเป็นพิเศษ มีรสฝาดเล็กน้อยและแก้อาการท้องร่วงได้ดี จึงได้เผยแพร่วิธีการนี้ให้ชาวบ้านได้ทำตาม ซึ่งพืชที่มีกลิ่นหอมคือต้นชานั่นเอง
    ตำนานสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ นักบวชชื่อธรรม ซึ่งเป็นโอรสของกษัตริย์อินเดีย ได้เดินทางมาจาริกบุญ เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาในจีนในช่วงแผ่นดินของพระจักรพรรดิถูตี่ ในช่วงปี ค.ศ.519 จักรพรรดิถูตี่ทรงนิยมชมชอบนักบวชจึงได้นิมนต์ให้นักบวชไปพักอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่งในเมืองนานกิง ขณะที่นักบวชได้สวดมนต์ภาวนาอยู่ก็เกิดเผลอหลับไปทำให้ชาวจีนหัวเราะเยาะ เพื่อเป็นการลงโทษมิให้กระทำความผิดเช่นนั้นอีก ท่านธรรมจึงตัดหนังตาตนเองทิ้งเสีย หนังตาเมื่อตกถึงพื้นก็เกิดงอกเป็นต้นชา ซึ่งเป็นนิมิตที่แปลกชาวจนจึงเก็บชามาชงในน้ำดื่มเพื่อรักษาโรค
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น