ฆาตกรรมธรรมดา - ฆาตกรรมธรรมดา นิยาย ฆาตกรรมธรรมดา : Dek-D.com - Writer

    ฆาตกรรมธรรมดา

    พริม...เด็กสาวที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ทีโรงเรียนประจำแห่งนี้ ได้พบกับการฆาตกรรมที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าตัวตายและอุบัติเหตและเมื่อคดีดำเนินมาถึงจุดจบ ทำให้ได้รู้ว่าบางทีความจริงอาจไม่ง่าย...ที่จะยอมรับมัน!!

    ผู้เข้าชมรวม

    811

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    811

    ความคิดเห็น


    12

    คนติดตาม


    4
    หมวด :  สืบสวน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 มี.ค. 51 / 16:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ฆาตกรรมธรรมดา
              เสียงกรี๊ดดังขึ้นทำลายความสงบในช่วงเช้าตรู่ของย่านวิภาวดีรังสิต  เมื่อรถมาสด้าป้ายแดงสีดำทะมึนขับมาด้วยความเร็วสูง  วิ่งปาดหน้ารถหลายคันบนท้องถนน  เฉี่ยวเอาบรรดาสาวออฟฟิตที่กำลังเดินไปทำงานให้ใจหาย  แล้วมาจอดริมทางเท้าหน้าสำนักงานแห่งหนึ่ง
              หญิงสาวก้าวขาลงมาจากรถ เผยให้เห็นขาอันเรียวสวยตัดกับกระโปรงสั้นสีดำและเสื้อคลุมเข้าชุดกัน  รองเท้าส้นสูงสีน้ำตาลเข้มช่วยเสริมให้หญิงสาวที่หุ่นดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้นยิ่งดูงดงามมากขึ้น  แว่นสีดำทรงกลมรีถูกถอดออกจากใบหน้าคมที่ได้รับการดูแลมาอย่างดี  พร้อมผมหยิกลอนสีน้ำตาลที่สะกดสายตาคนที่เดินผ่านไปมาให้เหลียวหลังมามอง
               หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อของสำนักงานที่อยู่ตรงหน้า ‘ สำนักงานนักสืบ’  มันดูเก่าจนใกล้พังเข้ากับตัวสำนักงานโทรมๆที่ดูเหมือนจะหักลงมาตามแรงลม  เธอก้าวเข้ามาในสำนักงานกึ่งเดินกึ่งย่อง เหมือนกลัวว่าแรงสั่นสะเทือนจากการเดินของเธอจะทำให้พื้นทรุด  เมื่อเงยหน้ามองไปรอบๆ ดูเป็นสำนักงานที่ไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด
       “ น่าจะรื้อทำใหม่ทั้งหลังเลยนะเนี่ย”  หญิงสาวเอ่ยขึ้น
       “ สวัสดีนักสืบสาว” เสียงหนึ่งทักเธอ “ ผมก็เห็นคุณบ่นได้อย่างนี้ทุกวันน่ะแหละ คุณอารียา”  ชายคนหนึ่งในสำนักงานเงยหน้ามายิ้มให้เธอ
       “ ก็ถ้าลูกค้าเยอะๆแล้วมีเงินมากกว่านี้ ป่านนี้ฉันก็ทำไปแล้ว  สมัยนี้ไม่รู้เป็นไง เหมือนไม่มีใครอยากจ้างนักสืบทำงาน”  อารียาบ่นงึมงำ
       “ ขนาดไม่มีเงิน ยังออกรถป้ายแดงได้เลยนะเนี่ย”  ณัฐพรเพื่อนร่วมงานก็เข้ามาร่วมวงด้วย
       “ โธ่! คุณณัฐพรสุดสวยขา  คุณก็รู้นี่นาว่านั่นมันรถฉันซะที่ไหนเล่า  เช่ามาเพื่อให้ภาพพจน์บริษัทดูดีขึ้นนะนั่น  เหมือนว่ามีคนรวยมาติดต่อเราไง ฉันหวังดีหรอกนะ”  อารียาพูดฉอดๆก่อนจะเดินไปยังห้องทำงาน
                ห้องทำงานของเธอนั้นดูเข้ากันดีกับบริษัทแห่งนี้เหลือเกิน  อารียาเคยนึกจะทำความสะอาดและปรับปรุงหลายครั้งแต่ด้วยความขัดสนเรื่องทุน (ผสมความขี้เกียจ) ทำให้มันยังคงอยู่ในสภาพเดิมแบบทุกๆวัน  แต่วันนี้มันมีบางอย่างผิดปกติ อืม... เธอมองไปอย่างครุ่นคิด
                จดหมายซองยาวสีน้ำตาลวางเด่นอยู่บนโต๊ะรกๆ จ่าหน้าซองถึงเธอ  อารียาเอื้อมไปหยิบมันมาพิจารณา  ได้แต่ภาวนาหวังว่าคงไม่ใช่ใบทวงหนี้ ‘ เป็นจดหมายลูกโซ่ยังดีซะกว่า’  เธอคิด
       อารียาพลิกจดหมายไปมาแล้วแกะออกดู  หัวใจเธอเต้นระรัวตามจังหวะการเคลื่อนไหวของมือ สายตาสอดส่ายไปมาเหมือนจะมองทะลุซองไปไวกว่ามือแกะ  มือของเธอที่สั่นเล็กน้อย
                เธอหยิบของที่อยู่ในซองออกมาดูด้วยหัวใจที่พองโต “ งานชิ้นใหม่” ในที่สุดก็มีคนต้องการนักสืบเก่งๆ แล้วเธอก็จะได้ออกโรงสักที
       “ แปลก”  เธออุทาน  แล้วมันก็แปลกจริงอย่างว่า ในซองนั้นมีเช็คหนึ่งใบที่เขียนจำนวนเงินไว้ ‘ 1..2..3..4..5..6..7..7หลัก หนึ่งล้านบาท!’  เธออุทานเสียงดังในใจ  นี่เป็นงานที่เงินเยอะกว่างานปกติของเธอนับ 10 เท่าเลยทีเดียว  เมื่อเธอยกซองขึ้นคว่ำแล้วสะบัดไปมา ก็พบว่ามีกระดาษใบเล็กๆสีขาวใบหนึ่งร่วงปลิวหล่นลงบนพื้น  เธอจึงก้มลงไปเก็บพร้อมกับความสงสัยในใจว่าผู้ว่าจ้างเจ้าบุญทุ่มของเธอจะอธิบายงานไว้ในกระดาษแผ่นเล็กๆใบนี้ได้ยังไง จนเมื่อเธอเก็บมันขึ้นมาดู จึงได้เข้าใจ  ข้อความในกระดาษมีว่า

      “ SSS_SS @  hotmail.com
      ถ้าคิดว่าทำงานนี้ไม่ได้ก็ขอให้รีบแจ้งกลับมาโดยเร็ว
      ส่วนเงินคุณจะเก็บไว้ก็ได้ ถือเป็นค่าเสียเวลา”
       
      ถ้อยคำในกระดาษทำให้เธอเกิดอาการระเบิดลง  แล้วตัดสินใจทำงานนี้โดยไม่ลังเล  ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เรื่องอะไรที่เขามาดูถูกเธอ อารียารีบหันไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วเข้าอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว
       “ ฉันยินดีรับงานนี้ค่ะ”
       เธอส่งข้อความไป ไม่ถึง 5 นาที เธอก็มีจดหมายเข้ามา เป็นรูปหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาสะสวย ผมดำขลับยาวตรง  พร้อมข้อมูลส่วนตัว
       “ พิมพ์ผกา รัตนผดุงชัย  หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน  ไม่พบศพ ถือเป็นผู้หายสาบสูญ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่นั้น พบว่า...”
       อารียาปริ๊นซ์ข้อมูลออกมาจากเครื่องแล้วพับมันเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ เธอเดินออกจากห้องไปอย่างมุ่งมั่น ภารกิจของเธอกำลังจะเริ่มต้น

       
             ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายมักจะเกิดขึ้นในเช้าของวันเปิดเทอม เมื่อกลุ่มนักเรียนที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานานได้มาพบหน้ากัน  ก็จะมีเรื่องเล่าให้ฟังกันไม่หยุด  เว้นก็แต่เด็กใหม่ที่ยังไม่ค่อยรู้จักใครก็จะเดินเงียบๆ คนเดียวหรือนั่งหน้าซึมๆอยู่กับผู้ปกครอง  แต่คงไม่มีใครรู้สึกร่าเริงและกระปรี้กระเปร่ากับการเริ่มต้นครั้งนี้เท่ากับ...พริม
      พริมเป็นเด็กนักเรียนตัวผอม  ผมยาวสีน้ำตาล และใส่แว่นขอบสีฟ้าที่เข้ากับดวงตาโตใส พริมมาเข้าเป็นนักเรียนใหม่ ม.4 ที่โรงเรียนประจำมัธยมหญิงล้วนแห่งนี้  โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงพอสมควร  นักเรียนส่วนใหญ่จะฐานะดีและมีความสามารถ  ซึ่งพริมเองก็เป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านี้
             เธอมองไปรอบๆตัว โรงเรียนนี้น่าอยู่  ใหญ่  กว้างและร่มรื่น  พริมเดินไปเดินมา เห็นนักเรียนม.1 บางคนก็นั่งร้องไห้ บางคนก็ดูตื่นเต้น หลายคนนั่งคุยกันอยู่เป็นกลุ่มๆ แย่งกันพูดเสียงดังวุ่นวาย
      ‘ เวลาผู้หญิงรวมตัวกันนี่  วันโลกแตกชัดๆ’ พริมคิดในใจ จนไม่ทันมองทาง เธอจึงชนเข้าให้อย่างจังกับนักเรียนคนหนึ่ง
      “ เป็นอะไรหรือเปล่า”  พริมรีบลุกมาพยุงนักเรียนคนนั้น
      “ ไม่เป็นไรค่ะ แจนรีบไปหน่อย ไม่ทันมอง ขอโทษนะคะ”  หญิงสาวที่ชื่อแจนเงยหน้าขึ้น  พริมจึงสังเกตได้ว่าแจนเป็นเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ  หน้าตาน่ารัก เตี้ยกว่าเธอเล็กน้อย
      “ เธออยู่ชั้นอะไรหรอ”  แจนถามพริม
      “ เอ่อ...ม.4 น่ะ”  พริมตอบ
      “ เหมือนกันเลย ฉันชื่อแจน เธอชื่ออะไรล่ะ”
      “ พริม”
      “ พริมหรอ ชื่อน่ารักจัง เป็นเพื่อนกันนะ”  แจนยิ้มให้พริมอย่างอ่อนโยน  ทำเอาพริมหน้าแดงเพราะไม่เคยมีใครเข้ามาชวนเธออย่างนี้มาก่อน  แล้วแจนก็ตะโกนเรียกใครบางคน พริมพบว่า เด็กผู้หญิงอีก 2 คนวิ่งมา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
      “ ยัยแจน! คิดถึงแกจังเลย”  คนหนึ่งที่รูปร่างสูง ขาวและมีรอยยิ้มที่สดใสกว่าพูดขึ้น
      “ เหมือนกันแหละ เอ้อ บิว แล้วกุกับโนมาหรือยังล่ะ”  แจนถาม
      “ ยังมั้ง  ฉันมาเร็ว ก็เจอแต่แก้วนี่แหละ”  บิวตอบกลับแล้วผายมือไปทางเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ แก้วรูปร่างเล็ก ผอมสูงและมีผมหยักศกสีดำ
      ไม่ทันขาดคำ พริมก็ได้ยินเสียงเด็กนักเรียนโวยวายขึ้นกลางวงเด็กมากมายที่เดินกันเต็มลานกว้าง
      “ อะไรเนี่ย!  โรงเรียนเรากลายเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กไปแล้วหรือไง  ทำไมคนมันยั๊วะเยี๊ยะ มากมายอย่างนี้ล่ะ  ดูสิ! ไม่มีทางเดินแล้ว โอ๊ย! ช่วยหลบไปหน่อยสิ”  เด็กผู้หญิงตัวอ้วนๆคนหนึ่งโวยวายขึ้น พร้อมมองคนบริเวณนั้นลอดผ่านแว่นสายตาอันกลมขนาดใหญ่
      “ โธ่! โนเอ๊ย  แกนี่ขี้บ่นสมฉายา ‘ป้ามหาภัย’ จริงๆเลย คนเยอะๆอย่างนี้ก็ดีออก  อบอุ่นดี” เด็กผู้หญิงตาโต ผมซอย ท่าทางทะมัดทะแมง ที่เดินเคียงข้างมากับโนพูดขึ้น พร้อมสายตาหันซ้ายมองขวา
      “ ฉันรู้หรอกกุ ว่าแกน่ะคิดอะไรอยู่ มองหาคนน่ารักๆอยู่ล่ะสิ”  โนพูดขึ้น กุยักไหล่ทำท่าไม่สนใจ  แล้วทั้งสองก็เดินมาสมทบกับเพื่อนที่รออยู่  แจนแนะนำพริมให้ทั้ง 4 คนรู้จัก และทั้ง 4 ก็ดูยินดีที่จะรับพริมเข้ากลุ่ม
      เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเก้าโมงเช้าทางโรงเรียนก็ประกาศให้นักเรียนเข้าห้องประชุมใหญ่เพื่อปฐมนิเทศวันเปิดภาคเรียน ทั้ง 6 คนจึงเดินเบียดเสียดฝูงนักเรียนเข้าไปโดยมีโนเป็นคนเบิกทางและพูดไม่หยุดตลอดเวลา
      “ นี่! หลบหน่อยสิ  โอ๊ย  เด็กอะไรไม่มีมารยาท เธอชนฉันนะ หลีกหน่อย เพื่อนฉันจะเดิน โอ๊ย!  ไม่ได้ยินกันหรือไงนะ เอ๊ะ! ใครเหยียบเท้าฉันฮะ...”  และโนก็ยังคงพูดต่อไปจนถึงห้องประชุม พริมไม่เข้าใจในตอนแรกว่าทำไมต้องรีบกันขนาดนั้น  จนกระทั่งแจนที่จับมือลากพริมเพื่อให้เดินทันโนได้อธิบายว่า ถ้าไปช้าอาจจะไม่มีที่นั่งหรือไม่ก็ได้นั่งบริเวณที่ร้อนมากๆเพราะเป็นมุมที่แอร์ตกไม่ถึง
      ห้องประชุมใหญ่ของโรงเรียนนี้ถึงจะใหญ่สมชื่อแต่ก็ดูจะเล็กไปในทันทีที่นักเรียนเดินเข้ามา ในห้องกว้าง  ทั้ง 6 คนนั่งเรียงกันอยู่บนเก้าอี้แถวหน้าด้านซ้ายมือ  ด้านหน้าห้องประชุมมีป้ายโฟมอันใหญ่เขียนว่า
      “ ปฐมนิเทศวันเปิดเทอม”

      ด้านข้างๆของห้องมีข้อความเขียนไว้  พริมรู้ว่ามันเป็นคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ เพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนคริสต์และรูปพระเยซูใส่กรอบอันโตหลังห้องก็เป็นเครื่องยืนยันได้
      เมื่อนักเรียนเข้ามานั่งจนเรียบร้อย  เสียงจอแจในห้องประชุมก็ค่อยๆเงียบลง ตามมาด้วยพิธีกรรมของศาสนาคริสต์บางอย่าง มีการเทศน์โดยบาทหลวง แต่ตลอดการเทศน์นั้น พริมสังเกตเห็นว่าเด็กนักเรียนน้อยคนนักที่จะฟัง  ส่วนใหญ่ถ้าไม่คุยก็หลับ  โนกับบิวนั้นคุยกันไม่หยุด  กุหลับหัวทิ่ม  แจนก็คอยชวนพริมคุย เว้นแต่แก้วที่นั่งเงียบๆไม่พูดไม่คุย จะว่าไปแล้วตั้งแต่พริมมาถึงที่นี่ ยังไม่ได้ยินแก้วพูดสักคำ
      หลังจากพิธีทางศาสนาแล้ว อาจารย์ใหญ่และผู้อำนวยการโรงเรียนก็ขึ้นมากล่าวต้อนรับและให้โอวาท ต่อมาก็เป็นอาจารย์หัวหน้าฝ่ายมัธยม ขึ้นมาชี้แจงการอยู่ที่โรงเรียนประจำแห่งนี้  เมื่ออาจารย์เดินขึ้นมาก็มีเสียงดังพึ่บพั่บของนักเรียนที่พยายามนั่งตัวตรง  คนที่หลับก็จะถูกปลุกให้ตื่นอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่คุยอยู่ก็จะเงียบลงเหมือนเสียงหายไปในทันที  ทำให้พริมรู้ว่าอาจารย์คนนี้...
      ไม่ธรรมดา
       “ สวัสดีค่ะ นักเรียนทุกคน”  เมื่ออาจารย์เริ่มพูด เสียงตอบรับสวัสดีจากนักเรียนที่นั่งอยู่ก็ดังขึ้นพร้อมกัน
       “ ขอต้อนรับนักเรียนทุกคนกลับเข้าสู่รั้วของโรงเรียน  นักเรียนหลายคนในที่นี้คงรู้จักครูดีแล้ว...” 
      ถึงตอนนี้โนหันไปพูดกับบิว
      “ ใครไม่รู้จักก็แปลกล่ะ”
      “ ครูขออนุญาตพูดให้จบก่อนนะคะ”  อาจารย์คนที่ยืนอยู่บนเวทีพูดแทรกขึ้นมา  “ และครูเคยบอกแล้วว่าเมื่อครูพูด ทุกคนต้องฟัง ถ้าใครอยากพูดให้มาพูดบนเวทีนี่”  เมื่อพูดจบอาจารย์ก็หันมามองที่โนและบิวทำเอาสายตานับพันคู่ของทั้งห้องประชุมมองตามเป็นทางเดียวกัน ‘สงสัยวันนี้จะคิดผิดนะเนี่ย ที่มานั่งแถวหน้า’โนทำได้แต่คิดในใจประกอบกับหน้าตาอายๆไม่แพ้กับบิว
      “ ครูขอแนะนำตัวให้นักเรียนที่มาใหม่ได้รู้จัก  ครูชื่ออาจารย์จัณฑิตา  ถึงครูจะได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าระดับมัธยม ต้องคอยดูแลพวกเธอ แต่ครูว่าจะว่าไปแล้วครูก็เหมือนพวกคนใช้คอยรับใช้คุณนายคุณหนูทั้งหลายที่นั่งกันอยู่เนี่ย  เป็นทุกปีเลย ทุกปีนะคะ ขอย้ำ ใครมีอะไร จะเอาอะไร ก็ต้องวิ่งมาหาครูหมด...” อาจารย์จัณฑิตาพูดเน้นน้ำเสียงพร้อมท่าทาง   “ ใครมีปัญหาอะไรร้ายแรงก็มาบอกครูได้ ครูไม่กัดเธอหรอก แต่ขอให้มันเป็นเรื่องจริงๆ ไม่ใช่เอาแต่ปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่แม้แต่เด็กประถมยังแก้ได้มาให้ครู...” อาจารย์จัณฑิตายังคงพูดต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีใครกล้าคิดที่จะบ่นเลย และเวลาก็ผ่านไป
      “ ครูคงมีเรื่องจะฝากไว้แค่นี้ส่วนเรื่องรายละเอียดอย่างอื่น ครูจะให้ประธานสภานักเรียนเป็นผู้ขึ้นมาอธิบาย เชิญค่ะ”  ในที่สุดอาจารย์จัณฑิตาก็ส่งไมค์ต่อให้นักเรียนหญิงคนหนึ่ง  บรรยากาศในห้องประชุมรู้สึกจะเย็นขึ้น อาจเป็นเพราะ ลม จากการถอนหายใจของนักเรียนในห้องประชุมก็ได้
      “ สวัสดีค่ะน้องๆ พี่ชื่อชนาทิพ หรือเรียกว่าพี่กี้ ก็ได้นะคะ”  ประธานสภานักเรียนพูดขึ้น  แจนกระซิบข้างหูพริมว่าพี่กี้เป็นพี่ของกุ  ทำให้เธอหมดความสงสัยว่าทำไมหน้าตาถึงได้คล้ายกันนัก
      “ ในฐานะประธานสภานักเรียน พี่มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยคุณครูควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยภายในโรงเรียน  พี่จึงต้องขอชี้แจงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่  ในปีนี้จะมีอะไรหลายๆอย่างที่แตกต่างไปจากปีก่อนๆเพราะฉะนั้นขอให้น้องๆทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กเก่าหรือใหม่ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี..”  ในขณะที่ประธานสภานักเรียนเล่ารายละเอียดอะไรต่างๆมากมาย ก็มีเสียงจากนักเรียนดังเป็นพักๆ รวมทั้งเพื่อนๆอีก 5 คนของพริมก็พลอยโวยวายไปกับเขาด้วย  พริมเองยังไม่เข้าใจว่าเนื้อหาต่างๆที่พี่กี้พูดนั้นจะน่าโวยวายตรงไหน
      นักเรียนจะต้องอยู่ที่โรงเรียนประจำนี้หนึ่งอาทิตย์ โดยมาเข้าเรียนในวันจันทร์และกลับบ้านตอนเย็นวันศุกร์  อยู่ที่นี่จะต้องตื่นนอนก่อนหกโมงเช้าจะมีพี่เวรม.6มาปลุกแล้วก็ลุกมาอาบน้ำ แต่งตัว เพื่อมาทานอาหารเช้าให้ทันเจ็ดโมงครึ่ง  หลังจากนั้นก็เข้าห้องเรียนเรียนตามตารางสอน และทุกปีจะมีเด็กนักเรียนที่หาห้องเรียนไม่เจอเพราะทำตารางสอนหาย  เวลาเลิกเรียนคือสี่โมงเย็น เป็นช่วงที่ปล่อยว่างให้นักเรียนได้พักผ่อนก่อนจะมาทานข้าวเย็นตอนห้าโมงครึ่ง แล้วหลังจากอาบน้ำตอนเย็นก็มีเวลาเหลือตอนกลางคืนก่อนจะขึ้นนอนเวลาสี่ทุ่ม
      ส่วนกฎของโรงเรียนก็เป็นอะไรที่ดูแปลกนิดหน่อยคือ ก่อนเข้าโรงเรียน ต้องตรวจกระเป๋าเพื่อจะหาของผิดกฎ และของผิดกฎของโรงเรียนนี้ก็ดูเป็นเรื่องตลกสำหรับเด็กใหม่อย่างพริม  ไม่ว่าจะเป็นขนม  ของกิน  โทรศัพท์มือถือ  เงินสด  หนังสือการ์ตูน  น้ำหอม รวมถึงพวกเครื่องเล่นวีดีโอเกมส์ที่ทำเอาเด็กติดเกมส์อย่างพริมรู้สึกเซ็งไปเลย
      “ และที่น่ายินดีคือตึกใหม่ที่น้องๆเห็นว่ากำลังสร้างอยู่เมื่อปีที่แล้วนั้นได้สร้างเสร็จแล้ว”  เมื่อกี้พูดจบก็มีเสียงฮือฮาดังมาจากหมู่นักเรียน
      “ เราจะได้ห้องพักใหม่แล้วสิ”  กุพูดอย่างตื่นเต้น แล้วเสียงฮือฮาก็สงบลง กี้จึงพูดต่อ
      “ แต่ตึกใหม่นั้นจะกลายเป็นห้องพักครูทั้งหมด”  สิ้นเสียงนั้น  เสียงฮือฮาที่ดังกว่าเดิมก็เกิดขึ้น  โนกับบิวหันมองหน้ากัน แก้วที่นั่งนิ่งมานานก็ดูตื่นตัวขึ้น   กุหน้าเสีย แจนอุทานเบาๆ “ แย่ล่ะสิ”

      “ โอ๊ย!  ซวยล่ะสิ ทำไมเป็นงี้ไปได้นะ”  โนโวยวายหลังจากออกมาจากห้องประชุม
      “ นี่ป้า! เลิกบ่นซะทีสิ  ฉันก็เซ็งพอๆกันนั่นแหละ  หนวกหูด้วย”  บิวบ่นโน
      “ เราย้ายที่ได้หรือเปล่า” แจนถามเสียงเบา
      “ บ้าน่ะสิ!”  กุพูดขึ้น  “ ไม่มีทาง เรามาก่อนนะ พวกเขาสิต้องออกไป”  กุพูดอารมณ์เสีย
      “ กุ  แกจะไล่ครูออกหรือไง”  บิวหันมาถาม  กุหน้าจ๋อย
      “ ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร”  นี่เป็นครั้งแรกที่พริมได้ยินเสียงแก้ว “ เราก็อยู่ของเรา  แค่ต้องมาคิดหาทางเข้าไปให้ได้ก็พอ”
      ทุกคนมองหน้ากันแบบไม่สบายใจแล้วก็พยักหน้ารับกันด้วยเข้าใจในสิ่งที่แก้วพูด....ยกเว้น
      พริม

       วันนี้เป็นวันพฤหัส ที่โรงเรียนเปิดเทอมมาแล้วให้นักเรียนได้มาจัดของในโรงเรียน ก่อนจะเปิดเรียนจริงๆในวันจันทร์ ทำให้วันนี้และวันพรุ่งนี้ไม่มีเรียน บิวบอกพริมว่าที่เขาเปิดเรียนให้ก่อนสองวันนั้นเพราะอาจารย์จัณฑิตาต้องการให้นักเรียนมาปล่อยผีก่อน  ให้พูดคุยกันจนเสียงหายไปเลยสองวัน  วันจันทร์มานักเรียนจะได้เงียบๆหน่อย
       “ ฉันก็รู้นะว่าเสียงผู้หญิงคุยกันเนี่ย มันน่าปวดหัวที่สุด”  บิวพูดกับพริม “ เพราะฉะนั้นวิธีแก้ของฉันก็คือ  ไม่ต้องฟังมันซะ แล้วพูดฝ่ายเดียว”  พริมไม่เห็นว่ามันจะเป็นวิธีแก้ตรงไหน
       วันนี้ไม่มีเรียน ทั้ง 5 คนจึงพาพริมเดินดูรอบๆโรงเรียน  เริ่มตั้งแต่ตึกเรียนเก่าที่ทำด้วยไม้ทั้งหลังเป็นตึกที่โรงเรียนอนุรักษ์มากที่สุด  ในอดีตเคยใช้เป็นตึกเรียนแต่ปัจจุบันกลายเป็นห้องพักของนักเรียน ม.ต้น  เวลาเข้าต้องถอดรองเท้าและเดินเบาๆ  ห้องทำงานของอาจารย์จัณฑิตาก็อยู่ที่นี่ยิ่งเสริมให้ตึกนี้ต้องเงียบกริบไปโดยปริยาย  ข้างหลังตึกเรียนเก่าเป็นตึกวิทยาศาสตร์ มีห้องLabต่างๆรวมถึงห้องพักของนักเรียนม.ปลาย เมื่อเดินถัดจากตึกวิทยาศาสตร์มาทางขวาจะเป็นตึกเรียนใหม่ที่สร้างเสร็จเมื่อ 2 ปีก่อน ความสูง 6 ชั้น  ตึกนี้สร้างขึ้นฉลองที่โรงเรียนครบรอบ 130 ปี เป็นตึกที่ใช้เรียนในปัจจุบันนี้  ทางเดินภายในโรงเรียนจะเป็นทางทอดยาวที่มีหลังคาคลุมไปตลอดทาง และคดเคี้ยวมาก  มีทางแยกเลี้ยวซ้าย ขวา บางทีก็เดินวนมาบรรจบกัน  จนพริมเริ่มสงสัยว่าเธอจะอยู่ที่นี่โดยไม่หลงทางได้ยังไง
       จากตึกเรียนใหม่ถ้าจะเดินไปห้องอาหารจะผ่านตึกนอนที่ตั้งสูงอยู่ใจกลางโรงเรียน  ด้านหลังตึกนอนจะเป็นตึกของบริกรฝ่ายต่างๆ  ด้านข้างตึกนอนฝั่งที่ไม่มีตึกเรียนจะมีคลองสายเล็กๆไหลผ่าน มีสะพานเชื่อมไปอีกฝั่งหนึ่ง ที่มีโบสถ์หลังใหญ่ตั้งอยู่ในสวนดอกไม้  พริมคิดว่ามันเป็นสถานที่ๆสวยที่สุดในโรงเรียน และตึกใหม่ที่ประธานสภานักเรียนพูดถึงนั้นมีอยู่ 2 ตึกด้วยกัน  ตึกหนึ่งอยู่ทางด้านข้างตึกเรียนใหม่ทางซ้ายส่วนอีกตึกหนึ่งอยู่ข้างๆตึกนอน ตรงหน้าสะพานฝั่งตึกนอนก่อนเข้าไปโบสถ์นั่นเอง
       “ แจน  ขอถามอะไรหน่อยสิ”  พริมพูดขึ้น  แจนหันมายิ้มพยักหน้ารับ “ คือฉันอยากรู้ว่าทำไมพวกเธอดู เอ่อ...ไม่ค่อยพอใจที่ใช้ตึกใหม่นั่นเป็นห้องพักครูล่ะ”  พริมถาม  แจน โน กุ บิวและแก้วมองหน้ากัน  สีหน้าลังเลใจ
       “ ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะ  คือ...”  พริมพูดเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนๆ  แต่ก็โดนกุขัดขึ้น
       “ ไม่เป็นไรหรอก  ฉันว่าเราบอกพริมได้นะ  อีกอย่างนี่ก็เพิ่งสิบโมงกว่าๆเองกว่าเราจะถึงเวลาไปจัดของก็ตั้งบ่ายโมง  ยังมีเวลาไป ‘ โบสถ์’ นะ ว่ามั้ย”  กุพูดขึ้น ก่อนหันไปหาอีก 3 คนที่ยิ้มและพยักเพยิดตาม ยกเว้นแก้วที่ไม่ออกความเห็น
       ทั้ง 6 คนเดินตรงไปยังสะพานที่จะข้ามไปโบสถ์ ซึ่งดูเงียบเชียบเพราะไม่มีเด็กคนไหนข้ามไปผิดกับฝั่งที่พวกเขาอยู่ที่มีนักเรียนเดินไปมาขวักไขว่ เมื่อทั้ง 6 เดินไปถึงสะพาน โนกับบิวก็วิ่งนำไปก่อน แต่ทั้งสองก็ต้องสะดุดลงหน้าคะมำด้วยเสียงเรียกดังลั่น
       “ นี่พวกเธอ จะไปไหนกัน”  เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น  ทั้ง 6 คนหันมา พริมไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่เมื่อเห็นเพื่อนๆยกมือไหว้พริมก็ทำตาม
       “ สวัสดีค่ะ อาจารย์จักรพันธ์”  ทั้ง 5 คนพูดพร้อมกัน อาจารย์ยกมือรับไหว้
       “ พวกเธอจะไปไหนกันฮะ”  อาจารย์จักรพันธ์ถาม  ขณะเดินตรงมาที่พวกเขา  กุจึงรีบพูดขึ้น
       “ คือพวกหนูคิดว่าพวกเราจะไปสวดขอพรที่โบสถ์ให้ในปีนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น  ให้พระเจ้าทรงคุ้มครอง ให้พระองค์ทรงเกื้อหนุน ให้พระองค์ประทานเกรดเฉลี่ยดีๆ ให้โรงเรียนทำอาหารอร่อยๆ ให้พระองค์...”
       “ พอเลยเธอ พวกเธอคิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้ว ไหว้พระไหว้เจ้าซะมั่ง จะได้ไม่ตกกันยกกลุ่ม โดยเฉพาะเธอนะกุสุมา เรื่องลื่นไหลล่ะเก่งนัก  ไป  พาเพื่อนใหม่ไปดีๆล่ะ”  อาจารย์จักรพันธ์พูดก่อนเดินหันหลังกลับไป
       “ อ้อ! กุสุมา”  อาจารย์หันมาเรียก  ทำให้กุที่หันหลังอย่างโล่งออกไปแล้วนั้นสะดุ้งกลับมาใหม่
       “ คะ อาจารย์”
       “ ครูจะบอกว่า ครูเตรียมข้อสอบซ่อมสังคมให้เธอล่วงหน้าแล้วนะ”  อาจารย์พูดพร้อมยิ้มหวานแล้วหันหลังเดินต่อไป
       “ โห! เป็นพระคุณอย่างสูงเลยค่ะอาจารย์”  กุยกมือไหว้ขอบคุณไล่หลัง  “ นี่อาจารย์เขาคิดว่าปีนี้ฉันจะตกอีกหรือไงนะ”  กุทำท่าไม่พอใจ
       “ หมายความว่าปีนี้เธอจะตั้งใจเรียน และไม่สอบตกแล้วใช่มะ” บิวถามกุ
       “ ตอนแรกก็ตั้งใจอย่างนั้นแหละ  แต่พวกเธอเห็นฉันเป็นลูกศิษย์อกตัญญูหรือไง  ฉันไม่อาจหักหาญน้ำใจของครูเขาได้หรอกนะ”  กุส่ายหัวแล้วเดินนำขึ้นสะพานไป โดยมีโน บิวและแก้วเดินตามไปล้อเลียน
       “ กุนี่  มีน้ำใจดีเนอะ”  พริมพูดกับแจน
       “ เขาก็มีน้ำใจอย่างนี้ทุกปีแหละ  ทุกวิชาด้วย”  แจนตอบกลับ  แล้วทั้งสองก็เดินตามเพื่อนๆไป
       เมื่อข้ามสะพานมาถึงอีกฝั่งหนึ่งจะพบทางเดินที่รายล้อมไปด้วยพุ่มดอกไม้สีแดงที่แจนเรียกว่าดอกคริสต์มาส มีต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมพื้นที่รอบๆโบสถ์  ทางเดินปูอิฐอย่างดี เมื่อพริมมองขึ้นไปข้างบนก็พบลูกแอปเปิลสีแดงห้อยมาตามกิ่งต้นไม้  การเดินในสวนนี้ทำให้พวกเขาทั้ง 6 คนเหมือนกำลังเดินอยู่ในสวนเอเดนที่พระเจ้าทรงประทานให้อาดัมส์กับอีฟอยู่ก็ไม่ปาน  ใจกลางสวนเหมือนจะเป็นกระท่อมกลางป่า  ตัวตึกสร้างจากอิฐปูนแล้วทาสีขาวทั้งหลัง  มีหลังคาสีออกน้ำตาลแดง จริงๆแล้วมันเป็นโบสถ์ที่ดูไม่หรูหราแต่น่าสนใจไม่น้อย
      ทางด้านหน้ามีน้ำพุและบันไดให้เดินขึ้นไป 3 ขั้น ทั้งสองข้างประตูมีรูปปั้นคิวปิด 2 ตัว เมื่อ
      พริมเดินเข้าไปในตัวโบสถ์  สายตาเธอก็เหมือนถูกมนต์สะกดให้จ้องมองภาพเบื้องหน้า  เก้าอี้ยาววางเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ มีทางเดินตรงกลางทอดยาวไปสู่เวที  เบื้องหน้าก็มีแท่นสำหรับพูดคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงวางอยู่ข้างๆและมีบันได 3 ขั้นพาขึ้นไปสู่ไม้กางเขนอันใหญ่เบื้องหลังที่มีสีครีมสวยงามตั้งอยู่ข้างหน้าผนังไม้สีน้ำตาล ทำให้ดูเด่นขึ้นมาถนัดตา
       ผนังโบสถ์ด้านข้างจะเป็นกระจกสีชาบานยาว ซึ่งถัดขึ้นไปข้างบนนั้นเป็นกระจกแก้วสีสันต่างๆ นำมาต่อกันเป็นรูปเกี่ยวกับพระเยซู  คนเลี้ยงแกะ  พระนางมารีย์ เหมือนแต่ละรูปที่เรียงต่อกันนั้นจะกำลังอธิบายเรื่องราวต่างๆให้เธอฟังและที่แปลกที่สุดของโบสถ์นี้ก็คือ พื้นของโบสถ์ที่เป็นพื้นดินจริงๆ ไม่ได้สร้างอะไรมาปูทับไว้ทำให้บรรยากาศภายในโบสถ์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
       ถึงพริมจะเป็นคนพุทธ แต่เธอก็ยกมือไหว้ทำความเคารพสถานที่ก่อนเดินตามเพื่อนๆไปยังเวทีเบื้องหน้า
       “ พริม  มาเร็ว”  เสียงบิวตะโกนเรียกพริม  พริมกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นมาบนเวทีที่ปูด้วยพรมกำมะหยี่สีแดง แล้วเธอก็ก้าวขึ้นไปยังอีกขั้นหนึ่งของเวทีชั้นบน  พริมยืนและหันมองรอบๆตัวแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกตา  จนกระทั่งเธอหันไปเห็นเพื่อนๆ 4 คนกำลังดันไม้กางเขนอันใหญ่กลางเวทีออกไปข้างๆ ทำเอาพริมร้องเสียงหลง
       “ เฮ้ย!  พวกเธอทำอะไรกันน่ะ บ้าหรอ เดี๋ยวมันก็ล้มลงมาทับเอาหรอก”  พริมรีบวิ่งไปหาเพื่อนๆ
       “ เออน่า  เดี๋ยวเธอก็รู้เองน่ะพริม”  สิ้นเสียงโนพูด  ไม้กางเขนอันใหญ่ก็ถูกเลื่อนออกเผยให้เห็นพื้นเวทีส่วนที่เคยถูกไม้กางเขนวางทับไว้นั้นเป็นพื้นไม้ธรรมดาที่มีลายเป็นรอยขีดตามยาว  กุเอามือยื่นเข้าไปใต้พรมแล้วดึงอะไรบางอย่างออกมา ทำให้แผ่นไม้บริเวณนั้นเปิดออก เห็นเป็นรูกลวงข้างใน
       “ แต่น แต๊น  ขอต้อนรับเข้าสู่บ้านของเรา”  บิวหันมาพูดกับพริมที่ยังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
       “ เชิญพริมลงไปก่อนเลย”  กุพูดพร้อมผายมือให้พริม  พริมที่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าข้างล่างเป็นอะไร เดินละล้าละลังมาก้มลงมองเข้าไปในหลุม เมื่อพริมหย่อนขาลงไปในหลุมเท้าของเธอก็ไปเตะโดนอะไรบางอย่างแข็งๆ และเมื่อเธอก้มลงไปดูก็พบว่ามันเป็นบันไดเหล็กเธอจึงค่อยๆไต่ลงไป  พริมไต่ลงไปเรื่อยๆ ยิ่งลึกก็ยิ่งมืด  เธอรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปนานเหลือเกินแต่เท้าเธอก็ยังไม่ถึงพื้นดิน ‘ใครนะช่างสรรหาจริงๆ ขุดโพรงอะไรลึกขนาดนี้  ไม่รู้เอาไว้ติดต่อกับยมบาลหรือไง’  พริมคิดในใจ และในที่สุดเท้าเธอก็ต้องสะดุดลงเมื่อไม่มีบันไดขั้นต่อไปให้เหยียบอีกแล้ว ‘ ถึงซะที’ พริมลงมาเดินในความมืด  มันมืดมิดมากจนเธอรู้สึกเหมือนคนตาบอด และเมื่อแสงไฟสว่างขึ้น มันก็สว่างมากจนเธอต้องหรี่ตาลงแทบมิด
       พริมหันหลังมามอง  แจนนั่นเองที่เป็นคนเปิดไฟ แล้วกุก็กระโดดลงจากบันไดตามมาด้วยบิว แจนถามหาแก้วกับโน แต่บิวบอกว่าแก้วขออยู่สวดข้างบนก่อน ส่วนโนบอกให้ไปรับด้วย
       “ ไปรับ?”  พริมหันมาถามบิว
       “ ก็พริมไม่สงสัยหรือไง ว่าถ้าพวกเราลงมากันหมดแล้วใครจะเลื่อนไม้กางเขนกลับที่ล่ะ”  บิวตอบพริม
       “ หมายความว่า โนเป็นคนเลื่อนกลับ แล้วจะไม่ลงมาหรอ”  พริมถามต่อ
       “ ก็ไม่เชิงนะ  โนเป็นคนเลื่อนไม้กางเขนกลับน่ะใช่  แต่อย่างโนไม่ปล่อยให้พวกเราสนุกกันเองหรอก เดี๋ยวพวกเราต้องไปรับโนด้วยกัน”  บิวพูดก่อนเดินนำไป  โดยมีกุเดินตาม
       “ ไปกันเถอะพริม”  แจนวิ่งมาจับมือพริมลากไปตามทางเดินที่เป็นโพรงใต้ดิน ดูจากผนังดินที่แข็งแรงแล้วนั้นโพรงนี้น่าจะขุดมาเป็นเวลานานแล้วแถมในโพรงที่ลึกจากพื้นดินขนาดนั้นยังมีการต่อไฟลงมาจากข้างบนแสดงว่าโพรงนี้คงไม่ได้มีใครมาขุดไว้เล่นๆแน่นอน และที่สำคัญคือคงไม่ใช่พวกเพื่อนๆของเธอแน่ที่เป็นคนทำมันขึ้นมา
       “ แจน”  พริมเอ่ยขึ้น “ ที่นี่มันคืออะไร”
       “ อ๋อ  ที่นี่น่ะหรอ คือตอนม.2 เขามีให้แสดงละครในโบสถ์ ตอนนั้นพวกเรา 4 คน คือ...แก้วยังไม่ได้เข้ากลุ่มน่ะนะ  เรา 4 คนก็เล่นละครกันแล้วไอ้ตอนซ้อมน่ะสิ กุกับโนทะเลาะกัน  แล้วโนก็ผลักกุไปชนไม้กางเขนจนมันล้มลงมา  ตอนนั้นตกใจแทบตาย แต่มันก็ทำให้เราพบที่นี่”  แจนอธิบายอย่างรวดเร็ว
       “ แล้ว ใครสร้างที่นี่ล่ะ”  พริมถามต่อด้วยความสงสัย
       “ อืม... ไม่รู้สิ แต่เราสันนิษฐานกันนะว่า เป็นของพวกญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกน่ะ เห็นสวยๆอย่างนี้ก็เหอะ โรงเรียนเราสมัยนั้นถูกพวกทหารญี่ปุ่นมายึดเป็นโรงพยาบาลล่ะ เขาว่ามีคนตายนับร้อยถูกฝังไว้ที่นี่ด้วยนะ  และผีที่นี่ก็เฮี้ยนอย่าบอกใคร”  แจนอธิบายต่อพร้อมทำท่าทางน่ากลัว
       พริมหัวเราะกับท่าทางของแจน ก่อนระดมถามต่อ
       “ แต่...มันน่าแปลกนะ  ไม่มีใครรู้จักที่นี่เลยหรอ อย่างน้อยนะ คนที่สร้างโบสถ์นี่ก็น่าจะเห็นนะ  ที่นี่มีแต่พวกเธอ...เท่านั้นเองหรอ?”  แจนไม่ตอบคำถามในทันที เธอทำท่าครุ่นคิดก่อนบอกว่าเธอเองก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน
       ทั้ง 2 เดินมาเรื่อยๆตอนนี้กุกับบิวนำหน้าไปมากแล้ว พริมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเดินออกมาห่างจากโบสถ์เข้าทุกทีทุกที จนเมื่อพริมเงยหน้ามองไปข้างหน้าอีกครั้งก็พบโนกับแก้วลงมาอยู่ข้างล่างแล้ว  แจนจึงต้องอธิบายให้พริมฟัง
       “ ที่นี่น่ะเราพบทางเข้า 2 ทาง  ทางแรกก็ที่เราเข้ามา อีกทางก็ที่นี่ล่ะ”  แจนพูด  “ แต่จะว่าไปมันเหมือนกับทางเข้าหนึ่งทางและทางออกอีกหนึ่งทางมากกว่าเพราะว่าทางที่พวกเราเข้ามานั้นจะไม่สามารถออกไปได้ถ้าไม่มีคนข้างนอกเลื่อนให้ และทางที่สองที่เห็นอยู่ข้างบนนี้จะไม่สามารถเข้ามาได้ถ้าไม่มีคนข้างในเปิดให้”  พริมอยากรู้ว่าข้างบนนี้จะไปโผล่ที่ไหนแต่กุบอกว่าเดี๋ยวตอนออกไปพริมก็จะรู้เอง
       ทั้ง 6 คนเดินกลับมาทางเก่าและเมื่อถึง 3 แยกก็เลี้ยวซ้ายเพราะถ้าหากเดินตรงไปก็จะเป็นโบสถ์คือทางที่พวกเขาเพิ่งเข้ามา  สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้พริมตกตะลึงยิ่งกว่าตอนที่เห็นปากทางเข้าที่นี่ซะอีก  มันเป็นห้องห้องหนึ่งที่มีผนังเป็นดินแข็งๆ  กลางห้องเป็นผ้านวมสีน้ำเงินปูอยู่ 2 ผืน มีไฟหลอดยาวๆ 4 หลอด อยู่บนเพดาน  ด้านข้างมีวิทยุเครื่องเล็กๆและหนังสือการ์ตูนตั้งอยู่มุมห้องกองใหญ่  ขนมมากมายกองอยู่ข้างๆ และโต๊ะพับได้ตัวเล็กๆถูกกางตั้งไว้บนผ้านวม  แต่ที่น่าแปลกที่สุดก็คือด้านหลังห้องนั้น มีต้นไม้เล็กๆงอกขึ้นมา  ท่าทางแปลกใจของพริมทำให้เพื่อนๆขำไปตามๆกัน
       “ พวกเธออยู่กันที่นี่หรอ ทำได้ไงเนี่ย”  พริมหันมาถามเพื่อนที่ยืนหัวเราะอยู่ด้านหลัง
       “ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก  ของพวกนั้นเราขนมากันตั้งแต่ม.2แล้ว พอปิดเทอมเราก็ทิ้งมันไว้ที่นี่  ตอนนี้ถึงมันจะสกปรกนิดหน่อย แต่ก็อบอุ่นนะ”  บิวรีบพูด 
      “ และนี่แหละคือเหตุผลที่เราว่ามันแย่ ถ้าห้องพักครูมาอยู่หน้าสะพานคราวนี้เราจะมาก็ยากจะไปก็ยาก  ขนาดวันนี้ยังเจออาจารย์จักรพันธ์เลย”  แจนพูดบ้าง  พริมพยักหน้าเข้าใจแล้วทั้ง 5 ก็เดินนำพริมเข้ามานั่งบนผ้านวม  พริมเดินตามมา แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ก่อนจะนั่งลง
      “ ตายแล้ว  ฉันทำแหวนหาย”  พริมจับไปที่นิ้วกลางของตัวเอง
      “ มันหล่นตอนเธอปีนลงมาจากข้างบนหรือเปล่า”  แจนถาม พริมไม่แน่ใจจึงรีบวิ่งไปหาดู แจนจะไปเป็นเพื่อนแต่พริมบอกว่าไม่เป็นไรเพราะเธอจำทางได้แล้ว  พริมจึงรีบวิ่งออกไป เมื่อถึง 3 แยกก็เลี้ยวซ้ายแต่พอเธอเอามือล้วงกระเป๋าก็พบแหวนอยู่ในนั้น  เธอโล่งอกและจำได้แล้วว่าโดนคุณครูว่าว่าห้ามใส่แหวนในโรงเรียน  เธอเลยถอดแหวนใส่กระเป๋า  ถึงตอนนี้พริมจึงหยิบแหวนสวมกลับเข้านิ้วอย่างเดิมก่อนเดินหันหลังกลับมา
      “ พวกเธอไว้ใจเขาได้หรอ”  เสียงแก้วดังออกมาจากในห้อง  พริมจึงรีบหลบหลังกำแพง
      “ ทำไมล่ะ  พริมก็ดูนิสัยดีนะ”  เสียงแจนพูดขึ้น
      “ เธอดูยังไงหรอแจน ดูแค่ว่าเขาทำดีกับเราน่ะหรอ  ที่นี่เป็นที่สำคัญของพวกเรานะ ทำไมถึงยอมให้คนอื่นเข้ามาได้ง่ายๆล่ะ”  แก้วพูดต่อ  ถึงตอนนี้พริมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมแก้วถึงไม่ค่อยยอมพูดกับเธอ
      “ แก้ว  แกอย่าคิดมากน่า  พริมเขาดูไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก  ตอนนี้เขาก็เหมือนเพื่อนในกลุ่มเราแล้วนะ”  บิวพูดบ้าง
      “ หมายความว่าพวกเธอมั่นใจว่าพริมไม่ใช่พวกเดียวกับพวกนั้นใช่มั้ย  พวกเธอมั่นใจจากอะไรหรอ”  แก้วถามเสียงแข็ง
      “ เอาน่า อย่าทะเลาะกันเลย  ไหนๆก็มากันถึงขนาดนี้แล้ว รอดูกันต่อไปแล้วกัน  ที่แก้วพูดก็ถูก เราไว้ใจพริมมากเกินไป แต่ฉันก็เห็นด้วยกับบิวนะ”  กุพูดขึ้นเมื่อเห็นแววไม่ดี
      “ ก็ได้  ฉันก็แค่อยากเตือนไว้เท่านั้นแหละ  ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ”  แก้วพูดก่อนหันไปคว้าหนังสือมาอ่าน  พริมนึกขึ้นได้ว่าเธอมานานแล้วจึงตะโกนออกไปว่าเจอแหวนแล้ว และเดินหน้าระรื่นกลับเข้ามา พริมชูแหวนที่นิ้วให้เพื่อนที่หันมามองเธอ  ตอนนี้ทุกคนกลับมานั่งคุยกัน  พริมเข้าใจความรู้สึกของแก้วดี  ถ้าเป็นเธอคงไม่ไว้ใจพาคนที่เพิ่งรู้จักไม่กี่ชั่วโมงมาที่ที่สำคัญสำหรับตัวเองขนาดนี้ และดูเหมือนกลุ่มนี้จะมีศัตรูอยู่ด้วยเพราะแก้วคิดว่า เธออาจจะเป็นพวกเดียวกับ
      ‘พวกนั้น’  ซึ่งพริมเองก็ไม่รู้จัก แต่สิ่งสำคัญที่ติดค้างอยู่ในใจพริมตอนนี้คือ ทำไมคนอื่นๆถึงได้ไว้ใจเธอมาก...ขนาดนี้
       ตลอดเวลาชั่วโมงกว่าๆที่อยู่ใต้พื้นดินนั้น ทั้ง 6 คนใช้เวลาพูดคุยกัน แก้วอ่านหนังสือ โน  บิวและกุนั่งเล่นไพ่กันโดยมีพริมที่ชอบเล่นไพ่เป็นชีวิตจิตใจร่วมวงอยู่ด้วย ส่วนแจนที่ไม่เล่นไพ่ก็นั่งดูทั้ง 4 คนและคอยขำเวลากุแพ้แล้วโวยวาย  จนในที่สุดวงไพ่ก็ต้องแตกกระเจิงเมื่อแก้วเดินมาบอกว่าอีกห้านาทีจะบ่ายโมง  ทั้ง 6 คนวิ่งวุ่นวาย เก็บข้าวของโดยมีโนวิ่งนำเป็นคนแรกไปยังประตูทางออก  โน ปีนบันไดขึ้นไป  ตามมาด้วยบิว  และมีแก้วกับกุปีนตามมาติดๆ
       “  พริมไปก่อนสิ”  แจนบอกพริมพร้อมพยักเพยิดหน้าไปข้างบน
       “ แล้วแจนต้องไปปิดไฟทางด้านโน้นหรือเปล่า”  พริมหันมาถามแล้วเอื้อมมือไปจับราวบันได  แจนส่ายหน้าก่อนชี้ไปที่สวิตช์ไฟข้างๆ
       “ ปิดตรงนี้ก็ได้  ไฮเทคมั้ยล่ะ”  แจนตอบพร้อมยักคิ้วให้พริม  พริมยิ้มรับแล้วค่อยๆปีนขึ้นบันไดไป  บันไดตรงนี้ก็เหมือนบันไดตอนขามา  พริมค่อยๆไต่ขึ้นไปเรื่อยๆจนเธอเริ่มเห็นแสงสว่างเป็นดวงกลมๆ ‘ ใกล้ถึงแล้วสินะ แต่แปลกที่ขามาดูมันนานกว่านี้นี่นา  ทำไมตอนปีนกลับมันดูไม่ลึกเลยล่ะ’ พริมคิดในใจ ขณะเอื้อมมือจับขั้นบันไดไปเรื่อยๆ
       เมื่อถึงปากทางกุก็เอื้อมมือลงมาช่วยดึงพริมขึ้นไป  ภาพเบื้องหน้าที่เห็นก็คือต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่มีลูกแอปเปิลห้อยเต็มกิ่งก้าน ทำให้ท้องฟ้าเบื้องบนกลายเป็นสีแดง ที่พื้นเป็นหญ้าเขียวชอุ่ม มีพุ่มไม้ขึ้นแซมเป็นทิวแถว  ตึกสีขาวที่ตั้งเด่นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็คือตัวโบสถ์นั่นเอง และนั่นทำให้พริมรู้ว่าเธอได้โผล่ขึ้นมาด้านหลังโบสถ์  ในที่สุดแจนก็ขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย  แล้วเธอก็เอามือดันประตูให้ปิดลง  ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นกลับกลายมาเป็นพื้นหญ้าสีเขียวเหมือนเดิม  แล้วทั้ง 6 ก็รีบวิ่งไปยังสะพานเพื่อกลับมาจัดของให้ทันเวลา

      “ พริม กลับไปอยู่บ้านแจนก็ได้นะ”  เสียงแจนพูดกรอกหูพริมตลอดวันศุกร์หลังจากที่เธอรู้ว่าพริมจะอยู่โรงเรียนในวันเสาร์อาทิตย์  พริมก็ได้แต่ขอบคุณและบอกว่าเกรงใจ  เธอไม่กล้าไปรบกวนใครขนาดนั้นหรอก  สาเหตุที่พริมไม่กลับบ้านก็เพราะบ้านเธออยู่ต่างจังหวัดและหอพักแถวนี้ก็ดูไม่น่าปลอดภัยสักเท่าไร  พริมเลยตัดสินใจอยู่โรงเรียน  นับเป็นเรื่องแปลกสำหรับเด็กใหม่หลายๆคน เพราะเด็กใหม่ส่วนใหญ่จะเรียกร้องกลับบ้านมากกว่าอยู่โรงเรียนกันทั้งนั้น  และไม่วายก่อนจะกลับบ้านในตอนเย็น แจนก็ยังคงย้ำถามพริมอีกครั้ง
       “ แจน กลับไปเหอะ  แม่รอนานแล้วนะ  พริมอยู่ได้น่า โธ่! สบายมาก”  พริมพูดพร้อมดันแจนเดินไปข้างหน้า  แจนขัดขืนเล็กน้อยหากก็ยอมเดินไปแต่โดยดี
       “ งั้น ถ้ามีอะไรก็โทรหาแจนนะ”  แจนหันมายิ้มให้
       “ แจนจะให้พริมยืมโทรศัพท์อาจารย์จัณฑิตาหรือไง  ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์นะ”  พริมพูดพร้อมหัวเราะ
       “ ที่นี่ไม่มี  แต่ที่ ‘โบสถ์’ มีนะ”  แจนยักคิ้วให้ “ ไปละ  บ๊ายบาย”  แจนโบกมือลาแล้วหันหลังเดินไป พริมมองตามหลังแจนที่เดินขึ้นรถ พร้อมความคิดหนึ่งในใจ ‘ ไม่เหงาหรอก  อยู่ที่นี่มีอะไรให้ทำเยอะแยะ’  พริมคิดก่อนหันหลังเดินกลับไปเซ็นชื่อว่าจะอยู่โรงเรียน  ในสมุดเซ็นนั้น มีคนมาเขียนชื่อไว้ก่อนแล้ว  แสดงว่าไม่ได้มีเพียงแต่เธอที่อยู่โรงเรียน
       “ สวัสดี  พริม”  เสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำเอาพริมสะดุ้งหันหลังไปมอง  เด็กนักเรียนผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาดี  ผมสีดำออกน้ำตาลดัดเข้ากับใบหน้า เธอส่งยิ้มให้พริม  เป็นรอยยิ้มหวานที่ดูไม่น่าไว้ใจยังไงชอบกล  “ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิพริม  แหม  ทำเป็นตกใจนะ  อ้อ! ลืมไป  ฉันชื่อบีนะ”  บีแนะนำตัว
       “ มีธุระอะไรกับฉันหรอ”  พริมถามกลับไป
       “ เปล่า”  บีตอบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้  “ แค่อยากจะเตือนเธอเท่านั้นแหละ ว่าเพื่อนกลุ่มที่เธอคบอยู่ด้วยน่ะ  เฮ้อ!...”  บีถอนหายใจพร้อมทำหน้าเหนื่อยหน่าย ก่อนจะพูดต่อไป  “ เธอคิดผิดหรือเปล่าน่ะ”
       พริมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆเธอจำได้ว่าบีเป็นเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกันกับเธอ  แต่ทั้งสองคนไม่เคยคุยกันมาก่อนและพริมก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่บีพูดเท่าไร  ไม่ใช่สิ  พริมไม่เข้าใจใน ‘จุดประสงค์’ ของบีมากกว่า  
       “ เธออยากจะพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่านะ”  พริมพูดกับบีที่ตอนนี้ทำสีหน้าดูถูกเธอ
       “ ปากดีอย่างนี้นี่เอง  ไม่น่าล่ะ ถึงได้เข้ากับพวกนั้นได้ นี่  ฉันจะบอกให้เธอรู้เอาไว้นะพวกนั้นน่ะเป็นพวกแปลกชอบทำตัวผิดปกติ  พวกน่ารังเกียจน่ะ  เข้าใจหรือเปล่า  ทางที่ดีเธอควรหากลุ่มเพื่อนใหม่นะ  ตอนนี้ก็ยังทัน”  บียิ้มให้พริมอีกครั้ง  พริมเดินตรงเข้ามาหาบี  ก่อนจะพูดออกไปว่า
       “ ขอบใจนะที่มาเตือน แต่ฉันไม่ได้โง่ขนาดที่จะดูไม่ออกว่าใครแปลก  และใครไม่แปลก”  พริมหยุดมองหน้าบี  “ และเท่าที่รู้จักพวกนั้นมา  ฉันก็ดูออกนะว่าพวกเขาจริงใจ  ขอบคุณสำหรับความหวังดี แม้ฉันจะไม่ได้ขอร้องก็ตาม”  พริมยิ้มให้บีก่อนจะเดินจากไปปล่อยให้บียืนกัดฟันโมโหอยู่คนเดียว
       “ บี เป็นอะไรหรือเปล่า”  นักเรียนหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งเดินมาหาบี
       “ เอ๋  เธอรู้ข่าวสมาชิกใหม่ของพวกมันหรือเปล่า”  บีหันไปถามเอ๋เพื่อนสนิท ที่เพิ่งเดินตรงมาหาเธอ
       “ ก็พอรู้มาบ้าง  คนนั้นหรือเปล่า”  เอ๋ชี้ไปทางพริมที่เพิ่งเดินสวนกันไป
       “ ใช่”  บีตอบด้วยสีหน้าเคียดแค้น  “ มันชื่อพริม ร้ายไม่เบา”  เอ๋หันหลังมองตามหลังพริมไป   ‘ หน้าตาอย่างนั้นน่ะนะ  ที่ว่าร้าย’  เอ๋คิดในใจ  ก่อนหันกลับมามองเพื่อนที่มักจะคอยเป็นฝ่ายหาเรื่องคนอื่นอยู่เสมอ
       พริมเดินไปอย่างหัวเสีย  เรื่องอะไรเธอจะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มายืนว่าเพื่อนของเธอ  เพื่อนที่ไว้ใจเธอทั้งๆที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก  ตอนนี้สิ่งที่พริมสงสัยก็คือ  ทำไมบีถึงพูดอย่างนั้น  คนที่จะให้คำตอบกับเธอได้คงมีแต่พวกเพื่อนๆของเธอเท่านั้น  พริมนึกถึงแจนคนแรกและนั่นคือสาเหตุที่ทำให้พริมเดินข้ามสะพานไปยัง... ‘ โบสถ์ ’
       พริมเลื่อนไม้กางเขนไปด้านข้างด้วยแรงโมโห แล้วไต่บันไดลงไปอย่างรวดเร็ว  ทำให้คราวนี้เธอรู้สึกว่าห้องลับอยู่ไม่ลึกเท่าตอนที่มาครั้งที่แล้ว พริมเปิดไฟแล้ววิ่งตรงไปที่ห้อง หาโทรศัพท์มือถือที่แจนทิ้งไว้    เธอพบว่ามันวางกองอยู่กับกองขนมข้างๆผ้านวมผืนสีน้ำเงิน  พริมหยิบมันขึ้นมาแล้วกดโทรไปที่เบอร์บ้าน  น่าแปลกที่โทรศัพท์ยังมีสัญญาณเต็ม ทั้งๆที่อยู่ใต้ดินลึกขนาดนี้แท้ๆ ถึงสัญญาณจะเต็มแต่สัญญาณแบตเตอร์รี่ก็ริบหรี่เต็มที ครั้งแรกที่เธอโทรไป  ไม่มีคนรับ  เธอจึงกดโทรอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่นานก็มีคนมารับสาย
       “ มีอะไร”  เสียงจากปลายสายดังขึ้นอย่างไม่พอใจ
       “ เอ่อ...คือหนูเป็นเพื่อนของแจนค่ะ  ขอสายแจนได้ไหมคะ”  พริมพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูนุ่มนวลที่สุด
       “ ไม่มี  ที่นี่ไม่มีคนชื่อแจน  แค่นี้นะ...”
       “ เดี๋ยวค่ะ”  พริมรีบพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสาย ‘ บางทีโทรศัพท์เครื่องนี้อาจจะไม่ใช่ของแจน’ พริมคิดในใจ  “ แล้วกุล่ะคะ  หรือไม่ก็บิวหรือโน  แก้ว  อยู่หรือเปล่าคะ”
       “ ฉันว่าเธอควรจะรู้นะว่าอยากจะโทรหาใคร เธอจะสุ่มชื่อเด็กทั้งโลกเลยมั้ยล่ะ  ที่นี่ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ  แต่ถ้าเธอจะหมายถึงไอ้โนล่ะก็  มันไม่ได้กลับบ้าน  เปิดเทอมทีไรมันก็อยู่แต่ที่โรงเรียน  ฉันเป็นแม่มันยังเจอหน้ามันน้อยกว่าครูที่โรงเรียนซะอีก เธอไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย  ไม่ต้องโทรมาอีกล่ะ ฉันไม่มีเวลาว่างพอจะคุยไร้สาระกับเด็กที่สับสนในตัวเองอย่างเธอหรอกนะ  แค่นี้ล่ะ...”  เสียงวางสายโทรศัพท์ดังกระแทกหูพริม  สมเป็นแม่ลูกกันจริงๆ  ถึงสิ่งที่พริมได้รู้จะไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ  แต่มันก็ทำให้เธอแปลกใจไม่น้อย  ถ้าโนไม่กลับบ้าน แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหนล่ะ
       พริมมองดูนาฬิกา ยังพอมีเวลาเหลือก่อนจะได้เวลาทานข้าวเย็น  เธอเอนหลังลงนอน  แล้วหลับตาพยายามคิดว่าบางทีโนอาจจะไปอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มก็ได้  เธอถูมือไปมาบนผ้านวมนุ่มๆ แล้วก็ไปสะกิดโดนอะไรบางอย่าง  เธอหยิบมันขึ้นมาดู ‘ใบไม้? มาอยู่ที่นี่ได้ไง’ พริมคิดในใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าในห้องนี้ก็มีต้นไม้อยู่เหมือนกัน ในตอนแรกเธอไม่ได้คิดเอะใจอะไรมาก  ตอนนี้เธอจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปใกล้ๆมัน
       ต้นไม้ต้นนี้แจนเคยบอกว่ามันขึ้นมาเองอาจเป็นเพราะเมล็ดแอปเปิลที่กุเอามากินแล้วโยนทิ้งไว้ก็ได้ เธอจึงคิดว่ามันเป็นต้นแอปเปิล  ต้นแอปเปิลต้นนี้สูงประมาณเข่าของพริม  พริมจึงต้องนั่งยองๆลงข้างหน้ามัน แล้วเอื้อมมือไปจับที่ใบของมัน
       “ แกมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงน่ะ”  พริมพูดกับต้นแอปเปิลเบาๆ  มันตอบกลับเธอด้วยความเงียบที่ทำให้เธอนั่งอมยิ้มกับตัวเอง  “ แกพูดไม่ได้นี่เนอะ”  พริมยิ้มกับต้นแอปเปิลก่อนจะพบว่านี่มันเลยเวลาทานอาหารเย็นมาแล้ว  พริมรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปเมื่อถึง 3 แยก เธอก็เลี้ยวขวา แล้วเท้าของเธอก็ต้องหยุดกึกโดยอัตโนมัติ  พริมหน้าซีด  ตาโต  เธอหยุดการกระทำทุกอย่างเว้นแต่เพียงสมองที่มีเสียงก้องอยู่ในหัวว่า...เธอเปิดทางเข้าทิ้งไว้!
       พริมหันหลังแล้วออกวิ่งสุดตัว  เธอได้แต่ภาวนาขอให้อย่ามีคนมาพบมันเข้าเลย  เธอทำเพื่อนๆเสียเรื่องซะแล้ว  พริมปีนบันไดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าบันไดจะเป็นตัวฉุดเธอขึ้นไปเอง  เมื่อใกล้ถึงปากทาง  พริมก็ชะลอความเร็วแล้วค่อยๆโผล่หัวออกไป  ในโบสถ์มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่บริเวณนั้น  พริมถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกก่อนจะปีนออกมา แล้วดันไม้กางเขนกลับเข้าที่เดิม  เธอเหลียวซ้ายมองขวา พร้อมวิ่งออกจากโบสถ์ไปด้วยความสบายใจ  โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองตามเธอไปจนลับขอบสะพาน ก่อนที่เงาดำจะลุกขึ้นแล้วขยับตรงไปยังไม้กางเขนอันใหญ่กลางโบสถ์!
       พริมวิ่งตรงไปยังโรงอาหาร โชคดีที่มันอยู่ไม่ไกลมากนัก  เมื่อเธอมาถึงก็พบว่ามีนักเรียนอยู่
      7-8 คนที่เงยหน้าจากโต๊ะอาหารขึ้นมามองผู้ร่วมโต๊ะคนใหม่ที่เพิ่งวิ่งเข้ามา
       “ เธออยู่โรงเรียนด้วยหรือเปล่า”  เสียงครูเวรคนหนึ่งถามขึ้น  พร้อมก้มหน้ามองลงไปในใบรายชื่อ  “ ไม่มีชื่อเธอนะ  พิมพ์ผกา”  แล้วครูคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอ  นั่นสิ! เธอลืมไปว่าเธอยังไม่ได้เซ็นชื่ออยู่โรงเรียนเพราะอารมณ์เสียเดินออกมาก่อน
       “ หนูขอโทษค่ะอาจารย์  เผอิญหนูเพิ่งมาเข้าที่นี่ปีแรก ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่อง  ขอโทษจริงๆค่ะ”  พริมยกมือไหว้ขอโทษ
       “ แล้วเธอไปไหนมา ถึงมาช้าเอาป่านนี้”  ครูเวรคนนั้นถามต่อ  พริมอึกอัก  ไม่รู้จะตอบว่าอะไร  สำหรับเด็กใหม่ที่ไม่ค่อยรู้จักสถานที่ในโรงเรียนอย่างเธอ ก็ไม่กล้าที่จะโกหกมั่วๆ เพราะจะโดนจับผิดได้ง่าย 
       “ คือหนู...”
       “ เขาอยู่กับฉันเองล่ะ”  เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ตามมาด้วยตัวคนพูด
       “ อ้าว  อาจารย์สรัญญา เป็นเวรวันนี้หรอคะ”  ครูเวรคนนั้นทักอาจารย์ที่เพิ่งเดินเข้ามา  พริมสังเกตเห็นว่าอาจารย์สรัญญาคนนี้ เป็นคนสวย  หุ่นดีและก็ดูทะมัดทะแมงมาก
       “ เปล่าหรอกค่ะ  อาจารย์ณภัสสรเป็นครูเวรวันศุกร์นี่เหนื่อยน่าดูนะคะ  แล้วก็ดิฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ ที่ปล่อยตัวนักเรียนมาช้า ดิฉันขอให้เขาไปช่วยเก็บเอกสารที่ห้องน่ะค่ะ”  อาจารย์สรัญญาพูดไปยิ้มไป
       “ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  แหม  แล้วเธอก็ไม่บอกครูนะว่าไปช่วยอาจารย์เขามา  ไป  ไปเซ็นชื่อแล้วไปนั่งกินข้าวเร็ว เพื่อนๆเขากินกันจะเสร็จหมดแล้ว”  อาจารย์ณภัสสรยิ้มให้อาจารย์สรัญญาก่อนหันไปทำหน้ายิ้มแกมดุใส่พริม  พริมเดินไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่  นักเรียนม.6ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วจึงตักข้าวส่งให้เธอ  พริมพยักหน้ารับขอบคุณ  เธอตักกับข้าวใส่จานตัวเองขณะที่ได้ยินเสียงคนข้างหลังพูดขึ้นเบาๆ
       “ หลบไปร้องไห้จนลืมหิวเลยหรือไงจ๊ะ”  พริมหันไปมองเสียงที่คุ้นๆนี้  บียิ้มให้เธอ
       “ บี  เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  ฉันจะร้องไห้ให้เธอวันเดียวคือวันที่เธอตายเท่านั้นแหละ  อย่ากังวลไปเลย”  พริมตอบกลับพร้อมสังเกตเห็นว่าคนที่นั่งข้างๆบีขำจนหน้าแทบจุ่มลงไปในจาน  พริมหันหน้ากลับมาทานอาหารต่อ
       “ ปากเก่งดีนะ”  รุ่นพี่ม.6ที่นั่งข้างๆเธอพูดขึ้น  พริมรีบตอบกลับด้วยความตกใจ
       “ เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”  พริมตอบ  รุ่นพี่คนนั้นหันมามองหน้าพริม
       “ เธอคิดว่านั่นคือคำชมหรือไง”  รุ่นพี่คนนั้นพูด  พริมทำหน้าแหยก่อนก้มหน้าก้มตาทานอาหารในจานต่อ ‘ รุ่นพี่คนนี้กวนดีจริงๆ’  พริมคิดในใจ
       “ ปุ๋ย  แกอย่าไปแกล้งน้องเขาสิ  นี่น้องอย่าไปเอาอะไรกับมันเลยนะ  ไอ้ปุ๋ยมันชอบพูดจาอย่างนี้น่ะแหละ”  รุ่นพี่อีกคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามพูดขึ้น
       “ อย่างนี้นี่อย่างไหนวะ น้ำ”  รุ่นพี่ที่ชื่อปุ๋ยพูดหน้าตาหาเรื่อง
       “ ก็ปากหมาๆไง”  น้ำพูดจบก็ต้องหลบมือปุ๋ยที่เตรียมฟาดเข้ามาแล้วทั้งสองก็เล่นกันจนพริมต้องพยายามกลั้นหัวเราะ  ชื่อของพริมทำให้ปุ๋ยกับน้ำดูสะดุ้งเล็กน้อยแต่ทั้งสามคนก็ทานไปคุยไปอย่างสนิทสนมมากขึ้น  โดยไม่ได้สังเกตสายตาของคนในโรงอาหารที่มองมา 
      ในโรงเรียนที่มีการดูแลแบบพี่น้องหรือแบบseniorityนั้น  น้องทุกคนจะต้องเคารพและเกรงใจพี่  สำหรับที่นี่ พี่จะมีอำนาจมาก  น้องบางคนกลัวพี่มากกว่ากลัวครูด้วยซ้ำ  ทำให้น้องคนไหนที่มีพี่มาให้ความสนใจหรือสนิทสนมด้วยจะกลายเป็นที่รู้จักของทั้งโรงเรียนในเวลาไม่นาน
       หลังทานข้าวเสร็จพริมก็นำจานอาหารต่างๆไปเก็บที่ห้องครัวตามคำสั่งของปุ๋ยที่บอกว่าจะนั่งรอให้เธอเอาไปเก็บให้เรียบร้อย ซึ่งพริมก็ต้องยอมทำตามแต่โดยดี  เธอเดินไปเดินมา 3 รอบกว่าจะเก็บของหมดโต๊ะ  เมื่อเธอวางหม้อไว้ในครัวเป็นอันสุดท้าย  เธอก็หันกลับมาเกือบชนกับคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
       “ จะมากไปแล้วนะ  เด็กใหม่”  รุ่นพี่คนหนึ่งพูดขึ้น พร้อมด้วยเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังอีก 2 คน “ ใครใช้ให้เธอไปนั่งร่วมโต๊ะกับรุ่นพี่”
       “ ฉันชวนเขาเอง  ทำไมหรอปิ่น”  เสียงดุๆอย่างนี้  ทำให้พริมรู้เลยว่าเป็นพี่ปุ๋ย
       “ เธอจะทำให้น้องไม่เคารพนะปุ๋ย  เป็นรุ่นพี่หัดวางตัวหน่อยสิ”  ปิ่นพูดบ้างพร้อมสีหน้าไม่พอใจ
       “ เรื่องของฉัน และที่สำคัญ  หวังว่ามันคงไม่หนักหัวเธอหรอกนะ”  ปุ๋ยพูดพร้อมจ้องหน้าปิ่น  ปิ่นทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ต้องเดินหันหลังกลับไป ‘ มิน่าล่ะ  ถึงได้ชมว่าเราปากเก่ง เขาเองก็ใช่ย่อยที่ไหนล่ะ’ พริมคิดในใจ พร้อมอมยิ้ม
       “ เธอคิดว่าฉันปากหมาล่ะสิ  ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะ เธอก็พอกันน่ะแหละ”  ปุ๋ยพูดก่อนเดินออกมาจากห้องครัว  พริมเดินตามปุ๋ยออกมาก็เจอกับน้ำที่เข้ามาบอกเธอว่าอาจารย์สรัญญาให้ไปพบที่ห้องพักครู
       พริมเดินคิดหาข้อแก้ตัวไปตลอดทาง  คิดถึงสถานที่ที่นักเรียนควรจะอยู่ตอนเวลาว่าง  เธอน่าจะพอหาข้อแก้ตัวได้บ้างเพราะอาจารย์สรัญญาก็เป็นอาจารย์ใหม่ปีแรกเหมือนกัน  ห้องพักครูของอาจารย์สรัญญาอยู่ที่ตึกใหม่ด้านหน้าสะพานที่ไม่ไกลจากห้องอาหาร ถึงแม้พริมจะพยายามเดินให้ช้าแค่ไหน มันก็มาถึงห้องพักครูเร็วกว่าที่เธอต้องการอยู่ดี  พริมเคาะประตูก่อนเดินเข้าไป  เธอเดินตรงไปหาอาจารย์สรัญญาที่นั่งทำงานอยู่  ในนั้นไม่มีอาจารย์คนไหนอยู่เลย
       “ เธอรู้ใช่ไหม  ว่าครูเรียกเธอมาทำไม”  อาจารย์สรัญญาพูดทั้งๆที่ยังก้มหน้าทำงานอยู่  พริมพยักหน้าพร้อมสาธยายยืดยาวว่าเธอหลงทาง  เดินงง หาห้องอาหารไม่เจอ แถมยังลืมยาไว้ในห้องนอน เลยต้องรีบไปเอา  แล้วก็กว่าจะหาเจอเธอก็เลยมาช้า  พริมอธิบายรายละเอียดที่เธอใช้ของจริงบ้าง  แต่งเติมเองบ้างจนเธอคิดว่าน่าจะพอทำให้อาจารย์เชื่อได้ เพราะอาจารย์สรัญญาบอกให้เธอกลับไปอาบน้ำได้ พริมจึงเดินจากมาอย่างโล่งอก
       “ พิมพ์ผกา”  อาจารย์สรัญญาพูดขึ้นในขณะที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่เหมือนเดิม  พริมจึงหันกลับมา  “ ฉันจะบอกอะไรให้เธอรู้ไว้นะ  นักเรียนทุกคนที่จะกลับเข้าห้องนอนนอกเหนือเวลานอนได้นั้น  จะต้องได้รับอนุญาตและกุญแจจากอาจารย์จัณฑิตาก่อน”  อาจารย์สรัญญาหยุดนิดนึงให้พริมหายใจ  “ และเมื่อตอนเย็น ครูอยู่กับอาจารย์จัณฑิตาที่ห้องตลอดเวลา  อ้อ! ถ้าออกไปแล้วล็อคประตูให้ครูด้วยล่ะ ขอบใจ”  พริมเดินหันหลังออกไปด้วยอาการหน้าชา  แต่ก็รู้สึกแปลกในใจ ทั้งๆที่อาจารย์รู้ว่าเธอโกหก  แต่ก็ปล่อยเธอมา  ไม่รู้ว่าควรจะโล่งใจหรืออึดอัดใจดี
       ตลอดสองวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านไปนั้น  พริมมีรุ่นพี่คือปุ๋ยกับน้ำมาอยู่เป็นเพื่อน แต่ก็มีรุ่นพี่คือปิ่นและเพื่อนอีกสองคนของปิ่นที่พริมรู้ทีหลังว่าชื่อตาลกับออย  คอยมองอย่างอารมณ์เสีย  และมีเพื่อนคนสวยอย่างบีคอยรังควานทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ถึงยังไง ก็มักจะถูกพริมกัดเจ็บๆกลับไป  และทุกครั้งที่ทั้งสองทะเลาะกันก็จะมีเอ๋คอยห้ามทัพ และมีอีกคนหนึ่งที่พริมจำได้ว่านั่งข้างบีในโต๊ะอาหารนั้นคอยร่วมวงขำอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนเขาจะชื่นชมในฝีปากของพริมไม่น้อย
       อารียาเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา  เสียงคลิกเมาส์ของเธอทำลายความเงียบในห้องทำงาน  เมื่อเข้าไปในอินเตอร์เน็ต เธอก็ตรงดิ่งไปยังกล่องข้อความเข้าในเมล์ทันที  ‘ มี 1 ข้อความ’  ตัวอักษรโผล่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ  อารียาเลื่อนเมาส์ไปคลิกตรงรูปซองจดหมาย  แล้วตั้งหน้าตั้งตารอ  ใจเธอเต้นรัว 
      ‘ ทำไมมันช้าอย่างนี้น้า’  อารียาคิดในใจ  และเหมือนมันจะได้ยินเสียงบ่นของเธอ  จดหมายจึงเริ่มปรากฏขึ้น
       อารียาคิดถึงคำสั่งต่างๆที่จะได้รับ  ข้อมูลของเธอคนนั้น และอะไรต่างๆอีกมากมายที่ไม่ตรงกับข้อความบนหน้าจอเลย

      “ วันอังคาร  ตี 4”

      ข้อความมีเพียงแค่นั้น
       อารียาอดคิดนินทาผู้ว่าจ้างคนนี้ไม่ได้  ทำไมชอบทำอะไรให้มันดูแปลกกว่าคนอื่นๆ  แทนที่จะมาคุยตกลงกับเธอโดยตรง ก็ต้องมานั่งเช็คเมล์กันทุกวัน  เงินก็รับมาแล้ว  สงสัยจะรวยมาก ถึงได้ไม่เสียดายเงิน  หากเธอเลวหน่อยล่ะก็ป่านนี้คงจะเชิดเงินหนีไปแล้วก็ได้  หน้าตาก็ไม่เคยเห็น  ที่รู้ก็มีแค่เมล์กับข้อความในกระดาษแผ่นนี้  อารียาหยิบกระดาษแผ่นที่เธอพิมพ์ออกมาจากคอมพิวเตอร์เมื่อคราวที่แล้ว  เธอคลี่มันออกมาดูและจ้องมองภาพใบหน้าหญิงสาวในกระดาษ  ‘ อืม...หน้าตามันคุ้นๆยังไงชอบกล’  เธอคิด  ก่อนอ่านข้อความข้างล่างเป็นรอบที่ 3   ใน 2-3 วันมานี้  เธอได้แต่จดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ ที่ดูเหมือนจะเป็นการตามหาคนหายธรรมดา  แต่มันกลับให้ความรู้สึกแปลกๆ ที่เธอเองยังไม่รู้ว่ามันแปลกยังไง และเธอก็ทำมันอีกเป็นครั้งที่ 3 คือ พับกระดาษเก็บใส่กระเป๋าเสื้อตามเดิมพร้อมสมองที่ว่างเปล่า
       “ ตีสี่ก็ตีสี่วะ”  อารียาบ่น  “ เป็นนายจ้างที่เรื่องมากจริงๆ  ไม่น่าหลวมตัวมารับงานนี้เลยเรา”

       
      เช้าวันจันทร์  หลังจากที่แจน  บิว  โน  กุและแก้วมาถึงโรงเรียน  ต่างคนก็ต่างแย่งกันพูดถึงเรื่องราวของตัวเองในวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา  แจนเล่าว่าเธอไปเรียนพิเศษ แล้วก็ไปเดินห้างกับแม่ แถมเจอดารามาเดินด้วย  กุกับบิวไปดูหนังผีด้วยกัน  กุเล่ารายละเอียดหนังผีซะยืดยาว  แต่บิวกลับบอกว่ากุนั่งหลับตาตลอดทั้งเรื่อง  แก้วที่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เพื่อนๆก็เดาว่าเธอต้อง “ ไปเรียนวันเสาร์เข้าโบสถ์วันอาทิตย์”  และก็เป็นจริงดังคาด  ส่วนโนดูเหมือนจะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด
      “ ฉันไม่ได้ไปไหนเลย โดนแม่สั่งให้ช่วยทำงานบ้านน่ะสิ”  โนพูดขึ้น  พร้อมทำหน้าตาเซ็งๆที่ทำเอาเพื่อนๆขำและสมน้ำหน้าไปตามๆกัน  เว้นก็แต่พริมที่นั่งเงียบเพราะไม่มีเรื่องจะเล่า  ได้แต่นึกสงสัยในคำโกหกของโน
      “ ว่าแต่พริมล่ะ “ แจนหันมาหาพริม  “ อยู่โรงเรียนเป็นไงมั่ง”  พริมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ในความคิดของตัวเอง แล้วหันกลับมาตอบแจนไปว่าไม่มีอะไร  น่าเบื่อ  แต่แล้ว ความสงสัยเรื่องหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง
      “ เออนี่  พวกเราฉันขอถามอะไรหน่อยสิ  เพื่อนคนนึงที่อยู่ห้องเดียวกับเราที่ชื่อบีอ่ะนะ เขาเป็นใครหรอ”  เมื่อพริมพูดจบ  ดูเหมือนจะมีระเบิดลงกลางหมู่เพื่อนของเธอ
      “ ทำไมหรอพริม  มันทำอะไรเธอหรือไง” กุถามด้วยสีหน้าตกใจ  ตามมาด้วยโน
      “ เล่าเร็วสิพริม  มีอะไรบอกมาเดี๋ยวฉันจัดการให้”  โนทำท่าขึงขังและก่อนที่คนอื่นๆจะทันถามต่อไป พริมก็ต้องขัดขึ้นมา
      “ ก็เปล่า  เขายังไม่ทันทำอะไรฉันหรอก”  พริมตอบ  ถึงเธอจะถูกเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนทุกครั้ง แต่ดูเหมือนคนที่โดนทำ จะเป็นฝ่ายนั้นมากกว่า
      “ แล้วพริมถามทำไมล่ะ”  บิวถามพริม
      “ ก็คือว่า  เขามาพูดทำนองว่า เอ่อ...ประมาณว่า...เอ่อ...นะ”  พริมพูดตะกุกตะกัก
      “ บอกมาเหอะน่า  มันจะด่าอะไรพวกเราก็คงไม่ต่างไปจากแต่ก่อนมากนักหรอก  บอกมา”  กุพูดหน้าตาหาเรื่องเอาการ
      “ ก็คือ...”  พริมพูดต่อ พร้อมสังเกตสีหน้าเพื่อนแต่ละคน  สายตาจับจ้องมาที่เธอ “ เขาบอกว่า ฉันน่ะคิดผิดที่มาคบพวกเธอ  แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ  แล้วก็บอกด้วยว่าพวกเธอน่ะ แปลก  เป็นพวกเอ่อ...น่ารังเกียจ”  พริมพยายามพูดคำหลังให้เบาๆ แต่เพื่อนเธอก็ได้ยินกันครบทุกคน  ไม่รู้ว่าพริมคิดไปเองหรือเปล่า  แต่เธอรู้สึกถึงเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่รอบๆเพื่อนของเธอ  และก็เหมือนพระเจ้าจะดลให้เกิดสงคราม  เมื่อจู่ๆบีกับเอ๋และเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ชอบขำเธอก็เดินเข้ามา พริมมารู้ทีหลังว่าเธอชื่อมิ้ว
      เท่าที่พริมสังเกตเห็น เวลาโนโมโหกุก็จะคอยห้าม และก็เช่นกัน ถ้ากุสติแตก ก็มีแต่โนที่เอาอยู่  แต่สำหรับเวลานี้  เวลาที่สองมฤตยูร่วมมือกัน  พริมก็ไม่รู้จะทำยังไงได้  เมื่อกุกับโนลุกเป็นทัพหน้าไปขวางคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ 3 คน
      “ นี่  คิดจะหาเรื่องกันตั้งแต่ต้นเทอมเลยหรือไง”  กุเริ่ม  พร้อมหน้าตาหาเรื่อง  น่ากลัว
      “ อะไร  เท่าที่ฉันเห็นเนี่ย พวกเธอเดินเข้ามาหาเรื่องก่อนนะ”  บีพูดบ้าง  น่ากลัวพอกัน
      “ ทะเลาะกันอยู่ได้  น่ารำคาญ”  เสียงหนึ่งจากโต๊ะหน้าห้องดังขึ้น
      “ ทำไม ไอ้อิด  นึกว่าเป็นหัวหน้าห้องแล้วสั่งได้หรือไง”  โนหันไปถามอิด  หัวหน้าห้องที่นั่งอยู่
      “ ก็เปล่า  แต่โน่น  ถ้าจะทะเลาะกันก็ไปที่อื่นโน่น  เอามีดเสียบกันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย  ห้องจะได้สงบๆสักที”  อิดพูดจบ ยังไม่ทันที่ใครจะอ้าปากเถียง  อาจารย์จักรพันธ์ก็เดินเข้ามาพอดี  ทำให้สงครามต้องสลายตัวและกลับเข้านั่งประจำที่  พริมนั่งอยู่แถวหลังสุด เลยเห็นบีที่นั่งอยู่หน้าเธอสองแถว เยื้องไปทางซ้าย กำลังนั่งซุบซิบกับนักเรียนคนหนึ่ง  ตัวอ้วนพอๆกับโน แต่ไว้ผมซอยสั้นคล้ายกุ  ในขณะที่เอ๋นั่งคุยกับมิ้ว  หลังจากอิดบอกทำความเคารพอาจารย์เสร็จ  นักเรียนทุกคนก็ก้มหน้าก้มตาหยิบหนังสือกับอุปกรณ์การเรียนขึ้นมา  เว้นก็แต่กุ  ที่เอาแต่นั่งจ้องประสานตากับนักเรียนที่ซุบซิบกับบีเมื่อครู่  ทำให้แจนที่สังเกตเห็นต้องอธิบายขึ้นมา
      “ นั่นน่ะชื่อไอ้กิ๊ก  พวกเดียวกับพวกนั้นน่ะแหละ  แต่ไอ้นี่คู่ปรับกุมัน  ทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง  แข่งกันตลอด  ดูสิ  จ้องหน้ากันอย่างกับจะใช้สายตาเผาอีกฝ่ายได้งั้นแหละ”  แจนอธิบายพร้อมพยักเพยิดหน้าให้พริมดู
      “ แต่ฉันว่า การแข่งประสานตาครั้งนี้ กุน่าจะชนะนะ  ดูสิ  เหมือนกิ๊กเขาจะเริ่มเมื่อยคอที่ต้องหันหลังมาจ้องกับกุแล้วล่ะ”  พริมพูด  แจนได้แต่ยักไหล่ไม่สนใจ
      ชั่วโมงแรกนี้เป็นวิชาสังคม  อาจารย์จักรพันธ์สอนได้สุดยอด  ทำเอาสงครามสายตาทั้งกุและกิ๊กหลับไปตามๆกัน  พริมสงสัยว่าในเวลาเรียนถ้าไม่เรียนแล้วจะทำอะไร เพราะโนกับบิวบ่นว่าไม่มีอะไรทำเลยหาแมกกาซีนโรงเรียนของปีก่อนๆมานั่งดูแล้ววิจารณ์รุ่นพี่กันอย่างสนุกสนาน  ที่เห็นก็มีแต่แจนกับแก้วที่ตั้งใจเรียน  ทั้ง 6 นั่งเรียงกันจากซ้ายไปขวาคือ แก้ว  แจน  พริม  บิว  โนและกุที่นั่งริมชิดผนังซึ่งตอนนี้กลายเป็นหมอนให้กุไปแล้ว  เสียงของบิวกับโน ทำให้พริมถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากหน้ากระดานมายังหนังสือแมกกาซีนในมือบิวที่แอบดูกันอยู่ใต้โต๊ะ
      “ พี่คนนี้สวยเนอะ  เก่งด้วย  ฉันเคยเจอเขาเมื่อตอนม.1ล่ะมั้ง  ตอนเข้าค่ายรับน้องน่ะรู้สึกตอนนั้นพี่เขาจะอยู่ม.3  ใจดีมากๆฉันยกให้เป็นขวัญใจเลยนะจะบอกให้”  บิวพูดพร้อมชี้ไปที่รูปผู้หญิงคนหนึ่งในแมกกาซีน
      “ แต่ว่าน่าเสียดายเนอะ”  โนพูดขึ้นมาบ้าง
      “ อืม  นั่นสิ  ฉันเองทีแรกยังไม่อยากเชื่อเลยนะว่าพี่ที่น่ารักขนาดนั้นจะหนีตามผู้ชายไปได้  อย่างว่า คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ  แย่ที่สุด”  บิวพูดหน้าเศร้า  ทำเอาพริมตัดสินใจเลิกเรียนแล้วหันมาดู
      “ ไหน  ใครหรอ”  พริมถาม  แล้วชะโงกหน้าไปดู  เธอล่ะรู้สึกเบื่อกับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองจริงๆ แต่มันก็ห้ามไม่ได้  บิวเอานิ้วชี้ไปที่รูป
      “ นี่ไง  สวยมั้ยล่ะ”  บิวถามพริมที่มองตามนิ้วบิวไป  พริมทำหน้าตกใจ
      “ คนนี้ที่เป็นข่าวเมื่อ 2 ปีก่อนว่าหายสาบสูญไปนี่  ฉันจำได้  แต่ดูหน้าอย่างนี้แล้วไม่น่าหนีตามใครไปได้เลยนะ  ฉันยังนึกว่าเขาเขียนข่าวมั่วๆ”  พริมเงยหน้าขึ้นมาถามบิว
      “ จุ๊ๆ  นี่เป็นข่าววงในเลยนะ  ฉันบอกเธอแล้วอย่าพูดไป  คือพี่สาวของไอ้กุ  ก็พี่กี้ประธานสภานักเรียนน่ะแหละ  เขาเล่าให้ฟังว่าพี่พิมหมายถึงพี่คนเนี๊ย  ตอนม.4 เขาแปลกไป  ดูมีลับลมคมในเหมือนกำลังแอบทำอะไรบางอย่าง  อันนี้ลองไปถามเพื่อนสนิทพี่พิมเขาดูก็ได้นะ  นั่นแหละ และยิ่งพอพี่พิมหายตัวไป เขาก็ลือกันใหญ่ว่าหนีตามผู้ชายไปแล้ว”  บิวอธิบายให้ฟัง  พริมทำหน้าครุ่นคิด  ก่อนถามต่อไป
      “ แล้วใครเป็นเพื่อนสนิทพี่เขาล่ะ  ทั้งๆที่เป็นเพื่อนสนิทกัน ยังเชื่อเลยหรอว่าพี่เขาหนีตามผู้ชายไป”  พริมถาม  คราวนี้โนเป็นคนตอบบ้าง
      “ ใครว่าล่ะ  พี่ปุ๋ยกับพี่น้ำน่ะ  ออกมายืนยันหัวเด็ดตีนขาดเลยล่ะว่าพี่พิมไม่ได้หนีตามผู้ชายไป  ปกป้องทุกอย่าง  แต่ตัวพี่เขาเองก็ตอบไม่ได้ว่าพี่พิมหายไปไหน  ก็อย่างว่าล่ะน้า  หลักฐานมันชัดเจนขนาดนั้น ไม่มีใครเชื่อพี่เขาหรอก”  โนพูดพร้อมส่ายหน้าเซ็ง
      “ เพื่อนสนิทพี่พิมก็คือพี่ปุ๋ยกับพี่น้ำเองหรอ  แล้วหลักฐานที่ว่าคืออะไรล่ะ”  พริมถามต่ออย่างอยากรู้
      “ นี่พริมรู้จักพี่ปุ๋ยกับพี่น้ำแล้วหรอ ใช่  เขาเป็นเพื่อนสนิทกัน อยากบอกว่า 3 คนนี้น่ะ ดังที่สุดในโรงเรียนเลย พี่พิมเป็นผู้หญิงที่สวยมาก  น่ารัก  นิสัยดี  ทำเอาหัวใจทั้งผู้หญิงผู้ชายละลายไปพร้อมๆกัน  สำหรับพี่น้ำจะเป็นคนขี้เล่น  ใครอยู่ใกล้เป็นอันได้ขำ อารมณ์ดีกันทุกคน  ส่วนพี่ปุ๋ยจะขรึมๆหน่อย แต่นิสัยดีมาก รักเพื่อนโคตรๆ  เห็นพี่กี้บอกว่าปากร้ายนะ  แต่ฉันว่าไม่หรอก...” โนพูดไปเรื่อยๆ  เมื่อถึงเรื่องของปุ๋ย ก็ทำให้พริมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ‘ เขาปากร้ายจริงๆแหละโน’  พริมคิดในใจก่อนจะตั้งใจฟังโนพูดต่อไป
      “ แต่พอเกิดเรื่องพี่พิมขึ้น  พี่น้ำกับพี่ปุ๋ยก็เปลี่ยนไป พี่น้ำไม่ค่อยขี้เล่นเหมือนแต่ก่อน และพี่ปุ๋ยจากที่ขรึมอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่  นี่พริมรู้มั้ย  ช่วงที่เกิดเรื่องใหม่ๆนะ  พี่ 2 คนออกมาประกาศเลยนะว่าใครพูดถึงเรื่องพี่พิมอีก จะเล่นให้อยู่โรงเรียนต่อไม่ได้เลยอ่ะ  นี่ถือว่าฉันเสี่ยงมากนะที่เล่าให้เธอฟังเนี่ย  อ้อ!  แล้วหลักฐานใช่มั้ย  คือว่า...”  ไม่ทันขาดคำ เสียงเขกกะโหลกดังป้อก ก็ดังขึ้นมา 3 ที
      “ โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย!”  เสียงบิว โนและพริมร้องโอ๊ยกันคนละที
      “ ครูถูกจ้างให้มาสอนพวกเธอนะ ไม่ใช่ให้มาพูดปากเปียกปากแฉะ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งเอาแต่คุยกันอย่างนี้  เข้าใจหรือเปล่า”  อาจารย์จักรพันธ์พูดว่าพวกเธอ  พริมคิดในใจ ‘ อาจารย์นี่ช่างสรรหาคำอะไรแปลกๆมาว่าเด็กนักเรียนจริงๆ’ ทันใดนั้นพริมก็เหลือบไปเห็นสายตาอาจารย์จักรพันธ์ที่มองไปยังกุซึ่งยังนอนฝันหวานอยู่ ‘ คนอะไร  จะตายอยู่แล้วยังนอนอมยิ้มอยู่ได้’ พริมรีบกระตุกเสื้อบิว  เมื่อบิวเห็นก็รีบกระตุกแขนโน โนกำลังจะเอื้อมแขนไปปลุกกุแต่ช้าเกินไป  อาจารย์จักรพันธ์ถึงตัวกุก่อนเสียแล้ว
      อาจารย์จักรพันธ์เอามือตบโต๊ะกุแรงๆหนึ่งที  ทำเอากุสะดุ้งตื่น  หน้าตาเหรอหรา
      “ เจ็ดยกกำลังสิบห้าค่ะครู”  กุพูดขึ้นยืนตัวตรง  ทำเอาทั้งห้องขำกันยกใหญ่
      “ อะไรของเธอกุสุมา  ดูหน้าครูสิ  ครูสอนเลขหรือไง”  อาจารย์จักรพันธ์พูดพร้อมชี้ไปที่หน้าตัวเอง  กุทำหน้างงก่อนเหลือบไปมองกระดานที่เขียนเนื้อหาของศาสนาพุทธ  คริสต์  อิสลาม
      “ อ๋อ!  คือหนูหมายความว่า  การทำคนอื่นเจ็บเนี่ยมันผิดศีลห้าน่ะค่ะครู  เลขเลิกอะไรกัน 
      ไม่มีนี่  ไม่ได้พูด”  กุพูดสีหน้าจริงจัง
       “ อืม”  อาจารย์จักรพันธ์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ‘ เด็กคนนี้นี่ถึงจะไอคิวต่ำแต่ก็อีคิวสูงดี’ อาจารย์จักรพันธ์คิดในใจ ก่อนบอกให้ทั้ง 4 คนยืนเรียนตลอดคาบ  เมื่ออาจารย์เริ่มสอนไปได้ไม่นาน 
      ‘ เอาอีกแล้ว’  พริมคิดในใจ ‘ ไอ้กุหลับอีกแล้ว’ กุที่ยืนพิงผนังหลับตานอนอมยิ้มเหมือนเดิม
       ชั่วโมงต่อไปเป็นวิชาเลข  ดนตรีอีก 2 คาบ  เคมีแล้วก็ภาษาไทย  ส่วน 2 คาบสุดท้ายเป็นคาบว่างของห้องวิทย์  การเรียนที่นี่เป็นแบบเดินเรียน ทำให้ต้องเดินเปลี่ยนห้องเวลาเปลี่ยนวิชาเรียน  และทุกครั้งพวกพริมก็จะมานั่งจองข้างหลังสุดทุกที  ทำให้พริมซึ่งไม่ใช่ประเภทเด็กเรียนอยู่แล้วยิ่งหลุดจากเนื้อหาง่ายเข้าไปใหญ่ และยิ่งตอนนี้ที่เธอกำลังมีเรื่องค้างคาอยู่ในใจด้วยแล้ว  พริมพยายามถามโนกับบิวให้รู้ว่าหลักฐานที่พูดค้างไว้มันคืออะไร  แต่ไหงในชั่วโมงเลขโนกลับตั้งใจเรียนและบิวก็เกิดอยากนอนขึ้นมาซะงั้น  ทำให้พริมต้องนั่งอึดอัดใจอยู่ทั้งชั่วโมง
       ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ  เมื่อโนกับบิวเห็นว่าพริมสนใจและคอยถามอยู่เรื่อยเลยถูกแกล้งซะเลย  โดยมีกุที่รู้เรื่องนี้ร่วมวงด้วย
       “ โธ่  บอกหน่อยสิ  หลักฐานอะไรหรอ  อย่ามายั่วให้อยากแล้วจากไปอย่างนี้สิ  น้านะ กุสุมาคนสวย  หน้าตาดี  เรียนก็เก่ง...”  พริมพูดยอกุ
       “ นี่คุณพริม  จะยอก็ให้มันน่าเชื่อถือกว่านี้หน่อยสิเพื่อน  ว่าแต่ เอ....หลักฐานหรอ  หลักฐานอะไรน้า...เอ๊...นึกไม่ออก  อะไรน้า”  กุทำท่าครุ่นคิด  แต่เห็นสีหน้าสนุกสนานได้อย่างชัดเจน
       “ เออ ไม่รู้ก็ได้  สนุกนักนะ  ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก  เดี๋ยวสืบเองก็ได้  เออ จำไว้นะ”  พริมชี้นิ้วไปที่กุซึ่งยังแกล้งทำหน้างงๆ  อมยิ้มแบบกวนๆเล็กน้อย  แล้วพริมก็ยกมือขึ้นขออนุญาต
      อาจารย์ณัศรัตน์ที่ยืนสอนเลขอยู่หน้าห้องไปเข้าห้องน้ำ  พริมเดินออกมาจากห้องอย่างเซ็งๆ
       “ อยากรู้มากจนปวดฉี่เลยเรา”  พริมพูดกับตัวเองก่อนเดินตรงไปยังห้องน้ำ  ทันใดนั้นเธอก็เห็นนักเรียนคนหนึ่งเดินสวนออกจากห้องน้ำไป  พริมหยุดกึก  หันหลังไปมองแล้วตะโกนเรียกด้วยความดีใจ
       “ พี่น้ำ!”  น้ำที่เดินไปแล้วหันหลังมามองพริมที่ยืนยิ้มอย่างดีใจและก็วิ่งมาหาเธอ
       “ ดีใจที่สุดในโลกเลยที่ได้เจอพี่น้ำเนี่ย”  พริมยิ้มหน้าบาน  ทำเอาน้ำรู้สึกแปลกใจ
       “ หน้าตาอย่างนี้  มีอะไรให้ช่วยสิท่า”  น้ำพูดแบบรู้ทัน
       “ เปล่า  ไม่มี  ไม่ได้อยากให้ช่วยอะไรหรอก แค่อยากถามอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ”  พริมพูดพร้อมกับฉุกคิดในใจได้ว่า พี่เขาไม่อยากให้คนอื่นพูดเรื่องพี่พิมเท่าไร
       “ ไว้ก่อนนะพริม  เดี๋ยวพี่ต้องรีบไปน่ะ  เอาอย่างนี้  เย็นนี้เดี๋ยวนั่งรอที่โต๊ะละกัน  รู้จักโต๊ะแล้วนี่ ที่เมื่อวานพาไปนั่งนั่นแหละ  ไปก่อนนะ ตั้งใจเรียนล่ะ ”  แล้วน้ำก็โบกมือเดินไป  พริมรู้สึกเซ็งที่วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครให้คำตอบอะไรเธอได้เลย  แล้วพริมก็นึกขึ้นได้ว่าเธอต้องรีบไปเข้าห้องน้ำ


       


      หลังเลิกเรียนในตอนเย็น เมื่อเพื่อนๆรู้ว่าพริมไป ‘โบสถ์’ ไม่ได้เพราะจะไปหาพี่น้ำที่โต๊ะ ก็ทำเอาเพื่อนๆโวยวายกันยกใหญ่  ใช่ว่าโวยวายที่พริมไม่อยู่หรอกนะ แต่...
       “ พริม  ทำไมพี่เขาถึงได้ชวนพริมไปได้ล่ะ  บอกหน่อยสิ”  แจนถาม
       “ นั่นสิพริม  พาฉันไปด้วยสิ  บอกว่าไปเป็นเพื่อนเธอไง  นะพริมนะ พี่น้ำนี่ขวัญใจฉันเลยนะ”  โนโวยวายใส่พริมที่โดนบิดแขนไปมาจนเกือบหัก
       “ ไม่ได้หรอก  พี่น้ำเขาชวนฉันคนเดียวย่ะ”  พริมตอบร่าเริง เมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนๆ
       “ พริม  กุไม่เหมือนไอ้พวกนั้นหรอกนะ  พวกบ้ารุ่นพี่  กุเป็นห่วงพริมนะ  ดูไม่น่าไว้ใจ  บอกหน่อยสิว่าเขาชวนไปทำไมหรอ”  กุทำหน้าใสซื่อ
       “ เอ?...”  พริมพูดพร้อมรอยยิ้ม “ เอ  อะไรน้า...เอ๊? ทำไมนึกไม่ออกนะ  สงสัยความจำไม่ดี  นึกไม่ออก ทำไมน้า...”  พริมยิ้มให้กุ  กุมองอย่างรู้ทัน
       “ ได้  ทีใครทีมันละกัน จำไว้เลย”  กุพูด  ก่อนลากบิวกับโนที่ยืนโวยวายอยู่ไปที่ ‘โบสถ์’   โดยมีแก้วและแจนที่โบกมือบ๊ายบายให้พริมเดินตามหลังไป
       พริมดูนาฬิกาที่บอกเวลาสี่โมงยี่สิบแล้วรีบเดินไปยังโต๊ะประจำของน้ำกับปุ๋ยที่เป็นโต๊ะม้าหินตั้งอยู่ใต้ตึกเรียนใหม่  ซึ่งน้ำกับปุ๋ยเคยพาพริมมาในวันเสาร์อาทิตย์  เมื่อพริมเดินไปถึง ก็เห็นน้ำกับปุ๋ยนั่งอยู่ก่อนแล้ว
       “ อ้าว  มาแล้วหรอคุณน้องปากเก่ง”  ปุ๋ยทักทายพริม ที่ไม่ค่อยพอใจกับคำทักทายสักเท่าไร
       “ อ่ะ  นั่งสิ  มีอะไรจะถามก็ว่ามา”  น้ำพูดพร้อมชี้ให้พริมนั่งตรงเก้าอี้ม้าหินข้างๆที่ยังว่างอยู่
       “ ถ้าเรื่องเรียนขอบอกว่าเรา 2 คนช่วยไม่ได้หรอกนะ  ถ้ามีปัญหาในการอยู่ที่นี่ล่ะก็  พอจะจัดการให้ได้  แต่ถ้าเรื่องแฟนล่ะก็  ถามไอ้น้ำคนเดียวล่ะกัน”  ปุ๋ยพูดอย่างอารมณ์ดี  น้ำหันมาทำหน้าเขียวใส่ปุ๋ย
       “ ไม่ใช่ทั้งนั้นล่ะค่ะ”  พริมขัดขึ้น “ คือ...พริมอยากรู้เรื่อง...พี่พิม ที่หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อนน่ะค่ะ”  สิ้นเสียงพริมความเงียบก็ปกคลุมโต๊ะม้าหิน  น้ำที่มีผิวขาวอยู่แล้วนั้นสีหน้าก็กลับกลายเป็นซีดลงไปกว่าเดิม  ปุ๋ยที่กำลังอารมณ์ดี ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
       “ ไม่ตอบ  กลับไปได้แล้ว”  ปุ๋ยพูดอย่างดุๆ  กลับมาเป็นคนขรึมแบบเดิมอีกแล้ว
       “ ทำไมล่ะคะ”  พริมถาม  เป็นคำถามที่ทำเอาคนฟังตกใจไปตามๆกัน  เป็นเด็กที่กล้าดีจริงๆ
       “ ไม่ตอบก็คือไม่ตอบ  เหตุผลไม่จำเป็นต้องบอก  ถ้ามีแค่นี้ก็กลับไปได้แล้ว”  ปุ๋ยพูดอีกครั้งพร้อมจ้องหน้าพริม  ธรรมดาถ้าเป็นรุ่นน้องคนอื่นก็อาจจะกลัววิ่งหนีไปแล้ว  แต่พริมกลับนั่งนิ่งเหมือนเดิม
       “ พวกพี่ๆไม่อยากรู้หรอคะ ว่าจริงๆแล้วพี่พิมเขาหายไปไหน  ขนาดพริมเป็นคนนอกที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยยังสงสัยว่าคนที่นิสัยดีและหน้าตาอย่างพี่พิมจะหนีตามผู้ชายไปจริงๆหรอ”  ประโยคนี้ทำให้ทั้งปุ๋ยและน้ำสะดุ้งไปตามๆกัน  “ ใช่ เรื่องที่เกิดขึ้นมันอาจจะนานมาตั้ง 2 ปีแล้ว บางทีพวกพี่อาจจะลืมมันไปแล้วก็ได้  หรือไม่พวกพี่ก็อาจจะโกรธพี่พิมเขามากจนไม่อยากพูดถึงอีก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร  มันก็คงไร้ประโยชน์ที่พริมคิดว่าพวกพี่ๆจะช่วยได้”  พริมลุกขึ้นแล้วเดินหันหลังไป
       “ ไม่ใช่ว่าโกรธและไม่เคยลืมด้วย”  เสียงปุ๋ยพูดขึ้นด้วยใบหน้าเศร้าๆ  ทำให้คนที่เพิ่งลุกขึ้นเดินหันหลังกลับมาฟัง  “ เพียงแต่พูดแล้วมันก็เจ็บใจ  จริงอยู่พอขึ้นม.4 พิมเขาก็ดูเปลี่ยนไป  แต่ฉันมั่นใจว่าพิมไม่ใช่คนที่จะทำอะไรโง่ๆอย่างนั้น”  ปุ๋ยหยุดพูดสักพักเหมือนจะเว้นช่วงให้คนฟังหายใจ
      “ และที่สำคัญคือฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย”  เมื่อปุ๋ยพูดจบก็ลุกขึ้น  แล้วบอกน้ำว่าจะไปทำการบ้านที่ห้องพักน้ำพยักหน้าบอกว่าเดี๋ยวตามไปทีหลัง
       “ เฮ้อ! ความจริงเรื่องนี้มันก็ผ่านไปนานแล้วนั่นแหละ  แต่เรา 2 คนลืมมันไม่ลงหรอก”  น้ำพูดขึ้นบ้าง “ พริมไม่รู้หรอกว่าเรา 3 คนน่ะรักกันขนาดไหน  เราสนิทกันตั้งแต่ม.1 เลยนะ  ไอ้ปุ๋ยน่ะมันคิดมาก เพราะคืนที่พิมหายไปนั่นแหละ”  พริมนั่งเงียบตั้งใจฟัง
       “ คืนนั้น  ปุ๋ยมันตื่นมากลางดึก เห็นพิมกำลังจัดกระเป๋าเก็บของในตู้อยู่  มันก็ไม่นึกอะไร  แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่เห็นหน้าพิมอีกเลย  พอตื่นเช้ามาทุกคนก็ช่วยกันหาพิมแต่ก็ไม่เจอ  จนกระทั่งไปเจอจดหมายลาที่เขียนบอกว่าจะหนีไปอยู่กับคนที่รัก โธ่! ใครจะไปเชื่อ”  น้ำพูดอย่างเศร้าๆ
       “ แล้วทำไมพวกพี่ถึงมั่นใจนักล่ะคะว่าพี่พิมไม่ได้หนีตามผู้ชายไป”  พริมค่อยๆถามเหมือนกลัวจะไปกระทบจิตใจน้ำเข้า
       “ ก็จดหมายนั่นมันลายมือพิมซะที่ไหนล่ะ  แค่น้ำกับปุ๋ยดูก็รู้แล้ว  แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราบอกไม่ได้ก็คือรูปถ่ายที่พิมชอบเอามาโชว์พี่ 2 คนบ่อยๆน่ะสิ  ตำรวจเจอมันวางอยู่ใต้หมอนพิม เป็นรูปที่พิมถ่ายกับผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาเด็กกว่า พี่ก็เคยถามนะว่าเขาเป็นใคร พิมมักจะยิ้มและบอกว่าเขาเป็นคนสำคัญของเธอ ตอนแรกนึกว่าเป็นน้อง แต่ก็มารู้ทีหลังว่าพิมเป็นลูกคนเดียว ตำรวจจึงต้องสรุปว่าเป็นคดีหนีตามผู้ชายไป  เรา 2 คนก็ทำอะไรไม่ได้เลย”  พริมฟังน้ำเล่าก็เศร้าใจไปด้วย
       “ พี่น้ำคะ  ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป  พริมขอดูรูปนั้นได้มั้ยคะ”  พริมถามน้ำด้วยความเกรงใจ
       “ ได้สิ”  น้ำหันไปควานหารูปในกระเป๋า “ อ่ะ  พี่เก็บไว้เสมอล่ะเวลาคิดถึงพิม”  พริมรับรูปจากน้ำมาดูเป็นรูปผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาสดใส กำลังยิ้มให้กับกล้อง แขนกอดคอกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาดี  ผมสีน้ำตาลทอง  ดูก็รู้ว่าสองคนนี้รักกันมาก ใจพริมอยากจะขอรูปนี้เก็บไว้แต่ก็รู้ดีว่าพี่น้ำคงไม่ให้
       “ พริมรู้หรือเปล่าว่าถ้าเป็นรุ่นน้องคนอื่นนะ พูดกับไอ้ปุ๋ยเมื่อกี๊มีสิทธิตายได้โดยไม่รู้ตัวเลย  พริมนี่กล้าดีเหมือนกัน”  น้ำหันมาพูดกับพริมที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่รูป
       “ แล้วทำไมพริมยังรอดตายมาได้ล่ะคะเนี่ย”  พริมเงยหน้ามาถามน้ำพร้อมส่งรูปคืนให้
       “  จะบอกอะไรให้นะ  ที่ปุ๋ยมันดีกับพริมขนาดนี้ก็เพราะพริมน่ะ...เหมือนพิมเขามากๆเลยน่ะสิ”  คำพูดของน้ำทำเอาคนฟังตกใจเหมือนกัน
       “ พริมตัดสินใจแล้วค่ะ  พริมจะต้องหาเหตุผลเรื่องนี้ให้ได้  พริมจะเอาคำตอบจากพี่พิมมาบอกพี่ 2 คนนะคะ  สักวันหนึ่ง พริมสัญญา”  พริมพูดพร้อมสีหน้ามุ่งมั่น
       “ เป็นนักสืบหรือไงเราน่ะ”  น้ำถาม  พริมอมยิ้ม
       “ ไม่รู้สิคะ”

       
       หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ  พริมก็ขึ้นไปอาบน้ำบนตึกนอนที่แบ่งเป็น 2 โซนโดยม.4จะอยู่ชั้น 4 แยกเป็นโซน 4A กับโซน 4B  4A จะมี 4/1 กับ 4/2  ส่วน4B ก็เป็น 4/3 กับ 4/4  พริมอยู่ห้องวิทย์ คือ 4/1 เลยต้องอยู่โซนA  ที่โรงเรียนนี้จะแบ่งห้องนอนเป็นห้องๆ  ห้องละ 6 คน  เดิมทีพริมอยู่แยกไปห่างจากห้องของเพื่อนๆอีก 2 ห้อง  แต่เพื่อนๆก็ช่วยกันย้ายของพริมเข้ามาอยู่ด้วยกันและขอให้คนที่อยู่ก่อนนั้นไปอยู่ห้องเธอ  พริมพยายามค้านเพราะเกรงใจคนที่อยู่ก่อนแล้ว  แต่ก็โดนลากมาจนได้ในที่สุด
       “ นี่  ฉันว่าอย่าเลยน่า  เกรงใจเขา  เขาคงไม่พอใจนักหรอก”  พริมโวยวาย  พยายามขัดขืนขณะโดนกุกับโนฉุดเดินไป
       “ ไม่เป็นไรหรอกน่า  แจ๊บเขาไม่ว่าอะไรหรอก มันรำคาญพวกเราจะตายไป  รู้ป่าว  แจ๊บมันเป็นเด็กเรียนของห้องเลยนะ  ที่นั่งอยู่ข้างหน้า  ผมยาวๆ หน้ารีๆผอมๆหน่อยใส่แว่นตาด้วยอ่ะ” โนพูด
      “ จะว่าไป ก็เหมือนเอาโนมารีดให้แบนนั่นแหละ”   กุพูดให้เห็นภาพเลยโดนโนทุบไปหนึ่งอึก   แจนที่เดินขำอยู่ ช่วยอธิบายต่อ
      “ คือแจ็บเขามักอ่านหนังสือจนดึกหรือไม่ก็ตื่นมาอ่านตอนเช้า ทำให้ต้องเปิดไฟแล้วอย่างนี้เธอลองคิดดูนะ จะให้อยู่ร่วมกับกุได้ไง  ปีที่แล้วนะเกือบตบกันตาย และอีกอย่าง แจนคุยกับแจ็บแล้ว แจ็บเขายินดีสุดซึ้งเลยแหละ”   แจนพูดยิ้มๆ ทำให้พริมรู้สึกสบายใจขึ้น
      ในห้องนอนเป็นเตียง 2 ชั้น เรียงกัน แก้ว แจน และพริมนอนเตียงบน ส่วนกุ  บิวกับโนนอนเตียงล่าง ด้านข้างเตียงมีตู้ล็อกเกอร์ให้ 6 ตู้  ห้องน้ำและห้องอาบน้ำจะเป็นห้องรวมที่นักเรียนทั้งโซนใช้ร่วมกัน เมื่อเดินเข้าไป เลี้ยวซ้ายจะเป็นห้องน้ำ แต่เลี้ยวขวาเป็นห้องอาบน้ำ โดยนักเรียนต้องเปลี่ยนผ้าถุงที่ห้องก่อนไปอาบน้ำ
      “ ไม่เอา ! ไม่มีวันจ้างให้สิ ”  พริมโวยวายเมื่อรู้ว่าต้องเปลี่ยนผ้าถุงก่อน
      “ ทำไมล่ะ ไม่ต้องโวยวายหรอกน่า เราไม่แกล้งกระตุกผ้าถุงเธอหรอก เปลี่ยนเร็วเดี๋ยวครูเวรมาจะโดนทำโทษนะ” บิวยื่นผ้าถุงในตู้ให้พริม
      “ ไม่มีทาง  ฉันไปมันอย่างนี้ทั้งชุดนั่นแหละ”  พริมโวยวาย เพราะเมื่อตอนอาทิตย์ที่แล้วนั้น พริมก็เอาชุดเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำเพราะไม่มีครูเวร แต่คราวนี้บิวบอกว่าต้องเปลี่ยน
      “ จะอายอะไรนักหนาเล่า อายก็ไม่ต้องเปลี่ยน เข้าไปอาบน้ำกับกุในห้องเลยมา”  กุทำท่าลาก พริมไป พริมโวยวายหนักกว่าเก่าแล้วรีบคว้าชุดนอนกับตะกร้าอาบน้ำ วิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว
      ห้องน้ำถึงจะเป็นห้องรวม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะอาบน้ำแบบเห็นกันหมด เพราะเมื่อเดินเข้าประตูห้องน้ำไปนั้น ทั้ง 2 ข้าง ซ้ายขวาจะเป็นอ่างล้างหน้า แปรงฟัน เข้าไปข้างในจะเป็นห้องน้ำแยกเป็นห้องๆประมาณ 10 ห้องและห้องอาบน้ำประมาณ 20 ห้อง อันที่จริงก็แค่ใส่ผ้าถุงจากห้องนอนเดินมาห้องน้ำ แล้วก็เข้าห้องอาบน้ำแค่นั้นเอง แต่หัวเด็ดตีนขาดยังไงพริมก็ไม่ยอม
       หลังอาบน้ำเสร็จ พริมค่อยๆเปิดประตูแง้มออกมามองหาครูเวร ‘ไม่มี’ แล้วเธอค่อยๆย่องกลับห้องไป ‘จะต้องย่องไปอย่างนี้ไปอีก 3 ปีหรอเนี่ย’ พริมคิดในใจ  เมื่อพริมกลับเข้าห้องมาได้ก็โล่งใจเธอเงยหน้าขึ้นเห็นเพื่อนๆแต่งตัวกันอยู่ พริมรีบเก็บของแล้วเอาผ้าขึ้นมาเช็ดผมที่เปียก
      “ อาบนานเชียวพริม”  แจนถามขณะทาครีมที่หน้า
      “ ก็สระผม นี่” พริมพูดพร้อมขยี้ผมต่อไป
      หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ต้องเดินกลับไปยังห้องพัก ห้องพักของนักเรียนม.ต้นนั้น จะอยู่ที่ตึกเรียนเก่า ที่เป็นตึกไม้เลยไม่มีแอร์ ส่วนของม.ปลายจะอยู่ในตึกวิทยาศาสตร์ ม.4 อยู่ชั้น1 กับ ม.5 ส่วนพี่ ม.6 จะอยู่ชั้น 2 ข้างๆห้องฟิสิกส์กับห้องชีวะ ชั้น3 เป็นห้องเคมี และห้องร้องเพลง ห้องพยาบาลจะอยู่ถัดไปจากห้อง ม.4 เล็กน้อย และด้านข้างห้องพยาบาลเป็นห้องดนตรีไทย
      “ เป็นตึกที่จับฉ่ายมากๆ เหมือนเอาอะไรมาโปะๆลงไป ที่แย่ที่สุดคือห้องพักของเรานั้นแหละ มันแออัดมากๆเลยอ่ะ”  โนบ่นให้พริมฟังครั้งแรกเมื่อเข้ามาที่ห้องนี้อาทิตย์ก่อน และอีกครั้งในวันนี้
      คืนนั้นพริมและเพื่อนๆช่วยกันทำการบ้านที่กองท่วมหัว    พริมเองยังงงๆว่าการบ้านพวกนี้มันมาตอนไหนกันแน่ แจนบอกว่าเพราะพริมไม่เรียนจึงไม่รู้ พริมก็ได้แต่ทำหน้าแหย แล้วเลิกบ่น   
      เมื่อนาฬิกาบอกเวลาใกล้ 4 ทุ่ม ครูเวรก็เดินมาบอกให้เก็บของ นักเรียนหลายคนก็ลุกเก็บของกันยกใหญ่ แล้วเดินกลับตึก
       กว่าพริมจะข่มตาหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน เธอนอนกระสับกระส่ายคิดถึงเรื่องพิมที่หายตัวไป และเรื่องโนที่เธอเกือบลืมไปแล้ว จนโนที่นอนอยู่ข้างล่างต้องตื่นมาถามว่าพริมเป็นอะไร ทำเอาพริมตกใจไม่น้อย เมื่อพริมตอบกลับว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
      คืนนั้นพริมฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาวดำขลับมาเล่นกับเธอ ใบหน้าของเธอคนนั้นยิ้มแย้มแจ่มใส แต่สักพักใบหน้าของเธอก็เศร้า เศร้า เศร้ามาก พริมเห็นเธอร้องไห้ ทำให้พริมต้องสะดุ้งตื่น เธอรู้สึกว่าตัวเองน้ำตาไหล พริมยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วเหลือบไปเห็นเตียงอันว่างเปล่าในความมืด
      ‘ แจนไม่อยู่’  พริมมองดูนาฬิกาที่บอกเวลาตี 5 กว่าๆ เธอขยับตัวลุกขึ้น ทำให้รู้ได้ว่าเตียงมันเบาๆ เธอจึงก้มลงไปมองข้างล่าง โนก็ไม่อยู่เหมือนกัน แล้วทันใดนั้นก็มีคนเปิดประตูเข้ามา
        “ อ้าวพริมตื่นทำไมล่ะ”  เสียงแจนนั่นเอง
      “ แจนไปไหนมา แล้วโนล่ะ” พริมถามแจน ตาใสแป๋ว
      “โนหรอ ไม่รู้สิ แต่เมื่อกี๊ แจนไปเข้าห้องน้ำมานะ  แปลก ไม่ยักกะเห็นโน” แจนเดินเข้ามาพร้อมปีนขึ้นไปบนเตียง  “ สงสัยสวนกันมั้ง”  แล้วแจนก็ล้มตัวลงนอนต่ออย่างสบายใจ ขณะที่พริมไม่สามารถข่มตาหลับได้อีก  และในไม่กี่วินาทีต่อมา โนก็เดินเข้ามาในห้อง เธอเปิดตู้เสื้อผ้าทำอะไรบางอย่าง แล้วกลับมานอนที่เดิม พริมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วนอนมองเพดานจนเช้า


      นาฬิกาบอกเวลาตีห้าครึ่ง อารียานั่งดื่มกาแฟด้วยขอบตาดำคล้ำ เพราะไม่ได้นอนมาตั้งแต่ตี 3  เธอกำลังรอข้อความจากนายจ้างจอมประหลาดที่บอกจะส่งมาตอนตี 4 ซึ่งข้อความก็…
      “ ผมอยากให้คุณช่วยสืบหาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่โรงเรียน หรือกับคนรัก ขอให้เร็วที่สุดภายในอาทิตย์หน้า ส่วนรูปร่างหน้าตาและประวัติของเธอก็อยู่ในข้อมูลที่ผมส่งไปให้เมื่อคราวที่แล้ว”
      อารียาทำได้แต่นั่งเซ็งกับข้อความที่ส่งมา เธอจ้องกาแฟในถ้วยเหมือนจะทำให้มันกลายเป็นน้ำเปล่าได้  ‘ เบื่อตานี่จริงๆ สั่งอยู่ได้’  อารียาคิด ก่อนที่จะลุกไปหยิบ MP3 มาฟัง  ใจเธออยากจะเปิดทีวีดูมากกว่า แต่ก็เกรงใจคนที่กำลังหลับอยู่  ‘เอาวะมาถึงขั้นนี้แล้ว เป็นไงเป็นกัน’ อารียาคิด ก่อนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาจดอะไรขยุกขยิกลงไป


      เช้าวันอังคารผ่านไปได้ด้วยดีกับการรีบตื่นมาอาบน้ำของพริม เธอไม่ชินกับการต้องเห็นคนอื่นใส่ผ้าถุงเดินไปเดินมาเลย ถึงมันจะไม่ได้โป๊อะไรมากมายก็ตาม 2 ชั่วโมงแรกของการเรียนในวันนี้ คือวิชาภาษาอังกฤษ  วิชาโปรดอันดับสองของพริม เธอเรียนได้ดีกว่าใคร ๆในกลุ่ม แต่ชั่วโมงที่ 3 นี่สิ วิชาโปรดอันดับหนึ่งเธอเลย พริมตั้งตารอเรียนวิชานี้มานาน จนกระทั่งรู้ว่าครูที่สอนเป็นใคร ก็ทำเอาเธอไม่ค่อยแน่ใจซะแล้ว
       “ วันนี้ครูจะสอนการเล่นบาสเก็ตบอล ขอให้แบ่งทีมกันทีมละ 5 คน แล้วมาส่งรายชื่อที่ครู” อาจารย์สรัญญาพูดขึ้นในชั่วโมงพละ
      นักเรียนแต่ละคนปรึกษาหารือกัน ตอนแรกพริมจะออกไปอยู่กลุ่มอื่น แต่โดนแก้วขวางไว้เพราะอ้างว่าไม่ชอบเล่นพละอยู่แล้ว และวันนี้ก็ปวดท้องด้วย แก้วจึงไปรวมกลุ่มกับอิดที่เป็นหัวหน้าห้อง
                  เมื่อลงชื่อครบแล้ว อาจารย์สรัญญา ก็เรียกชื่อกลุ่มออกมา 2 กลุ่ม บอกให้ลองลงสนามแข่งดู จะได้รู้เบสิคของนักเรียน โดยใครโยนได้ 2 ลูกก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ อาจารย์สรัญญาเรียกกลุ่มแรกให้ออกมาเป็นกลุ่มพริม ที่มี กุ โน บิว และแจน ลุกขึ้นตามๆกัน และถามว่าใครอยากจะออกมาแข่งกับกลุ่มนี้ก่อน ไม่น่าแปลกที่พริมจะมองไปเห็นกิ๊ก บี  เอ๋  มิ้ว (คนที่ชอบขำพริม)   และโอ๊ต  (คนที่พริมรู้สึกไม่ชอบหน้าเอาซะเลย) กำลังลุกขึ้นมา
                    “ โอ๊ต น่ะ เล่นกีฬาเก่งทุกอย่างเลย เก่งแบบมากๆ เลยอ่ะ”  แจนกระซิบข้างหูพริม
       “ เออ น่า เดี๋ยวจัดการเอง”  พริมกระซิบกลับ พร้อมบอกให้กุกันกิ๊ก แจนสู้กับเอ๋ โนประกบบี และบิวที่ตัวสูงหน่อยคอยกันมิ้วที่ตัวพอๆกัน ส่วนพริมจะจัดการโอ๊ตเอง
      เมื่อทั้ง 10 คน ลงสนาม สงครามสายตาอันดุเดือดก็ปะทุขึ้น พออาจารย์สรัญญาเป่านกหวีด  ลูกบาสก็ลอยขึ้นข้างบนอากาศ พริมที่กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วคว้าลูกได้ก่อนโอ๊ตภายในเสี้ยววินาที
      พริมเดาะลูกไปข้างหน้าเมื่อหันซ้ายขวาเห็นกิ๊ก กับ มิ้วมาประกบ  ข้างหน้าก็มีโอ๊ตขวางอยู่ เธอจึงหมุนตัวส่งลูกโยนหลัง ต่อให้กุ กุคว้าลูกได้อย่างแม่นยำ แล้วเลี้ยงลูกผ่านบีที่ถูกโนกันอยู่อย่างแน่นหนา ถึงบีจะสูงกว่าโน แต่โนก็กว้างกว่าบี  จึงพอจะกันไว้ได้  กิ๊กวิ่งมาหากุอย่างรวดเร็ว กุทำท่าเหมือนจะขว้างลูกใส่หน้ากิ๊ก ทำให้กิ๊กก้มหัวหลบ ลูกจึงลอยผ่านไปเข้ามือพริม พริมไม่รอช้าขว้างลูกลงแป้นพอดี!
      เสียงเฮดังมาจากกลุ่มเพื่อนที่นั่งดูอยู่  พริมกับกุเดินมาตบมือกัน  โนหันไปยิ้มแฉ่งให้บี  แล้วเกมส์ก็ดำเนินต่อไป  โอ๊ตมองมาที่พริมอย่างอาฆาตแค้น  เขาไม่เคยถูกใครทำคะแนนนำมาก่อน  แต่ก็ยอมรับว่าพริมนั้นไวจริงๆ โอ๊ตชูนิ้วโป้งให้พริม ก่อนจะคว่ำลง พริมยิ้มรับและพูดประชดเบาๆว่า ขอบใจ
       เมื่อลูกเข้าสู่สนาม บิวเป็นคนที่ถือลูกเดาะไปยังแป้น คราวนี้โอ๊ตไม่ปล่อยให้บิวเลี้ยงลูกไปได้ง่ายๆ โอ๊ตวิ่งไปดักหน้าบิวและปัดลูกออกจากมืออย่างรวดเร็ว จนไม่มีใครแทบสังเกตเห็น พริมรีบวิ่งไปขวางหน้าโอ๊ตเอาไว้ แต่เธอก็ต้องรู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ เมื่อโอ๊ตวิ่งเข้ามาแบบไม่ลดความเร็ว  เหมือนตั้งใจจะวิ่งมาชนเธอ และก็เป็นจริงดังคาดเมื่อโอ๊ตที่เข้ามาถึงตัวพริม เบี่ยงไหล่จะกระแทกเธอเข้าให้อย่างจัง ทำให้คนที่อ่อนแอกว่าล้มลงไปกองกับพื้น
       อาจารย์สรัญญาเป่านกหวีดเข้ามาดูอาการแล้วช่วยพยุงโอ๊ตลุกขึ้นไป พร้อมหันมาว่าพริม
       “ หนูยังไม่ทันทำอะไรเลยนะคะอาจารย์ หนูเห็นโอ๊ตเข้าวิ่งมาแรง พอใกล้ถึงหนู หนูก็เลยหลบให้เขา แล้วเขาก็ล้มลงไปเอง อาจารย์ก็เห็นนี่คะ”   พริมพูดเสียงสะใจ อาจารย์สรัญญา เองก็ยอมรับว่าเห็นอย่างนั้น จึงให้การแข่งขันดำเนินต่อไป
       เมื่ออาจารย์โยนลูกเข้าไปในสนาม มิ้วรับลูกแล้วรีบโยนส่งต่อให้บี แต่โนก็วิ่งมาขวางแล้วรับไว้ได้ทัน บีกระทืบเท้าโนก่อนแย่งลูก ส่งต่อให้เอ๋ที่รับลูกไม่ได้ เลยปล่อยให้ลูกกลิ้งไปเข้ามือโอ๊ตที่ตั้งท่ารอและโยนเข้าประตูไปในทันที!
       เสียงเฮจากเพื่อนๆที่นั่งอยู่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง โนเดินกะเผลกมาหาพริมกับกุที่ยืนเซ็ง แล้วบอกว่า เธอโดนโกง ทำให้กุเดือดอย่างแรงไม่แพ้พริม
       เมื่อลูกตัดสินถูกโยนเข้าสู่สนาม อารมณ์เดือดของผู้เล่นก็พลุ่งพล่านจนห้ามไม่อยู่ เมื่อกิ๊กได้ลูกมาอยู่ในกำมือแล้วถูกพริมขวางไว้กิ๊กหันซ้ายขวา เพื่อนของเธอถูกกันไว้อยู่
      “ กิ๊กๆ ส่งมาให้ บี เร็ว” เสียงบีดังขึ้นด้านหลัง  กิ๊กจึงหันมาแล้วขว้างส่งลูกเต็มแรงไปเข้ามือกุ  กิ๊กหันไปมองบีที่ถูกโนดึงเสื้อและปิดปากไว้อยู่  บีส่ายหน้าเป็นเชิงว่า ไม่ได้พูด

      กุยิ้มร่า วิ่งเลี้ยงลูกไปยังแป้นข้างหน้า มิ้วเข้ามาขวางไว้อย่างรวดเร็ว  กุจึงส่งลูกต่อให้บิว 
      ที่ตามมิ้วมาติดๆ  มิ้วจะกระโดดคว้าลูกไว้  แต่บิวไวกว่า  บิวจึงจับไหล่มิ้วแล้วยันตัวเองกระโดดขึ้นไปคว้าลูกไว้ก่อน  พร้อมเหวี่ยงลูกไปให้โน  โนปล่อยมือจากบีมาคว้าลูก  บีจึงรีบยื่นมือมาแย่งลูก  แต่โนที่ไวกว่าก็เอาปากกัดมือบี แล้วส่งลูกใต้ขาไปให้พริม  พริมที่ยืนรออยู่แล้วนั้น  เมื่อได้ลูกก็พาวิ่งไปข้างหน้า  แต่ก็ต้องมาสะดุดลงเมื่อโอ๊ต สไลด์ตัวยื่นขาเข้ามาขัดขาพริม  พริมรีบส่งลูกต่อให้แจนที่ยืนนิ่งมานาน  แล้วเอาขาทั้งสองข้างล็อค ขาโอ๊ตไว้ ทำให้โอ๊ตเสียหลักล้มลงมากองข้างๆเธอ
      “ หายกันนะ” พริมยิ้มให้โอ๊ตที่มองหน้าจะกินเลือดเธอ
      แจนรับลูกมาถือไว้ในมืออย่างงง เธอไม่ค่อยเล่นกีฬา  ยิ่งบาสด้วยแล้วเป็นอะไรที่เธอไม่ถนัดเลย  แจนถือลูกนิ่งในมือ  ไม่วิ่งไม่เดาะ  ‘ ก็แล้วฉันต้องทำอะไรล่ะ’  แจนคิดในใจอย่างร้อนรน  ในสนามที่มีเพียงแต่เอ๋กับแจนที่เล่นบาสไม่ค่อยเป็นประชันหน้ากัน เอ๋ก็งง แจนก็งง  แต่แจนเป็นฝ่ายถือลูก จึงได้เปรียบกว่า  ‘ เอาก็เอาวะ’  แจนคิดก่อนตัดสินใจหลับตา โยนลูกไปข้างหน้าเต็มแรง  ลูกลอยละลิ่วไปข้างหน้า  สายตาคนทั้งสนามมองตามลูกบาสที่ลอยไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม กุยืนนิ่งอยู่ข้างๆแป้นเห็นว่าลูกลอยมาไม่ตรงแป้นจึงใช้ขาถีบฐานแป้นที่มีล้อเลื่อนไปทางซ้าย  สายตาพริมที่มองตามลูกบาสไปลงแป้นพอดี!
      “ เย้!”
      พริม โน บิว ตะโกนร้องด้วยความดีใจ แจนลืมตามองลูกหล่นลงใต้แป้น ก็พลอยดีใจไปด้วย กุหันมองซ้ายขวาดูว่าไม่มีใครสังเกตเห็น จึงโมเมวิ่งไปหาเพื่อนๆด้วยความดีใจ
      หลังจากหมดชั่งโมงพละ พริมก็รู้ว่าเธอได้สร้างศัตรูเพิ่มอีกหนึ่งคน โนชวนเพื่อนๆไปทานของว่างในเวลาพักเบรคตอน 10.30 น. ทั้ง 6 นั่งกินนมกับกล้วยน้ำว้าที่โต๊ะไม้ข้างๆโรงยิม ซึ่งอยู่หลังตึกเรียนใหม่อีกที 
      “ สะใจ”   กุพูดขึ้นขณะกัดกล้วยน้ำว้าคำโต
      “ แน่นอนที่สุด” บิวยิ้มดีใจ  
      “ เห็นชัดๆว่าโกง”  แก้วพูดหน้าตาเฉย
      “ ก็แหมมันทำเราก่อน”  โนพูดพร้อมเคี้ยวตุ้ยๆ   “ ว่าแต่ พริมนี่เล่นเก่งเนอะ”  โนหันมายิ้มให้พริม
      “ ก็ที่โรงเรียนเก่าเล่นบ่อย ไม่ได้เก่งหรอก แค่…” ยังไม่ทันพูดจบพริมก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงกรี๊ดและเสียงโวยวายดังลั่นมาจากหน้าตึกเรียน ทั้ง 6 รีบลุกแล้ววิ่งไปดู
      ภาพเบื้องหน้าเป็นภาพเด็กนักเรียนหลายคนยืนออกันหน้าตึกเรียน แล้วเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน พร้อมตะโกนกันเสียงดังวุ่นวาย  พริมเงยหน้ามองไปยังดาดฟ้าชั้น 6  ก็เห็นนักเรียนคนหนึ่งยืนอยู่ริมขอบที่กั้น ทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์ทันที  พริมเบียดเสียดฝูงชนไปยืนอยู่ข้างหน้า เพื่อมองให้ชัดว่านักเรียนคนนั้นคือใคร…พี่กี้!


      “ เป็นไปได้ยังไงนะ กุ! กุ!”  แจนหันมาถามกุ  ที่กำลังยืนอึ้งมองพี่สาวตัวเอง กำลังจะโดดตึก
      “ ชนาทิพ เธออย่าทำอะไรโง่ๆนะ  มีอะไรบอกครูมาสิ”  อาจารย์จัณฑิตาที่วิ่งมาอย่างหน้าตื่นพูดใส่โทรโข่ง  พริมเงยหน้ามองเห็นกี้ร้องไห้  ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไร
      “ พี่กี้ ขอกุขึ้นไปคุยกับพี่กี้ข้างบนนะ พี่กี้มีอะไรบอกกุได้เลย  กุไม่บอกพ่อกับแม่หรอกนะ”  กุรีบพูดก่อนวิ่งขึ้นบันไดไป  โดยไม่ทันเห็นกี้ที่ทำหน้าตกใจ  และส่ายหน้าห้ามขึ้นมาอย่างเอาเป็นเอาตาย  พริมเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามกุขึ้นไป โดยมีอาจารย์สรัญญาตามมาด้วย
      เมื่อทั้ง 3 คนขึ้นมาถึงข้างบน  พริมก็เอามือดันเปิดประตูออกไปแต่เปิดไม่ออก
       “ ประตูหนักมาก  ต้องช่วยกันแล้วล่ะค่ะ”  พริมหันมาพูดกับอีกสองคน  ทั้ง 3 จึงช่วยกันผลักประตูออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี  เมื่อประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย พริมที่อยู่ด้านลูกบิดประตูก็ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยแรงที่เธอออกไปเต็มที่  สิ่งที่ทั้ง 3 คนได้เห็น มีเพียงด้านหลังของกี้เพียงแวบเดียวก่อนที่เธอจะร่วงลงไป!
       เสียงกรี๊ดดังขึ้นท่ามกลางหมู่นักเรียนที่แตกกระเจิง  พริมลุกขึ้นแล้วก้มมองลงไปเบื้องล่าง  ภาพที่เห็นเป็นภาพที่ไม่น่ามองเอาเสียเลย  กุนั่งลง ร้องไห้ด้วยความตกใจ ขณะที่อาจารย์สรัญญาวิ่งลงไปข้างล่างแล้ว
       เมื่ออาจารย์สรัญญาลงไปถึง ท่ามกลางหมู่ครูและนักเรียนที่ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ  เธออาจจะเป็นคนที่ตั้งสติได้ก่อนคนแรกจึงรีบวิ่งเข้าไปดูกี้  แล้วตะโกนบอกให้โทรแจ้งตำรวจ
       “ เรียกรถพยาบาลมาด้วย”  อาจารย์จักรพันธ์หันไปตะโกนบอกอาจารย์ณัศรัตน์ที่กำลังโทรศัพท์หน้าตาตื่น
       “ ไม่ต้องหรอก”  อาจารย์สรัญญาพูดขึ้น  “ ไม่ทันแล้วล่ะ”
       ทันใดนั้นเสียงประกาศของอาจารย์จัณฑิตาก็ดังขึ้น บอกให้นักเรียนทุกคนกลับเข้าห้องเรียนของตัวเอง และให้อาจารย์เข้าสอนตามปกติ  ทำให้ฝูงนักเรียนสลายตัวเหลือแต่เพียงอาจารย์ไม่กี่คนและพริมที่เมื่อบอกให้แจนพากุไปนอนที่ห้องพยาบาลแล้ว  ก็เดินไปนั่งยองๆข้างๆกี้
       “ เธอกล้าดูคนตายด้วยหรอ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังพริม  พริมหันหลังและเงยหน้าขึ้นไปดูอาจารย์สรัญญาที่มองกี้อยู่เหมือนกัน
       “ นี่เป็นครั้งแรกค่ะ ที่หนูเห็นคนตายต่อหน้าต่อตา  น่าตกใจนะคะ เป็นถึงประธานสภานักเรียนทำไมต้องฆ่าตัวตายด้วย”  พริมเหมือนพูดพึมพำกับตัวเอง
       อาจารย์สรัญญาก้มลงมองด้วยรู้สึกตะหงิดใจกับภาพที่เห็น  หัวที่กระแทกพื้นของกี้มีรอยเลือดเต็มไปหมด เว้นแต่บริเวณรอบปาก  เธอก้มลงไปมองให้ใกล้ยิ่งกว่าเดิม  บริเวณเหนือริมฝีปากบนของกี้มีขนอ่อนขึ้นอยู่  แต่ที่แปลกคือมันขึ้นไม่สม่ำเสมอกัน และเลือดที่ไหลจากด้านข้างแก้มมานั้น ดูเหมือนจะไหลอ้อมปากเธอไปลงคาง
       พริมเอื้อมมือไปจับตรงเหนือริมฝีปากของกี้
       “ เหนียวๆนะคะ”  พริมหันมาหาอาจารย์สรัญญาที่ตกใจกับการกระทำของเธอ  แต่ก็เห็นด้วย บริเวณรอบปากของกี้เหมือนมีรอยกาวเลอะอยู่  พริมเหลือบมองไปยังแขนของกี้ที่หักบิดงอไปข้างหลัง  ที่ข้อมือของกี้นั้นมีรอยแดงจางๆอยู่  รวมถึงที่ข้อเท้าของเธอด้วย
       “ นี่มันไม่ใช่การฆ่าตัวตายธรรมดาแล้วล่ะ”  อาจารย์สรัญญาพูดเมื่อหันไปมองตามสายตา
      พริม   “ มันเป็นการฆาตกรรม”
       “ ตอนแรกพริมก็สงสัยเหมือนกันนะคะ  แต่พวกเราก็เห็นกันหมดว่าพี่กี้เขายังมีชีวิตอยู่ตอนอยู่ข้างบนนั่น  และถ้าตอนนั้นเขาถูกสกอตเทปปิดปากไว้ หรือเอาเชือกมัดมือมัดเท้าไว้แล้วล่ะก็  ตอนนี้มันหายไปไหนแล้วล่ะคะ  ทางขึ้นไปข้างบนก็มีอยู่ทางเดียว  ถ้าเจ้าฆาตกรลงมาได้ล่ะก็ ก็ต้องเจอกับพวกเราที่วิ่งสวนขึ้นไปนะคะ อีกอย่างตอนที่พวกเราเปิดประตูไปนั้น  พี่กี้ก็กำลังร่วงลงไปพอดี และข้างบนนั้นก็ไม่มีที่พอให้ซ่อนตัวด้วย”  พริมพูดจบก็หันไปเห็นตำรวจกำลังเดินมาพร้อมอาจารย์จักรพันธ์ที่ไล่ให้พริมไปเข้าห้องเรียนได้แล้ว  พริมจึงต้องยอมเดินไปแต่โดยดี
       คำถามของพริมก้องวนเวียนอยู่ในหัวของอาจารย์สรัญญา  ‘ นั่นสิ  ถ้านี่เป็นการฆาตกรรมจริง  แล้วฆาตกรทำยังไงล่ะ’  อาจารย์สรัญญาเดินย้อนกลับขึ้นไปทางบันไดที่เธอเพิ่งวิ่งลงมา  เธอเดินขึ้นไปเรื่อยๆปล่อยให้ตำรวจจัดการกับร่างไร้วิญญาณของลูกศิษย์เธอ    ‘ ไม่ว่าฆาตกรจะใช้วิธีไหน  ฉันจะต้องหามันให้เจอ เพราะฉันมั่นใจว่านี่คือการฆาตกรรม มันฆ่าลูกศิษย์ของฉัน’  อาจารย์สรัญญาเดินขึ้นมาถึงชั้น 6 เธอจับลูกบิดประตูแล้วหมุนออกไป  ประตูบานนี้มีน้ำหนักก็จริงแต่มันไม่ได้หนักขนาดที่จะดันไม่ออกซะทีเดียวอย่างที่พริมบอกไว้  แสดงว่าตอนนั้นต้องมีอะไรขวางประตูไว้แน่
        อาจารย์สรัญญาออกไปยืนที่ดาดฟ้า ประตูอยู่ห่างจากขอบตึกไม่มากประมาณ 2 ก้าวเห็นจะได้ เธอเดินรอบๆไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ ลมพัดโชยมาเหมือนจะพยายามบอกในสิ่งที่มันเห็นเหตุการณ์ตลอดเวลา แต่เสียงหวีดหวิวของมันนั้นไม่สามารถจะสื่อถึงคนที่ยืนรอฟังอยู่ได้
       อาจารย์สรัญญา ถอนใจยาว พยายามคิดถึงสภาพของกี้ที่รู้ตัวว่าจะต้องตกลงไป  ‘เธอคงกลัวน่าดู’ อาจารย์สรัญญาชะโงกหน้าลงไปมองเบื้องล่างจากตึกสูง ภาพนั้นทำให้เธอเสียวไปถึงตาตุ่มทีเดียว ถึงตอนนี้ อาจารย์สรัญญารู้สึกว่าเลือดขึ้นหน้า  ‘ เป็นฆาตกรที่ชั่วที่สุด สภาพจิตใจของคนที่รู้ตัวว่ากำลังจะตาย มันจะแย่แค่ไหนนะ’  น้ำตาที่ซึมออกมารอบขอบตาค่อยๆระเหยไปกับสายลม แดดที่ส่องเปรี้ยงที่เธอทำให้เธอต้องหันหลังกลับ และทันใดนั้น แสงอะไรบางอย่างจากข้างประตูก็แวบมาเข้าตาเธอ มันเป็นแสงสะท้อนจาก…อะไรบางอย่าง
       อาจารย์สรัญญาก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาดู เป็นเศษเหล็กชิ้นเล็กๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกที่จะพบเศษเหล็กบนชั้นดาดฟ้าอย่างนี้ แต่ที่แปลกก็คือมันมีอยู่ชิ้นเดียวนี่สิ เธอชูมันขึ้นมามองระดับสายตา ทันใดนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติอีกอย่างหนึ่งที่บานพับประตู เธอเอื้อมมือไปจับเอ็นเส้นเล็กๆที่มัดอยู่ตรงบานพับประตู เส้นเอ็นมีความยาวไม่มากประมาณ 3 เซนติเมตรเห็นจะได้ ดูจากปลายที่หยิกงอนั้น แสดงว่าต้องถูกอะไรดึงให้ขาดแน่นอน
       ตอนนี้สมองของอาจารย์สรัญญากำลังทำงานอย่างหนัก เส้นเอ็นขาด เศษเหล็ก รอยกาวรอบๆปาก รอยแดงที่ข้อมือข้อเท้า รวมกับเสียงที่แปลกๆนั่น ร่องรอยเหล่านี้เริ่มปะติดปะต่อกันเข้ามาเป็นรูปเป็นร่างในหัวของเธอ ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิดของสิ่งนั้นยังต้องอยู่กับศพ เสียดายที่เมื่อครู่เธอไม่ได้ตรวจสภาพศพให้ดีซะก่อน ถึงตอนนี้ตำรวจก็ได้ย้ายศพออกไปแล้ว
       ถึงอาจารย์จักรพันธ์จะไล่ให้พริมไปเรียน พริมก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดี เธอจึงตัดสินใจไปหากุที่ห้องพยาบาล เมื่อเธอไปถึงอาจารย์รติพร ก็บอกให้เธอเข้าไปปลอบเพื่อน อาจารย์รติพรเป็นครูห้องพยาบาลตัวเล็กๆตาตี่ๆ เธอบอกว่าให้พริมเอาน้ำไปให้กุด้วย พริมถือแก้วแล้วเดินเข้าไปหลังม่านที่กั้นส่วนเตียงนอนของผู้ป่วยเอาไว้ กุนอนร้องไห้อยู่โดยมีแจนนั่งจับมืออยู่ข้างๆ
       “ พริม มาช่วยแจนหน่อยสิ พริมอยู่เป็นเพื่อนกุก่อนนะ เดี๋ยวแจนขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”  แจนปล่อยมือกุ พริมรีบเข้าไปจับแทน เธอมองกุที่นอนร้องไห้น้ำตาซึมอยู่
       “ ตำรวจเขาพาพี่กี้ไปแล้วนะ” พริมพูดเบาๆ “ พริมเข้าใจความรู้สึกกุนะ พี่สาวใครใครก็รัก ตอนนี้มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว กุต้องทำใจนะ ต้องยอมรับมันให้ได้ พริมเชื่อว่าที่พี่กี้ทำลงไปมันต้องมีสาเหตุสิ” พริมพูดปลอบใจ
       “ พริม ได้ยินเสียงนั้นหรือเปล่า” กุถามพริมด้วยตาแดงก่ำ พริมเงี่ยหูฟัง อาจารย์รติพรกำลังแกะเม็ดยาใส่ขวด
       “ เสียงแกะเม็ดยา ?” พริมพูดขึ้น
       “ ไม่ใช่ เสียงแปลกๆที่ฉันได้ยินตอนขึ้นไปหาพี่กี้ข้างบน ก่อนที่เราจะเปิดประตูออกไป ฉันได้ยิน เสียงอื้อๆ เหมือนคนที่อยากจะพูด…”  ถึงตอนนี้กุหันมามองหน้าพริม “ …แต่พูดไม่ได้”
       พริมคิดในใจสักครู่ก่อนพูดออกมา “ กุคิดว่า นี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายใช่ไหม”  กุพยักหน้ารับ
      “ พี่กี้เขามีศัตรูที่ไหนหรือเปล่าล่ะ”   พริมถามแต่เธอไม่ตอบ เธอบีบมือพริมแน่น
       “ เอาน่ะ ถือว่าเป็นกรรมเวรที่พี่เขาทำไว้ชาติที่แล้ว แล้วต้องมาชดใช้ละกันนะ” พริมคิดหาคำพูดปลอบกุได้ดีที่สุดเท่าที่เธอจะคิดออก


      อาทิตย์นี้ผ่านไปด้วยความเศร้า ทั้งกลุ่มไม่มีใครเฮฮาเหมือนปกติ แม้กระทั่งโนก็ดูหงอยลงไป กุกลับบ้านตั้งแต่เย็นวันนั้น ข่าวพี่กี้กลายเป็นข่าวใหญ่ของโรงเรียน นักเรียนพากันเดาไปต่าง ๆ นานา  ถึงเหตุผลที่ทำให้พี่กี้ฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่มีใครหาข้อสรุปได้
      ตอนเย็นของทุกๆวัน พริมและเพื่อนๆ จะไปนั่งคุยกันที่โบสถ์ เมื่อพริมเล่าเรื่องเสียงที่กุได้ยิน กับข้อสันนิษฐานของเธอให้เพื่อนๆฟัง ทุกคนก็พากันตกใจ
       “ เป็นไปได้หรอพริม ฉันว่ามันดูแปลก ๆนะ  ถ้าจะฆ่ากันจริงไม่เห็นต้องทำให้เหมือนฆ่าตัวตายเลย”  แจนหันมาถามพริม
       “ นั่นสิมันดูยุ่งยาก แล้วเธอเองก็บอกไม่ใช่หรอว่า ตอนขึ้นไปน่ะไม่เห็นมีใครอยู่บนนั้นเลย และฉันก็ยืนยันได้นะว่าตอนพี่กี้อยู่ข้างบนนะ เขายังมีชีวิตอยู่” แก้วพูดบ้าง พริมทำท่าสงสัย
       “ ฉันก็ไม่รู้หรอก แค่เดาเอา  แต่รู้สึกว่าพี่กี้เขาก็ไม่เห็นมีเหตุผลให้ฆ่าตัวตายสักหน่อย” พริมพูดอย่างสับสน
       “ แล้วเขามีเหตุผลให้ถูกฆ่าตายหรือไง ฉันว่าถ้าเป็นการฆาตกรรมจริง ฆาตกรมันคงโง่มากกว่าที่เลือกใช้วิธีอะไรยากๆแบบนี้ เป็นฉันนะจะเอามีดแทงแล้วหนีหายแวบไปเลย” โนพูดพร้อมทำท่าทาง
       “ ก็จริงอย่างโนว่า” พริมหันมาหาโน “แต่ที่ฉันกลัวก็คือ มันอาจจะตั้งใจทำให้ดูเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย เพื่อที่จะได้ฆ่ารายต่อไปต่างหาก” คำพูดของพริมทำให้เพื่อนๆสะดุ้ง แล้วเธอก็ต้องถูกเขกกะโหลกในโทษฐานที่พูดจาน่ากลัว


      อารียาส่งข้อมูลทั้งหมดที่เธอสืบได้ไปให้คนที่จ้างเธอในบ่ายวันเสาร์
      ชื่อ  : นางสาวพิมพ์ผกา  รัตนผดุงชัย   
      ชื่อเล่น : พิม
      อายุ ( ปัจจุบัน ) :  17 ปี
      วันเกิด : 21 มิ.ย. 31
      โรงเรียน : XXXX 
      วันที่หายตัวไป : 21 มิ.ย. 46
      เพื่อนสนิท  : 2 คน ชื่อ ปุ๋ย กับ น้ำ  ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 3 ดีมาก เป็นเพื่อนที่รักกัน
              คบกันตั้งแต่ ม.1
      ครู : เป็นนักเรียนที่ครูรัก มีความสามารถด้านการศึกษาดี  คุณครูส่วนใหญ่รู้จักและ
              เคยสอนเธอ
      ครอบครัว : เป็นลูกสาวคนเดียว เมื่ออายุ 10 ปี พ่อแม่แยกทางกัน  ผู้สูญหายอาศัยอยู่กับแม่
      และมีพ่อเลี้ยงในอีก 2 ปีต่อมา ผู้สูญหายเข้ากับพ่อเลี้ยงได้ดี แต่พ่อเลี้ยงกับแม่ก็       ต้องมาเสียชีวิตในอุบัติเหตุตอนเธออายุ 13 ปี
      ที่โรงเรียน : ไม่มีใครที่สามารถระบุได้ว่าเกลียดเธอ เธอเป็นที่รักของทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่หลายคน
      คนรัก : ไม่ชัดเจน  ไม่มีคนรักเป็นที่เปิดเผย  แต่เชื่อว่าเป็นชายในรูปที่พบในห้องนอน
      เป็นชายอายุน้อยกว่า  ผมสีน้ำตาลทอง  ไม่ทราบประวัติ  พยายามสืบหาอยู่
      ในวันที่หายตัวไปมีจดหมายลา ที่เขียนข้อความบ่งบอกถึงการหนีตามคนรัก แต่เพื่อนสนิท 2 คนไม่เชื่อว่าเป็นลายมือของผู้สูญหาย
      อารียาละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอเดินไปเปิดตู้เย็น ควานหาน้ำโค้กที่เคยซื้อติดตู้เย็นไว้ เธอใช้สายตาสอดส่ายมองไปมา แต่ก็หาไม่เจอ ‘โดนขโมยกินอีกละ สงสัยคราวหลังต้องติดป้ายชื่อซะแล้วสิ’  เธอปิดตู้เย็นลงด้วยความเซ็งก่อนหยิบน้ำเปล่ามาเทใส่แก้วแทน  รสชาติน้ำเปล่านี่มันสู้โค้กไม่ได้เลย เธอตัดสินใจวางแก้วลงกับโต๊ะ  แล้วคว้ากระเป๋าเงินเดินออกจากห้องไป


      อาทิตย์นี้แก้วไม่ได้กลับบ้านเพราะพ่อแม่เธอไปต่างจังหวัด  ไม่ว่างมารับ พริมจึงมีเพื่อนอยู่ในวันเสาร์อาทิตย์ เมื่อมีกันอยู่ 2 คน  ทั้ง 2 จึงสามารถไปที่  ‘โบสถ์’ ได้ ดังนั้นหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ  ทั้ง 2 ก็ไม่รีรอที่จะวิ่งไปโบสถ์ พริมให้แก้วลงไปก่อน แล้วเธอจึงค่อยๆเลื่อนไม้กางเขนกลับ ก่อนวิ่งไปทางหลังโบสถ์ พริมจำต้นแอปเปิลที่อยู่ข้างๆปากทางได้ ถึงแม้บริเวณนั้นจะมีต้นแอปเปิลขึ้นอยู่มากมายก็เถอะแต่ต้นนี้เป็นต้นที่ใหญ่และดูเป็นจ่าฝูงมากที่สุด พื้นดินบริเวณนั้นมีหญ้าสีเขียวปกคลุมอยู่เหมือนปกติ พริมก้มหน้าลงมองที่พื้น มันช่างราบเรียบกลมกลืนกันดีจริงๆ ถ้าคนที่ไม่รู้มองมาจะไม่มีวันเดาได้เลยว่าบริเวณนั้นมีประตูลับอยู่ แม้แต่พริมเองก็ยังไม่สามารถระบุตำแหน่งมันได้ ถ้าแก้วไม่ดันประตูขึ้นมาก่อน 
      พริมค่อยๆไต่ลงไป เธอรู้สึกว่าตอนนี้แก้วเริ่มไว้ใจเธอมากขึ้น นั่นทำให้พริมยิ้มออกมาขณะก้าวขาไปยังบันไดขั้นต่อไป เมื่อทั้ง 2 เดินมาถึงห้อง
      “ แก้ว  ถามอะไรหน่อยสิ”  พริมพูดขึ้นเมื่อเห็นแก้วเดินมานั่งข้างๆ
      “ อะไร”  แก้วถามพร้อมหันหลังไปคว้าหนังสือที่อ่านค้างไว้
      “ คือ  ฉันสงสัยน่ะว่าทำไมพวกเธอถึงไว้ใจฉัน  ไม่ใช่ว่าฉันสงสัยในความหวังดีของพวกเธอนะ แต่แค่ฉันรู้สึกว่าพวกเธอไว้ใจฉันเร็วมากทั้งๆที่เพิ่งเจอกันได้แป๊บเดียว”  พริมถาม
      “ ฉันก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”  แก้วตอบ “ ไอ้พวกนั้นมันมองโลกในแง่ดี อันที่จริงตอนแรกฉันก็พยายามขัดอยู่บ้างเหมือนกัน เธอน่าจะรู้สึกได้นะ”  แก้วหยุดพูด ทำให้พริมนึกถึงตอนที่เคยแอบได้ยินแก้วเตือนเพื่อนๆเรื่องของเธอ “ แต่ฉันก็ว่าพวกเขาไม่ได้หรอก เพราะการมองโลกในแง่ดีและเชื่อใจคนอื่นของพวกนั้นนั่นแหละทำให้ฉันได้รู้จักกับพวกเขา”
      “ แล้วตอนนี้...ไว้ใจฉันได้แล้วหรอ”  พริมถาม
      “ ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ  ก็เธอรู้ความลับสุดยอดของกลุ่มแล้วนี่  พริมจะกังวลอะไรนักหนาเล่าขนาดเราไม่รู้จักนักบินเรายังไว้ใจเอาชีวิตไปฝากไว้กับเขาบนเครื่องเลย”  แก้วพูด
      “ ไม่เหมือนกันนี่ ฉันแค่รู้สึกดีใจ”  พริมพูดบ้าง
      “ เหมือนกันนั่นแหละ ฉันมาเข้าโรงเรียนนี้ตอน ม.2 ตอนแรกฉันก็เข้ากับใครที่นี่ไม่ค่อยได้ ก็ได้พวกนั้นแหละมาเล่นด้วย”  แก้วพูด ในใจคิดถึงตอนที่เธอเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ
      “ เป็นเพื่อนที่มีค่านะ  ว่ามั้ย”  พริมหันไปถามแก้ว  แก้วพยักหน้าตอบก่อนก้มหน้าไปอ่านหนังสือในมือ
       พริมเองก็ล้มตัวลงนอนบนผ้านวม เธอนึกถึงความหลังในวัยเด็กของเธอ พริมเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาคุยกับเธอ  ทุกครั้งพริมต้องเป็นฝ่ายไปขอเล่นกับคนอื่น  ทำให้ตอนที่แจนชวนเธอเป็นเพื่อนมัน...รู้สึกบอกไม่ถูก
       หนังท้องตึงหนังตาหย่อน พริมที่นอนหลับตาอยู่จึงผล็อยหลับไปในทันที
      ……...ในความฝันพริมจับมืออยู่กับคนๆหนึ่ง เขาจูงเธอเดินไปเรื่อยๆ แล้วหันมายิ้มให้เธอใบหน้าของคนๆนี้ฝ้ามัว เห็นแต่รอยยิ้มจางๆ ความรู้สึกบอกเธอว่า พริมเคยเจอคนๆนี้มานานแล้ว พริมเดินจับมือกับเขา แล้วค่อยๆก้าวขึ้นบันได เธอก้าวขึ้นไปทีละขั้น บันไดอันสูงชัน ไม่ได้ทำให้เธอเหนื่อยเลย ก้าวแล้วก้าวเล่า เธอเดินขึ้นบันไดไปพร้อมรอยยิ้ม เบื้องหน้าของพริมเป็นประตูบานใหญ่ พริมเอื้อมมือไปจับประตู มันเปิดออกอย่างง่ายดายประตูพาเธอมาสู่ดาดฟ้าแห่งหนึ่ง ลมพัดโชยมาปะทะใบหน้าของเธอ คนๆนั้นจูงพริมมายืนริมกำแพง แล้วทันใดนั้น เขาก็ผลักเธอลงไปสู่เบื้องล่าง! .….
       “ กรี๊ด!!!”  พริมกรีดร้องสุดเสียง ก่อนสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกเต็มใบหน้า เธอรู้สึกกลัวจนขนลุก เสียงร้องของพริมทำเอาแก้วที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆต้องสะดุ้งตามไปด้วย
      “ พริม เป็นอะไร ฝันร้ายหรอ”  แก้ววางหนังสือแล้วหันมาหาพริม
      “ อืม ”  พริมตอบอย่างหน้าซีดก่อนก้มไปมองนาฬิกาที่ข้อมือ ที่บอกเวลาบ่าย 4 โมง  “ แก้วๆเราไปที่ดาดฟ้ากันมั้ย”   พริมถามแก้ว แก้วเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงงๆ 
      “ ดาดฟ้า? ไปทำไม”  แก้วถามอย่างสงสัย
      “ ฉันมีลางสังหรณ์แปลกๆ คิดว่าบางทีอาจจะจริงอย่างที่กุว่า ถ้ามันเป็นการฆาตกรรมที่ฆาตกรไม่ได้ลงมือเอง ก็ต้องมีกลไกอะไรสักอย่าง บางทีตอนนี้อาจจะมีหลักฐานบางอย่างหลงเหลืออยู่ก็ได้ ฉันว่าเราน่าจะไปดูกันนะ”  พริมเสนอความเห็น
      “ ก็ได้ ไหนๆก็ใกล้จะกินข้าวเย็นแล้วนี่  ไปเลยละกัน  แต่ฉันว่าป่านนี้คงไม่เหลืออะไรแล้วล่ะ ถ้าฉันเป็นฆาตกรนะ คงขึ้นไปเก็บหลักฐานตั้งแต่วันแรกแล้ว เว้นแต่มันจะเป็นฆาตกรที่ทั้งชั่วและก็โง่นั้นแหละ”   แก้วพูดแล้วหันมาหัวเราะกับพริม พริมยิ้มตอบแหยๆ ด้วยยังนึกถึงภาพความฝันเมื่อครู่
       เมื่อเข้ามาถึงตึกเรียนใหม่ พริมกับแก้วก็ค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปยังชั้น6 ภาพในฝันที่ยังติดตาเธออยู่ทำให้พริมรู้สึกเสียวสันหลัง แม้เธอรู้อยู่แก่ใจว่าคนในฝันไม่ใช่แก้วก็ตาม
       เมื่อทั้งสองเงยหน้าขึ้นไป พริมก็เห็นภาพประตูที่คุ้นเคย แก้วเดินนำหน้าเธอไปเปิดมัน พริมโล่งใจที่มันไม่เหมือนในฝันเธอสักเท่าไหร่
      “ ประตูก็เปิดง่ายดีนะพริม ไม่เห็นเหมือนตอนที่เธอกับกุเล่าให้ฟัง ไหนบอกว่าดันคนเดียวไม่ออก”   แก้วพูดพร้อมผลักประตูออกไป
      “ แต่ตอนนั้นฉันดันมันไม่ออกจริงๆนะ  ต้องใช้แรงตั้ง 3 คน”  พริมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสัย
      “ หรือว่าตอนนั้น…”  แก้วพูดขณะเดินออกมาข้างนอก  “ จะมีอะไรขวางประตูอยู่”  แล้วเธอก็หันหลังไปมองบานประตู
      “ เป็นไปได้นะ  ถ้าฆาตกรเอาอะไรสักอย่างมาขัดประตูไว้ เพื่อให้คนเปิดต้องออกแรงมากๆล่ะก็  แรงนั้นอาจจะผลักคนตกตึกได้เลยทีเดียว”  พริมทำท่าครุ่นคิด
       “ ถึงระยะที่พี่กี้อยู่จะไม่ห่างจากประตูมากนัก แต่เธอลองดูสิ…” แก้วเปิดบานประตูไปมา
      “ มันไม่มีทางผลักคนที่ยืนอยู่ริมนั้นให้ตกไปได้หรอก  ดูสิ ระยะทางยังห่างอยู่นะ”
      “ และถ้า…”  พริมหันซ้ายขวา แล้วก้มลงไปเก็บอะไรบางอย่างจากพื้น “ ฆาตกรใช้เชือกนี่ล่ะ”   พริมโชว์เชือกเส้นหนาปานกลาง ความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ที่มีร่องรอยเหมือนถูกอะไรตัดหรือฉีกขาด พริมเก็บมันขึ้นมาจากพื้นตรงซอกประตู   “ บางทีนะ ถ้ามันเอาเชือกผูกตัวพี่กี้ไว้แล้วร้อยมันผ่านคานนั่น เสร็จแล้วมาผูกไว้กับที่จับประตูด้านนอก”  พริมชี้คานที่ยื่นออกมาเหนือประตูที่ดูเหมือนจะเป็นที่กำบังแดด มันเป็นคานเหล็กที่มีร่องอยู่ ใหญ่พอที่จะให้สอดเชือกเข้าไปได้
      “ แล้วก็บางที อาจจะมีอะไรคมๆติดอยู่ตรงเหล็กนั่น ด้านในเชือก   พอเราเปิดประตูแรงๆ เชือกก็จะขาด” พริมอธิบายเล่าเป็นฉากๆ แก้วพยักหน้าเข้าใจ
       “ ทางทฤษฎีน่ะอาจเป็นไปได้ แต่คิดถึงหลักความเป็นจริงสิ ตอนที่พวกเรามองจากข้างล่าง ฉันว่าพี่กี้เขาก็ยืนอยู่บนที่กั้นนั่น และเอาจริงๆถ้าเชือกมันแขวนอยู่กับตัว ทำไมตอนตกลงมา แล้วเชือกมันหายไปไหน มันคงไม่ได้ปลิวตกไปหรอกนะ” แก้วหยิบเชือกจากมือพริมมาดู
       “ และถ้า…ฆาตกรเกิดกลับมาเก็บมันไปล่ะ ตั้งแต่วันอังคาร จนถึงวันนี้มีเวลาเหลือเฟือเลยนะ”  พริมเสนอความคิด
       “ ถ้าอย่างนั้น ก็ถือว่าเราโชคดีที่มันลืมเก็บไปอีกชิ้นหนึ่ง”   แก้วโชว์เชือกเส้นเล็กๆขึ้นมา พริมยิ้มและพยักหน้าอย่างดีใจ แล้วทั้ง 2 ก็เดินลงมาข้างล่างระหว่างทาง พริมกับแก้วพยายามคิดถึงความเป็นไปได้กับข้อสันนิษฐานที่พริมคิด และทั้ง 2 ก็พบว่ามันมีความเป็นไปได้เหมือนกัน
       “ พิมพ์ผกา ลักษิกา เธอ 2 คนมาทำอะไรแถวนี้”   อาจารย์สรัญญาที่เดินลงมากับอาจารย์
      ณัศรัตน์ตะโกนถามพวกเธอเมื่อเห็นทั้ง 2 คนเดินลงมาจากตึกเรียนใหม่
       “ พวกหนู เอ่อ…”  พริมหันมองหน้าแก้ว  “ หนูขึ้นไปบนดาดฟ้ามาค่ะ”
       “ พวกเธอไม่กลัวตกลงมาหรือไง”  อาจารย์ณัศรัตน์ถามขึ้น “ เด็กสมัยนี้แปลก อยากทำตัวเป็นนักสืบ แล้วเป็นไงได้อะไรมาบ้างหรือเปล่า” 
      แก้วทำท่าจะชูเชือกเส้นนั้นที่กำไว้อยู่ข้างหลังออกมา แต่พริมรีบเอามือไปจับไว้
       “ ไม่ได้คะ”  พริมรีบตอบ “ ไม่มีอะไรนอกจากดาดฟ้าที่ว่างเปล่า และ …”  พริมเริ่มลังเลใจ
      “และนกบินค่ะ”
       อาจารย์สรัญญา ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อแต่ก็ต้องบอกให้พริมกับแก้วรีบไปทานข้าวเย็น พริมจึงจับมือแก้วแล้วเดินไป
       “ พริม ทำไมเราไม่บอกอาจารย์ไปล่ะว่าเราคิดว่ามันเป็นการฆาตกรรม “ แก้วถามพริมที่เดินนำไป
       “ บอกได้ไงเล่า ใครจะไปเชื่อ กะอีแค่เศษเชือก ฉันว่าเราควรสืบเองนะเรื่องนี้ และอีกอย่างเราจะมั่นใจได้ไงว่าไว้ใจอาจารย์ 2 คนนั้นได้น่ะ”  คำตอบของพริมทำให้แก้วไม่คิดจะถามต่อ


        อารียาเทน้ำโค้กใส่แก้ว แล้วกรอกใส่คอ ทำให้เธอชื่นใจคุ้มกับที่ลากสังขารออกไปซื้อ เมื่อเธอกำลังจะคว้าหนังสือไปอ่าน สายตาเธอก็เหลือบไปเห็นหน้าจอที่เปิดทิ้งไว้ ‘ ตายแล้ว เปิดคอมพ์ทิ้งไว้ เปิดเมล์ทิ้งไว้ด้วย ใครเข้ามาไม่ล้วงความลับไปหมดไส้หมดพุงแล้วหรอเนี่ย’
      อารียารีบเดินเข้าไปยังหน้าจอ ‘ มีเมล์เข้ามาใหม่ ’  เธอวางแก้วโค้กไว้ข้างๆ แล้วเอื้อมมือไปคว้าเมาส์มาคลิกดู
       “ ผมได้รับข้อมูลของคุณ และคิดว่าคุณทำงานได้ช้ากว่าที่ผมคิดไว้มาก จะบอกว่าผมผิดหวังก็ไม่ได้แต่มันคงเป็นเพราะผมหวังผิดมากกว่า  ผมพอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารและคิดว่าสัญชาตญาณนักสืบอย่างคุณ คงต้องเข้าไปยุ่งด้วยแน่  ยังไงก็ตาม ผมขอย้ำถึงภาระหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบ  ผมจึงคิดว่าบางทีงานนี้คุณอาจต้องการผู้ช่วย  ผมจะส่งคนไปช่วยคุณในวันจันทร์  และผมเคยถามแล้วว่าคุณจะสามารถรับงานนี้ได้หรือไม่  คุณเป็นคนตอบกลับรับงานนี้เอง  เมื่อมาถึงขั้นนี้ ถึงคุณจะถอดใจ  แต่ก็ไม่มีสิทธิถอนตัวจากงานนี้ได้  สิ่งที่คุณต้องทำต่อไปก็คือ หาตัวผู้ช่วยที่ผมส่งไปให้ให้พบ  โดย…”
       เมื่ออารียาอ่านข้อความจบ มันทำให้เธอเกือบจับคอมพิวเตอร์มาโยนทิ้งแล้วกระทืบซ้ำ แต่โชคดีที่ฉุกคิดได้ก่อนว่า คอมพิวเตอร์มันแพงและก็ไม่ได้ทำให้ผู้ว่าจ้างของเธอเจ็บแม้แต้น้อย
      “ อีตานายจ้างงี่เง่า!”  อารียาสบถออกมาดังๆ
      “ฮะ อะไรนะคะ”   เสียงเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งเดินเข้ามาทักเธอ
      “เอ่อ…เปล่าค่ะไม่มีอะไรค่ะ”   อารียายิ้มให้ ก่อนกลับไปทำหน้ายักษ์ ใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์  ‘ อีตานายจ้างงี่เง่าเอ๊ย  นึกว่าเงินของตัวเองใหญ่นักหรือไง  ดีแต่สั่ง  สั่ง สั่ง  แล้วยังมาหาว่าเราทำงานห่วย จะคอยดูว่าคนที่ส่งมาให้  มันจะแน่สักแค่ไหน’ อารียาคิดในใจ พร้อมความเจ็บใจอันเปี่ยมล้น


      เช้าวันจันทร์มาถึง ตอนนี้กลุ่มของพริมกลับมาสดใสเป็นปกติแม้กุจะไม่ค่อยร่าเริงเหมือนแต่ก่อน  แต่เธอก็ดูพอจะทำใจได้บ้างแล้ว  เมื่อเพื่อนๆมากันครบ พริมกับแก้วก็เริ่มสาธยายเกี่ยวกับสิ่งที่ทั้ง 2 พบ และข้อสันนิษฐานที่พริมคิด
      “ ฉันว่าฆาตกรต้องเป็นผู้ชาย ถึงใช้เชือกดึงตัวพี่กี้ให้ลอยขึ้นได้”  บิวเสนอความคิดเสียงดัง ที่ทำให้โนต้องรีบเอามือตะครุบปากบิวไว้
      “ เบาๆสิ จะพูดให้ทั้งโลกได้ยินหรือไง”  โนพูดเสียงเบา บิวพยักหน้าเป็นเชิงขอโทษ
      “ แต่บิวพูดมีเหตุผลนะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ฆาตกรต้องแรงเยอะ ไม่น่าใช่แรงผู้หญิง”   พริมเห็นด้วยกับบิว และก่อนที่ใครจะทันเสนออะไร อาจารย์จักรพันธ์ ก็เข้ามาสอนพอดี
      ทุกคนจึงวิ่งกลับที่
      “ เตรียมตัว” อิดพูดขึ้นเสียงดัง  “ กราบ”  นักเรียนทุกคนก้มหัวไหว้อาจารย์แล้วรีบหันไปคุยกันต่อ
      “ เอาใหม่”   อาจารย์จักรพันธ์พูดขึ้น  “ ยังมีคนไม่พร้อม”  อิดทำหน้าเซ็ง ขณะหันหน้ากลับมา
      “ เตรียมตัว  กราบ ”  อิดพูดเร็วปานสายฟ้าแลบ
      “ เอาใหม่ ”  อาจารย์จักรพันธ์ยังคงไม่พอใจ ในชั่วโมงนั้นอิดบอกทำความเคารพจนเสียงแหบ  ขณะที่เพื่อนๆก็ก้มหัวกันจนคอแทบหัก และในครั้งสุดท้าย
      “ เตรียมตัว ”  อิดพยายามรีดเสียงที่มีอยู่เล็กน้อย   “ กระ…”
      “ เดี๋ยว”  อาจารย์จักรพันธ์ขัดจังหวะ  “ พิมพ์ผกา ที่นิ้วเธอน่ะ อะไร”     อาจารย์จักรพันธ์ถามพริม
      “ อ๋อ! แหวนค่ะ”  พริมตอบหน้าตาเฉย ก่อนนึกขึ้นมาได้ว่า เขาห้ามใส่แหวนในเวลาเรียน พริมรีบถอดแหวนเก็บ
       “ไม่ทันแล้วล่ะ  เอามานี่”  อาจารย์จักรพันธ์แบมือ พริมจำต้องล้วงแหวนในกระเป๋า แล้วเดินไปให้อาจารย์จักรพันธ์
      “ มาเอาคืนวันศุกร์ละกันนะ” อาจารย์จักรพันธ์พูด  แล้วหยิบแหวนขึ้นมาดู  “ แหวนสวยซะด้ว…”  อาจารย์จักรพันธ์ชะงัก แล้วพูดต่อ  “ เดี๋ยวพิมพ์ผกา”  พริมหันหลังกลับมา 
      “ เธอไปเอาแหวนนี้มาจากไหน...มัน...แปลกดี” อาจารย์จักรพันธ์เงยหน้าจากแหวนมาถามเธอ
      “ มีคนเขาให้มาค่ะ  ก่อนตาย  ให้แหวนไว้แลกกับการล้างแค้น”  พริมพูดพร้อมจ้องหน้าอาจารย์จักรพันธ์  ทำเอาอาจารย์จักรพันธ์หน้าซีด
      “ ล้อเล่นน่ะค่ะ  แหม อาจารย์ทำตกใจไปได้  แหวนนี้พ่อหนูให้ไว้ก่อนท่านเสียนะคะ  มันเป็นของที่ระลึกของหนู  ถึงยังไงหนูขอคืนได้มั้ยคะ  แล้วหนูสัญญา ว่าจะไม่เอามาใส่เวลาเรียนอีก”  พริมพูดพร้อมทำหน้าขอร้อง อาจารย์จักรพันธ์ยื่นแหวนคืนให้เธอ
      “ ของสำคัญอย่างนี้ หายไปเสียดายแย่  อย่าเอาออกมาให้เห็นอีกล่ะ  คราวหน้ายึดแล้วไม่คืนจริงๆ”อาจารย์จักรพันธ์พูดกับพริมที่ยกมือไหว้และรับแหวนคืนมา  เธอกลับมานั่งที่ด้วยความสบายใจ
      เช้าวันอังคารพริมถูกครูเวรจับได้ที่ไม่ยอมใส่ผ้าถุงอาบน้ำ เลยโดนทำโทษ ให้ไปวิ่งรอบตึกนอน 3 รอบก่อนขึ้นมาอาบน้ำให้ทันเวลาพร้อมเพื่อน พริมไม่แสดงอาการอะไร  เธอเดินหน้านิ่งลงไปวิ่งแต่โดยดี  ‘ 3 รอบ โธ่ ! จิ๊บ จิ๊บ’ พริมคิดในใจก่อนลงไปวิ่งอย่างสบายอารมณ์  เมื่อเธอขึ้นมาก็พบว่าเพื่อนๆ อาบน้ำกันใกล้เสร็จแล้ว อาจารย์ณภัสสรที่เป็นครูเวรวันนั้นเลยบอกให้เธอไปเปลี่ยนผ้าถุงมาอาบน้ำภายใน 15 นาที อย่าว่า 15 นาทีเลย 3 ชั่วโมงพริมก็ไม่คิดที่จะใส่ผ้าถุง
       “ เธอเป็นอะไรนักหนากับการใส่ผ้าถุงฮะ  ไม่ชอบลายนี้หรือไง  เอาลายดอกสีชมพูไหมที่ห้องครูมี”  อาจารย์ณภัสสรพูดประชด
      “ เปล่าคะเพียงแต่หนู โอ๊ย…”  พริมพูดพร้อมเอามือกุมท้อง  “ หนูเป็นโรคกระเพาะค่ะครู  เมื่อกี๊ ลงไปวิ่งตอนท้องว่าง แล้ว โอ๊ย…”  พริมร้องดังกว่าเดิม แล้วลงไปกองกับพื้น
       “เอ้านี่ ใครก็ได้มาช่วยเพื่อนหน่อยเร็ว  พาไปห้องพยาบาลชั้น 3 ไป เร็วสิ”  อาจารย์ณภัสสรตะโกนเรียกนักเรียนให้มาช่วย  กุ โน แจน บิว และแก้ว ที่แอบดูอยู่ก็วิ่งกรูเข้ามา
       “พริม! พริม  พริมเป็นอะไรใจเย็นนะ เฮ้ย! ฉันว่าอุ้มไปห้องพยาบาลดีกว่า  เดินไม่ไหวหรอก”  กุรีบพูด ก่อนค่อยๆ จับแขนพริมที่ร้องโอดครวญสีหน้าเจ็บปวด
       “โอเค อาจารย์ขา เดี๋ยวพวกหนูอุ้มเพื่อนไปเอง อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” โนรีบพูดกับอาจารย์ ณภัสสรที่มีสีหน้าตกใจ  กุจับแขนขวา  โนจับแขนซ้าย  ขณะที่แก้วกับบิวยกขาคนละข้าง  พริมดิ้นร้องครวญครางไปตลอดทาง
       “ เออนี่  ภัทรพร”  อาจารย์ณภัสสรเรียกแจนที่กำลังจะเดินตามไป  “ ถ้าครูห้องพยาบาลเขาถามว่าเป็นอะไร ก็บอกไปแค่ว่าโรคกระเพาะกำเริบ  ปวดท้อง แค่นั้นพอนะ เข้าใจมั้ย”  แจนพยักหน้าด้วยเข้าใจทั้งข้อความและจุดประสงค์
       เมื่อไปถึงห้องพยาบาล อาจารย์รติพรที่กำลังตกใจกับเสียงร้องของพริม รีบบอกให้ทั้ง 5 คนพาพริมไปนอนที่เตียงเบอร์ 2 ทั้ง 5 จึงพาพริมผ่านม่านกั้นเข้าไป  โนตะโกนบอกอาจารย์รติพรว่าพริมเป็นโรคกระเพาะ อาจารย์รติพรพยักหน้าเข้าใจ  เมื่อกุเห็นอาจารย์รติพรเข้าไปหยิบยาในห้องเก็บยาข้างหลัง  ทั้ง 4 คนก็จับพริมโยนลงบนเตียงดังพลั่ก
       “ โอ๊ย!  เจ็บนะ”  พริมโวยวาย
       “ เจ็บเท่าเมื่อกี๊หรือเปล่า  จะโกหกก็ให้มันเนียนหน่อยสิ  ทำแบบเมื่อกี๊โกหกอาจารย์ณภัสสรได้คนเดียวนั่นแหละ”  บิวพูด  ต่อด้วยแจน
       “ พริมนี่จริงๆน้า  กะอีแค่...”  แจนยังไม่ทันพูดจบ อาจารย์รติพรก็เข้ามาพร้อมยา  พริมที่ไม่ลืมตัวรีบเอามือกุมท้อง  แหกปากต่อทันที  อาจารย์รติพรรีบเอายาให้พริมกิน  พริมที่เจ็บคอมานานเมื่อได้กินยาก็หยุดร้องทันที
       “ ยาอาจารย์นี่ดีนะคะ  ระงับอาการได้ฉับไวดี”  แก้วหันไปหาอาจารย์รติพรที่ยืนยิ้มงงๆ
       “ ครูว่าพวกเธอกลับไปก่อนเถอะ  ให้เพื่อนเขาได้นอนพักผ่อน”  อาจารย์รติพรพูดกับทั้ง 5 คนที่หันไปมองสีหน้าเจ็บปวดแฝงความดีใจของพริม ‘ เย้! ได้นอนต่อ’ พริมคิดในใจ  ถึงชั่วโมงแรกจะเป็นวิชาภาษาอังกฤษที่พริมชอบ แต่เธอก็ขอหลับสักงีบก่อนไปเรียนพละวิชาโปรด  เธอยังจำพละคาบที่แล้วได้ดี  สนุกซะไม่มี!
       พริมลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเวลา 10 โมง  นี่อาจารย์ให้เธอกินยานอนหลับหรือไงนะ  พริมรีบลุกไปอาบน้ำแล้วตรงดิ่งไปยังโรงยิมทันที
       คราวนี้อาจารย์สรัญญาไม่ได้ให้เล่นทีมเหมือนคราวที่แล้วแต่ให้นักเรียนออกมาเลี้ยงลูกไปกลับ  แบ่งเป็นทีมโดยใช้ทีมเดิมและแข่งกันเลี้ยงลูกอ้อมหลัก  ใครทำหมดก่อนก็ให้นั่งลง  เสียงเชียร์เพื่อนในกลุ่มของตนเองดังลั่นเมื่ออาจารย์สรัญญาเป่านกหวีดให้สัญญาณเริ่มต้น  กลุ่มที่นั่งหมดก่อนเป็นกลุ่มแรกก็คือกุ  แจน  โน  บิว
       “ ครูขา  เขาโกงนะคะ  เขามีแค่ 4 คนก็ต้องหมดก่อนสิคะ”  กิ๊กโวยวายขึ้นมา อาจารย์สรัญญาเดินมาดู
      “ ก็ครบ 5 คนนี่”  อาจารย์สรัญญาทำท่านับแล้วหันไปหากิ๊ก  กิ๊กงงจึงลุกขึ้นมายืนดู 
      “นั่นไง กุสุมา  นภาพรรณ  ศิริพิชญ์  ภัทรพร แล้วก็พิมพ์ผกา”  เมื่ออาจารย์สรัญญาพูดจบ  กุ  โน  บิว แจนก็หันไปมองข้างหลัง  เห็นพริมนั่งยิ้มแฉ่ง  แล้วอาจารย์สรัญญาก็ปล่อยให้กลุ่มพริมชนะ
      “ ก็ตอนแรกมี 4 คนจริงๆนี่  ไอ้พริมมันมาเล่นตอนไหนวะ”  กิ๊กบ่นกับบี
      ก่อนหมดชั่วโมงอาจารย์สรัญญาก็เรียกให้นักเรียนทุกคนมารวมตัวกัน เธอเช็คชื่อนักเรียนทีละคนและพูดว่า
      “ ก่อนจะปล่อยให้ไปพักเบรค  ครูขอถามอะไรหน่อย  พวกเธอคิดว่า  วิชาอะไรเป็นวิชาที่เธอชอบที่สุดในโรงเรียน”   เมื่ออาจารย์สรัญญาถาม  เด็กหลายคนมองหน้ากัน  ก่อนตอบว่าวิชาพละ
      “ ภาษาอังกฤษค่ะ”  พริมตอบเสียงดัง
      “ เธอคิดว่าครูสอนดีมั้ย  พิมพ์ผกา”  อาจารย์สรัญญาถามพริม  พริมคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ
      “ ไม่ดีค่ะ  อาจารย์สอนแล้วทำให้นักเรียนสับสนนะคะ  ชั่วโมงแรกก็ให้แข่งกันเองแบบไม่สอน  ชั่วโมงนี้ก็ให้เลี้ยงลูกธรรมดา  น่าเบื่อค่ะ”  พริมพูดพร้อมทำท่ายักไหล่  คำพูดของเธอทำให้เพื่อนๆหยุดหายใจไปแทบจะพร้อมๆกัน  แจนที่นั่งอยู่ข้างพริมหันหน้ามามองเธอ
      “ เอาล่ะ  นักเรียนทุกคนไปได้  ยกเว้นเธอ  พิมพ์ผกา”  อาจารย์สรัญญาพูดจบ  นักเรียนหลายคนก็ลุกขึ้นเดินไป  ขณะที่กุ  แจน  โน  บิวและแก้วไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรดี
      “ เธอ 5 คนไปได้แล้ว”  อาจารย์สรัญญาหันมาดุ  พริมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าอยู่ได้  ทั้ง 5 คนจึงยอมลุกเดินไป
      “ พิมพ์ผกา  เธอคิดว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่”  อาจารย์สรัญญาหันมาถามคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า  พริมลุกขึ้นยืน
      “ ทำในสิ่งที่ควรทำ  ถ้านั่นไม่ทำให้ใครเดือดร้อน”  พริมตอบเสียงเข้มแข็ง
      “ เธออยากเป็นหิ่งห้อย  ที่จะมาแข่งกับแสงจันทร์หรือไง”  อาจารย์สรัญญาถามต่อ  ตาจ้อง
      พริมเขม็ง
       “ หนูจะไม่เป็นหิ่งห้อย...แต่หนูจะเป็นแสงจันทร์”  พริมพูดพร้อมสายตาแน่นิ่งที่จ้องไปยังฝ่ายตรงข้าม  อาจารย์สรัญญาถอนหายใจก่อนเดินไปตรงหน้าพริม
      “ ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน”  อาจารย์สรัญญายื่นมือขวาไปให้พริม  พริมยื่นมือออกมาจับตอบ
      “ เช่นกันค่ะ”  พริมยิ้มให้อาจารย์สรัญญา


      “ ฉันล่ะไม่อยากเชื่อเลย ว่าจะเป็นเธอ”  อาจารย์สรัญญาพูดกับพริมเมื่อทั้งสองเดินมาถึงห้องพักครู
      “ หนูก็เหมือนกันล่ะค่ะ ใครจะไปเดาออกคะ ว่าคุณนักสืบอารียาสุดสวยจะมาเป็นครูสอนพละได้” พริมหันมาพูดกับอาจารย์สรัญญา
      “ ฉันว่าเราควรมาคุยกันหน่อยนะ”  อารียา หรืออาจารย์สรัญญานั่งลงที่โต๊ะทำงาน พริมนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเธอ
      “ หนูรู้ค่ะว่าอาจารย์ เอ่อ..คุณอารียา”
      “ เรียกฉันว่าอาจารย์สรัญญา เหมือนเดิมน่ะแหละดีแล้ว”  อารียาพูดเมื่อเห็นพริมทำท่าอึกอัก พริมพยักหน้ารับ
      “ หนูรู้ว่าเราสองคนถูกส่งมาทำอะไร แต่กับคดี…”
      “ ไม่ใช่ ครูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ครูหมายว่าเราควรจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ก่อนนะ” อารียาพูดขัดพริมขึ้นมา
      “ นั่นสิคะหนูลืมไป”
      อาจารย์สรัญญาโทรศัพท์ไปบอกอาจารย์ณัศรัตน์ที่สอนเลขว่า พริมถูกทำโทษให้เข้ามาช่วยเธอจัดเอกสาร เพราะพริมโดดเรียน อาจารย์ณัศรัตน์ก็เข้าใจและตอบกลับอย่างยินดี

      ตลอดชั่วโมงนั้นพริมกับอาจารย์สรัญญา ใช้เวลานั่งทำความรู้จักกัน พริมได้รู้ว่าอาจารย์สรัญญา คือ นักสืบชื่ออารียา เธอถูกว่าจ้างผ่านทางอีเมล์ ให้มาสืบเรื่องหายตัวไปของนักเรียนที่นี่ ที่ชื่อพิมพ์ผกา รัตนผดุงชัย หรือพี่พิมที่พริมรู้จัก  อารียาเองก็ได้รู้ว่า พริมถูกส่งมาแทนแม่ที่บอกว่าคดีนี้มันง่ายๆเลยให้พริมมารับงานนี้ ส่วนแม่ของเธอต้องไปรับงานต่างจังหวัดที่น่าสนใจกว่า ที่สำคัญคือนายจ้างไม่รู้เรื่องนี้
      “ ฉันว่าถ้าแม่เธอได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น คงจะเสียดายที่ไม่ได้มารับงานนะ”  อารียาหยุดมองหน้าพริม  ก่อนพูดต่อ  “ ถ้าแม่เธอไว้ใจเธอขนาดนี้ แสดงว่าเธอต้องมีฝีมืออยู่บ้าง และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเธอคงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในคดีการตายของประธานนักเรียนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วแล้วสินะ”     อารียาพูดหยั่งเชิงพริม
      “ แน่นอนค่ะ การตายของพี่กี้เป็นการฆาตกรรม”  พริมพูด พร้อมเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานที่เธอพบรวมถึงหลักฐานชิ้นหนึ่ง ในขณะเดียวกันอารียากลับรู้สึกแปลกๆ เธอจึงเล่าสิ่งที่เธอพบให้พริมฟัง รวมถึงข้อสันนิษฐานของเธอด้วย
      “ หนูพบเชือกเส้นนี้มีรอยขาดอยู่ทำให้คิดขึ้นมาได้ว่าบางทีฆาตกรอาจจะใช้เชือกเส้นนี้ดึงตัวพี่กี้ไว้ และเมื่อมองจากข้างล่างขึ้นมา อาจจะเป็นมุมที่ดูไม่รู้ก็ได้ ฆาตกรคงเอาเชือกข้ามคานแล้วร้อยเชือกผ่านลวดเหล็กลงมา ผูกไว้กับที่จับตรงลูกบิดประตู จากนั้นก็เอาใบมีดหรือของมีคมติดไว้ที่คานด้านใต้เชือก แบบนี้น่ะค่ะ”  พริมอธิบาย พร้อมกับทำท่าพาดเชือกกับอากาศด้วยมือเปล่า 
      “ จากนั้นก็หาอะไรมาขัดประตูไว้ พอคนมาเปิด ถ้าแรงน้อย เชือกไม่ขาดก็จะเปิดประตูไม่ออก แต่พอเราออกแรงพร้อมกัน 3 คน เชือกก็จะขาดได้ด้วยแรง” พริมหยุดพูดก่อนเบือนหน้าหนีไปข้างๆ  “ นั่นหมายความว่า…ฆาตกรใช้คนที่เปิดประตูเป็นคนฆ่าพี่กี้...ซึ่งก็คือเรา 3 คน” 
      อารียาอึ้งไปกับคำพูดนี้ ถึงเธอจะรู้อยู่แก่ใจแล้วก็ตาม เพราะข้อสันนิษฐานของเธอ ก็ไม่ต่างไปจากพริมเท่าไร
      “ แม้ที่ครูคิดไว้จะคล้ายๆของเธอ แต่ก็ไม่เหมือนกันเลยซะทีเดียว ครูเจอนี่” อารียาพูดพร้อมเปิดลิ้นชักหยิบสิ่งของบางอย่างมาวางบนโต๊ะ “ ครูพบเส้นเอ็นเส้นนี้ตรงบานพับประตู รวมถึงเศษเหล็กแหลมคมนี่ ซึ่งอาจใช้ได้ทั้งในกรณีของครูและของเธอ” อารียาหยิบเศษเหล็กขึ้นมาแล้ววางบนโต๊ะ  “ แต่ของเธอยังไม่สามารถอธิบายเรื่องคราบกาวที่ปากของผู้ตายได้นะ”
      “ หนูก็คิดอยู่ค่ะ และคิดว่าบางที พี่กี้อาจจะถูกสกอตเทปปิดปากไว้แล้วก็ถูกดึงออกก่อน  ถ้าเป็นสกอตเทปที่กาวเหนียวมากๆ มันก็จะยังเหลือรอยคราบไว้อยู่”  พริมอธิบาย  “ ส่วนเรื่องรอยแดงที่ข้อมือก็อาจจะเป็นกรณีเดียวกับสกอตเทปที่ปาก  และเรื่องเชือกที่หายไป  หนูมาลองคิดดู  ถ้าเราแค่...”  พริมหยุดพูด  แล้วเอื้อมมือไปหยิบเชือกเส้นเล็กที่ไว้ใช้เย็บข้อสอบของอารียาบนโต๊ะมาตัดออกยาวพอสมควร  แล้วพับปลายมาทบกัน  จากนั้นก็เอามาคล้องกับปากกาแล้วนำด้านที่มี 2 ปลายมาสอดเข้าไปในรูของอีกฝั่งหนึ่ง  จากนั้นเธอก็ดึงด้านที่มี 2 ปลายขึ้นมา  ปากกาก็ลอยตามมาด้วย
      “ เห็นมั้ยคะ  ถ้าเราใช้วิธีผูกเชือกแบบนี้  แล้วดึงให้แน่นไปผูกกับที่พับประตู  มันจะรัดท้องไว้แน่น  แต่พอเชือกถูกตัดขาด แรงดันจากตัวก็จะดันให้เชือกคลายออกและหลุดลอยไปได้อย่างง่ายดาย”  พริมดึงเชือกออกจากปากกา แล้วปล่อยให้มันร่วงหล่นลงบนโต๊ะ
      “ ก็พอเข้าใจนะ  แต่ครูคิดว่า ความคิดของเธอยังมีช่องโหว่อยู่หลายจุด”  อารียาพูดขึ้น
      “ แล้วของครูล่ะคะ  หนูอยากฟัง  ก็บอกแล้วว่าหนูไม่เก่ง”  พริมพูดกับคนที่นั่งตรงหน้า
      “ ครูคิดว่า”  อารียาเริ่ม  “ คนร้ายเอาเศษเหล็กคมๆนี่ติดไว้ตรงขอบประตู  แล้วร้อยเส้นเอ็นจากตัวกี้ผ่านตรงช่องที่ไว้ใส่ตัวคล้องแม่กุญแจ  จากนั้นก็ไปผูกไว้กับตรงบานพับ  แล้วจับตัวกี้ให้โน้มไปข้างหน้า  จะได้ไม่สามารถทรงตัวได้  ส่วนตรงปากก็ใช้สกอตเทปใสปิดไว้เมื่อมองจากข้างล่างจึงดูเหมือนไม่ได้ปิด แล้วใช้เอ็นผูกไว้กับริมสกอตเทปด้านขวา  ก่อนเอาเอ็นมาผูกกับตรงช่องคล้องแม่กุญแจ  รวมถึงตรงที่ข้อมือและข้อเท้าก็ด้วย เพียงแต่จะใช้เชือกมัดเป็นปมที่กระตุกแล้วหลุดง่าย ก่อนเอาเอ็นมาผูกกับปลายเชือก  ตอนแรกฉันก็คิดว่าอาจจะเป็นเชือกที่เธอพบ  แต่พอมาคิดถึงหลักความจริง  การที่เส้นเอ็นนี้จะขาดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”  อารียาพูดพร้อมชี้ไปที่เส้นเอ็นบนโต๊ะ  “ แต่เชือกนี่สิ  มันไม่มีเหตุผลที่จะขาด”
      พริมนิ่งคิดสักพักก่อนเอ่ยออกมาว่า  “ ถ้าเป็นอย่างนั้น  พอเราเปิดประตูออกมาเหล็กคมๆนี่ก็จะตัดเส้นเอ็นขาด  แล้วพี่กี้ก็จะตกลงไป  ขณะที่เอ็นที่ผูกไว้กับห่วงที่ไว้คล้องใส่แม่กุญแจก็จะดึงสกอตเทปและเชือกที่ข้อมือข้อเท้าให้หลุดออก  วิธีนี้ดูดีนะคะแต่  แล้วอุปกรณ์พวกนั้นมันหายไปไหนหมดล่ะคะ  อาจารย์วิ่งลงมาเร็วอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น และตอนที่หนูอยู่ข้างบน  หนูว่าหนูไม่เห็นไอ้ของอย่างว่าเลยนะคะ  ที่ห่วงคล้องแม่กุญแจก็ด้วย  ไม่มีอะไรผูกติดไว้เลย”  พริมพูดพร้อมแววตาสงสัย
      “ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ครูยังคาใจอยู่เหมือนกัน”  อารียาพูด
      “ หนูว่ามีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่เรามองข้ามไปนะคะ  อาจารย์คิดว่าฆาตกรพาพี่กี้ขึ้นไปข้างบนได้ยังไงและทำไม พี่กี้ถึงยอมยืนอยู่บนดาดฟ้าโดยไม่ตะโกน...อ้อ! ถ้าตอนนั้นถูกอะไรปิดปากอยู่ก็คงพูดไม่ได้  แต่แล้วฆาตกร...เอาเป็นว่า  หนูว่าพี่กี้ดูสงบเกินไปน่ะคะ”  พริมพยายามอธิบาย
      “ เพราะเขาโดนวางยาชาน่ะสิ  คนที่ชาไปทั้งตัวคงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะรู้สึก  เรื่องนี้ยืนยันได้เพราะมีผลชันสูตรออกมาแล้ว”  อารียาตอบ
      “ ชันสูตร?  แปลกนะคะ  ส่วนใหญ่คนที่มีสาเหตุการตายชัดเจน  เช่นการตกตึกเนี่ย  เขาชันสูตรศพกันด้วยหรอคะ”  พริมถามหน้าตาสงสัย
      “ เปล่าหรอก  ครูขอให้เขาชันสูตรต่างหากเพราะมันมีพิรุธน่ะสิ”  อารียาพูดด้วยสีหน้าเซ็งๆ 
      “ สันนิษฐานของเราสองคนต่างกันพอสมควรและมันก็มีผลมากด้วย  ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่า  ฆาตกรก็ควรจะเป็นผู้ชายเพราะต้องใช้แรงในการดึงเยอะ  แต่ถ้าของครูเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็สามารถฆ่าได้ทั้งนั้น  แต่แปลก ตอนครูขึ้นไปตรวจสถานที่กลับไม่พบเชือกนั่น”  อารียาพูดก่อนหยิบเชือกเส้นเล็กบนโต๊ะที่พริมวางเอาไว้
      “ หนูเองก็เกือบมองผ่านมันไปเหมือนกันล่ะค่ะ  ถ้าไม่บังเอิญว่าไปเจอมันตรงซอกบานพับประตู  ก็คงจะไม่ได้มาเหมือนกัน  บางทีอาจารย์คงจะมองผ่านมันไป”  พริมพูดจบ อารียาก็พยักหน้าตาม ‘ มองผ่านหรอ?’  เธอครุ่นคิดในใจ
      “ เอ่อ...อาจารย์คะ  หนูขอพูดอะไรไว้ก่อนนะคะ คือหนูไม่ใช่นักสืบที่เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์  เพราะฉะนั้นหนูอาจจะเป็นตัวถ่วงอาจารย์ได้  ถ้าบางครั้งหนูทำอะไรผิดก็ขอโทษล่วงหน้าเลยนะคะ  แล้วก็หนูอยากขอร้องอาจารย์อีกอย่าง  ถ้านายจ้างถาม  อาจารย์ช่วยบอกว่าหนูคือนักสืบ
      วรัญภรณ์นะคะ  ชื่อแม่หนูน่ะค่ะ”  พริมพูดพร้อมยิ้มให้อารียา  อารียาพยักหน้ารับและตอบกลับว่าไม่ต้องห่วง  ก่อนยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วบอกให้พริมรีบไปเข้าเรียนวิชาต่อไป
       “ พริม! หายไปไหนมา”  แจน  กุ  แก้ว  บิวและโนถามขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นพริมเดินกลับเข้ามาเรียนในคาบที่ 5
       “ ถูกอาจารย์สรัญญาทำโทษให้จัดของที่ห้องพักครูน่ะสิ  เมื่อยชะมัด”  พริมพูดพร้อมบิดตัวไปมา
       “ อะไรกัน  พริมไม่สบายนอนอยู่ห้องพยาบาลแท้ๆ  ถึงจะแกล้งป่วยก็เถอะ  อาจารย์สรัญญานี่ใจร้ายเนอะ”  แจนพูดขึ้นพร้อมสีหน้าไม่พอใจ
       “ ใช่ใจร้าย  ไร้เหตุผลที่สุด”  พริมใส่โรงใหญ่
       “ ฉันว่าเพราะปากเธอด้วยนั่นแหละพริม  พูดจาอย่างนั้นนึกว่าจะโดนฆ่าหมกส้วมไปซะแล้ว”  โนเสนอ
       “ เห็นด้วย”  กุพยักหน้า  พริมหันมาค้อน
       “ ก็อาจมีส่วนนิดหน่อย  ฉันไม่ได้ปากร้ายขนาดนั้นหรอกน่า”  พริมบ่นก่อนเดินไปนั่งประจำที่

      “ไม่อยากเชื่อเลย”  อารียาบ่นเมื่อพริมเดินออกไป นายจ้างของเธอนอกจากจะงี่เง่าแล้วยังส่งเด็กมาช่วยเธออีก ‘งานนี้คงไปได้สวยแน่’ อารียาคิดในใจ เธอไม่มีชั่วโมงสอนอีกแล้วในวันนี้ เลยมีเวลาเหลือเฟือให้คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอจึงหยิบสมุดเล่มหนึ่งมาจดข้อความลงไป
      ‘ ฉันถูกจ้างให้มาตามหาคนๆหนึ่งที่หายสาบสูญไปเมื่อ2 ปีก่อน ตอนนี้ที่มีอยู่ก็แค่ข้อมูลบางส่วนซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวกับการหายตัวไปสักเท่าไหร่ เอาจริงๆงานนี้ยังไม่ค่อยคืบหน้าเท่าที่ควร ไม่ทันไรก็มีเหตุการณ์ใหม่มาให้คิดอีก เมื่อนักเรียนคนหนึ่งตกลงมาจากดาดฟ้าชั้น 6 ของตึกเรียนใหม่ จากหลักฐานทั้งหมดที่พอจะหาได้ ทำให้ฟันธงได้ว่าเป็นการฆาตกรรมและ…’  อารียายกปากกาขึ้นจรดคาง ทำท่าครุ่นคิด ก่อนปิดสมุดลง ขณะเดียวกัน อาจารย์จักรพันธ์ก็เดินเข้ามา
      “ อ้าว อาจารย์สรัญญา ไม่มีสอนเหรอครับ” อาจารย์จักรพันธ์ถามขึ้น เมื่อเห็นอารียาอยู่ในห้องคนเดียว
      “ วันนี้ไม่มีคาบสอนแล้วค่ะ แล้วอาจารย์ล่ะคะ”  อารียาถามกลับ
      “ ก็เดี๋ยวหลังเที่ยงนี้มีสอนม.6น่ะครับ ผมเลยเข้ามาเอาเอกสาร”  อาจารย์จักรพันธ์ยิ้ม อารียาก้มลงมองสมุดบนโต๊ะก่อนฉุกคิดขึ้นได้
      “ เอ่อ … อาจารย์คะ อาจารย์สอน 6/1 หรือเปล่าคะ”   อารียาถามอาจารย์จักรพันธ์ที่กำลังรื้อหาของที่โต๊ะ
      “ ครับ อาจารย์สรัญญามีอะไรหรือเปล่าครับ”  อาจารย์จักรพันธ์ตอบรับ ขณะที่ยังก้มหน้าก้มตาหาของ
      “ คือ ดิฉันอยากขอตัวนักเรียน 2 คน มาช่วยงานหน่อยน่ะค่ะ” อารียาพูดพร้อมรอยยิ้มในใจ อาจารย์จักรพันธ์เงยหน้าขึ้นมายิ้มรับ
      “ ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ”


      “ อาจารย์เรียกพวกหนู มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”  ปุ๋ยถามอารียาหลังจากเดินเข้ามาในห้องพักครู
      “ ก็นิดหน่อย นั่งสิ”   อารียาพูดกับปุ๋ยและน้ำที่เดินตามปุ๋ยมาข้างหลัง
      “ ห้องพักครูตึกนี้นี่น่าอยู่ดีนะคะ หนูก็เพิ่งเคยเข้ามา” น้ำพูดยิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนถามต่อ
      “ห้องนี้นี่มีครูอยู่กันกี่คนเหรอคะ”
      “ รู้สึกว่าครูจะเรียกเธอมาถามนะ ไม่ใช่ให้เธอมาถามครู” อารียาพูดกลับ น้ำจึงยิ้มแหยๆก่อนยกมือปิดปาก
      “ ฉันเองก็ ไม่ได้อยากยุ่งอะไรหรอกนะ เผอิญได้รู้มาว่าพวกเธอเป็นเพื่อนสนิทของพิมพ์ผกา นักเรียนที่หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน”  เมื่ออารียาพูดจบ เธอสังเกตเห็นนักเรียน 2 คนตรงหน้ามีสีหน้าตกใจ
      “ ขอโทษนะคะ”  ปุ๋ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  “ หนูไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องเล่าเรื่องนี้ให้อาจารย์ฟัง เรื่องมันเกิดมาก็นานแล้ว แล้วก็จบไปแล้ว หนูไม่เห็นประโยชน์ว่าอาจารย์จะรู้ไปทำไมนะคะ”  คำพูดของปุ๋ยทำเอาคนฟังอึ้งไปเลยทีเดียว แม้แต่น้ำก็ต้องเอามือไปจับมือปุ๋ยเป็นสัญญาณบอกให้ใจเย็นๆ
      “ เธอจะคิดอย่างนั้นก็คงไม่ผิดหรอก แต่เธอแน่ใจหรอว่าเรื่องนี้มันจบไปแล้ว เธอคิดว่าคำว่าจบนี่มันหมายถึงตอนไหนเหรอ ตอนที่พิมเขาหายตัวไป แล้วปล่อยให้คนอื่นเดาไปต่างๆนานา หรือตอนที่เธอได้รู้ว่าเพราะอะไร และตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”  อารียาถามต่อ ปุ๋ยก้มหน้าไม่ตอบ
      “ อาจารย์ช่วยบอกเหตุผลหนูสักข้อได้ไหมคะ ว่าที่อาจารย์ต้องเรียกพวกหนูจากชั่วโมงเรียน แล้วถามเรื่องแค่นี้เนี่ย มันเพราะอะไรคะ”  น้ำถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนเงียบลง
      “ เพราะครูพอจะทราบเบาะแสอะไรบางอย่างน่ะสิ” เมื่ออารียาพูดจบ ปุ๋ยกับน้ำก็มองหน้ากัน  ความรู้สึกตอนนั้นไม่มีใครสามารถจะบรรยายได้ มันเป็นความตกใจ ตื่นเต้น ปนดีใจ
      “ ครูว่าอะไรนะคะ ครูพบอะไรหรอคะ ครูช่วยเล่าให้พวกหนูฟังได้มั้ยคะ” ปุ๋ยกับน้ำรัวคำถามเป็นชุด อารียายิ้มออก
      “ ครูจะเล่าให้ฟัง หลังจากที่ได้รู้ข้อมูลทั้งหมดจากพวกเธอ” อารียาพูดอย่างมีชัย ปุ๋ยกับน้ำมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยเรื่องราวออกมาก่อน ‘ บางที นี่อาจเป็นทางเลือกสุดท้ายก็ได้’ ปุ๋ยคิดในใจก่อนเริ่มเล่าในสิ่งที่เธอรู้
      ปุ๋ย  น้ำและพิมเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ม.1 จนถึงม.4 ก็ยังปกติดี  เพียงแต่พิมมาเริ่มเปลี่ยนไปตอนปลายๆม.4 เทอม 1 พิมที่ร่าเริงก็เปลี่ยนมาเป็นคนเงียบลง  จากที่มักจะตั้งใจเรียนก็เปลี่ยนมาเป็นคนเหม่อลอย  ใจลอยจนปุ๋ยกับน้ำล้อว่าเธอกำลังมีความรัก  ตอนนั้นอาจารย์จักรพันธ์ที่เป็นครูประจำชั้นก็เรียกเธอไปคุยบ่อยๆ  แต่ก็ไม่ดีขึ้น  พิมแย่ลงทุกวัน  จากที่เวลาไปไหนก็มักจะลากปุ๋ยกับน้ำให้ไปเป็นเพื่อน  ก็เปลี่ยนเป็นไปคนเดียว  เวลาว่างก็เอาแต่นั่งเขียนอะไรคนเดียวลงในไดอารี่เล่มเล็กของเธอ ที่หายไปพร้อมกับตัวพิม
      “ คืนก่อนหน้าเช้าที่เธอจะหายตัวไป  หนูตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่รู้ว่ากี่โมง  เผอิญหนูนอนอยู่เตียงล่างจึงเห็นตอนที่พิมกำลังเก็บของอยู่ที่ตู้  เธอหยิบของทุกอย่างใส่กระเป๋าอย่างเร่งรีบ  แล้วออกไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าหนูตื่นอยู่”  ปุ๋ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
      “ คืนนั้นหนูก็ตื่นค่ะครู  แต่ตื่นมาตอนที่ปุ๋ยซึ่งนอนอยู่เตียงข้างล่างหนูลุกขึ้น ปุ๋ยมันก็บอกว่าจะไปดูพิม แต่หนูไม่คิดอะไรเลยบอกให้ปุ๋ยเขาไปนอนเพราะวันรุ่งขึ้นมีสอบ  และพิมเขาก็มักจะลุกไปเข้าห้องน้ำกลางดึกบ่อยๆอยู่แล้วด้วย”  น้ำพูดต่อ
      “ อันที่จริง  ตอนนั้นหนูยังไม่รู้หรอกค่ะว่าพิมเขามาเก็บของในตู้ไปหมด  หนูก็สะลึมสะลือ  ตอนนั้นยังคิดว่าเขาคงมาเอาของในตู้เฉยๆ  พอจะลุกไปดูก็อย่างที่น้ำเล่าน่ะค่ะ”  ปุ๋ยพูดต่อ ในหัวกำลังนึกถึงอดีต  “ ตอนเช้าไม่มีใครหาพิมเจอ  ทุกคนช่วยกันก็หาไม่เจอจนต้องให้ตำรวจช่วย  เรามาพบจดหมายลาในตู้ของพิม  ถึงลายมือจะคล้ายกันมากแต่หนูก็รู้ว่ามันไม่ใช่  สำนวนการเขียนมันไม่ใช่พิมแน่นอน”
      “ รวมถึงรูปนี่ด้วยค่ะ”  น้ำพูดพร้อมหยิบรูปที่พกใส่กระเป๋าไว้ตลอดขึ้นมา ยื่นไปให้อารียา 
      “ ผู้ชายในรูปนี้ พิมเป็นคนบอกเองว่าเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับเธอและมักจะเอามันวางไว้ใต้หมอนตลอด  เช้าวันนั้นเราก็ยังพบมันอยู่ที่เดิม  ตำรวจเองก็เลยสรุปว่าพิมหนีตามผู้ชายไป”  น้ำพูดอย่างเซ็งๆ
       “ แปลกนะ”  อารียานั่งฟังมานานพูดขึ้นบ้าง  “ ถ้าเขาจะหนีไปจริง  ทำไมถึงทิ้งของสำคัญเอาไว้ล่ะ”  อารียาตั้งข้อสงสัยขณะดูรูปใบนั้น
       “ นี่ล่ะค่ะ  สาเหตุสำคัญที่พวกหนูไม่เชื่อว่าพิมหนีไปเอง”  ปุ๋ยพูด  น้ำพยักหน้าตาม  ถึงตอนนี้ปุ๋ยกับน้ำก็หยุดพูดและตั้งหน้าตั้งตารอฟังสิ่งที่อารียารู้  อารียามองดูหน้าทั้งสองคนก็เข้าใจ
       “ ครูมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักสืบ”  เธอเริ่ม  “ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เขาถูกจ้างให้มาตามหาคนที่ชื่อพิมพ์ผกา  ซึ่งเป็นเด็กโรงเรียนนี้ แล้วหายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน”  อารียาหยุดพูด  เธอสังเกตสีหน้าของนักเรียนสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า  “ ขอถามอะไรหน่อยนะ  พวกเธอคิดว่าตอนนี้...พิมเขาจะเป็นยังไงหรอ”
       เมื่ออารียาถาม ปุ๋ยกับน้ำก็นิ่ง เหมือนกำลังใช้ความคิด
       “ บางทีพิมเขาอาจจะหนีไปอยู่เมืองนอกเพราะพิมเขาเป็นคนขี้ร้อน หรือไม่ก็อยู่ต่างจังหวัด  อาจจะลำบากหน่อย แต่คนอย่างเธอก็คงอยู่ได้”  ปุ๋ยพูดแบบหน้าตาอารมณ์ดี
       “ เธอแน่ใจหรอพีรดา ว่าเธอคิดอย่างที่เธอพูดจริงๆ”  อารียามองหน้าปุ๋ย  เธอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของปุ๋ยเปลี่ยนไป
       “ หนูไม่อยากให้สิ่งที่หนูคิดมันเกิดขึ้น”  ปุ๋ยพูดสีหน้าเศร้าๆ
       “ เธอห้ามมันได้หรอ”  อารียาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ถึงตอนนี้น้ำเริ่มพอจะเข้าใจ
       “ อาจารย์หมายความว่า...”
       “ ใช่”  อารียาตอบพร้อมหันไปมองหน้าน้ำ “ พิมพ์ผกาเสียชีวิตแล้ว”


       
      อารียามองตามหลังนักเรียนสองคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องไปด้วยความเศร้า  ปุ๋ยนั้นเมื่อได้รู้ว่าพิมจากไปแล้วก็เงียบไม่พูดไม่จาอะไร  ส่วนน้ำที่มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยก็เศร้าไปตามๆกัน ‘ แต่ถือว่ายังโชคดีที่ทั้ง 2 คนนั้นคงแอบคิดอย่างนี้มานานแล้ว  เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้น จึงคงพอจะทำใจรับได้บ้าง’ อารียาคิดในใจ  ก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน
       “ ขอโทษนะ”  อารียาพึมพำกับตัวเอง  ก่อนเปิดสมุดเล่มประจำขึ้นมา  เธอยันตัวขึ้นนั่งหลังตรง แล้วหันไปคว้าปากกามาจดลงไป
       ‘ ไม่รู้ว่านี่มันถือเป็นวิถีของนักสืบหรือเปล่า  การที่ต้องโกหกคนเพื่อให้ได้ข้อมูลมา  ฉันรู้สึกไม่ดีเลย  แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้งานนี้คืบหน้าไปบ้าง  ตอนนี้ที่รู้ก็คือ  พิมต้องมีอะไรสักอย่างช่วงก่อนหายตัวไปที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป  อย่างน้อยก็มีอีกคนหนึ่งที่อาจจะรู้ว่าพิมเป็นอะไร...’
       ช่วงพักตอน 4 โมงเย็น  อารียาเดินจากห้องพักครูมาตามทางเดิน  เธอกำลังจะไปหาพริมที่ห้องพัก  แต่ทันใดนั้น...
       “ อาจารย์จักรพันธ์คะ”  อารียาเรียกอาจารย์จักรพันธ์ที่เพิ่งเดินถือเอกสารผ่านไป
       “ ครับ”  อาจารย์จักรพันธ์หันมายิ้มให้เธอ
       “ อาจารย์พอจะมีเวลาว่างสักครู่มั้ยคะ  คือฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”  อารียาพูด
       “ ได้ครับ  อาจารย์สรัญญามีธุระอะไร  ไปคุยกันที่ห้องพักครูดีมั้ยครับ”  อาจารย์จักรพันธ์ถามเธอ
       “ อืม...ฉันว่าคุยตรงม้าหินนั่นก็ได้ค่ะ  ในห้องคนเยอะ”  อารียาชี้ไปตรงโต๊ะม้าหินข้างทางเดิน อาจารย์จักรพันธ์พยักหน้ารับ ก่อนเดินนำอารียาไปนั่งที่โต๊ะม้าหิน
       “ คือ..”  อารียาเริ่ม  “ ฉันพอจะทราบมาว่าอาจารย์เคยสอนนักเรียนที่ชื่อพิมพ์ผกาเมื่อสองปีที่แล้ว  ตอนเธออยู่ม.4”  เมื่ออารียาพูดจบ  เธอสังเกตเห็นสีหน้าของอาจารย์จักรพันธ์เปลี่ยนไป  คิ้วหนาเหนือดวงตากลมขมวดเข้าหากัน  ทรงผมรองทรงที่ตัดได้รูปแต่ไม่เข้ากับใบหน้าสักเท่าไร  รูปร่างที่สูง  ไม่ผอมไม่อ้วนขยับไปมา  ฝ่ามืออันใหญ่ตามปกติของผู้ชายยกขึ้นกุมขมับ
       “ อ๋อ!  ใช่ ผมพอจะจำได้แล้ว  คนที่หนีตามผู้ชายไปเมื่อ 2 ปีก่อน”  อาจารย์จักรพันธ์พูด  ในใจอารียาอยากจะแย้งว่าพิมไม่ได้หนีตามผู้ชายไป แต่เธอก็ยังไม่มีหลักฐาน  มันเป็นแค่ความรู้สึก  เธอจึงได้แต่เงียบไว้
       “ ค่ะ  คือ ช่วงก่อนเธอจะหายตัวไปเห็นเพื่อนๆของเธอบอกว่าอาจารย์เรียกเธอเข้าไปพบบ่อย  ใช่มั้ยคะ”  อารียาถาม
       “ ครับ  คือ เธอดูเปลี่ยนไป  หนังสือหนังหาไม่ตั้งใจเรียน  ผมเลยต้องเรียกมาคุย แต่เธอก็ไม่ยอมบอกอะไร บอกแต่ว่าไม่เป็นไรและ...เอาจริงๆผมพอจะดูอาการเธอออกว่าเธอต้องกำลังมีแฟนแน่ๆ”  อาจารย์จักรพันธ์พูดน้ำเสียงยืนยัน  ก่อนขอตัวกลับห้องพักเพราะต้องเอางานไปเก็บ
       “ ว่าแต่...ทำไมอาจารย์สรัญญาถึงอยากรู้ขึ้นมาล่ะครับ”  อาจารย์จักรพันธ์ถาม
       “ อ๋อ  ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ  แค่เคยได้ยินข่าวเลยอยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า”  อารียาตอบพร้อมยิ้มให้อาจารย์จักรพันธ์แทนคำขอบคุณ  ‘ ไม่ได้เรื่องอะไรเลยจริงๆ’
       วันนั้นหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ  พริมที่กำลังเล่นตีกันกับกุระหว่างกำลังเดินขึ้นโซนก็ต้องเซ็งเมื่อเห็นอาจารย์ณภัสสรยืนถือผ้าถุงอยู่หน้าห้อง
       “ พิมพ์ผกา  ใส่ซะ”  อาจารย์ณภัสสรหยิบผ้าถุงชูขึ้นมา  พริมส่ายหน้าเป็นพัลวัน
       “ ไม่เอาอ่ะค่ะ  อาจารย์อย่าบังคับจิตใจหนูเลย  อยู่บ้านไม่เคยจะเปลื้องผ้าให้พ่อแม่เห็นแล้วอาจารย์จะให้หนูมาทำต่อหน้าประชาชีที่โรงเรียนเนี่ยนะคะ  อย่าเลยค่ะ”  พริมทำสีหน้าอ้อนวอน
       “ เว่อร์ไปคุณเธอ  ครูแค่จะให้เธอเปลี่ยนผ้าถุงไม่ได้ให้เดินแก้ผ้าโทงๆซะหน่อย  ทำเป็นโวยวาย  ไม่ใส่ก็ไม่ต้องอาบ  กฎก็คือกฎ”  อาจารย์ณภัสสรพูดยื่นคำขาด
       พริมนึกคิดบ่นคนที่สร้างกฎบ้าๆขึ้นมา  ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าผ้าถุงแล้วเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว
       “ พริมจะใส่ผ้าถุง  เอ้า! พริมจะใส่ผ้าถุง”  กุร้องตะโกนเข้าไปในห้อง  ทำให้แจน  โน  บิวและแก้วที่กำลังเปลี่ยนชุดกันอยู่หันมายิ้มไปตามๆกัน
       “ นี่! หันไปเลยไม่ต้องมาแอบดู”  พริมหันไปโวยวายใส่เพื่อน  ขณะเดินไปที่ตู้  เพื่อนๆแกล้งเอามือปิดตาแต่ก็กางนิ้วเปิดเอาไว้  พร้อมรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะในลำคอ  พริมใส่ผ้าถุงขึ้นไปกระโจมอกแล้วจึงค่อยๆถอดกางเกงพละออก  ‘ หวิวชะมัด’  พริมคิด  ก่อนจะถอดเสื้อออก ให้เห็นแต่เสื้อทับข้างใน
       “ วี๊ดวิ้ว!  ว่าไงจ๊ะน้องสาว”  กุทำเสียงแซว  พริมหันมาค้อน
       “ โถ  ทำเป็นอาย  ไม่อยากดูหรอก แบนแต๊ดแต๋!”  โนพูดพร้อมหัวเราะ  พริมก้มลงมองหน้าอกตัวเอง มันก็แบนจริงๆ
       “ หยุดเลย  ว่างมากหรือไงจะทำอะไรก็ไปทำสิ  ยุ่งจริง เงียบไปเลย”  พริมพูดเป็นชุดพร้อมหน้าแดง  แจน โน บิว กุและแก้วที่พยายามจะกลั้นหัวเราะเต็มที่รีบยกมือขึ้นมาอุดปาก  “ หยุดหัวเราะนะ!” พริมหันไปว่า  ทำเอาเพื่อนๆปล่อยขำพรวดออกมา
       การอาบน้ำในตอนเย็นของพริมผ่านไปได้ด้วยดี  เธอทำให้เพื่อนๆได้ขำ  ทำให้อาจารย์พอใจ  ทำให้ตัวเองไม่โดนบ่น  ‘ ใส่ผ้าถุงก็ไม่แย่เท่าไรหรอก’ พริมคิดในใจ
       “ เออแล้ว คนอื่นไปไหนหมดล่ะ”  พริมหันไปถามแจนที่นั่งเหลืออยู่คนเดียวในห้อง
       “ ลงไปหมดแล้ว  ทิ้งแจนไว้รอพริมนี่แหละ”  แจนพูดพร้อมเอาผ้าขยี้ผมที่เพิ่งสระเสร็จหมาดๆ  พริมรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว  ขณะมองดูนาฬิกาเหลือเวลาอีกประมาณ 10 นาที
       “ พริมไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้  แจนนั่งรอได้น่ะ ยังมีเวลาเหลือ”  แจนพูดกับพริมที่แต่งตัวอย่างลุกลี้ลุกลน
       “ ไม่เอาอ่ะ  รีบลงดีกว่าการบ้านท่วมหัว”  พริมพูดก่อนคว้าหวีมาหวีผม “ ไป  เสร็จแล้ว”  พริมคว้าเสื้อคลุมด้วยมือขวาแล้วเอื้อมมือซ้ายไปคว้าแขนแจน  ทั้ง 2 คนเดินไปคุยไป แต่พริมเดินเร็วกว่าปกติ 2 เท่า กึ่งฉุดกึ่งลากแจน
       “ พริม  จะรีบไปไหนเล่า”  แจนถามขณะที่เท้าก็ต้องรีบเดินให้ทันพริม
       “ ไปเข้าห้องน้ำ  ปวดฉี่จะราดอยู่แล้ว”  พริมพูดรัวเร็ว  พร้อมกับเท้าที่จ้ำเอาจ้ำเอา
       “ แล้วเมื่อกี๊ไม่เข้าข้างบนล่ะ”  แจนถามต่อ
       “ เดี๋ยวก็โดนอาจารย์ณภัสสรไล่น่ะสิ  ไม่อยากโดนกักอยู่ข้างบนหรอกนะ  แจนเร็วสิ”  พริมกึ่งเดินกึ่งวิ่ง  เมื่อมาถึงห้องน้ำ พริมก็รีบวิ่งเข้าไป  ที่โรงเรียนนี้จะมีห้องน้ำรวมอยู่กึ่งกลางระหว่างตึกวิทยาศาสตร์กับตึกเรียนใหม่  เป็นห้องน้ำรวมที่มีห้องเล็กๆย่อยอีก 20 ห้อง  ข้างหน้าจะมีศาลาวางตั้งอยู่ 3 หลัง  แจนนั่งรอพริมอยู่ที่หลังซ้ายสุด
       ระหว่างนั่งรอ  แจนก็นั่งดูวิวรอบๆ ด้านขวาของเธอเป็นตึกวิทยาศาสตร์ซึ่งชั้นล่างก็คือห้องพักของเธอ  ด้านซ้ายเป็นตึกเรียนใหม่ที่ตอนนี้ปิดไฟมืดสนิทเพราะตึกเรียนใหม่จะไม่ให้ใครเข้าไปใช้ตอนกลางคืน  ข้างหน้าเป็นทางเดิน  เยื้องไปทางขวาเป็นตึกเรียนเก่า  แจนยังจำได้ว่าตอนม.ต้นจะมีวิชาเกษตร  นักเรียนทุกคนจะไปปลูกผัก  รดน้ำพรวนดินที่แปลงผักซึ่งอยู่ข้างๆตึกเรียนเก่า  แปลงผักมีอยู่ประมาณ 12 แปลง  และมีห้องเก็บอุปกรณ์การเกษตรทั้งหลายอยู่ข้างๆ  ไม่ว่าจะเป็นส้อมพรวน  ช้อนพรวน  จอบ  ปุ๋ยอินทรีย์และอะไรอีกมากมาย  แจนไม่ชอบเข้าไปเท่าไรเพราะเธอเหม็นกลิ่นปุ๋ย  เธอหันไปมองทางห้องน้ำ ‘ พริมนี่เข้าห้องน้ำนานจัง  สงสัยจะปวดหนัก’  แจนคิดในใจ  ก่อนหันกลับไปมองดูนักเรียนที่เดินผ่านไปมา
       “ กริ๊ง!!!!”  เสียงกริ่งดังขึ้นทั่วโรงเรียน  นักเรียนหลายคนวิ่งหน้าตาตื่นไปยังลานจอดรถ  แจนที่นั่งอยู่ข้างนอกเห็นกลุ่มนักเรียนวิ่งออกมาจากตึกพร้อมเสียงกรี๊ดวุ่นวาย  เธอพอจะรู้ว่านี่เป็นเสียงกริ่งไฟไหม้เพราะโรงเรียนจะมีการซ้อมไฟไหม้ทุกปี  แต่พริมนี่สิ  ดูท่าจะไม่รู้เรื่อง
       แจนรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ แล้วตรงไปเคาะประตูห้องที่ปิดอยู่
       “ พริม!  พริม!  ออกมาเร็ว  กริ่งไฟไหม้ดัง”  แจนโวยวายหน้าห้องน้ำ  สักพักเธอก็ได้ยินเสียงกดชักโครกและพริมก็เปิดประตูออกมา
       “ ไฟไหม้หรอ  ที่ไหน”  พริมถามแจน  หน้าตาตื่น
       “ ไม่รู้  ไหม้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะโรงเรียนมักจะซ้อมไฟไหม้แบบไม่รู้ตัว  ที่แปลกก็คือไม่เคยมีปีไหนซ้อมเร็วขนาดนี้น่ะสิ  ยังไงก็วิ่งก่อนละกัน”  แจนจับมือพริมวิ่ง
       เมื่อวิ่งมาถึงทางเดิน  พริมหันไปเห็นแสงไฟโชติช่วงอยู่ท่ามกลางความมืดที่สุดปลายทางเดิน  ผู้คนมากมายวิ่งหนีและมีกลุ่มคนที่อออยู่ตรงนั้น
       “ แจน  ไฟไหม้จริงๆล่ะ  ไปดูกัน”  พริมพูดกับแจนก่อนดึงแจนวิ่งย้อนฝูงนักเรียนไปอีกทาง  ทั้ง 2 ตรงเข้าไปหาแสงไฟ
       “ นั่นมันอะไรน่ะแจน”  พริมถามแจนพร้อมชี้ไปที่บริเวณไฟไหม้
       “ รู้สึกจะเป็นบริเวณแปลงผักนะ  ใช่แหละ!  ไฟไหม้ห้องเก็บอุปกรณ์เกษตร”  แจนอธิบาย  พริมที่ไม่มีวิชาเกษตรเรียนก็ไม่เคยเข้าไปที่นั่น    ครั้งนี้เธอเข้าไปใกล้กว่าปกติ  เธอเห็นอาจารย์และพี่
      บริกรหลายคนเอาสายยางมาฉีดและวิ่งไปรองน้ำจากก๊อกข้างๆมากดใส่  พริมกับแจนยืนมองเปลวไฟนิ่ง  ‘ ไฟยามค่ำคืนนี่มันสวยดีเหมือนกัน’  พริมคิดในใจ  ‘ หวังว่าคงไม่ได้มีใครไปนอนเป็นเชื้อเพลิงในนั้นหรอกนะ’
       หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อรถดับเพลิงมาถึง ไฟก็ค่อยๆมอดลง  โชคดีที่ห้องเก็บอุปกรณ์ยังไม่ไหม้เป็นเถ้าถ่าน  พริมได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆเพราะอาจารย์ไม่ยอมให้นักเรียนเข้าไปใกล้  พริมชะเง้อคอมองเช่นเดียวกันกับแจน  ตอนนี้ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีส้มก็กลับกลายมาเป็นสีเทาดำจากควันที่กำลังคุกรุ่นอยู่  ทั้ง 2 เห็นพี่บริกรชายคนหนึ่งหยิบเหล็กมากระแทกประตูแล้วประตูก็เปิดออก  ควันจากข้างในก็พวยพุ่งออกมาทำให้คนบริเวณนั้นต้องถอยห่างและยกมือขึ้นมาปิดจมูก  พี่บริกรคนนั้นหยิบไฟฉายพร้อมผ้าขึ้นมาปิดจมูกแล้วเดินเข้าไปในห้อง 
      พริมสังเกตมองรอบๆตัว ที่ห้องเก็บอุปกรณ์เกษตรมีอาจารย์อยู่ 4-5 คน รวมถึงพี่บริกรชายหญิงมากมาย  นักเรียนบางคนก็ไม่ยอมไปเข้าแถวที่ลานจอดรถเหมือนที่โรงเรียนซ้อมไฟไหม้ทุกปี  แต่กลับมาแอบยืนดูเหตุการณ์อย่างใจจดใจจ่อและพริมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
       ไม่นานพี่บริกรคนนั้นก็ออกมาพูดอะไรบางอย่างกับอาจารย์ที่ยืนอยู่แถวนั้น  พริมเอียงคอมอง  อาจารย์จักรพันธ์นั่นเอง  ยังไม่ทันพูดจบพริมก็เห็นอาจารย์จักรพันธ์หยิบมือถือข้างตัวขึ้นมากดโทรลงไป  ถึงตอนนั้นพริมจะไม่ได้ยินว่าอาจารย์คุยอะไรแต่เธอก็ได้มารู้ในเวลาไม่นาน เมื่ออีก 10 นาทีต่อมา รถตำรวจก็ขับเข้ามาในโรงเรียนพร้อมกับรถร่วมกตัญญู...
       พนักงานร่วมกตัญญูเข้าไปข้างในห้องเก็บอุปกรณ์  แล้วใช้เปลหามอะไรบางอย่างออกมา  พริมพยายามเพ่งมองจากตรงที่เธออยู่  สิ่งที่อยู่ในเปลถึงกับทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นต้องยกมือขึ้นปิดปาก  แจนเองก็ปิดตาแน่น  บนเปลเป็นร่างของนักเรียนคนหนึ่งในสภาพชุดนอน  ถึงร่างกายจะไม่ได้ไหม้จนดำ แต่พริมก็เชื่อว่าคงไม่รอด
       สัญชาตญาณพยายามดึงดูดพริมเข้าไปในที่เกิดเหตุ  แต่แจนก็ฉุดเอาไว้บอกว่าอย่าเข้าไป  เด็กไม่ควรเข้าไปยุ่ง  พริมยืนอยู่อย่างอารมณ์เสีย มันก็จริงถึงเธอเข้าไปก็คงโดนไล่ออกมาอยู่ดี
      พริมพยายามชะเง้อคอมอง ก็เห็นอารียายืนอยู่หน้าห้องเก็บอุปกรณ์ด้วย จึงค่อยโล่งใจ เมื่อคนของร่วมกตัญญูวางร่างเด็กคนนั้นลงกับพื้น  อีก 2 คนที่รออยู่ข้างนอกก็หามเปลเปล่าอีกอันเข้าไปข้างใน  พริมเข้าใจสถานการณ์ทันทีและมันก็เป็นจริงดังเธอคิด  เมื่อร่างของเด็กนักเรียนอีกคนหนึ่งถูกหามออกมาตามๆกัน
      พริมยังไม่ได้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักก็ต้องเดินจากมาอย่างหัวเสีย  เมื่ออาจารย์
      จัณฑิตาที่คุมนักเรียนตรงลานจอดรถเรียบร้อยแล้วเดินมาโวยวายใส่นักเรียนที่ยืนอยู่รอบๆที่เกิดเหตุโดยไม่ไปเข้าแถว
      “ พริมคิดว่าสองคนนั้นเป็นใครหรอ”  แจนเอ่ยถามพริมขณะที่ทั้ง 2 กำลังเดินมารวมกับเพื่อนคนอื่นๆที่ลานจอดรถ  พริมส่ายหัว
      “ ไม่รู้สิ  รู้แต่ว่าเป็นม.ปลายหนึ่งคน”  พริมตอบ  นักเรียนโรงเรียนนี้จะสังเกตแยกระหว่าง
      ม.ต้น กับ ม.ปลายได้ง่ายๆเพราะม.ปลายจะไว้ผมยาวได้  แต่ม.ต้นต้องไว้ผมสั้น และเด็ก 2 คนที่ถูกหามออกมานั้นก็ผมยาวหนึ่งคน  ส่วนอีกคนผมสั้นเลยระบุไม่ได้
      เมื่อพริมกับแจนเดินมาที่ลานจอดรถ  ก็ต้องพบกับฝูงนักเรียนจำนวนมหาศาลที่ยืนออกันด้วยเสียงเซ็งแซ่  นักเรียนที่ไม่รู้เรื่องก็พากันเดาสุ่มไปต่างๆนานา  บางกลุ่มก็ยืนฟังเพื่อนตัวเองเล่าเหตุการณ์ที่ไปแอบดูมาอย่างใจจดใจจ่อ  และเมื่อรู้ว่ามีคนตาย เสียงตกใจก็ดังขึ้นพร้อมๆกัน  พริมกับแจนเดินหาเพื่อนของตัวเองในกลุ่มคนที่แออัด  แจนหันซ้ายหันขวามองหาเพื่อนๆ  แต่พริมกลับหันหลัง  ใจมองเลยไปยังสถานที่เกิดเหตุ  เหมือนจะได้เห็นอะไรมากกว่านี้
      “ แจน!  พริม!  ทางนี้”  เสียงกุกับบิวตะโกนโหวกเหวกพร้อมชูมือเป็นสัญญาณเรียกให้ทั้ง 2 คนเดินไปหา  แจนจับมือพริมลากเบียดเสียดฝูงคนเดินไปอย่างรวดเร็ว
      “ โอ๊ย! ตกใจแทบแย่  เห็นคนมาบอกว่ามีนักเรียนถูกไฟคลอกตาย 2 คน  ฉันล่ะกลัวจริงๆว่าจะเป็นเธอ 2 คน”  แก้วพูดแสดงความตกใจไม่แพ้บิวกับกุ
      “ ว่าแต่  แล้วโนล่ะ”  แจนหันมองรอบตัว  แต่โนไม่อยู่
      “ ไม่รู้สิ  หาไม่เจอ  ตอนลงมาเราแยกกันเพราะโนบอกว่าอาจารย์จักรพันธ์ให้ไปหา  เลยรีบวิ่งไป  แล้วเราก็เดินเข้าห้องพัก  พอเสียงกริ่งไฟไหม้ดังเราก็วิ่งหนีลูกเดียว  ไม่ทันนึกถึงอะไร”  กุพูดรัวเร็วด้วยน้ำเสียงตกใจ
      “ ตอนแรกนึกว่าซ้อม ก็เดินสบายอยู่หรอก  แต่พอได้กลิ่นแล้วออกมาเห็นเปลวไฟเท่านั้นแหละ  เออ! ว่าแต่เธอ 2 คนหายไปไหนมาฮะ”  บิวถาม
      “ จะไปไหนได้ล่ะ  ก็พริมน่ะสิ  ลากแจนไปดูที่เกิดเหตุเฉยเลย  น่ากลัว  ยิ่งตอนที่เขาเอาศพออกมานะ  แจนนี่หลับตาปี๋เลย  ไม่กล้าดู”  แจนเล่าให้กุ บิวและแก้วฟัง  และทันใดนั้นเสียงประกาศออกไมค์ก็ดังขึ้นทั่วโรงเรียน
      “ ขอให้นักเรียนทุกคนกลับเข้าห้องพักของตัวเองนะคะ  ตอนนี้เหตุการณ์ต่างๆสงบลงแล้ว  ทุกอย่างปลอดภัยเรียบร้อยดี  ขอให้นักเรียนทยอยเข้าห้องพักเลยนะคะ...”  เสียงอาจารย์จัณฑิตาดังกลบเสียงนักเรียนที่พูดคุยกัน  นักเรียนหลายคนจึงทยอยกันเดินกลับเข้าห้องพักโดยมีอาจารย์เดินคุมไป  ระหว่างทางเดินกลับตึก  พริมเห็นอารียากำลังก้มลงสำรวจศพพร้อมกับตำรวจ 2 นาย  เธอจึงบอกให้แจนไปก่อน เดี๋ยวเธอจะตามไป  แล้วพริมก็วิ่งฝ่าฝูงคนออกไป
      พริมเดินไปยังที่เกิดเหตุ  เธอสังเกตเห็นอาจารย์จักรพันธ์กำลังยืนคุยอยู่กับตำรวจคนหนึ่ง  ในขณะที่อารียากำลังดูศพ
      “ อาจารย์สรัญญาเรียกหนูมาทำไมหรอคะ”  พริมถามอารียาจากข้างหลัง  ทำเอาเธอสะดุ้ง  ตำรวจ 2 นายเองก็เงยหน้าขึ้นมาจากศพด้วยความสงสัย  พริมยักคิ้วให้อารียาที่ทำหน้างง
      “ เอ่อ...อ๋อ!  คือ  ฉันเรียกเธอให้มาช่วยอะไรหน่อยน่ะ”  อารียาพูดตอบด้วยเข้าใจในสิ่งที่พริมทำ  ก่อนหันไปบอกกับตำรวจ  “ ฉันคิดว่าเด็กคนนี้อาจจะพอให้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับเด็กนักเรียน 2 คนนี้ได้น่ะค่ะ”  เธออธิบาย  ตำรวจพยักหน้าเข้าใจ  พริมจึงเดินยิ้มเข้ามาร่วมวง
        ภาพที่เธอเห็น  สร้างความตกใจให้แก่เธอไม่น้อย  พริมก้มมองศพแรกตรงหน้า  เพื่อต้องการยืนยันให้แน่ชัดว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไป
      “ พี่ปิ่น!”  พริมอุทานด้วยความตกใจ  ปิ่นที่อยู่ม.6  พริมจำได้ว่าปิ่นเคยเดินมาว่าเธอตอนที่เธอไปนั่งโต๊ะอาหารกับปุ๋ยและน้ำในเย็นวันศุกร์ที่เธออยู่โรงเรียนครั้งแรก
      “ เธอรู้จักพี่เขาด้วยหรอ”  อารียาถามพริม
      “ ก็นิดหน่อยค่ะ  ไม่ได้สนิทมาก”  พริมตอบพร้อมสังเกตสภาพศพ  ผมยาวหนาถูกรวบไว้ข้างหลัง  ร่างของปิ่นนอนอยู่บนเปล  ใบหน้าซีด มีรอยไหม้เล็กน้อยที่แก้ม 2 ข้างและตามเสื้อนอนเท่านั้น ‘ เอาจริงๆไม่เหมือนคนตายเพราะถูกไฟคลอก  น่าจะตายเพราะขาดอากาศหายใจมากกว่า’ พริมคิด
      “ และอีกคนล่ะ  ครูว่าเธอน่าจะรู้จักดีนะ  อยู่ห้องเดียวกันด้วย”  อารียาพูดกับพริมที่กำลังครุ่นคิด  ทำให้พริมต้องเงยหน้าขึ้นมาจากปิ่นด้วยความสงสัย
      “ ใครคะ?”  พริมถาม  อารียาพยักเพยิดหน้าไปทางอีกศพหนึ่งที่นอนอยู่ข้างๆปิ่น  พริมจึงเดินอ้อมศพปิ่นไป
      เด็กผู้หญิงที่นอนอยู่ตรงหน้าเธอเป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอจริงๆ  ร่างอ้วนท้วมเล็กน้อยนอนนิ่งอยู่บนเปลที่วางราบอยู่กับพื้น  รองเท้าแตะสีม่วงถูกสวมอยู่เพียงข้างเดียว  รอยไหม้ที่ปรากฏบนตัวมีเพียงบางจุดแค่เฉพาะบริเวณข้อศอกและหัวเข่าทั้ง 2 ข้าง  ใบหน้าถึงจะซีดกว่าปกติแต่เธอก็ยังคงจำได้ดี  รวมถึงผมซอยสั้นสีดำ...กิ๊ก!
      พริมนึกถึงเมื่อวันที่มีการแข่งบาส  ตอนนั้นเธอรู้สึกไม่ชอบหน้ากิ๊กเล็กน้อยแต่ความรู้สึกตอนนี้มันเปลี่ยนกลายเป็นความสงสาร  พริมนึกเลยไปถึงกุ  ว่ากุจะเสียใจแค่ไหนกันถ้าได้รู้ว่าคู่แข่งที่ทะเลาะกันอยู่ทุกวัน...ได้จากไปแล้ว
      “ พิมพ์ผกา  เธอพอจะบอกอะไรได้มั้ย”  อารียาถามพริม พริมหันไปเห็นตำรวจ 2 คนเงยหน้าขึ้นมาฟัง
      “ ก็นิดหน่อยค่ะ  รู้แต่ว่าพี่คนนี้ชื่อปิ่น อยู่ม.6/1  ส่วนนี่ก็เพื่อนห้องเดียวกันกับหนูเอง ชื่อ
      พัชรอร ม.4/1...”  พริมพูดกับอารียา  พร้อมหางตาที่เหลือบมองตำรวจอยู่  และเมื่อเธอเห็นว่าตำรวจ 2 คนนั้นถูกเรียกให้เข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์  พริมจึงรีบพูดต่อทันที...
      “ จากที่หนูสังเกตเห็น  สองคนนี้ไม่ได้ตายเพราะถูกไฟคลอกหรอกค่ะ  คิดว่าเป็นเพราะขาดอากาศหายใจมากกว่า”  พริมเสนอ
      “ แต่แปลกนะ  ครูถามป้าบริกรที่รับผิดชอบกุญแจห้องเก็บอุปกรณ์อยู่  แกบอกว่าห้องนี้จะล็อคไว้เสมอและจะเปิดก็ต่อเมื่อมีอาจารย์มาขอใช้อุปกรณ์ในห้องเพื่อสอนเท่านั้น  เพราะคนทำสวนจะมีอุปกรณ์ที่ใช้ต่างหากอยู่แล้ว  ที่น่าแปลกก็คือ 2 คนนี้เขาเข้าไปตอนไหน  เข้าไปได้ยังไงและที่แปลกไปยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนไฟไหม้ห้องนี้ก็คล้องแม่กุญแจล็อคไว้อยู่”  อารียาพูดพร้อมความสงสัยมากมาย
      “ กุญแจที่ล็อคไว้อยู่คงเป็นสาเหตุทำให้ 2 คนนั้นหนีออกมาไม่ได้เลยขาดอากาศหายใจตายสินะ  แล้วตำรวจเขาบอกหรือยังคะว่าสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ครั้งนี้คืออะไร”  พริมถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
      “ บอก  แต่มันก็ดูแปลกๆอยู่ดี  ตำรวจบอกว่าพบรอยคราบน้ำมันเบนซินบริเวณหญ้ารอบๆห้องเก็บอุปกรณ์และถัดไปอีกเป็นบริเวณกว้าง  ซึ่งพอถามป้าที่ดูแลแกก็บอกว่า  แกเป็นคนเอาน้ำมันมาราดเองเพราะคิดว่าเป็นน้ำมันก๊าดที่ใช้ฆ่าหญ้า”  อารียาเล่า
      “ แสดงว่าปกติแกไม่ใช่คนทำหน้าที่นี้ใช่มั้ยคะ  แกถึงได้ไม่รู้สึกตงิดใจเลยว่าทำไมน้ำมันมันไม่เหมือนเดิม”  พริมถาม
      “ ใช่  ปกติจะเป็นคนสวนทำแต่เผอิญคนสวนลากลับบ้านเมื่อวานและฝากแกไว้ให้ช่วย” 
      อารียาอธิบาย  “ และป้าแกก็บอกเองนี่แหละว่าเมื่อตอนประมาณหกโมงสิบเห็นจะได้ แกเดินมาเห็นแม่กุญแจห้องเก็บอุปกรณ์นี้มันคล้องไว้เฉยๆแต่ไม่ได้ล็อค  แกเลยเดินไปล็อคซะและก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าคงลืมล็อคไว้ตั้งแต่ตอนหลังเที่ยง แถมปกติห้องนี้ก็ไม่ค่อยจะมีใครเข้าไปอยู่ด้วย”  อารียาเล่าพร้อมนึกถึงตอนที่ตำรวจซักถามป้าบริกรคนนี้  “ ตอนนี้ตำรวจคุมตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติมอยู่”
       “ หนูว่าอันดับแรก  เราควรรู้สาเหตุก่อนว่า 2 คนนี้เข้าไปทำอะไรในนั้น”  พริมพูดกับอารียา  อารียาพยักหน้าตามเห็นด้วย


      เช้าวันต่อมาอารียาไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์  เธอเริ่มดำเนินการสืบค้นหาความจริงทันที  แม้พริมจะร้องขอช่วยด้วยแต่เธอก็ถูกปฏิเสธ
      “ พริม  เธอเป็นเด็กนักเรียนนะ  จะให้ครูขอให้เธอโดดเรียนมาช่วยบ่อยๆไม่ได้หรอก  เดี๋ยวก็ได้ถูกสงสัยตายเลย  ถึงอีตา..เอ่อ..คนที่จ้างฉันจะส่งเธอมาช่วยก็เหอะนะ  แต่อย่างน้อยเธอก็ควรจะฟังฉันบ้าง”  อารียาพูดกับพริมที่ทำท่าขอร้องจะช่วย  พริมพยักหน้าตามอย่างผิดหวัง
      “ ก็ได้ค่ะ  แต่ถ้าอาจารย์มีอะไรคืบหน้าเมื่อไรต้องบอกหนูคนแรกและบอกให้หมดทุกอย่างด้วยนะคะ”  พริมพูด
      “ เออน่า  บอกอยู่แล้ว  นี่เธอกลายเป็นเจ้านายฉันอีกคนแล้วหรือไง”  อารียาถามพริม
      “ ก็หนูก็ต้องมีข้อมูลไปรายงานกับเขาเหมือนกันนี่  เดี๋ยวทำงานไม่คุ้มเงิน”  พริมพูด  อารียาพยักหน้าเข้าใจ  แล้วโบกมือให้พริมรีบไปเรียน  พริมเดินจากไปพร้อมกับความเซ็ง ‘ เห็นฉันเป็นเด็ก  คงคิดว่าจะช่วยอะไรไม่ได้ล่ะสิท่า’ พริมคิดในใจ ‘ ดีล่ะ  ถ้าไม่ช่วยเหลือ  ก็ต้องแข่งกันหน่อย’ พริมคิดพร้อมสีหน้ามุ่งมั่น  ก่อนเดินอย่างรวดเร็วตรงดิ่งไปยังห้องเรียน
      วันพุธวิชาแรกต้องเข้าไปนมัสการในโบสถ์ ซึ่งพริมก็โดดไปหาอารียาก่อนกลับมาเรียนในคาบที่ 2  ซึ่งก็คือชั่วโมงเลขของอาจารย์ณัศรัตน์  เมื่อพริมมาถึงเธอสังเกตเห็นว่านักเรียนทั้งห้องเอาแต่คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน  ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงวันนี้ก็ยังคุยกันได้ไม่หยุดหย่อน  ที่สำคัญอาจเป็นเพราะคนที่ตายเป็นเพื่อนในห้องของเราก็เป็นได้
      “ นี่  สรุปว่ามีคนตายเพราะไฟไหม้เมื่อคืนจริงใช่มั้ย”  เสียงของนักเรียนคนหนึ่งดังขึ้นมาในห้อง
      “ จริงสิ  ฉันน่ะเห็นมากับตาเลยว่าเขายกศพออกมา 2 ศพ  แต่ไม่เห็นหน้า”  นักเรียนอีกคนตะโกนมาจากมุมห้อง
      “ ฉันรู้ว่ามีพี่ม.6 หนึ่งคน  ส่วนอีกคนก็...”  เสียงนักเรียนอีกคนหนึ่งพูดขึ้นและก็ต้องหยุดเมื่อเห็น บี  เอ๋  โอ๊ตและมิ้วเดินเข้ามาในห้อง  แม้แต่กุเองยังรู้สึกเศร้าใจแทน  แล้วอิดหัวหน้าห้องก็เดินมาบอกว่าอาจารย์ณัศรัตน์จะเข้าสอนช้าให้นั่งรอทำแบบฝึกหัดเงียบๆ  แจนที่มัวแต่ไปนั่งถามข่าวเพื่อนหน้าห้องจึงรีบลุกและวิ่งกลับไปเอาแบบฝึกหัด  แต่ด้วยความรีบทำให้เธอชนเข้ากับโอ๊ตที่เพิ่งเดินมาอย่างจัง
      “ อุ๊ย!  ขอโทษ”  แจนรีบพูดขอโทษแต่เธอก็โดนโอ๊ตผลักกลับไปกองกับพื้น  ทั้งพริม กุ บิวและแก้วรีบลุกมาหน้าห้อง เว้นแต่โนที่ยังนั่งอยู่กับที่  กุทำท่าจะเอาเรื่องแต่พริมห้ามไว้
      “ นี่  ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยล่ะ  แจนเขาก็ขอโทษแล้วนี่”  พริมหันไปพูดกับโอ๊ตขณะที่แก้วกับบิววิ่งไปพยุงแจน
      “ ขอโทษแล้วมันหายเจ็บมั้ยล่ะ”  โอ๊ตพูดหน้าตาย พริมที่เมื่อกี๊ห้ามกุไว้เดินเข้าไปผลักโอ๊ตล้ม  ทำเอาทั้งห้องงงไปตามๆกัน  โอ๊ตลุกขึ้นมากำหมัดขวาต่อยพริมเข้าไปเต็มๆ  ทำเอาเธอเซไปชนโต๊ะแถวหน้า  โชคดีที่พริมเอามือยันโต๊ะไว้ได้  เพื่อนทั้งห้องมองด้วยความอึ้ง  พริมเงยหน้ามายิ้มให้โอ๊ต
      “ แปลกนะ”  พริมพูดก่อนยันตัวให้ยืนขึ้น พร้อมเอามือเช็ดเลือดที่มุมปาก “ ที่แจนเขาได้รับโทษเหมือนฉันทั้งๆที่เขารู้สึกผิดและขอโทษ  ในขณะที่ฉันไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ฉันทำนั้นมันผิดตรงไหน”  แจนมองพริมที่ยังคงพูดต่อ  “ เธอคิดว่ามันยุติธรรมมั้ยล่ะ” 
      โอ๊ตยืนนิ่ง  ไม่ตอบ
      “ ฉันเข้าใจความรู้สึกแก”  กุที่ยืนนิ่งเพราะงงกับการกระทำของพริมพูดขึ้นบ้าง “ การสูญเสียคนที่รักไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจ  กิ๊กเขาไม่ใช่เพื่อนแกคนเดียวนะ  ถึงเขาจะชอบทะเลาะกับฉัน แต่ฉันก็ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้หรอก”  กุพูดก่อนเดินตามบิว  แก้วและแจนไปนั่งหลังห้อง  พริมมองหน้าโอ๊ตก่อนเดินตามไปเหมือนกัน
      “ ไม่ว่าเธอจะรู้สึกผิดหรือเปล่า”  โอ๊ตพูดขึ้นทำให้พริมหยุดยืนฟัง “ ขอโทษละกัน”  พริมยิ้มมุมปากก่อนหันมาหาโอ๊ต
      “ แปลกมั้ย  ที่คำขอโทษของเธอทำให้ฉันหายเจ็บได้”  พริมพูดกับโอ๊ตก่อนเดินกลับไปนั่งหลังห้องเหมือนเดิม


      “ โอ๊ย!  เจ็บๆๆๆๆๆๆ”  เสียงโวยวายของความเจ็บดังขึ้นในห้องพยาบาล
      “ โธ่เอ๊ย  แล้วพูดทำเป็นเท่ห์นะ  ‘ คำขอโทษทำให้หายเจ็บได้’ เป็นไงล่ะ”  กุพูดเยาะเย้ยพริมที่กำลังเอามือมาจับแก้ม
      “ ก็...”  พริมพยายามจะแย้ง
      “ เอานี่  เอาน้ำแข็งวางประคบไว้ แล้วไม่ต้องพูดมาก”  บิวสั่ง  ขณะที่เพื่อนๆกำลังเยาะเย้ยพริมนั้น  ก็มีอยู่หนึ่งคนที่นั่งเงียบ
      “ โน  แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ  เห็นเงียบคนเดียวอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”  แก้วหันไปถามโนเมื่อเห็นท่าทีไม่ดีของเพื่อน  ทำเอากุ บิว พริมและแจนหันไปทำหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย  โนไม่ตอบในทันที  เธอนั่งเหมือนกำลังใช้ความคิด  ก่อนจะพูดออกมา
      “ ฉันกำลังจะถูกฆ่า”  คำพูดของโนทำเอาคนฟังสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน
      “ แกบ้าไปแล้วหรอ  ใครอยากจะฆ่าแกฮะ  ไม่มีใครเขาอยากเอาเนื้อแกไปทำลูกชิ้นหรอก”  กุพูดติดตลก  แต่โนไม่ขำด้วย
      “ จริงๆนะ  เมื่อวานตอนเย็นมีกระดาษแผ่นหนึ่งมาเสียบไว้ในหนังสือของฉัน  บอกว่าหลังอาบน้ำให้รีบไปหาอาจารย์จักรพันธ์ที่ห้องเก็บอุปกรณ์เกษตร  ฉันจึงรีบอาบน้ำแล้วลงไป  แต่พอลงมาข้างล่างฉันลืมเอาเสื้อคลุมลงมาเลยโดนอาจารย์ณภัสสรทำโทษให้ช่วยป้าในครัวยกของไปวาง  พอเสร็จฉันก็รีบวิ่งไป และเมื่อฉันได้ยินเสียงกริ่งดังก็คิดว่าเป็นการซ้อมหนีไฟ  และคิดว่าอาจารย์
      จักรพันธ์คงจะไม่รอแล้วเลยวิ่งไปที่ลานจอดรถ  ตอนนั้นฉันหาพวกเธอไม่เจอประกอบกับเมื่อได้ยินเขาลือมาว่าไฟไหม้ห้องเก็บอุปกรณ์ ฉันก็ตกใจ  ทำอะไรไม่ถูก  ยิ่งรู้ว่ามีคนตายด้วยแล้ว...”  โนพูดพร้อมทำท่าไม่สบายใจ
      “ เธอน่ะคิดมาก  ไฟไหม้นั่นเป็นอุบัติเหตุต่างหากและก็ถือว่าโชคดีที่เธอไปไม่ทัน  ถ้าอยากแน่ใจก็ลองไปถามอาจารย์จักรพันธ์ดูสิ  ว่าเขาเรียกเธอทำไม”  แก้วเสนอ บิวพยักหน้าตาม
      “ ก็เพราะฉันถามแล้วน่ะสิ  แต่อาจารย์บอกว่า ‘ไม่ได้เรียก’ เขาไม่ได้เรียกฉัน และตอนเย็นเขาก็ออกไปทานข้าวกับพวกอาจารย์คนอื่นๆข้างนอกด้วย  พอกลับมาก็เห็นว่านักเรียนวิ่งกันวุ่นวายแล้ว”  โนอธิบาย 
      “ เพื่อนแกล้งหรือเปล่า  แบบแกล้งหลอกว่าอาจารย์เรียกเพื่อให้เธอไปรอเก้ออะไรอย่างเนี๊ย”  บิวเสนอบ้าง แต่โนไม่มีวี่แววว่าจะเชื่อ  พริมฟังแล้วคิดตาม
      “ ถ้าโนคิดอย่างนั้นจริง  แล้วมันมีสาเหตุอะไรที่ทำให้โนต้องถูกฆ่าด้วยล่ะ”  พริมถาม  ทำเอาโนที่นั่งเงียบเงยหน้าขึ้นมา
      “ ฉัน...”  โนพูดตะกุกตะกักก่อนเบือนหน้าหนี “ ฉันก็ไม่รู้สิ”


      “ อาจารย์สรัญญานี่ขยันจังนะคะ”  เสียงอาจารย์ณัศรัตน์ทักขึ้นเมื่อเธอเดินเข้ามาในห้องพักครูแล้วเห็นอารียานั่งพิมพ์อะไรอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างขะมักเขม้น 
      “ เปล่าหรอกค่ะ  งานค้างต่างหาก ฉันมันเป็นพวกดินพอกหางหมู”  อารียายิ้มกลับไปให้อาจารย์ณัศรัตน์ ก่อนก้มหน้าก้มตาพิมพ์ต่อ
      “ ฉันรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้  ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการจะให้ฉันสืบเท่าไร  แต่ฉันคิดว่าคุณควรจะได้รับรู้  อย่างที่คุณได้รู้เมื่อคราวที่แล้วเรื่องที่ประธานสภานักเรียนของที่นี่ตกตึกลงมา  มันเป็นการฆาตกรรม  ซึ่งฉันพอจะสันนิษฐานวิธีการของฆาตกรได้ แต่ยังไม่แน่ใจนัก  และเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ห้องเก็บอุปกรณ์เกษตร  มีผู้เสียชีวิต 2 ราย  เป็นนักเรียนม.6 หนึ่งคนและม.4 อีกหนึ่งคนนั้น...ก็เป็นการฆาตกรรม”  อารียาหยุดพิมพ์  เธอนึกถึงสิ่งที่ควรจะเขียนต่อไป  “ ทั้ง 2 เหตุการณ์ฆาตกรพยายามจะอำพรางคดีให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ น่าเสียดายที่คดีแรกมีหลักฐานบางอย่างหลงเหลืออยู่และในคดีที่ 2 นั้น  ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเมื่อคนที่ตายไม่ใช่คนที่ฆาตกรต้องการ...”  อารียาหยุดคิดก่อนพิมพ์ต่อไป 
      “ ฉันยอมรับว่าฉันไม่สามารถวางมือจากงานนี้ได้  ซึ่งมันอาจทำให้ฉันไม่สามารถทำงานที่คุณสั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพพอ  ฉันจึงต้องรีบแจ้งคุณว่าฉันจะขออนุญาตเลิกรับงานของคุณ และจะคืนเงินให้ทั้งหมด
      ปล.  ฉันพบผู้ช่วยที่คุณส่งมาให้แล้ว  คุณวรัญภรณ์เป็นคนเก่ง  ฉันว่าบางทีเธออาจจะเหมาะกับงานนี้มากกว่าฉัน” 
      อารียาถอนหายใจพร้อมอ่านข้อความบนหน้าจออีกครั้งก่อนส่งเมล์ไป  อารียานั่งหลับตาพิงพนักเก้าอี้  ก่อนนึกถึงบทสนทนาที่เธอเพิ่งคุยทางโทรศัพท์เมื่อครู่
      ‘....  “ อะไรนะ  คุณหมายความว่าไง”  อารียาถามด้วยความตกใจ
      “ ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละค่ะ  ผู้ตายตายด้วยก๊าซพิษก่อนที่ไฟจะไหม้ซะอีก”  เสียงณัฐพรผู้ช่วยของอารียาดังขึ้นที่ปลายสาย  เธอโทรมารายงานหลังจากที่อารียาบอกให้ช่วยไปสืบต่อ  “ ก๊าซพิษชนิดนี้เป็นก๊าซที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆค่ะ  คือการผสมน้ำยาล้างห้องน้ำ 2 ชนิดที่มีกรดไฮโดรคลอริกซึ่งจะทำให้เกิดก๊าซคลอรีน”  ณัฐพรอธิบาย
      “ แล้วเธอไปดูป้าบริกรที่ถูกตำรวจสอบปากคำอยู่หรือเปล่า”  อารียาถามณัฐพร
      “ ไปค่ะ  แต่ไม่ได้ดูตอนสอบปากคำหรอกนะคะ  ฉันไปบอกตำรวจว่าฉันเป็นครูที่โรงเรียน มาเผื่อช่วยอะไรได้บ้าง  ตำรวจเขาเลยเล่าให้ฟังว่าป้าแกกลัวมาก  เล่าหมดซะทุกรายละเอียด  พูดไปก็ร้องไห้ไป  ตำรวจเขาก็บอกว่าแค่ถามไม่ได้ว่าแกเป็นฆาตกรสักหน่อย  น่าเสียดายที่ว่าคำให้การของแกไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเท่าไร  ที่รู้แน่ก็คือ แกบอกว่าแกค่อนข้างมั่นใจว่าแกล็อคกุญแจห้องนั้นแล้วตอนหลังทานข้าวกลางวัน  แต่พอตอนเย็นแกเดินไปเห็นมันเปิดอยู่ แกก็ล็อคอีก  ฉันคิดว่าตอนนั้นคงมีคนอยู่ข้างในแล้วล่ะค่ะ”  ณัฐพรพูด  สมองของอารียาทำงานอย่างรวดเร็ว
      “ เอ่อ...แล้วมีหลักฐานอะไรเหลือบ้างหรือเปล่า”  อารียาถามณัฐพร
      “ ไม่มีเลยค่ะ  ถึงมีก็คงไหม้เป็นจุณไปหมดแล้ว”  ณัฐพรตอบ  หลังจากนั้นอารียาก็วางสายจากณัฐพร...’
      ‘ หลักฐานคงจะไหม้เป็นจุณ...พร้อมกับร่องรอยของมันด้วยนั่นแหละ’  อารียาคิดในใจ
      ‘ จุดประสงค์ของมันคืออะไรกันนะ  มันมีคนที่ต้องฆ่ามากกว่าหนึ่งคน อย่างน้อยชนาทิพก็เสร็จไปแล้วหนึ่ง  ครั้งที่ 2 มันทำพลาด แสดงว่าต้องมีครั้งที่ 3 ตามมาอีกแน่  ว่าแต่...คนๆนั้นจะเป็นใครกัน’ อารียาพยายามคิด แต่ก็จนปัญญา


      “ โน  แกอย่าคิดมากสิ  เร็ว ป้า!  ร่าเริงหน่อย”  กุพยายามพูดให้โนหายคิดมาก
      “ จริงด้วย  นี่เที่ยงนี้มีลอดช่องของโปรดโนไม่ใช่หรอ  ฉันไม่กิน เดี๋ยวยกให้”  แจนพูดพร้อมยิ้มให้โน
      “ ถ้าฉันตายขึ้นมา....”
      “ โน! หยุดพูดเรื่องนี้สักทีได้มั้ย  แกยังยืนตัวเป็นๆอยู่เนี่ย”  กุตบไหล่โน  “  วันๆเอาแต่จะสั่งเสียอยู่ได้  อย่างนี้ไม่ทันโดนฆ่าตายหรอก  จะเฉาตายก่อนมากกว่า”  กุพูดเริ่มมีน้ำโห
      “ ใช่สิ  มันไม่ใช่แกนี่กุ  แต่แกระวังไว้เหอะ  ถัดจากฉันไปอาจจะเป็นแกก็ได้”  โนเริ่มโวยวาย ทำเอาพริม แจน แก้วและบิวไม่กล้าพูดอะไร
      “ เออ  ให้มันจริงเหอะ  เจอเมื่อไรจะต่อยให้จมดินไปเลย  ถ้าแกเจอมันก่อนตายล่ะก็  ฝากบอกด้วยนะว่าฉันรออยู่”  กุพูดอย่างอารมณ์เสียก่อนเดินนำไปโดยมีพริมวิ่งตาม
      “ กุ!  กุใจเย็นๆสิ”  พริมที่เพิ่งวิ่งมาทันกุพูดพร้อมจับแขนกุไว้
      “ ก็พริมดูสิ  โนมันจะบ้าไปแล้วจริงๆ  วันๆคิดแต่ว่าตัวเองจะถูกฆ่า  อย่างนี้ไม่เรียกว่าบ้าแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”  กุพูด
      “ เอาน่า  เพื่อนกัน  โนมันกำลังคิดมาก  เราก็ต้องทำให้มันสบายใจสิ”  พริมพูดกับกุที่ดูจะเย็นลงบ้างแล้ว  กุพยักหน้าพร้อมถอนหายใจ
      ตอนเที่ยงมีลอดช่องส่งมาให้โนนับ 10 ถ้วย  แต่ด้วยอารมณ์ของโนไม่ดีจึงทานไปได้ไม่มาก
      “ โห! ป้า”  กุพูดขึ้นเสียงดังหลังจากดีกับโนแล้ว  “ นี่ขนาดบอกว่าไม่มีอารมณ์จะกินนะยังซัดไปตั้ง 7 ถ้วย  ถ้าอารมณ์ดีไม่ฟาดหมดโรงอาหารเลยหรือไง”  กุถามโนพร้อมมองถ้วยขนมที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ
      “ ก็ดีแล้วนี่  กินเยอะๆจะได้แข็งแรง”  แก้วพูดขึ้น ก่อนที่จะมีเสียงอาจารย์จัณฑิตาดังขึ้นในโรงอาหาร
      “ ครูมีเรื่องจะประกาศนะคะ  หลังทานอาหารกลางวันเสร็จขอให้นักเรียนทุกคนเข้าห้องประชุม  ชั่วโมงต่อไปจะไม่มีการเรียนการสอน  ขอให้นักเรียนรีบเข้าห้องประชุมด่วนนะคะ  ขอบคุณค่ะ”  อาจารย์จัณฑิตาประกาศข้อความสั้นๆที่ทำให้นักเรียนทั้งโรงอาหารคิดตามกันไปต่างๆนานา
      ‘ จะมีเรื่องอะไรอีกนะ’  พริมคิดในใจ
      เมื่อนักเรียนเข้ามานั่งยังห้องประชุมเรียบร้อยแล้วนั้น  อาจารย์ใหญ่ก็หยิบไมค์ขึ้นมาบนเวที และเริ่มพูด
      “ ขอบใจนักเรียนที่รีบมานะคะ  ครูมีเรื่องที่ต้องแจ้งให้นักเรียนทราบ  นักเรียนทุกคนคงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารนะคะ  ไฟที่เกิดที่ห้องเก็บอุปกรณ์นั้นเป็นอุบัติเหตุที่ยากที่จะเกิดขึ้น  ครูถือว่ายังโชคดีที่เกิดที่ห้องเก็บอุปกรณ์เกษตร ซึ่งปกติจะไม่มีคนอยู่...”  อาจารย์ใหญ่เงียบไปสักพักก่อนพูดต่อ “ แต่ในวันนั้น  มีเด็กนักเรียนของเรา 2 คนที่เข้าไปข้างใน  ทำให้เกิดเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจตามมาและอย่างที่นักเรียนรู้ว่าทุกปีโรงเรียนเราจะมีการซ้อมหนีไฟเพื่อป้องกันชีวิตของนักเรียน รวมถึงโรงเรียนด้วย  เพราะถ้ามีใครเสียชีวิตเพราะไฟไหม้ที่โรงเรียน  โรงเรียนเราก็อาจจะต้อง
      ปิดลง...”  เมื่ออาจารย์ใหญ่พูดถึงตรงนี้  เสียงฮือฮาของเด็กนักเรียนในห้องประชุมก็ดังขึ้น
       “ ครูรู้ว่าพวกเรารักโรงเรียน  ครูเองก็เช่นกัน  ดังนั้นสิ่งที่ครูอยากจะขอร้องนักเรียนก็คือ  นักเรียนอย่าพยายามทำอะไรที่มันเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย  รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำของครู นั่นคือ เวลาไปไหนให้มีเพื่อนไปด้วยเสมอ  รวมถึงปฏิบัติตามกฎใหม่ที่ห้ามนักเรียนทุกคนขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า รวมถึงระเบียงของตึกทุกตึกและอีกอย่างคือห้ามข้ามฝั่งไปโบสถ์โดยไม่ได้รับอนุญาต  ใครฝ่าฝืนต้องโดนลงโทษ”  เมื่ออาจารย์ใหญ่พูดจบ ก็เดินลงไปข้างล่าง  แต่คนที่นั่งฟังอยู่อีก 6 คนนี่สิที่ไม่เข้าใจ
      “ ฉันไม่เข้าใจจริงๆนะ”  บิวพูดขึ้นเมื่อเดินออกมาจากห้องประชุม  “ มันเป็นกฎที่ไม่เหมือนจะช่วยให้นักเรียนกันอุบัติเหตุได้เท่าไรนะ”
      “ ที่สำคัญ ลำบากเราอีกด้วย  ต่อจากนี้คงไม่ได้ไปโบสถ์อีกแล้วล่ะ”  แจนพูดสีหน้าเศร้าสร้อย
      “ แล้ว...เอาไงดี”  พริมถาม
      “ ไม่รู้ล่ะ  ยังไงเราก็ต้องกลับไปที่โบสถ์ให้ได้”  กุพูดสีหน้ามุ่งมั่น
      ตกเย็น ทั้ง 6 คนตั้งใจกันว่าจะไปที่โบสถ์  แต่กลัวว่าอาจารย์จะจับได้  พริมเลยเสนอตัวจะแกล้งเข้าไปในห้องพักครู ไปหลอกชวนอาจารย์ที่อยู่ในห้องคุยเอง
      “ ว่าแต่อาจารย์อะไรอยู่ในห้องล่ะ  ถ้าอยู่หลายคนก็แย่เหมือนกัน”  แจนถาม
      “ พริมเช็คแล้ว  ตอนเย็นอาจารย์คนอื่นๆมักจะออกไปกินข้าวข้างนอก กว่าจะกลับก็หกโมงแน่ะ  เว้นแต่อาจารย์สรัญญาที่ชอบนั่งทำงานคนเดียว  พริมจัดการได้”  พริมยิ้มให้เพื่อนๆและเมื่อเดินมาถึง  พริมชูนิ้วโป้งให้เพื่อนๆก่อนเดินเข้าห้องพักครูไป
      “ ไง”  อารียาเงยหน้าจากงานบนโต๊ะมาทักเธอ  “  คิดแล้วว่าเดี๋ยวก็ต้องมา”
      “  ก็แหม  หนูมีข่าวคืบหน้าจะมาบอกนี่คะ  ว่าแต่อาจารย์เถอะ  ได้อะไรมาบ้างหรือเปล่า”  พริมถาม  อารียาพยายามจะไม่คิดว่านั่นเป็นคำพูดยั่วยุเธอ
      “ มีหรอจะไม่ได้”  อารียาตอบ
      “ ดีค่ะ  เรามาแลกข้อมูลกันนะคะ”  พริมยิ้มให้อารียา  หางตาเธอเหลือบไปเห็นเพื่อนๆที่วิ่งข้ามสะพานไปแล้ว
      “ ได้  เธอเล่าก่อนสิ”  อารียาพูด  พริมจึงเริ่มเล่าสิ่งที่เธอรู้ให้อารียาฟัง โดยเฉพาะเรื่องกระดาษที่โนได้รับ
      “ หนูคิดว่า  บางที  อาจารย์อาจจะพอให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้าง  หนูไม่คิดว่ามันเป็นการแกล้งกันของเด็กนักเรียนหรอกค่ะ”  พริมพูดพร้อมสังเกตสีหน้าคนตรงข้ามที่ดูเหมือนกำลังใช้ความคิด
      ในที่สุดจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญก็ต่อลงไปในหัวสมองของอารียา  แม้มันจะไม่ใช่จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายก็ตามที
      “ พริม  รายต่อไปอาจจะเป็นเพื่อนเธอคนนี้แหละ  พริมต้องคอยระวังอย่าปล่อยให้นภาพรรณเขาอยู่คนเดียวล่ะ”  อารียาเตือนพริมด้วยสีหน้าตกใจ
      “ หนูคงจะรับปากอะไรกับอาจารย์ไม่ได้หรอกค่ะ  ถ้าหนูไม่รู้เรื่องทั้งหมด” พริมพูดกับอารียา  อารียาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนเริ่มเล่า...
      “  ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ...”  อารียาพูดพร้อมทำท่านึก  “ เอาเป็นว่าฉันจะเล่าคร่าวๆให้เธอฟังละกัน  แล้วถ้าเธออยากรู้ตรงไหนก็ค่อยถาม  คืออย่างนี้คดีไฟไหม้ที่เกิดขึ้นเมื่อวานน่ะ  เป็นคดี
      อำพราง จริงๆแล้วมันก็คือการฆาตกรรมนั่นแหละ  ฆาตกรต้องการให้เหยื่อเข้าไปในห้องนั้นที่เป็นห้องทึบและมีหน้าต่างระบายอากาศเล็กๆอยู่ด้านบนแค่บานเดียว  เสร็จแล้วก็ล็อคกุญแจขังเหยื่อไว้ข้างในที่มีก๊าซพิษอยู่  ก่อนจุดไฟห้องนั้นด้วยน้ำมันเบนซินที่ราดอยู่รอบๆ  แต่มันก็ทำพลาดตรงที่คนที่เข้าไปกลับไม่ใช่คนที่มันต้องการ”  ถึงตอนนี้อารียาก็หยุดพูด  เปิดโอกาสให้พริมถาม  พริมเองก็ไม่รีรอ
      “ ทำไมอาจารย์ถึงมั่นใจนักล่ะคะว่าเป็นการฆาตกรรม...โดยก๊าซพิษ”  พริมเลือกถามคำถามแรกจากอีก 100 คำถามในสมอง
      “ ก็เพราะว่าตรวจพบสารพิษในระบบทางเดินหายใจของศพน่ะสิ  แสดงว่าผู้ตายต้องสูดก๊าซพิษเข้าไปและก๊าซพิษนี่ก็หาได้ไม่ยาก  เกิดจากส่วนผสมของน้ำยาล้างห้องน้ำ 2 ชนิด”  อารียาอธิบาย
      “ แล้วที่อาจารย์บอกว่าผิดคน...”
      “ ใช่”  อารียาพูดตัดบท “ ที่ครูรู้ว่ามันฆ่าผิดคนก็เพราะนักเรียน 2 คนที่เข้าไป  เขาเข้าไปด้วยความบังเอิญ  ครูได้เรียกเพื่อนสนิทของณัญญา  ก็พี่ม.6ที่ตายนั่นแหละ มาถามเหตุผลที่เขา 2 คนเข้าไปในนั้น  ก็ได้รู้ว่าตอนนั้นณัญญาเขาเรียกพัชรอร ม.4  เข้าไปตักเตือนที่มารยาทไม่ดี  ไม่เคารพรุ่นพี่และลงโทษให้ช่วยจัดของในห้องนั้น  ซึ่งถ้าพัชรอรไม่บังเอิญไปชนณัญญาเข้า  เหตุการณ์นี้ก็จะไม่เกิดขึ้น” อารียาพูด
      “ ถ้าอย่างนั้น คนที่ฆาตกรต้องการฆ่า ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นโน”  พริมพูด  อารียาพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
      “ ครูคิดอยู่ว่าฆาตกรรมครั้งนี้มันมีช่องโหว่มากเกินไป  มันแปลกๆ ถ้าฆาตกรเป็นคนเดียวกันกับคดีตกตึกของชนาทิพล่ะก็  ความละเอียดรอบคอบมันต่างกัน”  อารียาพูดพร้อมสีหน้าครุ่นคิด “ คดีนั้นดูมีการวางแผน เหมือนกับตั้งใจไว้  แต่คดีนี้นี่สิ  ดูรีบร้อนยังไงชอบกล”
      “ อาจารย์คิดว่าฆาตกรมี 2 คนหรือคะ”  พริมถาม
      “ ไม่รู้สิ ไม่แน่ใจ  คนคนเดียวกัน  ทำอะไรต่างกันได้ตั้งหลายอย่าง”  อารียาตอบ  แล้วการสนทนาก็หยุดลงในระยะสั้นๆ  ก่อนที่พริมจะถามทำลายความเงียบขึ้นมา
      “ หนูลองมองเรื่องนี้ในอีกแง่มุมหนึ่งนะคะ  ใน 2 คดีที่มีม.6 เสียชีวิตทั้งคู่  มันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้  หนูคิดว่าบางทีฆาตกรอาจจะต้องการฆ่าพี่ปิ่นจริงๆ แต่บังเอิญที่กิ๊กดันเข้ามาด้วย”  พริมเสนอ  “ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  พี่ปิ่นกับพี่กี้ก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกันอยู่”
      “ แล้วเธอจะอธิบายจดหมายที่นภาพรรณได้รับว่ายังไง”  อารียาถามขณะที่พริมไม่มีคำตอบ  สายตาเธอมองทะลุผ่านหน้าต่าง  เห็นเพื่อนๆกำลังกลับมา
      “ เอ้อ! อาจารย์คะ”  พริมรีบเบี่ยงเบนความสนใจของอารียาก่อนที่เธอจะหันหลังไปมอง
      “ แล้วตอนเข้าไป 2 คนนั้นเขาไม่รู้เลยหรอคะว่าในห้องนั้นมีก๊าซพิษอยู่”  พริมรีบถาม
      “ ไม่รู้หรอกเพราะว่า...”  ยังไม่ทันพูดจบ ประตูห้องพักครูก็เปิดออก  ทำให้การสนทนาหยุดชะงัก
      “ สวัสดียามเย็นค่ะอาจารย์  หนูมาตามพริมไปกินข้าวเย็นค่ะ”  แจนโผล่หน้าเข้ามาพูดทางประตูพร้อมยิ้มยักคิ้วให้พริม  พริมรีบยกมือไหว้อารียาก่อนเดินออกมา
      “ คุยอะไรกับอาจารย์ได้ตั้งนาน  อุตส่าห์รีบกลับมานึกว่าจะหมดเรื่องคุยไปซะแล้ว”  แจนถามขณะที่พริมออกมาอยู่นอกห้อง
       “ ไม่มีอะไรหรอก ชวนคุยไปร้อยแปด  ดีนะที่กลับมาเร็ว ช้ากว่านี้ก็แย่เหมือนกัน”  พริมตอบก่อนถามต่อไป  “ แล้ว  ได้อะไรมาบ้างล่ะ”
      “ ก็พวก  มือถือ  เงินนิดหน่อย  หนังสือ 2-3เล่ม กับขนมที่พอจะใส่มาตามตัวได้  ตอนนี้พวกนั้นกำลังวิ่งเอาไปเก็บที่ห้องพักอยู่”  แจนเล่า  “ ว่าแต่คืนนี้ทำอะไรดี  ไม่มีการบ้าน”  แจนถามต่อ
      พริมเงียบคิดก่อนตอบกลับไป
      “ นอนไง”


      “ ตีสามห้าสิบ”  อารียาที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ  อารียามองไปรอบๆห้องในความมืดมิด  ถึงอากาศจะเย็นสบายน่านอนแค่ไหน  เธอก็ตาสว่างแล้ว
      อารียาชันตัวลุกขึ้นนั่ง พยายามทำตัวให้เกิดเสียงน้อยที่สุด  เธอไม่อยากให้อาจารย์ณัศรัตน์ที่นอนอยู่เตียงข้างๆต้องตื่นมาด้วย  อารียาเอื้อมมือไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใต้เตียงขึ้นมาแล้วกดปุ่มเปิดขึ้น  ‘ ฉันล่ะเซ็งจริงๆ  ทำไมเขาถึงไม่ระบุเวลาที่แน่นอนมานะ  ไม่รู้เปิดไปจะเจออะไรหรือเปล่า’ อารียาบ่น ‘ เขา’ ที่หมายถึงนายจ้างงี่เง่าของเธอและ ‘ อะไร’ ที่เธอหมายถึงก็จดหมายตอบกลับนั่นเอง
      ใบหน้าของอารียาถูกแสงไฟจากหน้าจอสะท้อนในความมืด  ผมยาวที่เธอมักจะรวบไว้ในเวลาทำงานถูกปล่อยสะยายอยู่ข้างหลัง  เธอเลื่อนเมาส์คลิกไปมาที่หน้าจอ  ในใจภาวนาให้มีจดหมายตอบกลับ
      สมดังหวัง  เมื่ออารียาเปิดไปพบเมล์ใหม่อีกหนึ่งฉบับ  ทำให้เธอไม่รีรอที่จะเข้าไปดู  ระหว่างรอเธอนั่งเดาในใจว่านายจ้างของเธอจะตอบกลับว่ายังไง  เขาจะยอมปล่อยให้เธอไปง่ายๆหรืออ้างเหตุผลมาท้าทายเธออีก  แต่ไม่ว่ายังไง  เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกงานนี้เพราะตอนนี้คนที่ท้าทายเธอมากกว่านายจ้างงี่เง่าคนนี้ก็คือฆาตกรที่เธอกำลังเดินไล่หลังอยู่
      เมื่อข้อความปรากฏ  ทำเอาอารียาตกใจไม่น้อยเพราะข้อความที่เห็นไม่ตรงกับที่เธอคิดสักนิด
      ‘ ผมคิดว่าผมเคยบอกคุณแล้ว  แม้คุณจะถอดใจคุณก็ไม่สามารถถอนตัวได้  จากที่คุณเล่ามา ผมสนใจกับทั้ง 2 คดี  ในเมื่อผมห้ามคุณไม่ได้ดังนั้นผมจึงจะขอจ้างคุณเพิ่มให้สืบหาฆาตกรที่ฆ่าเด็กนักเรียนในโรงเรียนนี้  เรื่องเงินไม่ต้องห่วงผมจะส่งเช็คเงินสดอีก 2 ล้านไปที่สำนักงานของคุณ  ขอให้คุณรายงานรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับทั้ง 2 คดีนี้ให้ผมทราบโดยด่วน
      ปล.  เรื่องนี้ผมตัดสินใจจ้างคุณคนเดียว  โดยไม่ได้บอกให้นักสืบวรัญภรณ์รู้เพราะผมต้องการให้เธอทำงานเก่าให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด  ขณะที่ผมไว้ใจให้คุณรับ 2 งาน  หวังว่าจะไม่ล่าช้าเหมือนคราวก่อนๆ’
      อารียามองข้อความในจอแล้วอ่านซ้ำ 2 รอบ  ทำไมเขาถึงคิดว่าเธอจะทำได้ล่ะ  แค่งานเดียวเธอก็เกือบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว  อารียาปลงกับหน้าที่ที่ตนเองเพิ่งได้รับมอบหมาย  ในเมื่อเธอโดนมัดมือชกขนาดนี้ก็คงต้องยอมตามไป ‘ ตั้งสองล้าน บ้าหรือเปล่า’ เธอคิด ในชีวิตยังไม่เคยรับงานอะไรแบบนี้มาก่อน ‘ ต้องลองดูหน่อย’ เมื่อคิดได้ดังนั้น  เธอก็รีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
      “ ขอบคุณนะคะที่ไว้ใจ  ฉันจะทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด  ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆก็มี
      ดังนี้...”  อารียาหยุดพิมพ์  เธอยืดแขนขึ้นบิดขี้เกียจก่อนรวบรวมสมาธิพิมพ์ต่อ  “ คดีแรกนั้นเป็นคดีที่นักเรียนม.6คนหนึ่งกระโดดตึกลงมาเหมือนการฆ่าตัวตายแต่ฉันมั่นใจว่ามันเป็นการฆาตกรรม...”
      อารียาพิมพ์เล่าถึงหลักฐานต่างๆที่เธอพบ  ข้อสันนิษฐานที่เธอคิดรวมถึงสิ่งที่พริมเคยเล่าให้ฟังและข้อสันนิษฐานของพริมด้วย  ในชื่อของนักสืบวรัญภรณ์
      “ ส่วนคดีที่ 2 เป็นกรณีไฟไหม้ห้องเก็บอุปกรณ์เกษตร มีนักเรียนเสียชีวิต 2 คน  ม.6 หนึ่งคนและม.4 อีกหนึ่งคน  มองผิวเผินเหมือนเป็นอุบัติเหตุแต่ฉันก็มั่นใจอีกว่ามันเป็นการฆาตกรรม  ห้องเก็บอุปกรณ์เกษตรเป็นห้องทึบ มีหน้าต่างระบายอากาศบานเล็กๆอยู่ด้านบน  บริเวณพื้นหญ้ารอบๆมีคราบน้ำมันเบนซินที่ป้าบริกรราดไว้เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นน้ำมันก๊าดที่ใช้ฆ่าหญ้า 
      ปกติห้องนี้จะล็อคโดยแม่กุญแจ  ลูกกุญแจที่ใช้ไขจะถูกเก็บอยู่กับป้าบริกรคนนั้นคนเดียว  โดยป้าบริกรบอกว่าเธอมักจะล็อคห้องเก็บอุปกรณ์นี้หลังจากที่หมดการเรียนการสอนวิชาเกษตรในแต่ละวัน และจะวางกุญแจไว้ในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด ซึ่งไม่ได้ล็อคและเข้าออกได้ตลอดเวลา  ส่วนในวันที่เกิดเหตุ  เธอจะล็อคหลังเที่ยงเสมอ  แต่ปรากฏว่าตอนเวลาประมาณหกโมงเย็น  ป้าบริกรเดินมาเห็นกุญแจห้องเก็บอุปกรณ์เกษตรถูกคล้องไว้เฉยๆ  แกจึงเดินไปล็อค ซึ่งตอนนั้นนักเรียนทั้ง 2 คนคงอยู่ในห้องแล้ว 
      หลังจากนั้นไม่นาน   ไฟก็ไหม้โดยไม่พบสาเหตุที่มาของต้นเพลิง  ศพมีสภาพซีดและมีรอยไหม้เล็กน้อย  จากการชันสูตรทำให้ทราบว่าทั้ง 2 ตายด้วยก๊าซพิษที่หาได้ง่ายๆ เป็นก๊าซที่เกิดจากการผสมน้ำยาล้างห้องน้ำ 2 ชนิด  สาเหตุที่เมื่อตอนเข้าไปทีแรกทั้ง 2 ไม่รู้สึกว่ามีก๊าซพิษอยู่ก็เพราะว่าของเหลวที่ผสมแล้วนั้นยังถูกบรรจุอยู่ในภาชนะฝาปิดที่อาจจะมีป้ายเขียนไว้ประมาณว่า

      ‘ ถ้ามีน้ำขังให้ช่วยเทออกให้ด้วย’

      เพราะที่เกิดเหตุพบเศษกระดาษไหม้แล้วซึ่งมีข้อความเหลือพอจะอ่านออกได้ว่า
      ‘ น้ำขัง ’ และ  ‘ เท ’  เมื่อนักเรียนม.4 ที่ถูกม.6 ลงโทษให้ทำความสะอาดห้องนั้นได้เห็น ก็ย่อมจะต้องเทเป็นธรรมดา  อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นใครถ้าเดินเข้าไปในห้องนั้นแล้วเห็นป้ายก็จะต้องช่วยเทออกทำให้เหตุผลที่ฉันคิดว่า คนที่ตายไม่ใช่คนที่ฆาตกรต้องการเริ่มเป็นไปได้ และยิ่งเมื่อมารู้ว่าการที่ม.6 ลงโทษม.4 คนนั้นให้เข้าไปในห้องเป็นเรื่องที่ ‘ บังเอิญ ’ เกิดขึ้นเท่านั้น 
      ประกอบกับจดหมายที่นักเรียนม.4 อีกคนหนึ่งได้รับ  เป็นจดหมายที่มีข้อความอ้างว่าอาจารย์เรียกให้ไปพบที่ห้องเก็บอุปกรณ์เกษตรตอนเวลาหลังอาบน้ำก่อนหกโมง  แต่ก็เกิดเหตุสุดวิสัยทำให้นักเรียนคนนั้นมาไม่ทัน  ถึงตอนนี้ฉันมั่นใจว่าฆาตกรเป็นคนในโรงเรียน  แต่จะมีกี่คนนั้นยังไม่สามารถบอกได้”  อารียายกมือขึ้นจากแป้นพิมพ์  เธออ่านข้อสันนิษฐานที่เธอมั่นใจอีกทีก่อนกดส่งไป  แล้วจึงค่อยลุกจากเตียงไปชงกาแฟ
      พริมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ครึ่ง  เหงื่อแตกเต็มหน้าพร้อมใจที่เต้นรัว  ความฝันเดิมๆแบบนี้รบกวนจิตใจเธอมานาน  ภาพคนคนหนึ่งที่เธอมองไม่เห็นหน้าแต่รู้สึกคุ้นเคย  เขามักจะยิ้มและเล่นกับเธออย่างมีความสุขก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเศร้า  ในวันแรกๆก็แค่เศร้า แต่ช่วงนี้  มันเป็นความเศร้าที่แฝงความ...น่ากลัว
      พริมลุกขึ้นมานั่งสักพักก่อนตัดสินใจจะไปเข้าห้องน้ำ  เธอปีนบันไดลงมายืนบนพื้น  พยายามทำให้เตียงสั่นน้อยที่สุดเพื่อจะได้ไม่เป็นการปลุกโนที่นอนอยู่ข้างล่างให้ตื่น  แต่แล้วเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าโนไม่อยู่ที่เตียง  พริมจึงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยความสงสัย  ไฟห้องน้ำเปิดอยู่ ‘ บางทีอาจจะเป็นโน’  พริมคิดก่อนเดินไปเข้าห้องน้ำ  เมื่อพริมเข้ามาในห้องน้ำและปิดประตูลง  ด้วยความสงสัยพริมจึงตะโกนถามออกไป
      “ โนหรือเปล่า?”  พริมถามเสียงไม่แน่ใจ
      “ อืม  พริมหรอ ฉันทำแกตื่นหรือเปล่า”  โนตอบกลับ  พริมถอนหายใจโล่งอก
      “ เปล่าหรอก  ฉันตื่นเอง  ปวดฉี่”  เมื่อพูดจบ  พริมก็กดชักโครกและเดินออกมายืนหน้าห้องน้ำที่ปิดอยู่ห้องข้างๆ
      “ โน  ให้พริมรอมั้ย”  พริมถามคนข้างใน
      “ ไม่ต้องหรอก  พริมไปนอนเถอะ  เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”  เมื่อโนตอบกลับดังนั้น  พริมก็หันหลังเดินกลับไป


      “ กรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!”   เสียงกรี๊ด หวีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้น  ทำเอาแม้แต่คนตื่นยากอย่างกุสะดุ้งลุกขึ้นมา  แจนเองก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ  พริมลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เมื่อเธอเห็นกุวิ่งออกจากห้องไปกับบิว  เธอก็รีบลากแจนกับแก้วลงจากเตียงตามไป
      เสียงกรี๊ดดังลั่นเป็นของแจ็บ  เด็กเรียนที่มักตื่นแต่เช้ามาอ่านหนังสือก่อน  ต้นเสียงมาจาก...ห้องน้ำ
      พริมวิ่งอย่างรวดเร็วไปที่ห้องน้ำ  ระหว่างทางเธอสังเกตเห็นเด็กนักเรียนหลายคนโผล่หน้าออกมาจากห้องนอนและตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น  บางคนก็วิ่งไปดู  เมื่อไปถึง สิ่งที่สะดุดตาพริมเป็นอย่างแรกคือร่างของพี่ม.6 คนหนึ่งที่แขวนป้ายพี่เวรเอาไว้ นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ที่หัวมีรอยทุบ ก่อนที่พริมจะตรงไปบริเวณที่แจ๊บนั่งกรี๊ดอยู่  พริม กุ แจน บิวและแก้ววิ่งเข้าไปหาแจ๊บ
      “ แจ๊บ แกเป็นอะ....”  ยังไม่ทันพูดจบ  เมื่อพริมมองเข้าไปในห้องน้ำ  ภาพที่เห็นทำให้เธอต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก  รวมถึงนักเรียนคนอื่นๆที่เพิ่งวิ่งมาดู  ต่างร้องกรี๊ดและหันหลังกลับไป
      “ ไปตามครู! เร็ว!”  เสียงนักเรียนคนหนึ่งดังขึ้น  ซึ่งไม่ใช่เสียงของพริม กุ แก้ว บิวและแจนที่กำลังอึ้งพูดอะไรไม่ออกอยู่แน่นอน
      ในห้องน้ำ  เป็นภาพของโนที่นั่งอยู่กับพื้น เอาหลังพิงผนัง  ใบหน้าซีดก้มลง  ตาลืมค้างเอาไว้อย่างเลื่อนลอย  ที่คอเป็นเส้นลึกเหมือนร่องรอยการรัด  ที่เหนือหัวคิ้วข้างขวามีรอยแผลและรอยเลือดแห้งกรังที่มีคราบไหลมาตามใบหน้าและคอ
      ไม่นาน อาจารย์หลายคนก็วิ่งมาท่ามกลางบรรยากาศอันวุ่นวายข้างนอก  นักเรียนหลายคนที่เห็นภาพก็น้ำตาไหลและพูดคุยกันเสียงดัง  ทั้ง 5 คนที่นั่งแข็งไม่สามารถลุกไปไหนได้ก็ถูกไล่ให้ออกไปข้างนอก  แจนตะโกนเรียกโนขณะที่ถูกเพื่อนหลายคนดึงตัวออกไป   เมื่อเดินออกมาพ้นห้องน้ำ  ทั้ง 5 ก็ต้องทรุดนั่งลงกับพื้น
      “ มันเกิดอะไรขึ้นน่ะพริม”  บิวที่น้ำตานองหน้าถามพริมที่นั่งอยู่ข้างๆ  พริมที่สายตาเลื่อนลอยไปข้างหน้าส่ายหัวช้าๆ  ถ้าเป็นคดีอื่น ป่านนี้เธอคงเข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวที่เกิดเหตุแล้ว  แต่กับคราวนี้...เธอไม่มีแรงจริงๆ
      “ มันเกิดขึ้นจริงๆ สิ่งที่โนกลัว  มันเกิดขึ้นแล้ว...”  กุพูดด้วยสีหน้าตกใจ  ขณะที่น้ำตาไหลซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว  “ บางทีคนต่อไปอาจจะเป็นฉันก็ได้  แล้วถ้าคนต่อไปเป็นฉันล่ะแก้ว”  กุโวยวายน้ำตานองหน้า  แก้วเข้าไปกอดกุ  แล้วพริมก็เห็นอาจารย์ผู้ชายคนหนึ่งอุ้มพี่เวรม.6 ที่พริมเห็นนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงทางเข้าห้องน้ำ... ‘ พี่ปุ๋ย! ’
      ‘ แสดงว่าพี่ปุ๋ยยังมีชีวิตอยู่’ พริมคิด  พร้อมมองตามร่างปุ๋ยที่ถูกอุ้มไป ในขณะที่ร่างของโนถูกปล่อยทิ้งไว้ที่เดิม  น้ำตาที่ไหลมาตอนไหนพริมเองก็ยังไม่รู้ทำท่าเหมือนจะไม่มีวันหยุด  พร้อมความรู้สึกจุกที่หน้าอก พริมยกมือขึ้นมากุมหน้าอก ‘ ปวด...ปวดจริงๆ’  พริมพยายามกลั้นน้ำตาขณะที่แจนไม่สามารถทำได้
      “ พิมพ์ผกา มานี่หน่อย”  เสียงอารียาดังขึ้นจากห้องน้ำ  “ พวกเธอทั้งหมดด้วย”  อารียาพูดขณะชะโงกหน้าผ่านประตูห้องน้ำออกมา  ทั้ง 5 คนหันไปมองก่อนลุกตามอารียาเข้าไปในห้องน้ำ  พริมจับมือแจนและพยุงเธอลุกขึ้น  ตามด้วยบิวกับแก้วที่เดินมากับกุ  อารียาเดินนำทั้ง 5 มายังที่ๆโนนั่งอยู่  แจนเบือนหน้าหนี  ขณะที่อีก 4 คนก้มหน้ามองพื้น
      “ พวกเธอ...” อารียาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ มีใครเข้าใจสิ่งที่เพื่อนเธอทิ้งไว้ให้หรือเปล่า”
      พริมเงยหน้าขึ้นมา เช่นเดียวกับคนอื่นๆ  อารียาเรียกให้ทั้ง 5 เข้าไปดูในห้องน้ำ  แต่ก็ไม่มีใครยอมเดินตาม  อารียามองตาพริม เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้พริมรู้สึกตัวว่าเธอเป็นใครและตอนนี้ควรจะทำอะไร  พริมจึงปล่อยมือแจนแล้วเดินตามอารียาเข้าไป
       พริมเงยหน้ามองเพดาน  ไม่กล้าก้มลงมาดู  อารียาที่มองเธออยู่ถอนหายใจ
      “ พริม ฉันรู้ว่าคราวนี้มันยาก  แต่เพื่อนเธอเขากำลังรอให้เธอช่วยอยู่นะพริม”  นี่เป็นครั้งแรกที่พริมได้ยินอารียาเรียกชื่อเล่นเธอ  “ บางทีเธออาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยเขาได้”  อารียาพูดเสียงอ่อนลงพร้อมมองพริมที่กำลังค่อยๆก้มหน้าลงมา ‘ ไอ้น้ำตาบ้า ทำไมไม่หยุดสักที’ พริมคิดพร้อมยกมือขึ้นปาดน้ำตา  อารียาจับมือพริมแล้วชี้ไปที่โน กลิ่นเลือดโชยเตะจมูกเธอ  พริมมองไปตามร่างโนที่นั่งพิงผนังอยู่  เธอไม่สามารถทนได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว  พริมที่ตอนนี้น้ำตาไหลพรากหันหลังกลับ
      “ หนูทำไม่ได้”  พริมพูดทั้งน้ำตา
      “ ได้สิ”  อารียาพูดปลอบ  พร้อมยกมือขึ้นมาวางบนไหล่พริม  “ สิ่งที่ฉันต้องการให้เธอช่วยดู คือนั่น...”   อารียาพูดพร้อมหันตัวพริมกลับมา ก่อนชี้ไปที่พื้นข้างๆโนด้านในห้องน้ำใต้โถชักโครก  พริมค่อยๆเดินและชะโงกหน้าไปดู  ที่พื้นมีรอยเลือดเลอะอยู่ เหมือนกับที่นิ้วของโน ‘Dying Message’

       


      “ เก้าเจ็ด?  มันคืออะไร”  อารียาหันมาถามพริม  ที่กำลังมองอะไรบางอย่างที่โนเขียนไว้ ตัวแรกมีหัวกลมๆข้างบนแล้วลากหางลงมา ส่วนตัวถัดไปเป็นเส้นขนานคู่สองเส้นเส้นล่างจะยาวกว่าหน่อย แล้วมีเส้นยาวเส้นหนึ่งลากตัดทั้ง 2 เส้นลงมา  พริมทำท่างงกับข้อความ ‘ เก้าเจ็ด’  พริมส่ายหน้า เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน  และไม่ทันไร พริมก็ต้องถูกไล่ออกมาเมื่ออาจารย์จักรพันธ์มาถึงพร้อมกับตำรวจและผู้ชายอีก 3-4 คน  อารียาจึงบอกให้พริมพาเพื่อนๆออกไปข้างนอกก่อน  เมื่อทั้ง 5 ออกมานอกห้องน้ำ ก็ถูกอาจารย์ณภัสสรไล่ให้เอาของไปอาบน้ำกับพี่ที่ชั้น 5
      ที่ห้องอาหารตอนเช้ามีแต่เสียงดังวุ่นวายของรุ่นน้องและรุ่นพี่หลายคนที่คอยเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น  ต่างกับที่โต๊ะของพริมซึ่งมีแต่ความเงียบ  ไม่มีใครพูดอะไรกันและไม่มีใครตักอาหารเข้าปาก
      บี  เอ๋  มิ้วและโอ๊ตเดินผ่านมาเห็น  หลังจากการจากไปของกิ๊กทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่ได้ทะเลาะกันเหมือนเมื่อก่อน  ทั้ง 4 ที่เข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียเพื่อนเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเห็นใจ
      “ นี่ กินข้าวหน่อยสิ  ฉันเข้าใจนะว่าพวกเธอเศร้า  มันก็ไม่ต่างไปจากพวกเราหรอก  โนใช่เพื่อนแกคนเดียวซะที่ไหนล่ะ”  โอ๊ตพูด  กุเงยหน้าขึ้นมาฟังคำพูดที่ครั้งหนึ่งเธอเคยพูดปลอบใจเพื่อนเอาไว้  โอ๊ตยิ้มให้กุ  แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร  บีที่ยืนมองเพื่อนของเธอหน้าตาเศร้าซึมถอนหายใจพร้อมหันไปมองหน้าเอ๋  ก่อนเดินไปนั่งข้างพริม
      “ พริม  ฉันว่าเธอเป็นคนเก่งนะ  และไม่ใช่คนโง่ด้วย  เธอเองก็รู้ไม่ใช่หรอว่าทำอย่างนี้มันไม่มีประโยชน์  กินข้าวก่อนจะได้มีแรงไปช่วยตำรวจหาตัวคนร้ายไง”  บีพูดปลอบใจ
      “ นั่นสิ”  เอ๋ที่ไม่ค่อยพูดก็เอ่ยออกมา “ ตำรวจเมืองไทยเก่งนะ  เดี๋ยวก็หาตัวคนร้ายได้น่า”  เมื่อเอ๋พูดจบ  พริมก็เงยหน้าขึ้นมามองเอ๋
      “ ขอบใจนะ”  พริมตอบพร้อมยิ้มกลับ  แม้สีหน้าจะไม่ได้บอกถึงความสบายใจเท่าไร  แต่
      พริมก็เอื้อมมือไปหยิบช้อนแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก  กุ  แจน  บิวและแก้วเมื่อเห็นพริมก้มหน้าก้มตากิน  ก็หยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มเข้าปากด้วย  มิ้วยิ้มให้กับโอ๊ต ก่อนเดินมานั่งข้างๆกุที่ว่างอยู่
      “ ถ้างั้น  เรานั่งกินด้วยละกัน”  มิ้วพูดพร้อมตักข้าวใส่จาน  ตามมาด้วยโอ๊ตและเอ๋ที่นั่งถัดจากบีกับมิ้วมา  พริมตักข้าวเข้าปากกินอย่างไม่ลืมหูลืมตา ‘ ใช่  ฉันต้องหาตัวฆาตกร’
      หลังทานอาหาร  นักเรียนทุกคนถูกสั่งให้กลับไปอยู่ที่ห้องพัก โดยมีครูประจำชั้นคุมอยู่
      “ ครูขา  โรงเรียนเรามันเกิดอะไรขึ้นคะ มีคนตายไม่เว้นวัน เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่นาน  นี่ตายไปกว่า 4 ศพแล้วนะคะ”  อิดที่เป็นหัวหน้าห้องโวยวายถามครูประจำชั้น
      “ ครูไม่ใช่ฆาตกรนี่  ครูตอบเธอไม่ได้หรอก  ว่าแต่อิศราพร เพื่อนอยู่ครบหรือเปล่า”  ครูประจำชั้นคนนั้นถามอิด  อิดหันไปมองรอบๆ ก่อนตอบว่าครบ  ทั้งๆที่เพื่อนหายไปหนึ่งคนแท้ๆ


      พริมวิ่งขึ้นไปบนตึกนอน  เธออ้างกับใครหลายคนที่ถามเธอว่าอาจารย์สรัญญาเรียกให้ไปช่วย  และตอนนี้เธอก็พร้อมจะช่วยแล้วจริงๆ  เมื่อพริมวิ่งขึ้นมาถึงชั้น 4 เธอก็ไม่พบอะไร  ศพของโนถูกย้ายออกไปแล้ว  เลือดตามพื้นถูกทำความสะอาด ไม่เหลืออะไร
      “ มาแล้วหรอ  เร็วกว่าที่คิดนะ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเธอ  พริมหันไปมองอารียาที่เดินเข้ามา “ ครูคิดแล้วว่าเธอต้องมา  ทำใจได้แล้วหรอ”  อารียาถามพริม
      “ หนูไม่มีวันทำใจได้หรอกค่ะ ถ้ายังจับฆาตกรไม่ได้”  พริมพูดสีหน้าจริงจัง  อารียาพยักหน้า
      “ เราต้องมาช่วยกัน  คราวนี้ฆาตกรทำการเปิดเผยมาก แต่นับว่าเรายังโชคดี”  อารียาพูดและเมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของพริม  เธอจึงพูดต่อ  “ เธอก็รู้จักนี่  พีรดา ม.6 ที่เป็นเวรเช้าวันนี้พอดี  เธอยังไม่ตาย  ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล  ถือเป็นพยานคนสำคัญเลยทีเดียว”
      “ ดีค่ะ  อาจารย์คะ  ช่วยเล่ารายละเอียดการตายของโนให้หนูฟังด้วยเถอะค่ะ”  พริมขอร้องอารียา  ทั้ง 2 จึงเดินลงไปนั่งข้างล่างใต้ตึก  อารียาเล่ารายละเอียดที่เธอสังเกตไว้อย่างครบถ้วนให้พริมฟัง
      ตามร่างกายของโนนั้นไม่มีมีบาดแผลอะไร เว้นแต่บริเวณเหนือหัวคิ้วด้านขวาที่มีบาดแผลรอยใหญ่เหมือนถูกของแข็งทุบ จุดนี้มีเลือดออกเยอะ  ขณะที่พบร่องรอยการรัดคอด้วยเชือกเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร  โดยบริเวณรอบๆไม่พบอุปกรณ์ที่ใช้เป็นอาวุธในการทุบและรัดคอเลย  ส่วนปุ๋ยถูกทุบเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง
      “ สิ่งที่ครูแปลกใจก็คือ  ฆาตกรดูเหมือนจะไม่ได้ลงมืออย่างเต็มที่กับพี่เวรที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี  ทั้งๆที่น่าจะรู้ว่าถ้าเขารอดชีวิตล่ะก็  ตัวเองจะเดือดร้อน”  อารียาทำท่าครุ่นคิด “ ดูจากบาดแผลที่ถูกทุบแค่ท้ายทอย  มันต่างกับที่นภาพรรณโดน  ทั้งทุบและรัดคอ  ส่วนที่น่าสนใจที่สุด…”
      “ เก้าเจ็ด”  พริมพูดแทรกขึ้นมา  “ เลขสองตัวนี่โนเป็นคนเขียนเองแน่หรอคะ”  พริมหันไปถามอารียา  อารียาพยักหน้า
      “ ครูคิดว่า  นภาพรรณอาจจะโดนทุบที่หน้าผากก่อนลากเข้าไปในห้องน้ำ”  อารียาพูด พริมคิดถึงภาพเมื่อคืน ถ้าเธออยู่รอล่ะก็  พริมนึกโทษตัวเองในใจ  อารียาพูดต่อ  “ บางทีฆาตกรอาจจะปล่อยช่วงเวลาไว้  คงเป็นตอนที่ฆาตกรคุยอะไรสักอย่าง  โนเลยแอบเขียนข้อความด้วยเลือด  โดยใช้โถส้วมบัง และเธอคงไม่กล้าเขียนชื่อฆาตกรลงไป  เพราะถ้าฆาตกรเห็นเข้าก็จะทำลายทิ้ง ในขณะที่เลขเก้าเจ็ดดูไม่สะดุดตาเท่า”  อารียาพูด
      “ ปัญหาของเราตอนนี้ก็คือ...”  พริมพูด  “ หนึ่ง เราไม่รู้ว่าเลขเก้าเจ็ดมันหมายความว่ายังไง  สอง อุปกรณ์ที่ใช้ฆ่าอยู่ที่ไหน  สาม ฆาตกรเข้ามาในตึกนอนที่มียามเฝ้าอยู่ข้างล่างได้ยังไง  แต่ที่หนูมั่นใจตอนนี้ก็คือ...ฆาตกรต้องเป็นคนในโรงเรียนถึงสามารถฆ่าคนได้อย่างง่ายดายและหายตัวไปแบบล่องหนอย่างนี้”  พริมพูดซึ่งอารียาก็เห็นด้วย
      “ เอ้อ! พริม”  อารียาถามพริม  “ ครูขอถามอะไรหน่อย  เธอต้องตอบครูตามความจริงนะ”  ถึงพริมจะสงสัยแต่ก็รับปาก
      “ เธอรู้มั้ยว่า...นภาพรรณติดยา”  เมื่ออารียาพูดจบ  พริมก็สะดุ้ง  เธอต้องถามย้ำอีกครั้งด้วยไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน
      “ ฟังไม่ผิดหรอก  ผลตรวจชัดเจน  นภาพรรณเขาติดยา แต่รู้สึกว่าจะยังติดได้ไม่นาน” อารียาพูด  พริมส่ายหน้าไม่รู้เรื่อง  อารียามองเธออย่างไม่แน่ใจแต่ก็พูดต่อ  “ ตอนนี้สันนิษฐานของตำรวจคาดว่าฆาตกรอาจจะเป็นผู้ชาย เพราะแรงที่ใช้รัดคอไม่ใช่น้อยๆ และเป็นคนในด้วย  ตำรวจกำลังสอบสวนผู้ชายทุกคนในโรงเรียน  คาดว่าน่าจะได้อะไรบ้าง”  อารียาพูดกับพริม
      “ พิมพ์ผกา!”  เสียงเรียกชื่อพริมดังขึ้น  ทำเอาทั้ง 2 คนสะดุ้ง  ครูประจำชั้นของเธอเดินตรงมา  “ มาอยู่กับอาจารย์สรัญญานี่เอง  หายไปไม่บอกเพื่อนฝูง ครูตกใจแทบแย่  นี่พี่ก็รีบออกมาหาเลยนะ  กลัว”  ครูประจำชั้นของพริมพูดกับอารียา  “ ยังไงก็ต้องให้เด็กกลับไปอยู่ที่ห้องพักนะ”  เมื่อพูดจบ  อารียาก็ยิ้มให้เธอก่อนหันหน้ามาหาพริม
      “ ไปเถอะ”  อารียาพูดกับพริม  พริมลุกขึ้น เธอเดินตามครูประจำชั้นไปได้ 2 ก้าวก็หันกลับมา
      “ ขอให้หาตัวฆาตกรให้ได้เร็วๆนะคะ”  พริมพูดกับอารียา  อารียาพยักหน้ารับ
      “ ไม่ต้องห่วง  ฉันไม่ให้เพื่อนเธอตายฟรีหรอก”  อารียาพูดพร้อมกับชูเก้านิ้ว และค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นเจ็ดนิ้ว  พริมเข้าใจในสิ่งที่เธอสื่อ  การบ้านที่อารียามอบให้คือสิ่งที่โนฝากไว้ ‘ เก้าเจ็ด?’
      เมื่อพริมเดินมาถึงห้อง  เธอจึงไม่รีรอที่จะเรียกเพื่อนๆอีก 4 คนมาช่วยกันทำ ‘ การบ้าน’ ที่เพิ่งได้รับ  เธออยากจะถามเพื่อนๆเรื่องที่ว่าโนติดยา แต่ก็คิดว่าควรจะเงียบไปก่อน
      “ เก้าเจ็ดหรอ”  บิวที่ตอนนี้ดูมีชีวิตชีวามากที่สุดถามขึ้นด้วยความสนใจ
      “ ฉันนึกอะไรไม่ออกเลย  พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าโนเป็นคนเก่งเลข  แต่พวกเรานี่สิ”  แก้วที่นั่งปลอบกุตั้งแต่เช้าพูดบ้าง  ส่วนแจนที่เพิ่งจะหยุดร้องไห้ได้ก็เสนอขึ้นมาบ้าง
      “ ถ้าแจนรู้ตัวว่าจะตาย  ก็คงคิดจะทิ้งข้อความอะไรสักอย่างให้พวกเธอ เพื่อนที่สนิทที่สุดในโรงเรียนได้รับรู้  และแจนคิดว่า โนก็คงเหมือนกัน  เลขเก้าเจ็ดที่โนทิ้งไว้ให้ต้องมีแต่พวกเราที่จะเข้าใจ  เพียงแต่...”  แจนเงียบลง แต่ความเงียบก็สามารถเติมเต็มข้อความได้ดี  ‘ เพียงแต่ยังไม่มีใครนึกอะไรออกเลยน่ะสิ’
      กุที่สนิทกับโนมากที่สุดนั่งเงียบ  หลังจากที่เพิ่งสงบสติอารมณ์ได้ไม่นาน  กุไม่พูดและไม่เสนออะไร  ไม่มีใครรู้ว่ากุกำลังคิดอะไรอยู่
      “ กุ  แกพอจะนึกอะไรออกบ้างมั้ย ช่วยกันคิดหน่อยสิ ”  บิวหันไปถามกุ  กุหันหน้านิ่งมามอง  เธอเงียบสักพักก่อนพูดออกมา
      “ ฉันยังไม่อยากตีความมันเป็นอะไรทั้งนั้น  เพราะฉันกลัว...”  กุหยุด  ก่อนพูดต่อ “ กลัวว่ามันจะไม่เหมือนกับที่โนต้องการ”
      ‘ จริงอย่างที่กุพูด’ พริมคิดในใจ  ‘ ถ้าเราตีความผิด  อาจจะจับฆาตกรผิดคนได้เลยทีเดียว’


      เช้าวันศุกร์ในชั่วโมงแรกที่นักเรียนต้องเข้าห้องประชุมนั้นไม่น่าเบื่อเหมือนปกติ  เพราะทุกทีจะเป็นการนมัสการพระเจ้าและพูดอบรมของอาจารย์จัณฑิตา  แต่เช้าวันนี้นักเรียนหลายคนรู้ว่าคงไม่เหมือนเดิมเพราะเมื่อเดินเข้ามาก็จะเห็นตำรวจนั่งอยู่ข้างเวที 2 คน กำลังคุยกับอาจารย์จัณฑิตา 
      ทั้ง 5 คนเดินมานั่งที่เก้าอี้แถวสอง
      “ เมื่อวานก็ถูกกักให้อยู่ในห้องพักทั้งวัน  ไม่รู้วันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า”  พริมได้ยินเสียงนักเรียนที่นั่งแถวหน้าคุยกัน  เมื่อวานนี้เป็นวันที่น่าเบื่อที่สุด  นักเรียนทุกคนถูกกักให้อยู่แต่ในห้องพักจนถึงเวลาอาบน้ำตอนเย็น  อาบเสร็จก็ให้เข้านอนเลย  แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่มีใครนอนหลับสักคน  พริมมองดูรอบๆห้องประชุม  นักเรียนน้อยลงไปเยอะ เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองต่างพากันมารับลูกหลานกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวาน  เหลือก็แต่เด็กบางคนที่ไม่ยอมกลับเช่น กุ แจน บิวและแก้ว กับคนที่พ่อแม่ไม่ว่างมารับอย่างพริม  ตลอดทั้งวันและคืน  นักเรียนจะถูกครูคุมจนไม่เป็นอันทำอะไร
      เมื่อนักเรียนมานั่งกันครบ  อาจารย์จัณฑิตาก็ไม่รีรอ  เธอคว้าไมค์ขึ้นไปบนเวที พร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ
      “ สวัสดีค่ะนักเรียน”  เมื่ออาจารย์จัณฑิตาพูดทักทาย  นักเรียนหลายคนก็กล่าวสวัสดีตอบ  อาจารย์จัณฑิตายิ้มกลับ  “ ค่ะ  วันนี้ครูอยากจะมาชี้แจงอะไรหลายๆอย่างรวมถึงครูมีข่าวดีจะมาบอกกับนักเรียน”  เมื่ออาจารย์จัณฑิตาพูดจบ  นักเรียนหลายคนก็หันไปมองกันและกัน
      “ อย่างที่นักเรียนหลายคนคงจะได้ทราบแล้ว  ว่าหลังเปิดเทอมมานี้มีเรื่องที่น่าเศร้าใจเกิดขึ้นมากมาย  อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตนักเรียนของเราไปถึง 3 คน  ยังเป็นเรื่องที่พอจะทำใจยอมรับ เพราะเราต่างรู้กันว่า  อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและเราไม่สามารถห้ามได้” คำพูดของอาจารย์จัณฑิตาทำให้พริมรู้ว่า เขาต้องการจะปิดข่าวเรื่องที่ว่าพี่ปิ่นและกิ๊กตายเพราะถูกฆาตกรรม 
      อาจารย์จัณฑิตาพูดต่อ
      “ แต่กับเหตุการณ์เมื่อวาน  นับเป็นเรื่องที่ครูไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในโรงเรียนเรา  เมื่อนักเรียนชั้นม.4คนหนึ่งถูกฆาตกรรมในห้องกลางดึก  มันเป็นเรื่องที่พวกเราทุกคนต่างร้อนใจ  ครูประสานงานกับทางตำรวจตลอดเวลา  จนในที่สุด  เราก็สามารถจับตัวคนร้ายได้”  
      เมื่ออาจารย์จัณฑิตาพูดมาถึงตรงนี้  เสียงร้องด้วยความดีใจของนักเรียนก็ดังขึ้น 
      “ ฆาตกรคือบริกรชายคนหนึ่งของโรงเรียนเรา  ส่วนเรื่องเหตุผลและวิธีการอะไรต่างๆครูจะไม่ขอพูดถึง  ที่มาบอกพวกเธอวันนี้ก็เพียงแต่ต้องการจะแจ้งให้ทราบว่าเราจับตัวคนทำผิดไว้แล้ว  ครูจึงขอความกรุณาให้นักเรียนทุกคนไปแจ้งให้ผู้ปกครองรับทราบตามนี้ และขอให้นักเรียนทุกคนมาเรียนในวันจันทร์ตามปกติ  ขอบคุณค่ะ”  อาจารย์จัณฑิตาพูดจบก็เดินลงจากเวทีไป  เสียงปรบมือปนเสียงร้องด้วยความดีใจดังลั่น  แจน กุ บิวและแก้วมองหน้ากันด้วยความดีใจ ขณะที่พริมนั่งนิ่งผิดปกติ  ‘ มันจะง่ายอย่างนั้นเลยหรอ’ พริมคิดในใจ
      ในวันเสาร์พริมนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินคนเดียว  เธอพยายามตามหาอารียาตั้งแต่วันศุกร์ แต่ก็ไม่พบ  คิดว่าบางที อารียาอาจจะยุ่งอยู่กับคดี  พริมจึงทำได้แต่นั่งเหงาและจ้องหนังสือบนโต๊ะ
      “ พริม!”  เสียงเรียกชื่อพริมดังขึ้น  เธอเงยหน้าขึ้นมามอง  น้ำนั่นเอง เดินมากับอารียาซะด้วย
      “ พริมว่างหรือเปล่าเนี่ย  ดูเหมือนกำลังขยัน”  น้ำเดินมานั่งลงตรงหน้าพริม
      “ พี่น้ำมีอะไรหรือเปล่าคะ”  พริมถามกลับ  ตอนนี้อารียาค่อยๆเดินมานั่งข้างๆน้ำ
      “ ก็เปล่า  เพียงแต่อาจารย์สรัญญาเขาชวนพี่ไปเยี่ยมปุ๋ยที่โรงพยาบาล  ก็เลยว่าจะมาชวนพริมด้วย”  น้ำตอบ
      “ พี่ปุ๋ยหายแล้วหรอคะ”  พริมถามเสียงตื่นเต้น
      “ ก็ไม่เชิงว่าหายหรอก  ปุ๋ยมันก็โดนตีไปหนักเหมือนกัน  ไม่รู้สึกตัวไปเป็นวัน  นี่เห็นหมอบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว และก็ฟื้นแล้วด้วย  เลยจะไปเยี่ยมหน่อย”  น้ำพูด
      “ แล้วพี่ปุ๋ยเขาบอกหรือเปล่าคะว่า...ใครเป็นคนทำ”  พริมถาม พร้อมสีหน้าอยากรู้  คำถามนี้น้ำไม่ตอบ เธอหันไปทางอารียา
      “ ยังหรอก  ตำรวจยังไม่ได้เข้าไปถาม  เขารอให้พีรดามีสติมากกว่านี้และอาการดีขึ้นอีกหน่อย  ว่าแต่เธอเถอะ จะไปหรือเปล่า”  อารียาถามพริม  พริมทำสีหน้าลังเลก่อนตอบ
      “ ไม่ไปดีกว่าค่ะ  ไม่อยากไปกวนพี่ปุ๋ย  ฝากบอกให้หายไวๆนะคะ”
      “ ไม่ไปก็ตามใจ”  อารียายักไหล่ก่อนลุกขึ้น โดยมีน้ำลุกตาม “ งั้นครูไปล่ะ ไปกัน ”  อารียาหันไปพูดกับน้ำก่อนเดินหันหลังไป
      “ เอ่อ! อาจารย์สรัญญาคะ”  พริมตะโกนเรียกคนที่เพิ่งเดินไป  อารียาหันหลังมามอง  “ คือ...หนูอยากคุยกับอาจารย์เรื่องฆาตกรที่จับได้หน่อยน่ะค่ะ  เอาเป็นวันพรุ่งนี้เช้าก็ได้”  พริมถาม  อารียาพยักหน้ารับก่อนยิ้มให้เธอแล้วหันหลังเดินต่อไป
      เมื่อถึงโรงพยาบาล น้ำและอารียาก็เดินตรงไปยังห้องคนไข้ของปุ๋ย  ทั้ง 2 เดินเข้าไปพร้อมพยายามทำเสียงให้เบาที่สุด  ในห้องพักอันเงียบสงบมีกระเช้าดอกไม้วางอยู่  แม่ของปุ๋ยรีบลุกมาต้อนรับเมื่อรู้ว่าอารียาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนและโดยส่วนตัวก็รู้จักน้ำอยู่แล้ว
      “ สวัสดีค่ะอาจารย์  ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยม  ขอบใจน้ำด้วยนะลูก”  แม่ของปุ๋ยพูดยิ้มแย้มแจ่มใส
      “ ปุ๋ยเป็นไงบ้างคะ”  น้ำถามแม่ของปุ๋ย  ดูจากสีหน้าของเธอก็พอจะเดาได้ว่าอาการปุ๋ยคงดีขึ้นมาก
      “ ก็ดีลูก  มีปวดหัวนิดหน่อย  เมื่อกี๊พยาบาลเพิ่งเอายาแก้ปวดมาให้กิน เข้าไปคุยกับปุ๋ยได้เลยค่ะ”  แม่ปุ๋ยเชื้อเชิญทั้ง 2 คนเข้าไป เมื่อไปถึงที่เตียง  ทั้ง 2 ก็สังเกตเห็นว่าปุ๋ยหลับอยู่  ที่หัวมีผ้าสีขาวพันไว้
      “ อ้าว! สงสัยหลับเพราะฤทธิ์ยามั้งคะ  เมื่อกี๊ยังตื่นดีๆอยู่เลย”  แม่ปุ๋ยพูดด้วยความงง  อารียายิ้มกลับบอกว่าไม่เป็นไรก่อนเดินไปหาปุ๋ยที่ข้างเตียง
      “ ไอ้ปุ๋ย  อะไรวะ คนอุตส่าห์มาเยี่ยม  หลับซะได้”  น้ำที่ยืนอยู่ข้างๆอารียาบ่น
      “ ให้เขาหลับแหละดีแล้ว  จะได้พักผ่อน ให้หายไวๆ”  อารียาพูดกับน้ำ  หลังจากนั้นทั้ง 2 ก็อยู่คุยกับแม่ของปุ๋ย อารียาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  รวมถึงฆาตกรที่จับตัวได้  ทำให้แม่ของปุ๋ยดูสบายใจขึ้น  และเมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานทั้งสองก็ต้องรีบกลับเพราะอารียาต้องพาน้ำกลับไปให้ทันทานข้าวเย็น
      “ เดี๋ยวคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะค่ะคุณแม่  ใกล้จะ 5 โมงครึ่งแล้ว ครูต้องไปส่งน้ำเขาให้ทันทานข้าวเย็น เดี๋ยวโดนอาจารย์ท่านอื่นดุเอา”  อารียาพูดขอตัวกลับหลังจากนั่งคุยกับแม่ของปุ๋ยมาประมาณ 20 นาที
      “ ค่ะ เชิญค่ะ  แหม อาจารย์มาแค่นี้ก็ต้องขอบคุณแทนปุ๋ยแล้วล่ะค่ะ”  แม่ของปุ๋ยพูดพร้อมยิ้มหวาน  อารียายิ้มตอบ ก่อนหันไปหาน้ำที่นั่งอยู่ข้างเตียงปุ๋ย เธอส่งสัญญาณว่าได้เวลากลับโรงเรียนแล้ว  น้ำลุกขึ้นพร้อมบอกลาปุ๋ย
      “ เฮ้ย! ปุ๋ย  ฉันกลับก่อนนะ  ไว้วันหลังมาเยี่ยมใหม่  อ้อ! แล้วก็ ฉันอยากให้แกตื่นมาฟังจังเลย ตำรวจเขาจับคนที่ทำร้ายแกได้แล้วนะ  เป็นบริกรชายคนหนึ่งในโรงเรียนเรา  ฉันก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าใครแต่อย่างน้อยก็สบายใจขึ้น ฉันไปล่ะ”  น้ำพูดก่อนหันหลังเดินไป  “ อ้อ! ปุ๋ย  น้องพริมฝากบอกว่าให้หายไวๆนะ”  น้ำหันกลับมาพูดอีกครั้งก่อนเดินตามอารียากับแม่ของปุ๋ยไป  เมื่อทั้ง 3 เดินออกไปลับประตู  ปุ๋ยก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมสีหน้าลำบากใจ แฝงความเศร้า


      “ ไง  มีอะไรจะคุยหรอ”  อารียาถามพริมที่นั่งรออยู่หน้าห้องพักครู  พริมรอจะคุยกับอารียามาตั้งแต่เช้า  กว่าจะได้คุยจริงๆก็ปาเข้าไปเกือบ 11 โมง
      “ ที่หนูบอกครูไว้เมื่อวานไงคะ  เรื่องฆาตกรที่จับได้มันเป็นยังไงหรอคะ  อาจารย์เล่าให้หนูฟังหน่อยสิ”  พริมร้องขอ  เธอล่ะเบื่อสถานภาพนักเรียนของตัวเองจริงๆ มันทำให้เธอทำงานได้ไม่สะดวกเอาซะเลย
      “ อ๋อ”  อารียาทำท่านึกได้ ก่อนนั่งลงข้างๆพริม “ เธอคิดว่าไงล่ะ”  อารียาถามพริมกลับ  พริมทำท่าคิด
      “ ไม่รู้สิคะ  ดูมัน...ง่าย”  พริมตอบ “ ง่ายเกินไปน่ะค่ะ”
      อารียามองหน้าพริม พร้อมคิดในใจ ‘ เด็กคนนี้อาจจะไม่มีประสบการณ์เท่าไร แต่มีเซ้นส์ดี’
      “ ครูก็คิดเหมือนกัน  เธอว่าเขาเป็นแพะหรือเปล่า”  อารียาถามหยั่งเชิงพริม
      “ บอกไม่ได้หรอกค่ะ  ถ้าไม่รู้ว่าตำรวจจับเขาได้ยังไง” พริมตอบกลับ  อารียายิ้มพยักหน้าเล็กน้อยและคิดว่าพริมฉลาดพูดจริงๆ
      “ ตำรวจเจออาวุธที่ฆาตกรใช้น่ะสิ  จะว่าตำรวจก็ไม่ใช่  เป็นพี่ที่ทำความสะอาดต่างหาก  เขาเจอมันตอนแยกขยะอยู่ตรงถังขยะหน้าโรงอาหาร  เป็นเส้นยางพลาสติกเส้นไม่ใหญ่มาก มีคราบเลือดอยู่  รวมถึงโถแก้วทรงยาวที่มีคราบเลือดเหมือนกัน  ทั้ง 2 ชิ้นมีรอยนิ้วมือของพี่บริกรคนนี้อยู่  ครูเชื่อนะ ว่ามันเป็นอาวุธที่ใช้ฆ่าจริง เพราะรอยเลือดที่พบมีดีเอ็นเอตรงกับของนภาพรรณ  รวมถึงที่ขวดมีดีเอ็นเอของพีรดาอยู่ด้วย  เพียงแต่...”  อารียาหยุด  ก่อนพูดต่อ “ อย่างที่เธอว่า มันดูเหมือนฆาตกรมักง่ายเกินไป”  อารียาทำท่าสับสน
      “ อันที่จริง  ฆาตกรก็มีสิทธิป้ายความผิดให้พี่บริกรคนนี้ได้นะคะ  ง่ายๆเลยด้วย  และเอาจริงๆ ถังขยะในโรงเรียนนี้ไม่ใช่ว่าจะมีพี่ทำความสะอาดมาแยกขยะทุกถัง  ถึงโรงเรียนเราจะรณรงค์เรื่องการแยกขยะ  แต่ก็มีบังคับแยกแค่ 3 จุด คือหน้าตึกเรียนใหม่  หน้าตึกวิทยาศาสตร์และหน้าโรงอาหาร  หนูว่ามันจะไม่ดู ‘ โง่ ’ ไปหน่อยหรอคะ  หากฆาตกรเลือกที่จะทิ้งอาวุธฆ่าในถังขยะที่ตัวเองก็รู้ว่าจะต้องมีคนมาแยกขยะ  แถมยังไม่เช็ดเลือดออกด้วย  ตลกออก”  พริมเสนอ  “ แล้ว  ตำรวจเขาสอบปากคำพี่บริกรหรือยังคะ”  พริมถามอารียาที่นั่งฟังพริมสาธยายอย่างตั้งใจ
      “ เรียบร้อยแล้ว  แต่หลักฐานมันมัดตัว  เขาไม่มีหลักฐานยืนยันที่อยู่ในตอนนั้น  รวมถึงรอยนิ้วมือที่โชว์หราบนอุปกรณ์ที่ใช้ฆ่า  ต่อให้สาบานหน้าวัดอะไรก็รอดยาก   เขาเองก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหานะ”  อารียาพูดก่อนถอนหายใจ  “ เฮ้อ! แต่ก็ยังไม่รอดคุกอยู่ดี”
      “ ถ้าพี่บริกรคนนี้เป็นฆาตกรจริง แล้วเลขเก้าเจ็ดที่โนทิ้งไว้ มันเกี่ยวกับพี่เขายังไงล่ะคะ” พริมถามอารียา  อารียาเองก็นั่งคิดเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่จับบริกรคนนี้ได้
      “ ไม่มีนะ  ครูพยายามคิดดูหลายรอบ  ทั้งเลขประจำตัวบริกร  ปีที่เข้ามาทำงาน หน้าที่ทำงานในครัว  ห้องพัก และอะไรอีกหลายๆอย่าง ก็ไม่เกี่ยวกับตัวเลขนี้เลย”  อารียาพูด
      “ อาจารย์คะ  จะเป็นไปได้มั้ยคะ ถ้าหนูจะขอไปคุยกับพี่เขาหน่อย คิดว่าน่าจะได้รู้อะไรเพิ่ม”  พริมพูดพร้อมสีหน้าแกมขอร้อง  อารียาทำหน้าลำบากใจ
      “ ครูไม่ใช่ผู้มีอำนาจอนุมัติพาเด็กนักเรียนออกนอกโรงเรียนได้หรอกนะ  โน่น  ต้องไปขออาจารย์จัณฑิตา  กล้ามั้ยล่ะ”  อารียาถามพริม  พริมเองไม่เคยคุยกับอาจารย์จัณฑิตาแบบตัวต่อตัวมาก่อน  แต่ดูจากภายนอก อาจารย์คนนี้คงดุไม่เบา  ถึงได้คุมนักเรียนซะอยู่หมัดทั้งโรงเรียน  พริมเองก็รู้สึกกลัวอาจารย์จัณฑิตาอยู่ไม่น้อย  แต่ในที่สุด...ความอยากรู้ก็ชนะความกลัว
      พริมลากอารียาที่โวยวายบอกว่าให้เธอไปขอคนเดียวมาตามทางไปตึกเรียนเก่า
      “ พิมพ์ผกาเธอก็ไปเองสิ  เดี๋ยวครูก็โดนว่าว่าชวนนักเรียนหนีออกไปหาฆาตกรหรอก เธออยากให้ครูตกงานหรือไง”  อารียาโวยวาย  พริมเองก็ไม่ยอมปล่อยมือ  เรื่องอะไรปล่อยให้เธอไปคนเดียว
       “ โธ่! อาจารย์ขา  เสียงเด็กตัวเล็กๆคนเดียวจะไปมีน้ำหนักอะไรล่ะคะ  อาจารย์ต้องช่วยหนูและช่วยตัวอาจารย์เองด้วย  ถ้าเราไปแล้วได้อะไรดีๆกลับมาอาจจะปิดบัญชีงานนี้ได้เร็วขึ้นนะคะ”  พริมพูดพร้อมหันมายิ้ม  ขาก็ก้าวต่อไปอย่างรวดเร็ว อารียาทำสีหน้าสงสัย
       “ งานที่เธอได้รับคือตามหาคนไม่ใช่หรอ  เกี่ยวอะไรกับคดีนี้ล่ะ”  อารียาถามหน้านิ่ง  สายตาจับจ้องมาที่พริม  พริมชะลอฝีเท้าก่อนหยุดเดินแล้วหันหลังมาตอบ
      “ ก็นั่นแหละค่ะ ถ้าเราปิดคดีนี้เร็ว เราก็จะมีเวลาทำงานนั้นต่อ...ไม่ใช่หรอคะ”  พริมตอบก่อนลากอารียาเดินต่อไป
      เมื่อมาถึงตึกเรียนเก่า พริมก็ค่อยๆย่องเดินขึ้นไป  และพอมาถึงห้องที่มีป้ายตัวใหญ่แปะไว้ว่า

      ‘ หัวหน้าระดับมัธยมศึกษา ’

      พริมก็สูดหายใจลึกและปล่อยออกมาพร้อมๆกับอารียาที่อยู่ข้างหลัง  พริมเอื้อมมือไปเคาะประตู 3 ครั้ง ก่อนเปิดเข้าไป
      ในห้องทำงานของอาจารย์จัณฑิตาที่เธอไม่เคยแม้แต่จะคิดเข้ามานั้น มีเอกสารตั้งเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ  บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่กลางห้องมีแจกันดอกไม้ที่มีดอกกุหลาบสีขาวตั้งอยู่มุมขวา  พร้อมกรอบรูปที่ใส่รูปของอาจารย์จัณฑิตาตอนถ่ายกับนักเรียนรุ่นก่อนๆ  อาจารย์จัณฑิตาเงยหน้ามาจากกองเอกสารบนโต๊ะ  พริมยกมือไหว้
      “ เชิญนั่งค่ะ  ว่าไงพิมพ์ผกา  อาจารย์สรัญญา  มีอะไรหรือเปล่า”  อาจารย์จัณฑิตาถามขึ้น  ตอนแรกพริมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่อาจารย์สามารถจำชื่อเธอได้ทั้งๆที่มีนักเรียนให้จำนับพันคน  แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่เสื้อนักเรียนของเธอก็มีชื่อปักไว้อยู่
      “ คือว่า...”  อารียาพูดขณะที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าอาจารย์จัณฑิตา พริมเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ  “ คือวันนี้เขามีงานมหกรรมการศึกษาที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และหนูคิดว่าน่าจะพาเด็กไปดูให้ได้ความรู้ดีกว่าอยู่โรงเรียนว่างๆน่ะค่ะ  พิมพ์ผกาเองเขาก็สนใจ  หนูก็เลยพามาขออนุญาตอาจารย์ก่อน  เอาตามที่อาจารย์เห็นสมควรน่ะค่ะ”  อารียาพูดอย่างนอบน้อม  เธอกุเรื่องได้เร็วจนพริมตกใจและได้แต่ยิ้มแห้งๆตาม
      “ ไปคนเดียวเองหรอ  แล้วเด็กคนอื่นๆล่ะ”  อาจารย์จัณฑิตาถาม
      “ ค่ะ”  อารียาตอบเหงื่อตก  “ มีเรียกร้องอยู่คนเดียวนี่ล่ะค่ะ”  เมื่อพูดจบอารียาสังเกตเห็นสีหน้าไม่ค่อยไว้ใจของอาจารย์จัณฑิตา
      “ ไปสิ  แต่กลับก่อน 4 โมงนะ เดี๋ยวฉันโทรเรียกรถโรงเรียนให้”  อาจารย์จัณฑิตาทำท่าหยิบโทรศัพท์
      “ อันที่จริง  เดี๋ยวไปรถหนูก็ได้ค่ะเพราะว่า...” ยังไม่ทันพูดจบ  อารียาก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นสายตาของอาจารย์จัณฑิตาที่มองมาอย่างดุๆ  เธอกดปุ่มโทรศัพท์
      “ ไปรถโรงเรียนนั่นแหละ ปลอดภัย  ฮัลโหล  คุณประสิทธิหรอคะ  วันนี้รถว่างมั้ยคะ  ค่ะ  คืออาจารย์จะขอให้ไปช่วยส่งเด็กกับคุณครูที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์หน่อย  ค่ะ  ค่ะ  ขอบคุณค่ะ”  อาจารย์จัณฑิตาพูดโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว  เมื่อเธอวางสายก็หันมาหา 2 คนที่นั่งกลืนน้ำลายอยู่ 
      “ เรียบร้อยแล้ว  เดี๋ยวไปรอรถโรงเรียนที่ลานจอดรถนะ  คุณประสิทธิเขาจะขับรถมารับและอย่าลืมมาถึงโรงเรียนก่อน 4 โมง”  อาจารย์จัณฑิตาย้ำอีกครั้ง ก่อนปล่อยให้ทั้ง 2 คนเดินออกมาจากห้อง
      “ เอาไงดีคะคุณอาจารย์”  พริมหันมาถามอารียา เมื่อเดินลงมาจากตึก คนที่เดินตามมาข้างหลังทำสีหน้าเบื่อหน่าย
      “ ก็ต้องไปที่ศูนย์ประชุมก่อน แล้วค่อยชิ่งหนี  ดีนะที่งานมหกรรมอะไรนี่มันมีจริง  ไม่อย่างนั้นได้ตายคู่แน่  เธอก็ช่างหาเรื่องให้ครูจริงๆ”  อารียาบ่น  พริมยิ้มแหยๆ 
      เมื่อทั้งสองเดินมาถึงลานจอดรถก็เห็นรถโรงเรียนจอดรออยู่แล้ว  จึงไม่รีรอที่จะเดินขึ้นไปนั่งในรถ
      “ พี่ประสิทธิคะ  เดี๋ยวต้องอยู่รอรับกลับด้วยหรือเปล่าคะ”  อารียาถามขณะออกรถ
      “ อาจารย์จัณฑิตาสั่งให้รอครับ”  ประสิทธิคนขับรถตอบขณะที่หักพวงมาลัยเลี้ยวขวา 
      อารียาหันหน้าไปมองพริมทีแกล้งทำตาเหลือกขึ้นไปข้างบน  เธอไม่แปลกใจหรอกเพราะถ้าอาจารย์จัณฑิตาไม่สั่งให้รอนี่สิ...แปลก
      ระหว่างทางไม่มีใครพูดคุยกัน  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่มีเรื่องจะคุย หรือพยายามใช้ความคิดอย่างหนักในการหลบหนีกันแน่  ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถก็ขับมาถึงศูนย์ประชุม  พริมสังเกตเห็นรถจำนวนมหาศาลขับวนเวียนหาที่จอดรถ  ประสิทธิส่งอารียากับพริมข้างหน้าก่อนไปหาที่จอดรถ
      “ อาจารย์ครับ  เดี๋ยวผมรอที่รถ  ถ้าอาจารย์จะกลับเมื่อไหร่ก็โทรเรียกที่มือถือผมนะครับ” ประสิทธิหันหลังมาบอกอารียาที่กำลังจดเบอร์มือถือเขาอยู่
      “ ค่ะ  ประมาณบ่าย 3 นะคะ  ไม่เกิน  ขอบคุณนะคะ”  อารียาพูดพร้อมยิ้มก่อนลงจากรถไป ตามด้วยพริม  เมื่อประสิทธิขับรถเลี้ยวลับไป  ทั้ง 2 คนก็หันมองหน้ากัน  ก่อนเดินออกไปริมถนนใหญ่ เรียกแท็กซี่ตรงไปโรงพัก
      ด้วยรถวันอาทิตย์ติดกันมากมายมหาศาล  ทำให้พริมและอารียาติดแหง็กอยู่บนถนนรถไม่ขยับเขยื้อนขณะที่มิเตอร์ก็วิ่งไปเรื่อยๆ  พริมชะเง้อมองนาฬิกาหน้ารถ  ‘ เที่ยงกว่าแล้วหรอเนี่ย ’ พริมคิดพร้อมถอนหายใจ  ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของอารียาก็ดังขึ้น  เธอรีบควานหามันในกระเป๋าและเมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาดู
      “ นายประสิทธิล่ะ”  อารียาพูดกับพริม ก่อนกดรับโทรศัพท์  “ ว่าไงคะพี่ประสิทธิ”  อารียาถาม  พยายามทำเสียงให้ปกติที่สุด
      “ คือ อาจารย์จัณฑิตาท่านสั่งให้ผมไปกับพวกคุณ 2 คนด้วย  ให้ช่วยถือของและดูแลความปลอดภัย  แต่ผมหาอาจารย์ไม่เจอเลย  อาจารย์อยู่ไหนแล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมอยู่ตรงซุ้มแรก”  เสียงประสิทธิดังขึ้นในโทรศัพท์
      “ ครูหรอคะ  ครูอยู่...นี่มันซุ้มอะไรก็บอกไม่ถูกซะด้วยสิคะ ลึกเหมือนกัน  เป็นซุ้มสีเขียวเหลือง...”  อารียาพูด  พริมที่ถึงแม้จะไม่ได้ยินการสนทนาของฝ่ายตรงข้ามก็พอจะเดาได้จากสีหน้าและคำพูดโกหกเมื่อครู่ ‘ สีรถแท็กซี่ชัดๆ’ เธอคิด
      “ อาจารย์รออยู่ที่นั่นก่อนนะครับ  เดี๋ยวผมจะเดินเข้าไปหาเอง”  ประสิทธิพูดเสียงร้อนรน
      “ อย่าเลยค่ะ ตรงนี้คนเยอะมาก กว่าจะหากันเจอก็หมดเวลา  ไม่เป็นอันได้ดูอะไรกันพอดี”  อารียาพูดพร้อมทำสีหน้ายุ่งเหยิงใส่พริม  อารียาอ่านปากพริมที่พูดออกมาแบบไร้เสียงก็เข้าใจ
      “ เอ่อ  พี่ประสิทธิคะ  แค่นี้ก่อนนะคะ สัญญาณไม่ค่อยดีเลยค่ะ  ไว้ใกล้ 3 โมงโทรไปใหม่นะคะ  ไม่ยินเลย อะไรนะคะ  ฮัลโหล  ฮัลโหล”  และการสนทนาก็จบลงเพียงเท่านี้  อารียาปิดมือถือเก็บใส่กระเป๋า  เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนกลับมาทุกข์ใจกับขบวนรถติดข้างหน้า
      ทั้ง 2 มาถึงโรงพักในเวลาบ่ายโมงครึ่งเศษๆ มีเวลาเหลือเพียงน้อยนิดสำหรับพริม  เธอจึงรีบติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเดินตามเข้าไปในเขตคุมขัง  คุกที่นี่ไม่ต่างอะไรกับที่พริมมักจะเห็นในละคร มีลูกกรงเป็นซี่หนาๆ  ประตูลงกลอนและคล้องกุญแจ  ตำรวจไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปข้างใน  พริมจึงนั่งยองๆลงกับพื้น โดยมีอารียาทำตามอยู่ข้างๆ
      “ พี่คะ  จำครูได้หรือเปล่า”  อารียาถามชายที่นั่งหันหลังพิงผนังลูกกรง
      “ ผมทำงานอยู่ที่โรงเรียนมานับ 10 ปี  ครูคนไหนผมก็จำได้หมด  อาจารย์เป็นครูใหม่ผมก็รู้จัก  นักเรียนทุกคนผมก็ให้ความเคารพ ไม่เคยคิดจะฆ่าแกงใคร  ไม่เคย”  พี่บริกรพูดน้ำเสียงเลื่อนลอย  ไม่หันมามองด้วยซ้ำ
      “ พวกหนูรู้ค่ะ”  พริมพูดบ้าง  “ และเหตุผลที่หนูกับอาจารย์สรัญญามาที่นี่ก็เพราะหนูเชื่อว่าพี่บริสุทธิ์”  คำพูดของพริมทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอรีบหันหลังกลับมามอง  แววตามีประกายแห่งความหวังซ่อนอยู่
      “ ว่าอะไรนะครับคุณนักเรียน”  พี่บริกรชายคนนั้นพูด  คำว่า ‘ คุณนักเรียน ’ เป็นคำที่พี่บริกรทุกคนในโรงเรียนใช้เรียกเด็กนักเรียน  แสดงถึงการให้เกียรติ  “ คุณเชื่อว่าผมไม่ได้เป็นคนทำหรอ”  เขาถามอย่างตื่นเต้น  พริมพยักหน้า
      “ ค่ะ  เราเชื่ออย่างนั้น  เราอยากช่วยพี่ให้ออกไปจากที่นี่นะคะ”  พริมพูดพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าดีใจของชายตรงหน้า  “ เพียงแต่เราคงทำไม่ได้ถ้าฆาตกรตัวจริงยังลอยนวลอยู่  เราต้องการความช่วยเหลือค่ะ”  พริมรีบพูด  อารียาไม่คิดจะแทรกเพราะเธอรู้ว่าพริมมีความสามารถในการพูดชักจูงใจคนได้ดีกว่าเธอ 
      “ ช่วยอะไรครับ  ผมยอมทำทุกอย่าง บุกน้ำลุยไฟ  สาบานที่ไหนก็ได้  ให้ทำงานชดใช้ตลอดชีวิตผมก็ยินดี”  เขาพูดด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
      “ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ  เพียงแค่ช่วยเล่าเรื่องราวให้เราฟัง และตอบคำถามเรา 2 คน  แค่นั้นก็พอค่ะ”  พริมพูด
      “ ได้สิครับ  ถ้ามันจะช่วยได้  ผมยินดีครับ”  ชายตรงหน้าพริมดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด  พริมหันมายิ้มกับอารียา  อารียาพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงบอกให้เธอรุกถามต่อได้
      “ พี่ชื่ออะไรคะ”  พริมถาม
      “ ทิมครับ”  พี่บริกรตอบ
      “ ถ้าอย่างนั้นหนูขอเรียกว่าพี่ทิมนะคะ  สิ่งแรกที่หนูจะขอให้พี่ทิมช่วยก็คือ  ช่วยเล่ารายละเอียดในสิ่งที่พี่ทิมรู้ทั้งหมดให้พวกหนูฟังด้วยค่ะ”  พริมเริ่ม  ทิมทำท่าลังเลนิดหน่อย  เหมือนพยายามเรียกความทรงจำในหัวกลับมา
      “ เอาจริงๆ  จะเรียกว่าผมไม่รู้อะไรเลยก็ได้  คืนนั้น ผมก็นอนอยู่ที่ห้องทั้งคืน  ปกติห้องนอนพวกผมจะนอนกัน 2 คน  แต่ไอ้ชัยเพื่อนร่วมห้องผมมันกลับบ้านต่างจังหวัด  ผมจึงอยู่คนเดียว  ตื่นเช้ามาก็พอจะรู้ว่าคุณนักเรียนคนหนึ่งถูกฆ่าตายบนตึกนอน ไม่นึกว่าจะเป็นผมที่ฆ่า  คือหมายความว่าผมไม่รู้ว่าผมไปฆ่าเขาตอนไหน”  ทิมพูดอย่างร้อนรน  “  วันนั้นผมก็ทำงานในครัวปกติ  พอตอนสายๆอาจารย์หลายคนก็มาพร้อมตำรวจ กล่าวหาว่าผมเป็นคนทำ  ผมเปล่า  ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย”  ทิมพูดเริ่มมีน้ำตาซึม  เขาเอาหัวพิงลูกกรง  “ คุณต้องช่วยผม”  พริมมองสีหน้าชายตรงหน้า  ไม่มีวี่แววของการโกหกแฝงอยู่แต่อย่างใด 
      “ เขาเอาหลักฐานให้พี่ทิมดูใช่มั้ยคะ พี่ทิมเคยเห็นมันหรือเปล่า”  พริมถาม  พยายามทำเสียงให้เป็นกันเองที่สุด
      “ ครับ  จะไม่ให้ผมเห็นมันได้ยังไง  ขวดนั้นเป็นขวดใส่น้ำจิ้มที่ผมต้องไปยกมาจากห้องเก็บข้างหลังทุกครั้งที่น้ำจิ้มในครัวหมด  และเส้นพลาสติกนั่น ก็เป็นของที่ใช้รัดขวดพวกนี้ไว้ด้วยกันตอนไปซื้อมาจากตลาด  เมื่อใช้หมดผมก็จะเอาขวดพวกนั้นมาล้างน้ำแกะฉลากออก  แล้วเก็บขวดไว้ใช้ใส่อะไรต่อไป  บางทีก็เอาไปขาย  แต่เส้นพลาสติกนั่น ผมมักจะทิ้งไป”  ทิมพยายามเล่าอย่างละเอียด  อารียาพยักหน้าตาม  ‘ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกที่จะมีรอยนิ้วมือเขาติดอยู่’ อารียาคิด
      “ เอ่อ  พี่คะ  ครูขอถามหน่อย  ครูรู้ว่าพี่น่ะบริสุทธิ์ แต่ทำไมเขาต้องใส่ร้ายพี่ด้วยล่ะ”  อารียาถามทิมหลังจากที่เธอเงียบมานาน
      “ ผมไม่รู้หรอกครับอาจารย์  ผมไม่เคยมีศัตรูที่ไหน แม่ผมเองก็เป็นแม่ครัวที่นี่ตั้งแต่ก่อนผมเกิดด้วยซ้ำ  ท่านรับประกันได้  ตั้งแต่ผมทำงานที่โรงเรียนมาก็ไม่เคยมีเรื่องกับใคร”  ทิมพูดน้ำเสียงยังคงร้อนรนอยู่เช่นเดิม
      “ แล้ว...พี่ทิมคิดว่าใครเป็นคนทำ แล้วโยนความผิดให้พี่ล่ะคะ”  พริมถามอย่างระมัดระวัง  ทิมยังไม่ทันได้ตอบ เสียงตำรวจที่เดินมาอยู่ข้างหลังก็ดังขึ้น
      “ ขอโทษนะครับคุณ  ผมว่าหมดเวลาแล้วล่ะครับ” ตำรวจพูด  อารียายกนาฬิกาขึ้นมาดู  บ่ายสองห้านาที  ‘ ตายล่ะสิ’ อารียาพยักหน้ารับกับตำรวจก่อนหันไปบอกลาทิม
      “  พี่คะ  เดี๋ยวครูต้องกลับแล้ว  วันหลังครูจะมาเยี่ยมใหม่ พี่อย่าเพิ่งคิดมากนะคะครูจะหาทางช่วย”  อารียาพูดขณะลุกขึ้นยืนโดยมีพริมลุกตาม
      “ ครู  ครูต้องช่วยผมนะ  ครูสัญญานะ”  ทิมเอามือเกาะลูกกรง  สีหน้าน่าสงสารอย่างมาก
      “ ไม่ต้องห่วงค่ะ”  อารียาพยักหน้ายิ้ม ก่อนพาพริมเดินหันหลังไป
      “ คุณนักเรียนครับ...”  เสียงทิมตะโกนตามไล่หลัง  พริมหันหลังมามอง  “ ที่คุณถามค้างไว้ ผมว่ามันคือเก้าเจ็ดครับ  เก้าเจ็ด”  เสียงตะโกนของทิมสะกิดใจพริมเข้าอย่างจัง  เธอพยายามจะกลับไปถามว่า ‘ เก้าเจ็ด’ หมายถึงอะไรแต่ก็โดนตำรวจขวางไว้  อารียาลากพริมมาเรียกแท็กซี่หน้าโรงพัก
      “ อาจารย์คะ  อาจารย์ไม่ได้ยินหรอว่าเขา...”
      “ ได้ยินสิ ฉันไม่ได้หูหนวกนะ”  อารียาขัดก่อนที่พริมจะทันพูดจบ  “ แต่เราต้องค่อยเป็นค่อยไป  ที่สำคัญตอนนี้คือรีบกลับไปให้ทันก่อนจะถูกทำโทษให้อยู่แต่ในโรงเรียนตลอดเดือน” 
      อารียาพูดพร้อมยื่นมือไปโบกแท็กซี่  ถึงแม้พริมจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก  แต่ก็ต้องยอมรับและเดินขึ้นรถแท็กซี่ไปแต่โดยดี
      “ พี่คะ  ไปศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  ด่วนที่สุดค่ะ”  อารียาบอกคนขับรถที่พยักหน้ารับคำสั่ง
      ขากลับรถไม่เยอะเหมือนตอนมาทำให้ใช้เวลาไม่นานเท่าตอนแรกทั้ง 2 ก็กลับมาถึง  พริมและอารียารีบวิ่งเข้ามาในงาน  โชคดีที่มีคนเยอะทำให้ทั้ง 2 ปะปนเข้าไปในฝูงคนได้อย่างง่ายดาย
      “ อาจารย์ครับ!  อาจารย์ครับ!”  เสียงประสิทธิตะโกนเรียกฝ่าฝูงคนเดินตรงมาหา  “ ผมหาอาจารย์แทบตาย  คนเยอะจริงๆครับ แล้วนี่ไม่มีของอะไรเลยหรอครับ”  ประสิทธิถามเมื่อเห็นมือที่ว่างเปล่าของทั้ง 2 คน
      “ ไม่ได้อยากมาซื้ออะไรนี่คะ  แค่มาดูงานการศึกษา  ครูว่านี่ได้เวลากลับโรงเรียนแล้วล่ะค่ะ  ไปพริม  กลับโรงเรียนกัน”  อารียาหันมาพูดกับพริมที่ยังเคืองอยู่เล็กน้อย  แล้วทั้ง 3 ก็เดินกลับไปที่รถ
      “ ได้อะไรน่าสนใจมาบ้างมั้ยครับ”  ประสิทธิถามเมื่อเห็นบรรยากาศเงียบเชียบในรถ
      “ ก็นิดหน่อย”  อารียาตอบ
      “ เกือบจะได้ค่ะ”  พริมพูดบ้าง  อารียาหันมองหน้าพริม  ก่อนมองออกไปนอกหน้าต่าง  เมื่อประสิทธิเห็นว่ามันไม่ได้ช่วยเท่าไร  จึงชวนคุยต่อ
      “ พูดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อวันพฤหัสก็ใจหาย  ผมล่ะไม่อยากเชื่อเลยว่าไอ้ทิมมันจะเป็นคนทำ”   คราวนี้คำพูดของเขาได้ผลเกินคาด เพราะผู้โดยสารทั้ง 2 คนพร้อมใจกันหันกลับมาถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
      “ พี่ประสิทธิรู้จักทิมเขาด้วยหรอคะ”  อารียาถาม  ประสิทธิพยักหน้ารับ
      “ ครับ  รู้จักค่อนข้างสนิท  ไอ้ทิมมันเป็นคนจิตใจดีจะตาย ถ้าตำรวจไม่มีหลักฐานแน่นหนาขนาดนั้น  ผมก็คงไม่เชื่อเด็ดขาด”  ประสิทธิพูด
      “ พี่ทิมเขาเป็นคนดี  ทุกคนชอบเขากันหมดเลยหรอคะ”  พริมถามบ้าง
      “ ก็ส่วนใหญ่ครับ   แต่มีคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบมันเท่าไร  คอยหาเรื่องอยู่เรื่อย  แต่มันก็ไม่ได้ตอบโต้เท่าไรหรอก  มักจะเลี่ยงๆ เลยยังไม่เคยทะเลาะกัน”  ประสิทธิอธิบาย
      “ แล้ว...”  พริมถามต่อ  “  พี่เขาคือใครคะ  แล้วหนูจะไปหาเขาได้ที่ไหนคะ”
      “ อ๋อ ง่ายๆครับ  มันพักอยู่ที่ตึกบริกรห้องถัดจากของไอ้ทิมไป 2 ห้อง  ห้องเบอร์เก้าเจ็ดน่ะครับ”  ประสิทธิพูด  ความตกใจพุ่งปรี๊ดเข้าสู่สมองของผู้โดยสารทั้ง 2 คนของเขา


      “ ไม่อยู่หรอคะ”  พริมอุทานด้วยความแปลกใจ หลังจากได้ยินคำตอบจากป้าแม่ครัวว่าคนที่พักอยู่ห้องเก้าเจ็ดไม่อยู่โรงเรียน
      “ ค่ะ คุณนักเรียน  มันกลับบ้านต่างจังหวัดไปงานศพป้ามันตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วค่ะ”  ป้าแม่ครัวตอบ
      “ ทั้ง 2 คนเลยหรอคะ เห็นบอกว่าหนึ่งห้องจะนอนกัน 2 คน ”  พริมถาม
      “ เปล่าหรอกค่ะ  เผอิญห้องนั้นมีพักอยู่แค่คนเดียว”  ป้าแม่ครัวตอบ
      “ เอ่อ... ขอโทษนะคะ  ถ้าหนูพูดอะไรไม่เข้าหู  คือหนูอยากจะถามว่า  ป้าเป็น...แม่ของพี่ทิมใช่ไหมคะ”  พริมถามพร้อมสังเกตสีหน้าของหญิงวัยกลางคนตรงหน้า
      “ อ๋อ  ไม่ใช่ค่ะ  แม่ไอ้ทิมเขาไม่ได้มาทำงานก็ตั้งแต่วันนั้นแหละค่ะ  เขาทำใจไม่ได้  ป้าเองก็ยังไม่อยากเชื่อเลย ไอ้ทิมมันเป็นเด็กดีนะคุณ”  ป้าแม่ครัวพูดสีหน้าเศร้าหมอง
      “ หนูขอถามอีกอย่างนะคะ  พี่ทิมเขารู้หรือเปล่าคะว่าพี่ห้องเก้าเจ็ด เขาไปต่างจังหวัดตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว”  พริมพูด  ป้าแม่ครัวทำท่าคิดก่อนตอบ
      “ ป้าคิดว่าไม่รู้นะคะเพราะไอ้ทิมเองก็ไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัดตั้งแต่ตอนปิดเทอม  เพิ่งกลับมา ได้ 2-3 วัน และปกติไอ้ทิมมันไม่ยุ่งกับไอ้นั่นอยู่แล้ว  ป้าว่าคงไม่รู้  ไม่อยากเชื่อเลย  อยู่โรงเรียนได้ไม่กี่คืนก็ต้องไปนอนในคุกซะแล้ว”  ป้าแม่ครัวตอบพร้อมทำท่าปลงตกอย่างเห็นได้ชัด
      พริมเดินจากมาด้วยความเซ็ง  เธอไม่ได้อะไรคืบหน้ามาเลย  ที่พอจะรู้ก็มีแค่ว่าทิมไม่ใช่ฆาตกรและคนที่ทิมหมายถึงก็ไม่ใช่  เลขเก้าเจ็ดของทิมกับโนแค่บังเอิญเหมือนกันเท่านั้น ‘ ถ้าอย่างนั้น  โน  แกพยายามจะบอกอะไรวะ’  พริมคิดด้วยความหงุดหงิดใจ
      อารียาเดินกลับจากห้องของอาจารย์จัณฑิตา  เธอถูกเรียกให้ไปรายงานตัว  พร้อมให้เล่าในสิ่งที่ได้ไปดูมา  ก็จะให้เธอเล่าอะไรได้ในเมื่อเธอไม่ได้ชายตามองอะไรในงานเลยด้วยซ้ำ  ‘ อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่เราโกหกเก่ง’  เธอคิดในใจ 
      เมื่อเธอเข้ามาในห้องพักครู ก็ต้องขนลุกซู่กับแอร์ที่เปิดซะหนาวสั่น  ในขณะที่ห้องไม่มีคนอยู่ด้วยซ้ำ  ‘ โรงเรียนรวยช่วยไม่ได้เลยนะเนี่ย’  เธอคิดบ่นพร้อมเดินไปหยิบเสื้อคลุมกันหนาวตัวโปรดที่วางพาดเก้าอี้ไว้อยู่มาใส่แล้วนั่งลงคิด ‘ ไม่ได้เรื่องเลย  พี่บริกรที่อยู่ห้องเก้าเจ็ดไม่ได้มาทำงานตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว  อาจารย์จัณฑิตาเป็นคนบอกเองก็คงเชื่อถือได้  เลขเก้าเจ็ดมันแค่บังเอิญเท่านั้น’ ยิ่งคิดก็ยิ่งหนาว  เธอลุกขึ้นเอามือซุกกระเป๋าและจะเดินไปปิดแอร์  ทันใดนั้น มือของเธอก็ไปแตะกับกระดาษอะไรบางอย่างในกระเป๋าเสื้อ  เธอหยิบมันขึ้นมาคลี่ดู
      “ ตายจริง  ลืมไปได้ไงเนี่ย”  อารียาจ้องแผ่นกระดาษที่ครั้งหนึ่งเธอเคยทุ่มเทกับมัน  แต่ตอนนี้เธอเกือบลืมไปแล้ว  รูปหน้าของพิมพ์ผกานักเรียนม.6 เด่นหราอยู่บนนั้นพร้อมข้อความการสรุปคดีของตำรวจที่ว่าเธอหนีตามผู้ชายไป  ทันใดนั้น อารียาก็ฉุกคิดขึ้นได้  เธอเดินไปปิดแอร์และคว้ากระเป๋าถือออกไปจากห้องทันที
      “ อ้าว! อาจารย์สรัญญาสวัสดีค่ะ  แหม มาเยี่ยมทุกวันเลย  อันที่จริงปุ๋ยมันก็เกือบจะหายดีแล้วล่ะค่ะ  แค่โทรมาถามก็ได้”  แม่ของปุ๋ยที่กำลังจะเดินลงไปข้างล่างแล้วเจอเข้ากับอารียาที่ทางเดินพูดขึ้น
      “ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ วันอาทิตย์ว่างๆ  แล้วนี่ตำรวจมาสอบปากคำบ้างหรือเปล่าคะ”  อารียาถามแม่ของปุ๋ย
      “  ก็มาค่ะ  แต่แย่หน่อยปุ๋ยเขาจำอะไรไม่ได้เลย  เขาบอกแค่ว่าเขาเดินอยู่ดีๆก็โดนทุบ  ไม่รู้ตัวไปซะก่อน”  แม่ของปุ๋ยพูดพร้อมขอตัวไปก่อนเพราะต้องรีบไปธุระต่อ  “ ถ้ายังไงฝากอาจารย์ดูปุ๋ยมันสักพักนะคะ แล้วฉันจะรีบกลับมาค่ะ”  แม่ของปุ๋ยยิ้มให้อารียา  เธอยิ้มรับและรับปากว่าจะอยู่ดูให้
      อารียาเดินเข้ามาในห้อง  ทีวีเปิดอยู่ แต่ปุ๋ยหลับ
      “ พีรดา  เธอจะไม่ตื่นมาคุยกับครูหน่อยหรอ  เธอคิดว่าครูดั้นด้นฝ่ารถติดมานี่เพื่อมาดูเธอหลับหรือไง”  อารียาพูดกับปุ๋ยที่ไม่มีวี่แววรู้สึกตัวใดๆ  “ นี่ พีรดา  ที่ครูพูดเมื่อกี๊ไม่ใช่บทที่นางเอกเขาพูดกับพระเอกเวลาจะตายนะ แค่ครูรู้ว่าเธอแกล้งหลับ  คราวที่แล้วน้ำเขาตั้งใจมาเยี่ยมเธอ  เธอก็แกล้งหลับ  มีปัญหามากนักหรือไง”  อารียาพูด คราวนี้ได้ผล  ปุ๋ยค่อยๆลืมตาใสขึ้นมาและยันตัวขึ้นนั่ง
      “ อาจารย์มีอะไรกับหนูอีกล่ะคะ  หนูเบื่อจะตอบคำถาม  ก็บอกแล้วว่าจำไม่ได้”  ปุ๋ยพูดอย่างหงุดหงิด
      “ เธอจำได้หรือไม่ ก็คงมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้  สิ่งที่ครูอยากถามไม่ใช่เรื่องนั้น  แต่เป็นเรื่องของพิมพ์ผกาเพื่อนของเธอ...”  อารียาพูดขณะลอบสังเกตสีหน้าปุ๋ย  “ ครูว่าเธอยังมีอะไรที่ไม่ได้บอกครู”
      ปุ๋ยเงยหน้าขึ้นมามองอารียา
      “ เปล่านี่คะ  หนูก็บอกเท่าที่หนูรู้  ถ้าหนูมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกอาจารย์  อาจารย์เองก็มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกหนูเหมือนกัน”  ปุ๋ยก้มหน้าลงมองผ้าห่ม  อารียาถอนหายใจ ก่อนลากเก้าอี้ไปนั่งข้างเตียง
      “ โอเค  ครูคิดว่าเรา 2 คนน่าจะเปิดอกคุยกันนะ  ครูรู้ว่าเธอเป็นคนฉลาด  ฉะนั้นครูจะเล่าเรื่องของครูให้เธอฟังก่อน”  อารียาพูด  “ ครูเป็นนักสืบ”  คำพูดนี้แม้จะทำให้ปุ๋ยแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้มากเพราะเธอเตรียมใจรับอะไรพวกนี้ไว้อยู่แล้ว
      “ ครูได้รับว่าจ้างให้มาสืบเรื่องของพิมพ์ผกาเพื่อนของเธอที่หายตัวไป  ครูคิดว่าเธอกับน้ำเป็นเพื่อนสนิทคงรู้เรื่องอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับพิม  ครูจึง...โกหกเธอ  ครูขอโทษ  จริงๆแล้วครูยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิมเขาเป็นตายร้ายดียังไง  เธอต้องช่วยครู”  อารียาพูดกับปุ๋ย  ปุ๋ยถอนหายใจพร้อมสีหน้าเศร้าๆ
      “ ขอบคุณค่ะ  ที่บอกความจริงกับหนู แต่หนูไม่ได้โกหกนะคะ แค่บอกไม่หมดเท่านั้นเอง” ปุ๋ยหยุด  ก่อนพูดต่อ  “ อย่างที่อาจารย์รู้  พิมเขามักจะตื่นมาตอนกลางดึกไปเข้าห้องน้ำเสมอ  2 คืนก่อนที่เธอจะหายตัวไป  เธอก็ลุกไปเข้าห้องน้ำเหมือนเดิม  แต่คราวนี้หนูซึ่งรู้สึกอึดอัดเรื่องที่พิมเขาเปลี่ยนไป  จึงคิดจะเดินตามไปคุยด้วย  หนูเจอพิม  พิมเขาก็ยิ้มให้หนูและเดินมาบอกว่า หนูกับน้ำเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด”
      อารียาฟังปุ๋ยพูดพร้อมคิดตาม  คำพูดแบบนี้เหมือนกำลัง ‘ สั่งเสีย’
      “ ที่น่าแปลกอีกอย่าง  เธอบอกหนูและย้ำหนูหลายครั้งว่า...”  ปุ๋ยหยุดกลืนน้ำลาย  “ อย่าไว้ใจ...อาจารย์คนไหน  เธอบอกว่า อย่า...ไว้...ใจ”  ปุ๋ยเงยหน้ามามองอารียาที่นั่งฟังอยู่ข้างเตียง  “ แต่ที่หนูกล้าไว้ใจอาจารย์ก็เพราะตอนนั้นอาจารย์เป็นครูคนเดียวที่ยังไม่ได้เข้ามา  พิมเขาคงไม่ได้หมายถึงอาจารย์”
      “ หมายความว่า  พิมเขาต้องมีอะไรสักอย่างกับอาจารย์...บางคน”  อารียาแสดงความเห็น
      “ หนูก็ไม่รู้หรอกค่ะ  ไม่อยากจะรู้”  ปุ๋ยหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง  อารียาลุกขึ้น
      “ ครูคงต้องขอกลับก่อน นี่ก็เย็นมากแล้ว เธออยู่คนเดียวได้หรือเปล่า”  อารียาถาม  ปุ๋ยพยักหน้า  เธอจึงเดินหันหลังกลับไป  อารียาเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู แล้วก็หยุดชะงัก 
      “ พีรดา  เธอมีอะไรอยากจะบอกครูอีกหรือเปล่า”  อารียาหันมาถาม  ปุ๋ยที่มองออกไปนอกหน้าต่างตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา 
      “ ไม่มี...ค่ะ”
      “ ถ้าอย่างนั้น  เธอก็อย่าคิดมากละกัน  พิมเขาอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งและครูจะพยายามหาเขาให้พบ”  อารียาพูดก่อนออกจากห้อง  ทิ้งให้ปุ๋ยอยู่พียงลำพังในห้อง
      “ หรือไม่...เธอก็อาจจะตายไปแล้วจริงๆ”  ปุ๋ยพูดพึมพำกับตัวเองในห้องอันว่างเปล่า
      อารียาเดินออกมานอกโรงพยาบาล  เธอเปิดประตูรถและเข้าไปนั่ง  เอนศรีษะพิงพวงมาลัย จมลงสู่ห้วงความคิดของตัวเอง  ‘ อาจารย์งั้นหรอ  หมายความว่าไง  เธอหมายถึงใคร?’  เธอคิด  แล้วความคิดของเธอก็ต้องถูกขัดด้วยเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น
      “ ฮัลโหล”  อารียารับสาย
      “ คุณอารียาหรอคะ  นี่ณัฐพรนะคะ  ฉันคิดว่าได้ข้อมูลอะไรบางอย่างที่คุณควรรู้”  เสียง
      ณัฐพร  เพื่อนร่วมงานของอารียาดังมาตามสาย
      “ ทำไมหรอ”  อารียาถาม
      “ ที่ฉันเคยบอกคุณว่าเด็กนักเรียนที่ชื่อนภาพรรณติดยาน่ะ  เขาไม่เพียงแค่เสพ  แต่เป็นคนขายด้วยค่ะ”  ณัฐพรพูด  อารียาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
      “ อะไรนะ  เด็กคนนี้เนี่ยนะขายยา  มันจะเป็นไปได้ยังไง  เด็กอยู่โรงเรียนประจำ  มีเวลาขายอย่างมากก็เสาร์อาทิตย์  แล้ว...”  ความสงสัยประดังเข้ามาในหัวของเธอ
      “ คือที่โรงเรียนนี้เคยมีประวัติเด็กติดยา 7-8 คน เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว  ตอนนั้นไม่สามารถจับตัวคนขายได้  แล้วเรื่องก็เงียบลงไป  การขายครั้งนี้เขาทำเป็นขบวนการค่ะ  มีคนในโรงเรียนที่คอยรับยามาแจกจ่ายให้คนในกลุ่ม  แล้วดำเนินการขายให้แก่เด็กในโรงเรียน”  ณัฐพรเล่า  อารียาเริ่มจำได้  เมื่อหลายปีก่อนเคยมีข่าวเรื่องยาเสพติดในโรงเรียนนี้  แต่มันก็เป็นเพียงมุมข่าวเล็กๆ
      “ ตำรวจพยายามจับแก็งค์นี้มานาน  มันมักจะมีการรวมตัวกันช่วงวันเสาร์-อาทิตย์  ฉันได้ลองไปถามที่บ้านเด็กที่ชื่อนภาพรรณ  แม่เด็กบอกว่าเด็กไม่เคยกลับบ้านวันเสาร์-อาทิตย์เลย และอ้างว่าอยู่โรงเรียน  ตำรวจเคยจับแก็งค์นี้ได้ถึงจะเป็นแค่พวกหางแถว  อย่างน้อยพวกมันก็ชี้มาว่าเคยเห็น
      นภาพรรณอยู่ในแก็งค์”   ณัฐพรรายงาน  อารียาไม่สงสัยในข้อมูลที่เธอได้รับ เพราะสาเหตุที่สำนักงานเธอมักจะได้ข้อมูลเด็ดๆ ก็เนื่องจากณัฐพรที่มีแฟนเป็นตำรวจใหญ่นั่นเอง
      “ ขอบใจนะ  เออนี่  ฝากอะไรหน่อยสิ...”  อารียาพูด  ณัฐพรรับฟังพร้อมจดลงไปบนสมุด
      “ เรียบร้อยค่ะ  เดี๋ยวจัดการให้  เอ่อ!  เดี๋ยวก่อนค่ะ...”  ณัฐพรรีบขัดก่อนที่อารียาจะวางสาย 
      “ มีเงินโอนเข้าบัญชีของสำนักงานมา 2 ล้าน...คุณไปปล้นใครมาหรือเปล่า”  ณัฐพรถาม
      “ เธอจะบ้าหรอ  ยี่สิบบาทฉันยังไม่กล้าขโมยเลย  เงินนั่นมีคนเขาจ้างฉันทำงานต่างหากเล่า”  อารียาตอบกลับ  ไม่คิดว่าเขาจะโอนเงินเร็วขนาดนี้ ‘ เชื่อแล้วว่ารวยจริง’ เธอคิดก่อนวางสายไป


      “ เมื่อวานอาจารย์ไปหาปุ๋ยมันมาหรอคะ”  เสียงน้ำทักอารียาแต่เช้าวันจันทร์
      “ อืมใช่  แล้วเธอรู้ได้ไง”  อารียาถามน้ำบ้าง
      “ ก็เมื่อวานแม่ปุ๋ยเขาแวะเอาขนมมาฝากหนู และเขาก็บอกว่าให้อาจารย์อยู่เป็นเพื่อนปุ๋ยอยู่  อาจารย์ไปนี่ไม่มีชวนนะคะ”  น้ำบ่น
      “ ก็แล้วทำไมเธอไม่กลับบ้านล่ะ  จะได้ให้พ่อแม่พาไป  ลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ไม่ใช่หรอ”
      อารียาพูดแซวน้ำ
      “ ก็ใช่ค่ะ  แต่ช่วง 2 เดือนนี้พ่อแม่หนูไปทำงานเมืองนอก  หนูไม่อยากอยู่คฤหาสน์คนเดียว  มันเหงา  ปุ๋ยเขาก็เลยมาอยู่เป็นเพื่อน”  น้ำพูดพร้อมทำหน้าแบบเสียไม่ได้ 
      “ แหวะ หมั่นไส้”  อารียาทำท่าตาม  “  ดีแล้วล่ะ  ถ้าอยากไปเยี่ยมปุ๋ยก็บอกครูได้  เดี๋ยวพาไป”  อารียาเสนอ  “ ว่าแต่...เธอเห็นพริมบ้างหรือเปล่า”  อารียาถามน้ำ
      “ ตอนทานข้าวเช้าก็ยังเห็นอยู่นะคะ  แต่ไม่รู้ไปไหนแล้ว”  น้ำตอบพร้อมหันมอง
      “ ถ้าเจอพริมเขาก็บอกให้มาหาครูด้วยละกัน”  อารียาพูดก่อนเดินไป  น้ำมองตาม ‘ ครูศิษย์คู่นี้นี่ดูสนิทกันจัง’  น้ำคิดก่อนเดินส่ายหัวไป
      “ อาจารย์สรัญญาคะ  เห็นว่าเรียกหนู”  พริมเดินตะโกนเสียงดังมาตอนพักเบรคขณะที่อารียากำลังนั่งคิดอะไรอยู่ตรงม้าหิน  ข้างๆพริมมีแจนกับกุเดินมาด้วย
      “ อาจารย์นี่ชอบเรียกพริมจังเลยนะคะ  พิศวาสกันอย่างนี้ลำเอียงชัดๆ”  กุพูดแบบน้อยใจ
      “ ถ้าเธอทำตัวแย่ๆเหมือนพิมพ์ผกาเขา  เธอเองก็จะโดนฉันพิศวาสเหมือนกันนั่นแหละกุสุมา”  อารียาตอบกลับ  พริมหันมามอง  สายตาเป็นเชิงถามว่า ‘ หมายความว่าไงที่ว่าทำตัวแย่ๆ’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
      “ กุ  ฉันว่าเราไปกันเหอะเดี๋ยวไปหาอาจารย์จักรพันธ์ที่ห้องพักครูไม่ทัน”  แจนฉุดแขนกุ 
      “ แล้วเจอกันชั่วโมงต่อไปนะพริม  หวังว่าคงไม่โดนจัดเอกสารอีกนะ”  แจนกระซิบข้างหูพริมพร้อมยิ้มให้ก่อนลากกุเดินไปด้วย
      “ นั่งสิ”  อารียาเชิญให้พริมนั่ง  “ ฉันมีเรื่องคืบหน้านิดหน่อย”  อารียาพูดกับพริมที่กำลังนั่งลง  เธอเล่าเรื่องที่ปุ๋ยเล่าให้ฟังเมื่อวาน รวมถึงเรื่องของโนที่ณัฐพรเล่าให้ฟังด้วย  พริมแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด
      “ แล้วอาจารย์รายงานเรื่องนี้ให้คนที่จ้างมารู้หรือยังคะว่าการหายตัวไปของพี่พิม อาจจะมีอาจารย์เข้ามาเกี่ยวข้อง”  พริมถาม
      “ ยังหรอก  ฉันว่าบอกไปก็เท่านั้น  มันยังไม่ได้อะไรที่เป็นสาระเท่าไร  ต้องรอให้ข้อมูลชัดเจนกว่านี้อีกหน่อย”  อารียาตอบ
      “ อาจารย์คิดว่า...ฆาตกรเป็นคนเดียวกันหมดทั้ง 3 คดีหรือเปล่าคะ”  พริมเปลี่ยนเรื่องจากคดีคนหายมาเป็นคดีคนตาย  “ ตอนแรกหนูว่าน่าจะคนละคนเพราะคนหลังสุดนี่ฆ่าให้เห็นจะๆ  โดยไม่อำพรางคดีเหมือน 2 อันแรก  แต่พอมารู้ทีหลังว่าพี่ทิมเป็นแพะแล้ว  มันก็ทำให้หนูเปลี่ยนใจ”  พริมพูด
      “ เธอจะบอกว่า  เธอคิดว่านี่คงเป็นคดีสุดท้ายของมันแล้วงั้นสิ  2 ครั้งแรกทำเป็นเหมือนอุบัติเหตุ แต่พอครั้งที่ 3 ก็ฆ่าตรงๆแล้วโยนความผิดให้คนอื่น  ตัวเองก็จะหนีรอดไปและคดีก็จะจบ  ใช่มั้ย”  อารียาถามพริม
      “ ค่ะ  หนูคิดว่าบางที  ป่านนี้ฆาตกรคงไปไกลแล้ว”  พริมตอบ
      “ ก็ไม่แน่หรอก  ยังสรุปไม่ได้”  อารียาพูดพร้อมสีหน้าสับสน
      “ แต่หนูว่าใช่นะคะ  คดีแรก ฆาตกรทำให้มันดูวุ่นวายโดยการวางแผนใช้เชือกใช้เอ็นอะไรซับซ้อน ทำให้เหมือนเราเป็นคนฆ่าพี่กี้  คดีที่ 2 ก็อีก มันขังคนไว้ในห้องให้ป้าบริกรที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นคนล็อคประตูขัง 2 คนนั้นแถมยังให้กิ๊กกับพี่ปิ่นที่อยู่ในห้องเป็นคนเทน้ำยาฆ่าตัวเอง  มันยืมมือคนอื่นฆ่าทั้งนั้น และดูคดีที่ 3 สิคะ  มันทุบหัวและรัดคอซึ่งๆหน้า  แถมป้ายความผิดให้พี่ทิมอีก  มันต้องการปิดบัญชีหนีชัดๆ”  พริมพูดด้วยอารมณ์  เมื่อถึงเรื่องของโน น้ำตาก็ค่อยซึมออกมา
      “ เอาน่ะ  เรายังไม่มีหลักฐานอะไร  ไม่รู้ตัวผู้ต้องสงสัยเลยด้วยซ้ำ”  อารียาพูดอย่างเซ็งๆ  พร้อมยกนาฬิกาขึ้นมาดู  “ ครูเรียกเธอมาเพื่อบอกเรื่องนี้แค่นั้นแหละ  เผื่อเธอจะมีไอเดียอะไรบ้าง  เออ  แล้วก็ลองเลียบๆเคียงๆถามเพื่อนในกลุ่มเธอดูสิ  เรื่องโนที่บอกไปน่ะ”  อารียาพูดพร้อมลุกขึ้น 
      “ เดี๋ยวครูต้องไปดูนิเทศการสอนของอาจารย์ณัศรัตน์เขา  เข้าสายไม่ดี  ไปล่ะ”  อารียาพูดพร้อมโบกมือลาเดินไป


      “ ขอบคุณนะคะอาจารย์สรัญญาที่มาช่วยนิเทศการสอนให้  ประเมินตรงๆได้เลยนะคะ  ไม่ต้องช่วยกันหรอก”  อาจารย์ณัศรัตน์เดินมาคุยกับอารียาที่นั่งอยู่หลังห้อง  พร้อมกับอาจารย์อีก 2 คนที่มานั่งนิเทศด้วย   ทุกเดือนครูแต่ละวิชาต้องไปประเมินการสอนของครูวิชาอื่น และอารียาก็ได้ประเมินให้อาจารย์ณัศรัตน์ในวิชาเลขของม.1
      “ ไม่ต้องห่วงค่ะ”  อารียาตอบกลับ
      “ แต่ขออย่าต่ำกว่า 18 เต็ม 20 นะคะ” อาจารย์ณัศรัตน์ยิ้มให้อารียาก่อนเดินไปสอนหน้าห้อง
      ‘ ไหนบอกให้เป็นกลางไง’ อารียาคิดก่อนส่ายหัว
      การสอนของอาจารย์ณัศรัตน์เป็นไปได้ด้วยดี  เธอพยายามจะเอนเตอร์เทนนักเรียนเต็มที่  จนอารียาคิดว่ามันดู ‘ ติ๊งต๊อง’ ยังไงชอบกล
      “ เอาล่ะค่ะนักเรียน  โจทย์ข้อนี้ตอบเท่าไรดีคะ  ใครตอบได้บ้างเอ่ย?  อ้า! หนูคนนั้นน่ารักมาก  ตอบอะไรดีคะ”  อาจารย์ณัศรัตน์พยายามทำเสียงให้ดูใจดีที่สุด  อารียาสังเกตสีหน้างงๆของเด็กนักเรียน  ‘ เวลาจริงไม่เป็นอย่างนี้แหงเลย’ เธอคิด
      “ ตอบผิดนะคะหนู  ไหนดูสิ มีใครตอบได้หรือเปล่า”  อาจารย์ณัศรัตน์ถามต่อ  “ ครูใบ้ให้นิดนึง  เลขอะไรเอ่ย  ที่เป็นสมาชิกลำดับสุดท้ายของเลขโดด”  อาจารย์ณัศรัตน์พยายามใบ้  คราวนี้เด็กตอบได้ทั้งห้อง
      “ เก้าค่ะ”  นักเรียนตอบเสียงดัง
      “ ถูกต้อง!”  อาจารย์ณัศรัตน์ตอบอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส  อารียาสังเกตเห็นอาจารย์ 2 คนที่นั่งประเมินอยู่ข้างๆเธอคุยกัน
      “ คิดได้ไง  สมาชิกลำดับสุดท้ายของเลขโดด”  อาจารย์ทั้ง 2 พูดก่อนปล่อยขำ  อารียาก็ยิ้มตาม
      ทันใดนั้น  เสียงนักเรียนจำนวนมากก็วิ่งกรูกันผ่านหน้าห้องเรียนไป
      “ อะไร  เกิดอะไรขึ้น”  อาจารย์ณัศรัตน์โวยวาย  เด็กนักเรียนม.3คนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาในห้องเรียน
      “ อาจารย์จักรพันธ์ตายแล้วค่ะ ”  เด็กคนนั้นตอบ  ทำเอาทั้งครูและนักเรียนในห้องสะดุ้ง
      “ ที่ไหน”  อารียารีบถามด้วยความตกใจ
      “ โบสถ์ค่ะ”  เด็กคนนั้นตอบกลับ
      เมื่ออารียาวิ่งไปถึงตึกนอน  เธอก็สังเกตเห็นฝูงนักเรียนมายืนออรอดูเหตุการณ์กันเต็มทางขึ้นสะพาน  โดยมีพี่บริกร 4-5 คน กันไว้อยู่  เธอจึงเดินเบียดเสียดฝูงนักเรียนเขาไป  พี่บริกรปล่อยให้เธอเดินไปแต่โดยดี
      “ อาจารย์คะ”  เสียงเรียกดังขึ้นข้างหลังเธอ  พริมนั่นเอง  อารียาจึงบอกให้พี่บริกรปล่อยพริมเข้ามา  พริมรีบวิ่งตามหลังอารียาไป
      เมื่อทั้ง 2 คนมาถึงโบสถ์  ก็เห็นมีตำรวจและอาจารย์อยู่หลายคนแล้ว  พริมมองไปข้างๆเห็น เด็กนักเรียน 2 คนนั่งร้องไห้อยู่
      “ แจน!  กุ!” พริมร้องเรียกด้วยความตกใจ  “ มาทำอะไรกันเนี่ย”  พริมถามขณะวิ่งเข้าไปหาเพื่อนทั้ง 2 ของเธอ
      “ พริม! ก็ที่ฉันบอกไงว่าอาจารย์จักรพันธ์เรียกกุ  พอเราไปถึงห้องพักครูก็เจอโน้ตบอกว่าให้ไปหาที่โบสถ์ และพอมาถึงก็...”  แจนพูดแล้วก็หยุดไป พริมมองไปเบื้องหน้า  ไม้กางเขนที่เคยเป็นประตูทางเข้าห้องลับของพวกเธอนั้น  มีร่างของชายคนหนึ่งนอนพิงจมกองเลือดอยู่  ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคืออาจารย์จักรพันธ์
      พริมยกมือขึ้นมาปิดปากก่อนเดินไปข้างหน้าที่อารียาเดินนำไปก่อนแล้ว
      “ โดนแทงไม่ยั้งเลยนะเนี่ย”  อารียาพูดขึ้น เมื่อรู้สึกได้ว่าพริมเดินมาอยู่ข้างหลัง  “ ศพแข็งอย่างนี้แสดงว่าคงเสียชีวิตนานแล้ว  จะว่าไป ฉันก็ยังไม่เห็นอาจารย์จักรพันธ์เลยตั้งแต่เช้า  เป็นไปได้ว่าจะโดนเมื่อคืน”  อารียาเสนอ
      “ สภาพอย่างนี้  หนูว่าเขาคงต้องแค้นอาจารย์จักรพันธ์มากๆเลยนะคะ”  พริมพูดขณะที่ยังเอามือปิดปากอยู่  “ ถ้าอาจารย์คิดว่าอาจารย์จักรพันธ์ถูกแทงตายเมื่อคืน แล้วใครเป็นคนส่งจดหมายเรียกกุล่ะคะ”  พริมถามอารียาที่กำลังมองศพ
      “ ฆาตกรคงต้องการให้มีคนมาพบศพน่ะ  เพราะกฎใหม่ที่ห้ามนักเรียนข้ามมาฝั่งนี้ คงทำให้มีคนมาพบศพยาก  แต่...ทำไมต้องเป็นกุสุมาด้วยล่ะ”  อารียาถามอย่างสงสัย
      “ หนูว่าบังเอิญมากกว่านะคะ  หรือไม่ก็เพราะกุเขามีเหตุจูงใจที่จะให้อาจารย์จักรพันธ์เรียกพบมากที่สุด  กุเขาตกสังคมบ่อยๆน่ะค่ะ”  พริมอธิบาย
      หลังจากสำรวจศพเสร็จอารียาก็เบือนหน้าหนี และเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างล่าง  ‘ ฉันช้าไปอีกแล้ว  เอาแต่เดินตามหลังมันจน สายไปอีกแล้ว ’  อารียาคิดในใจ  พริมเห็นสีหน้าไม่ดีของอารียา จึงเดินมานั่งข้างๆ
      “ อาจารย์คะ...”
      “ นี่น่ะหรอพริม  ที่เธอว่าฆาตกรหนีไปแล้ว”  อารียาถามโดยไม่หันหน้ามามอง
      “ ก็อาจจะเป็นคนละคนกันก็ได้นี่คะ”  พริมแย้ง
      “ ครูเชื่อว่าเธอมีสัญชาตญาณนักสืบนะพริม  ลองถามตัวเองดูสิ  ว่าใช่หรือเปล่า”  อารียาพูดต่อ  พริมนั่งเงียบ  แสดงว่า พริมคงรู้สึกเหมือนเธอ
      “ ก็หนูไม่รู้นี่คะ  บอกแล้วว่าหนูไม่ใช่นักสืบ  หนูเป็นแค่เด็กม.4  บางทีมันอาจจะเกินขีดจำกัดของหนูแล้วก็ได้”  พริมพูดพร้อมน้ำตาไหลแล้วเดินหันหลังออกจากโบสถ์ไปโดยมีกุกับแจนวิ่งตาม
      ‘ นี่น่ะหรอที่คุณว่าส่งมาช่วยฉัน’  อารียาคิดตำหนินายจ้างเธอในใจ  อารียาพยายามเดินตรวจสภาพรอบๆแม้ตำรวจจะบอกเธอแล้วว่าไม่พบอะไร  แต่เธอก็จะต้องลองดูด้วยตัวเอง  และก็จริงอย่างว่า  เธอไม่พบอะไรเลย
      ‘ ทำไมนะ  ทุกครั้งที่มีคนตายถึงต้องมีชื่อของอาจารย์จักรพันธ์เข้าไปเกี่ยวด้วยทุกที  ตั้งแต่นภาพรรณ รวมถึงครั้งนี้’ อารียาคิด ‘ หวังว่าอาจารย์คนที่พิมหมายถึงคงไม่ใช่อาจารย์จักรพันธ์หรอกนะ’  เธอภาวนาในใจ  ไม่ใช่ว่าอะไรหรอก  เพราะถ้าอาจารย์คนนั้นหมายถึงอาจารย์จักรพันธ์จริงๆล่ะก็...ตัวช่วยของเธอก็จะหายไปอีกหนึ่ง
      ศพของอาจารย์จักรพันธ์ถูกย้ายออก  เช้าวันนั้นก็ถูกงดการเรียนการสอนอีก  นักเรียนทุกคนถูกกักให้อยู่แต่ในห้องพักเหมือนเดิม
      “ กุ  อาจารย์จักรพันธ์เรียกเธอตอนไหนหรอ”  บิวถามกุ
      “ นั่นสิ  ถ้าอาจารย์จักรพันธ์ตายเมื่อคืนจริง  แล้ว...”  แก้วถามยังไม่ทันจบ  กุก็ขัดขึ้น
      “ ฉันไม่รู้  มีคนเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้ที่โต๊ะ  พอตอนเช้ามาเจอก็เลยว่าจะไปหาตอนพักเบรค” กุตอบหน้าซีด
      “  แล้วอาจารย์เขาเรียกเธอไปทำไม”  บิวถาม
      “ แล้วฉันจะไปรู้มั้ยล่ะ  จุดธูปถามเอาเองละกัน” กุตอบเริ่มอารมณ์เสีย
      “ ก็แล้วทำไมต้อง...”
      “ เอาน่า อย่าทะเลาะกันสิ”  แจนพูดขัดบิวที่กำลังจะเปิดศึกกับกุ  “ ฉันว่าคราวนี้โรงเรียนเราคงได้ปิดลงจริงๆ”  แจนพูดต่อหน้าเศร้า  ก่อนหันไปมองพริมที่นั่งเงียบอยู่คนเดียว
      “ พริม  เป็นอะไรหรือเปล่า”  แจนถาม  กุ บิวและแก้วหันมองตาม  พริมส่ายหัวแล้วนอนลงกับพื้น  ‘ มันใกล้จะจบแล้ว’  เธอคิด
      ช่วงบ่ายโรงเรียนปล่อยให้นักเรียนกลับมาเรียนตามปกติ  หลายคนคิดว่าคงจับตัวฆาตกรได้แล้วจึงเดินออกมาอย่างสบายใจ  หัวข้อคุยกันทั้งของครูและนักเรียนในวันนั้นจึงไม่พ้นเรื่องนี้
      อารียาเดินเข้ามานั่งในห้องพักครูตอนเย็นหลังจากสอนเสร็จ  เธอนั่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะ 
      ‘ ทำไมนะ  ฉันถึงได้ช้ากว่าเขาทุกครั้ง  แกจะฆ่าคนไปถึงไหน  ไอ้บ้าเอ๊ย!’  อารียาคิดอย่างเศร้าใจ 
      ‘ ฉันช่วยใครไม่ได้เลย’  แล้วน้ำใสๆก็ค่อยๆไหลออกมา
      “ เฮ้อ! เสียดายเด็กนักเรียนดีๆ  เห็นสมุดการบ้านเล่มนี้ก็คิดถึงนภาพรรณ”  อาจารย์ณัศรัตน์พูด  “  อาจารย์สรัญญาดูสิคะ”  อาจารย์ณัศรัตน์เดินถือสมุดการบ้านของโนมาหาอารียาที่โต๊ะ
      “ เด็กคนนี้เก่งเลขมาก  ได้คะแนนเต็มตลอดเลย  อาจารย์ดูสิคะ”  อาจารย์ณัศรัตน์พูด  อารียาเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท “ ฉันว่าอนาคตแกต้องแล่นฉิวแน่ๆ ถ้าฉันส่งแกไปคณิตศาสตร์โอลิมปิก...”
      อารียามองสมุดการบ้านของโนผ่านๆ คะแนนเลขของเธอดีจริงๆ  ‘ ลายมือก็สวยดีด้วย’ เธอคิด  แต่แล้วสายตาของเธอก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง  อารียารีบคว้าสมุดมาพินิจดู  เธอจ้องเข้าไปเหมือนจะทะลุสมุดได้  ขณะที่อาจารย์ณัศรัตน์ยังพล่ามไม่หยุด...
      “ ...หรือบางทีฉันอาจจะตามแกไปแข่งเลขที่เกาหลี  อาจารย์สรัญญาก็รู้นี่คะว่าโอลิมปิกน่ะ เขาจะไปแข่งกันที่เมืองนอก  ไม่ทราบว่ามีพละโอลิมปิกมั้ยคะ”  อาจารย์ณัศรัตน์หันมาถามอารียาที่ไม่ได้ฟังเธอเลยแม้แต่น้อย “ ทำไมคะ  ฉันตรวจอะไรผิดหรือเปล่า”  อาจารย์ณัศรัตน์ถามอารียาเมื่อเห็นเธอจ้องสมุดตาไม่กระพริบ
      ‘ แปลก’  อารียาคิดในใจ  ‘ ทำไม? มันถึง...’ อารียาคิดกับตัวเองโดยไม่สนใจอาจารย์ณัศรัตน์ที่หันกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองแล้วเมื่อรู้ว่าคู่สนทนาไม่ได้ฟังเธอเลย
      “ และก็น่าเสียดายอีก...”  แต่แล้วก็อดไม่ได้  อาจารย์ณัศรัตน์จึงพูดต่อ “ โบสถ์ของโรงเรียนเราเป็นสถานที่ที่ฉันคิดว่าสวยที่สุดแล้วนะคะ  ยิ่งไม้กางเขนสีขาวนี่เปื้อนเลือดด้วยแล้ว  ยิ่งรับไม่ได้ใหญ่”  อาจารย์ณัศรัตน์พูดกึ่งเศร้า
      ‘ ไม้กางเขนสีขาว...เปื้อนเลือดหรอ’  อารียาคิดในใจ  ‘ ไม้กางเขนหรอ  เปื้อนเลือด  เลือด!  ไม้กางเขน! ’  สะเก็ดแผลหนึ่งที่ติดอยู่ในใจเธอมานานเริ่มถูกสะกิดออก
      ‘ ไม้กางเขน!  เลือด!  ทำไมฉันโง่อย่างนี้นะ’  อารียานึกโทษตัวเองในใจ ‘ ไม่น่าล่ะ  ตอนนั้นคนๆนั้นถึงได้พูดออกมาได้  เรานี่มันโง่จริงๆ’  อารียาคิดพร้อมขาที่วิ่งไปทั่วโรงเรียน
      “ ภัทรพร!”  อารียาเรียกแจนที่กำลังเดินอยู่กับบิวและแก้ว
      “  ภัทรพร  พริมอยู่ไหน”  อารียาถามแจนอย่างร้อนรน  แจนหันไปมองบิวกับแก้ว
      “ ไม่รู้สิคะ”  แจนตอบ  อันที่จริงพริมกับกุล่วงหน้าไปโบสถ์ก่อน  ทั้ง 3 คนกำลังจะเอางานไปส่งอาจารย์แล้วตามไปทีหลัง  “ พวกหนูก็ไม่รู้เหมือนกัน  อยู่...ห้องสมุดมั้งคะ”  แจนตอบ  อารียาถามต่อ แม้จะรู้จากสีหน้าว่าแจนโกหก
      “ พวกเธอเรียกห้องลับของพวกเธอว่าอะไร”  อารียาโพล่งคำถามออกมาโดยลืมคิดไปว่าจะทำให้ 3 คนตรงหน้าตกใจขนาดไหน
      “ ห้อง...พักหรอคะ”  บิวถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ  เหมือนจะย้ำว่าตัวเองหูฝาดไป  อารียาส่ายหน้า
       “ ไม่ใช่  ฉันหมายถึงห้องลับ  ห้องลับที่โบสถ์น่ะ  เธอเรียกมันว่าอะไร”  อารียาถาม  คราวนี้ทำเอาแจน บิวและแก้วอึ้งไปตามๆกัน
      “ อาจารย์รู้ได้ไงคะ?”  แก้วถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจสุดขีด
      “ ไม่สำคัญหรอกว่าครูรู้ได้ยังไง  บอกมาก่อน  เธอเรียกมันว่าอะไร”  อารียาถามย้ำ  สีหน้าตื่นเต้นของเธอทำให้ทั้ง 3 คนตกใจเข้าไปใหญ่
      “ โบสถ์...พวกหนูเรียกมันว่า ‘ โบสถ์’ ค่ะ”  แจนตอบอึกอัก  ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของอารียาก็ดังขึ้น  เธอหยิบมันจากเอวขึ้นมา
      “ มีอะไร”  อารียาพูดทักทายปลายสายด้วยความไม่เต็มใจ
      “ สวัสดีค่ะ  ณัฐพรนะคะ  เรื่องที่คุณให้สืบ...”
      “ เดี๋ยวก่อน”  อารียาขัดขึ้น  ก่อนหันไปหาแจน บิวและแก้วที่กำลังเตรียมตัวจะวิ่งไปบอกเพื่อนอีก 2 คน “ พวกเธออย่าเพิ่งไปไหนนะ  ยืนอยู่นี่ก่อน”  อารียาสั่งก่อนหันหลังไปคุยโทรศัพท์
      “ ต่อสิ”  อารียาสั่งใส่หูโทรศัพท์
      “ ที่คุณให้ไปสืบมาน่ะค่ะ  จริงๆด้วยว่า...”  ณัฐพรเล่าในสิ่งที่เธอสืบได้มาให้อารียาฟัง  อารียาพยักหน้าตามเป็นพักๆ
      “ หมายความว่า....เป็นไปได้หรอเนี่ย”  อารียาพูดพร้อมสีหน้าตกใจ ‘ จริงๆด้วย  คนๆนั้นมีอยู่จริงและตอนนี้ก็อยู่ที่นี่’ อารียาคิด  แจนพยายามจะเงี่ยหูฟังการสนทนาแต่อารียาก็กดวางสายไปซะก่อน
      “ พวกเธอเล่าให้ฉันฟังสิว่า...”  อารียาหันไปถามอีก 3 คนข้างหลังที่สะดุ้งไม่ทันตั้งตัว
      “ เรื่องแบบนั้นหรอคะ”  แจนพูดพร้อมทำท่าคิด  “ ก็มีนะคะ  อย่างตอนที่...”  แจนเล่าในสิ่งที่อารียาอยากรู้ให้ฟัง  อารียายืนฟังอย่างตั้งใจ  ข้อสันนิษฐานของเธอเริ่มถูกเติมเต็มในทุกคำที่แจนพูดออกมา 
      “ ว่าแต่อาจารย์ถามทำไมหรอคะ”  แก้วถาม
      “ ขอบใจนะ  เออ  ว่าแต่ตอนนี้พริมอยู่ที่ ‘โบสถ์’ ใช่มั้ย”  อารียาถามต่อ โดยไม่สนใจจะตอบคำถามของแก้ว
      “ ค่ะ”  บิวตอบเมื่อไม่รู้ว่าจะโกหกไปอีกทำไม  “  อยู่กับกุที่โบสถ์ค่ะ”
      “ กับกุสุมาหรอ!  พริมอยู่กับกุสุมาหรอ!”  อารียาพูดด้วยความตกใจ  เธอรีบวิ่งหันหลังกลับไป หารู้ไม่ว่านักเรียนที่เธอทิ้งไว้ข้างหลังนั้นตกใจยิ่งกว่า  ‘ ฉันจะไม่เดินตามหลังอีกแล้ว’ อารียาคิดพร้อมเท้าที่วิ่งสุดชีวิต


      อารียารีบวิ่งข้ามสะพานไปที่โบสถ์  เธอไม่เห็นวี่แววของทั้ง 2 คนจึงรู้ว่า ทั้ง 2 คงจะลงไปยังห้องลับแล้ว  อารียารีบดันไม้กางเขนบนเวทีออกไปข้างๆ  ครั้งแรกที่ได้เห็นพริมลงไปตอนอาทิตย์แรกนั้น  เธอยังมีความสงสัยอยู่เต็มเปี่ยม  แต่กับคราวนี้  ความสงสัยต่างๆได้หมดไป  มีแต่ความทุกข์ใจและความตื่นเต้น  ‘ จะทันมั้ยนะ’  อารียาคิด
      เธอกึ่งปีนกึ่งกระโดดลงไปข้างล่าง  เมื่อลงมาถึง  ไฟก็เปิดอยู่แล้ว  เธอจึงไม่รีรอ  รีบวิ่งไปข้างหน้าทันที  เหงื่อหลายหยดไหลมาตามใบหน้าของเธอ  ขาวิ่งไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี หวังว่าจะไปให้ทันเวลา  เหมือนจะวิ่งให้ทันใจที่ลอยไปก่อนแล้ว
      เสียงคนคุยกันพึมพำฟังจับประเด็นไม่ได้ดังขึ้นมา  ตามด้วยเสียงกรีดร้องที่ทำให้ขาของอารียาต้องก้าวให้ยาวและไวขึ้น  ‘ ขอร้องล่ะ’  เธอได้แต่คิดภาวนาในใจ
      “ หยุดเถอะ!...”  เสียงอารียาดังขึ้นก่อนที่ตัวจะไปถึงในห้องด้วยซ้ำ  เธอวิ่งเลี้ยวเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ  เมื่อเธอมองภาพคนหนึ่งที่ชูมีดค้างขึ้นมาข้างบน  ขณะที่อีกคนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่มุมห้องก็โล่งใจ  เธอมาทันเวลาก่อนที่มีดจะปักลงไปเพียงเสี้ยววินาที
      “ พอได้แล้วล่ะ...พริม!”  อารียาพูดน้ำเสียงขาดหายเป็นช่วงๆด้วยความเหนื่อย ก่อนพูดต่อ
      “ ไม่สิ...ภีม ภัทรา น้องชายต่างบิดาของพิมพ์ผกา รัตนผดุงชัยต่างหาก”  อารียาพูด  คนที่ถือมีดค้างอยู่หันมามอง  ก่อนยิ้มให้เธอ
      “ คิดอยู่แล้วว่าวันหนึ่งอาจารย์ต้องรู้จนได้  แล้วอาจารย์รู้ได้ยังไงครับ...ว่าเป็นผม”  พริมหรือภีมพูดขึ้น  คราวนี้น้ำเสียงปกติที่อารียามักจะได้ยินหายไป  เปลี่ยนเป็นเสียงที่มีเค้าของความเป็นเด็กชาย
      “ สัญชาตญาณน่ะสิ  ครูเริ่มเอะใจตั้งแต่เห็นภาพที่พิมถ่ายคู่กับเด็กชายผมน้ำตาลทองคนนั้น  หน้าตามันมีเค้าเหมือนกันอยู่  ทำให้ประเด็นที่ว่าพิมเป็นลูกคนเดียวเริ่มสั่นคลอน  ครูลองตรวจเช็คดูจึงได้รู้ว่า  พิมเขามีน้องชายต่างพ่ออยู่อีกคนที่อเมริกา...”  อารียาอธิบาย  เธอมองไปยังกุสุมาที่นั่งขดตัวด้วยความกลัวอยู่มุมห้อง  เธอต้องถ่วงเวลา
      “ เธอเก่งนะภีม  เธอวางแผนฆ่าคนได้อย่างแนบเนียนจริงๆ  ตั้งแต่คดีแรก  เธอใช้ชื่ออาจารย์จักรพันธ์เรียกชนาทิพออกมาแล้วฉีดยาชาให้เธอ  จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นไปบนดาดฟ้า ด้วยแรงผู้ชายอย่างเธอคงไม่ยาก อย่างน้อยประเด็นที่ว่าคนทำอาจเป็นผู้หญิงก็จะถูกลบไป  เธอเองที่ปลอมตัวอยู่ก็จะรอดไปด้วยและจากนั้นก็ใช้วิธีที่ฉันคิดเอาไว้...”  อารียาพูดต่อไป “ เธอแกล้งทำเป็นเปิดประตูไม่ออกเพื่อที่อีก 2 คนจะได้มาช่วย  เมื่อประตูเปิด  เธอก็แกล้งล้มเอาตัวไปบังหลักฐานต่างๆ  ทั้งเชือกและสกอตเทปที่ผูกเอาไว้  ฉันที่รีบวิ่งลงมากับกุสุมาที่กำลังใจเสียก็จะไม่ทันสังเกตเห็น  เธอบอกภัทรพรที่ขึ้นไปถึงให้พากุสุมาไปห้องพยาบาล  และเธอ...ก็มีเวลาเก็บหลักฐานเหลือเฟือ  แต่น่าเสียดาย  เมื่อเธอพบว่าเธอลืมเก็บเศษใบมีดและด้วยความรนก็ทำให้เธอดึงเอ็นขาด  เธอจึงคิดจะขึ้นไปเก็บอีกครั้งโดยพาพยานคือลักษิกาไปด้วย  เมื่อเธอไม่พบมัน  เธอจึงจำต้องสร้างหลักฐานขึ้นมาใหม่เพื่อเบี่ยงเบนคดี”  อารียาหยุดมองหน้าภีม  “ ฉันพูดถูกหรือเปล่า”
       ภีมเงยหน้ามองผู้หญิงตรงหน้าและยิ้มให้อีกครั้ง
      “ เกือบครับ  แต่อาจารย์ลืมส่วนสำคัญไป  ผมต้องรีดความลับจากมันก่อนแล้วค่อยฉีดยาชา  ไม่อย่างนั้น ผมก็คงไม่รู้หรอกครับ ว่าต้องฆ่าใครเป็นรายต่อไป”  ภีมพูดสีหน้าราบเรียบ  อารียาหัวเราะในลำคอ ‘ กล้า  ดีจริงๆไม่ว่าจะเป็นพริมหรือภีม  ก็ยังคงกล้าเหมือนเดิม’ เธอคิด
      “ และคดีที่ 2 เธอก็ใช้ชื่ออาจารย์จักรพันธ์เรียกนภาพรรณไปหาที่ห้องเก็บอุปกรณ์  แต่ผิดคาดเพราะคนที่เข้าไปกลับเป็นคนอื่น  เธอใช้วิธีที่ฉันเคยบอกไว้ เธอเปลี่ยนน้ำมันก๊าดเป็นน้ำมันเบนซิน ก่อนเที่ยงเธอก็ไปขโมยกุญแจที่ป้าบริกรวางไว้ในห้องทำความสะอาดและตอนเย็นเมื่อเธอพบว่ากุญแจล็อคแล้ว  จึงจุดไม้ขีดไฟเผาทันที  ทั้ง 2 คดีเธอตั้งใจทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ...”
      “ ก็เพราะผมอยากให้มันได้รับรู้รสชาติของการตายแบบไม่มีใครสนใจจะสืบหาความจริงบ้าง”  ภีมสวนขึ้นมาก่อนที่อารียาจะพูดจบ “ ใช่  ผมให้แจนเป็นพยานยืนยันว่าผมอยู่ในห้องน้ำตอนไฟไหม้  ขณะที่จริงๆแล้วผมปีนออกมาทางหน้าต่างห้องน้ำไปจุดไฟและปีนกลับมาได้อย่างง่ายดาย”  ภีมสารภาพออกมา
      “ ส่วนในคดีที่ 3 เธอคงรอเวลาที่นภาพรรณจะตื่นมากลางดึกและลงมือฆ่าซึ่งๆหน้าโดยใช้ขวดและเชือกจากห้องครัวที่มีลายนิ้วมือของบริกรคนหนึ่งอยู่  เพราะนภาพรรณที่รู้ตัวและระวังตัวอย่างดีทำให้เธอวางแผนได้ยาก”  อารียาพูดพร้อมนึกถึงตอนที่ทั้ง 2 ไปคุยกับทิมที่คุก   ภีมทำให้อารียาเชื่ออย่างสนิทใจเลยทีเดียวว่าภีมจะช่วยทิมออกมา ทั้งๆที่เขาเป็นคนส่งให้ทิมไปเข้าคุกแทนแท้ๆ  อารียาพูดต่อ 
      “ ขณะที่เธอกำลังฆ่านภาพรรณ  พี่เวรก็เข้ามาพอดี เธอจึงต้องทำร้ายเขาด้วย โชคดีของเธอที่พีรดาเขาจำอะไรไม่ได้  ซึ่งครูก็ไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ  แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันยังสงสัยอยู่  ทั้งๆที่ตอนนั้นเธอรู้ว่าพีรดาจะต้องชี้ตัวเธอเป็นฆาตกรได้  แต่ทำไมเธอถึงไม่ฆ่า...”  อารียาถามด้วยความสงสัย
      “ เพราะ...พี่ปุ๋ยเป็นคนดี  เขาคือคนที่รักและหวังดีต่อพี่พิมจริงๆ รวมถึงพี่น้ำด้วย  ผมฆ่าคนแบบนี้ไม่ลง  และเมื่อได้รู้ว่าพี่ปุ๋ยไม่ยอมชี้บอกว่าผมเป็นฆาตกร  นั่นยิ่งทำให้ผมเสียใจเข้าไปใหญ่   แม้ผมจะไม่รู้เหตุผลของพี่เขาก็ตาม”  ภีมพูด  ในใจคิดถึงตอนที่ลงมือตีปุ๋ย เขาเองก็ไม่รู้ว่าปุ๋ยจะจำได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ  ปุ๋ยเห็นหน้าเขาไปเต็มๆแถมยังได้ยินตอนเขาสารภาพกับโนว่าเขาเป็นใครด้วย
      “  และครั้งสุดท้าย  เธอก็แค่เรียกอาจารย์จักรพันธ์มาแล้วแทงเข้าไปเฉยๆ  ไม่นับครั้ง”  อารียาพูด
      “ ไม่ใช่ครับ  ครั้งนี้ต่างหาก  ที่จะถือเป็นครั้งสุดท้าย”  ภีมพูดตอบ
      “ ทำไมล่ะภีม  เธอคิดว่าการที่เธอลงมาอยู่กับกุสุมาสองคนแล้วฆ่าเขาในสถานที่อย่างนี้  เพื่อนๆเธอจะไม่รู้เลยหรือไง  ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ดี”  อารียาหยุด  ก่อนพูดต่อ
      “ แผนการของเธอมันแย่ลงเรื่อยๆนะ”  อารียาเสนอ
      “ ใช่  แผนการของผมมันแย่ลงเรื่อยๆ  ขณะที่ความโกรธมันก็มากขึ้นเหมือนกัน และอันที่จริงผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าหลังจากเสร็จงานนี้  ผมจะเข้ามอบตัว คนผิดก็ต้องได้รับโทษส่วนคนชั่วที่ถูกมองข้าม  ก็ต้องได้รับกรรม   ผมได้ยินโนกับบิวคุยกันเรื่องที่พี่กี้บอกว่าตัวเองรู้เรื่องของพี่พิมดี  ผมจึงคิดจะไปหลอกถามเธอ แต่เมื่อผมวิ่งตามเธอไปกลับได้ยินเธอคุยกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งตอนนั้นผมไม่เห็นหน้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ...”
      “ แก็งค์ค้ายา”  อารียาพูดแทรก  “ ฉันพอจะรู้ว่าในโรงเรียนนี้มีแก็งค์ค้ายาอยู่  ถ้าฉันเดาไม่ผิด  สมาชิกก็คงมี ชนาทิพ  นภาพรรณ  กุสุมา...” เมื่อพูดถึงตรงนี้  อารียาสังเกตเห็นกุที่นั่งอยู่มุมห้องสะดุ้ง
      “ และอาจารย์จักรพันธ์ที่เป็นหัวหน้า  ส่วนพิม...ก็คงไปรู้อะไรบางอย่างเข้า”  อารียาพูด  สายตาจับจ้องไปที่เด็กชายตรงหน้า
      “ มันฆ่าพี่พิม  ใช่  พี่พิมบังเอิญไปรู้เรื่องขบวนการนรกนี่เข้า  มันพยายามชวนเธอเข้ากลุ่ม  แต่เธอปฏิเสธ  พี่สาวที่แสนดีและน่ารักขนาดนั้น  ไม่มีวันทำอะไรชั่วๆได้หรอก  ก่อนตายมันก็สารภาพกันเองว่ามันเป็นคนฆ่าพี่พิม  โดยกุกับโนเป็นคนพาตัวพี่พิมมา และให้พี่กี้เป็นคนเข้าไปเก็บของของพี่พิมในห้อง  ให้ทำเหมือนเป็นการหนีตามผู้ชายไป  มันกล้าดียังไง  ทั้งฆ่าเธอและยังทำให้เธอเสื่อมเสีย  อาจารย์จะให้ผมทำใจยังไง!”  ภีมขึ้นเสียง  ช่างน่ากลัวจริงๆ
      “ แต่เธอไม่ใช่คนมีสิทธิตัดสิน...”
      “ แล้วใครล่ะ!”  ภีมตวาดกลับ  “ ใครกันที่มีสิทธิ  ตำรวจหรอ  หรือว่าพระเจ้า”  ภีมพูดเสียงดังพร้อมชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน  ก่อนเอาแขนลงแล้วทำหน้าสลด  “ ผมขอโทษ  ผมไม่ควรพูดเสียงดังใส่อาจารย์”  ภีมขอโทษอารียา  ‘ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนเลว  เพียงแค่ความโกรธมันบังตา  เขาแค่หลงผิดไปเท่านั้น  ฉันต้องช่วยเขา’  อารียาคิดในใจ
      “ ผมเรียนการแสดงที่อเมริกา  นึกว่าจะไม่มีคนจับได้แล้วเชียว  อาจารย์รู้ได้ยังไงล่ะครับ  ว่าผมไม่ใช่ผู้หญิง”  ภีมถามเสียงอ่อนลง
      “ ฉันเพิ่งเริ่มสงสัยหลังจากที่รู้ว่าพิมพ์ผกามีน้องชายได้ไม่นานและพอฉันเริ่มสงสัยพริม  ฉันก็เลยไปถามพฤติกรรมของเธอจากพวกเพื่อนๆ  นั่นยิ่งทำให้ฉันมั่นใจ  เก่งกีฬา  ไม่กล้าใส่ผ้าถุง  ไม่เคยพูดเรื่องที่ผู้หญิงเขามักจะพูดกัน  ไม่เคยมีใครเห็นตอนเธอมีประจำเดือน...”  อารียาเล่า  ภีมพยักหน้าเข้าใจ
      “ แล้วอาจารย์เริ่มสงสัยผมตอนไหนครับ”  ภีมถามต่อ
      “ ก็ตอนที่เธอพูดเรื่องก๊าซพิษในห้องเก็บอุปกรณ์เกษตร  เธอบอกว่า ‘ ฆาตกรให้กิ๊กกับปิ่นที่อยู่ในห้องเป็นคนเทน้ำยาฆ่าตัวเอง’ นั่นแหละ  ที่ทำให้ฉันฉุกคิด  ฉันจำได้ว่าฉันยังไม่ทันบอกเธอเรื่องนี้เลย  แต่เธอกลับรู้ทั้งๆที่ฉันบอกเรื่องนี้ให้นายจ้างฟังคนเดียว  นั่นทำให้ฉันคิดอยู่ 2 ประเด็น  ว่าถ้าเธอไม่เป็นฆาตกร ก็ต้องเป็นนายจ้างของฉัน”  อารียาพูด  “ และฉันก็มาแน่ใจอีกทีเมื่อแก้รหัสที่
      นภาพรรณทิ้งให้ได้  เลขเก้าเจ็ดที่เรา 2 คนคิดกันน่ะ  จริงๆแล้วมันไม่ใช่  นภาพรรณที่เก่งเลขใช้เลขเก้า ที่เป็นสมาชิกตัวสุดท้ายของเลขโดดและเลขเจ็ดที่เราคิดกันนั้นจริงๆแล้ว...มันคือรูปไม้กางเขน  ที่เป็นปากทางเข้าของ ‘ โบสถ์’ ห้องลับที่พวกเธอเรียกกัน  ฉันมาเอะใจนึกได้เมื่อเห็นสมุดจดเลขของนภาพรรณ  เธอเขียนเลขเจ็ดแบบไม่มีขีดขวางตรงกลางขณะที่เลขเจ็ดที่เราคิดกันในห้องน้ำมีขีดตัดตรงกลาง  ฉันถึงได้รู้ว่าจริงๆแล้วมันคือไม้กางเขน  นภาพรรณพยายามจะบอกว่าฆาตกรที่ฆ่าเธอก็
      คือ...สมาชิกลำดับสุดท้ายของโบสถ์”  อารียาอธิบาย  “ ซึ่งก็คือเธอ” 
      เมื่อพูดจบ  ภีมก็พยักหน้าตามอีกพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
      “ อย่างนี้นี่เอง  ผมกระวนกระวายแทบแย่เมื่อเห็นตัวเลขนั่น  ไม่นึกเลยว่าโนจะฉลาดขนาดนี้” ภีมพูดก่อนหัวเราะในลำคอ
      “ หึ  ถึงผมจะเลว  แต่อาจารย์ก็ต้องยอมรับว่าผมตาถึง  งานนี้ผมพลาดตั้งแต่เลือกจ้างคุณมาช่วยสืบแล้ว  คุณเก่งจริงๆนั่นแหละ  แค่คดีแรกคุณก็สันนิษฐานได้ถูกเกือบหมด  ทำเอาผมตกใจแทบแย่จึงต้องอาสามาเป็นผู้ช่วยเพื่อคอยเบี่ยงเบนคดี  แต่ความสามารถผมมันไม่ถึง ผมไม่ใช่นักแสดงที่ดี ขณะที่เป็นนักสืบก็ไม่ได้  ก็ผมเป็นฆาตกรนี่  คงเหมาะกับผมที่สุดแล้ว”  ภีมพูดแบบปลงๆ
      “ เธอเป็นคนดีนะภีม  ฉันรู้ว่าเธอรักพี่สาวมากขนาดไหน  แต่ถ้าเธอทำอย่างนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเขาเลย”  อารียาพยายามพูดปลอบ
      “ มันสายไปแล้วล่ะครับ  ผมไม่ใช่คนดีมือขาวสะอาดอีกต่อไปแล้ว  ฉะนั้น อาจารย์อย่าห้ามผมเลย  ไม่ว่ายังไง  ผมก็คงยอมให้อาจารย์มาขัดขวางการแก้แค้นของผมครั้งนี้ไม่ได้หรอกครับ”  ภีมพูดพร้อมขยับมีดในมือให้กำชับขึ้น  แล้วหันหลังไปหากุที่สะดุ้งร้องด้วยความตกใจ
      “ ครูไม่ได้เป็นคนขวาง  พิมต่างหาก!”  คำพูดของอารียาทำให้ภีมชะงัก  “ เธอจำแหวนนี่ได้หรือเปล่า”  อารียาชูแหวนที่เธอเพิ่งหยิบจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมา  เมื่อภีมหันหลังมามองก็ต้องตกใจ  แหวนในมือของอารียาข้างหน้าเหมือนกับของเขาไม่มีผิด
      “ อะ....อาจารย์เอามันมาจากไหน”  ภีมถามสีหน้าตกตะลึง
      “ วันนั้น  ที่เธอแอบเข้ามาที่นี่แล้วลืมเปิดทางเข้าทิ้งไว้  ทำให้ครูที่เดินตามมาได้รู้  เมื่อเธอออกไปครูจึงลองลงมา และก็พบมัน...ถูกหนังสือเล่มหนึ่งวางทับไว้อยู่ข้างๆต้นไม้นั่น”  อารียาชี้ไปที่ต้นแอปเปิลหลังห้อง  “ ภีม  ถึงเธอจะไม่ได้ใส่มันตลอดเวลาเพราะกฎของโรงเรียน  แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจะเคยสังเกตเห็นข้อความในแหวนใช่มั้ย”  อารียาถาม  ภีมที่ทำหน้างงก้มมองดูแหวนบนมือที่เขาจะหยิบมาใส่ทุกครั้งก่อนลงมือฆ่าและค่อยๆถอดมันออกมาจากนิ้ว  เขาหยิบแหวนขึ้นมามอง  ด้านในมีข้อความอยู่จริงๆ

      “ พี่พิมกับน้องภีม”

      ภีมอ่านมันในใจ  ข้อความนี้เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน  เขากำแหวนแน่นในมือข้างที่ไม่ได้ถือมีด  น้ำตาเริ่มซึมออกมา
      “ ครูว่า พิมเขาตั้งใจจะให้ครูพบมันนะตอนแรกครูก็ไม่ทันสังเกตเห็นเหมือนกัน  ภีม  พิมเขาต้องไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอก  เขาต้องไม่อยากเห็นคนสำคัญที่สุดของเขาฆ่าใครหรอกนะ  ภีม”  อารียาพูดพยายามทำเสียงให้นุ่มนวล
      “ ตั้งแต่พ่อกับแม่ตาย  เราก็เหลือกันแค่ 2 คน  ถึงจะคนละพ่อ แต่พี่พิมก็รักผมเหมือนน้องในไส้  ตอนเด็กผมเป็นคนเงียบๆไม่มีเพื่อน พี่พิมก็เป็นคนจูงมือผมไปคุยกับเด็กอื่นๆ แหวนวงนี้พี่พิมให้ไว้ตอนผมต้องไปเรียนที่อเมริกา   เป็นของสำคัญที่สุดสำหรับผม”  เมื่อพูดถึงตรงนี้  ภีมก็ปล่อยมีดในมือแล้วเปลี่ยนมาจับที่แหวน ทั้งๆที่เขาลงมาห้องนี้ก่อนตั้งหลายครั้งก็ไม่เคยพบมัน แต่อารียาที่เพิ่งลงมากลับ ได้พบมันวางอยู่อย่างนั้น เขาคิดถึงภาพความฝันที่มักจะปรากฏบ่อยๆ  เขารู้ได้ด้วยความรู้สึกว่าพิมมาหา  ตอนแรก เขาคิดว่าพิมมาขอให้แก้แค้น  แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว...ว่าพี่สาวของเขาต้องการอะไร
       “ ถ้าพี่พิมต้องการอย่างนั้น...ผมก็ยินดี”  ภีมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง  สีหน้าจริงใจของเขาทำให้อารียาเชื่อใจ
      “ ผมจะไปมอบตัวกับตำรวจ  เพียงแต่ก่อนไปผมมีเรื่องจะขอร้องอาจารย์สองข้อ”  ภีมพูด  อารียาที่สังเกตเห็นสีหน้าของเขาไม่มีความร้ายกาจแอบแฝงอยู่แม้แต่น้อย  ก็พยักหน้ารับ
      “ ได้สิ”  เธอตอบ
      “ ข้อแรก  ผมขอฝากอาจารย์ให้ไปขอโทษพี่ปุ๋ยและฝากบอกพี่น้ำด้วยว่าผมได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่เขาแล้ว  ส่วนข้อสอง...”  ภีมพูดก่อนทำหน้าเศร้าหันไปมองต้นแอปเปิลหลังห้อง  “ ผมฝากอาจารย์ช่วยจัดการเรื่องพี่พิมด้วย  ให้ร่างและวิญญาณของเธอไปสู่สุคติ” 
      อารียามองตามสายตาภีมไปอย่างเข้าใจ  เธอพยักหน้ารับ 
      “ ขอบคุณครับ”  ภีมพูดก่อนค่อยๆเดินออกไป
      แม้เหยื่อแต่ละคนจะสมควรตายขนาดไหน  หรือฆาตกรจะน่าเห็นใจขนาดไหน  ก็ไม่มีใครสามารถพ้นชะตากรรมไปได้  ใจของอารียาเองอยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วปล่อยให้เด็กชายคนนี้หนีไป  แต่เธอก็รู้ว่า  มันเป็นไปไม่ได้และที่สำคัญ...ตัวเขาเองก็คงไม่ยอมด้วย  อารียาเดินตามภีมไปอย่างเศร้าใจ  ‘ นี่เป็นครั้งแรก  ที่ฉันไม่รู้สึกดีใจกับผลงานของตัวเองเลย’ อารียาคิดก่อนเดินจากไปโดยทิ้งให้กุที่นั่งตกใจกลัวอยู่ตรงมุมห้องมานานต้องนั่งอยู่เพียงลำพัง


      ชื่อของพริมหายไปอย่างไร้ร่องรอย มีแต่ข่าวชายแปลกหน้าที่เป็นฆาตกรตัวจริงออกมายอมรับผิดพร้อมกับนักสืบสาว  ศพของพิมถูกขุดพบใต้ต้นแอปเปิลในห้องลับโดยมีอารียานำไปทำพิธีทางศาสนาให้  กุสุมาถูกคุมตัวไปสอบปากคำเรื่องขบวนการค้ายา  คำสารภาพของกุทำให้ตำรวจสามารถรวบแก็งค์ที่เหลือได้ทั้งหมด   แจน บิวและแก้วที่ได้รู้ความจริงจากอารียาแม้จะเศร้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น  แต่ก็มักจะคิดถึงเพื่อนอีก 3 คนและนับทั้ง 3 คนเป็นเพื่อนรักเสมอ ถึงกลุ่มของเธอจะลดลงแต่เธอก็ได้เพื่อนใหม่มาอีก 4 คนนั่นคือ บี มิ้ว เอ๋และโอ๊ต  ทิมถูกปล่อยตัวออกจากคุกโดยอารียาบอกว่าฆาตกรตัวจริงคือคนนอกโรงเรียน  ห้องลับที่โบสถ์นั้นก็ถูกปิดไปแต่ไอแห่งมิตรภาพก็ยังคงวนเวียนอยู่ไม่จางหาย  ในขณะที่โรงเรียนยังได้เปิดทำการสอนต่อ อาจารย์จัณฑิตาแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า  ปุ๋ยออกจากโรงพยาบาลและก็ยังคงเป็นเพื่อนรักของน้ำกับพิมอยู่เสมอ  น้ำดูตกใจมากที่ได้รู้เรื่องของพริมจากอารียาขณะที่ปุ๋ยไม่แสดงอาการใดๆ  อารียานำเงินทั้งหมดที่ได้มาไปบำเพ็ญกุศลให้พิม  ทำให้สำนักงานของเธอยังคงสภาพโทรมเช่นเดิม  ส่วนภีม....
      “ เอ้านี่  มีคนฝากมาให้”  ผู้คุมโยนหนังสือเล่มหนึ่งเข้ามาในห้องขัง  เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่อย่างหมดอะไรตายอยากหยิบมันขึ้นมาดู  มันเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ   หน้าปกสีเขียวอ่อน มีรูปเด็กสองคนจูงมือกัน และคำว่าไดอารี่สีแดงที่มุมล่างซ้าย เขาเปิดมันออกดูด้วยความสงสัย  แค่เขาเห็นลายมือก็จำได้ในทันที  มันเป็นลายมือที่เขาคุ้นเคย ลายมือที่มาพร้อมกับจดหมายที่ส่งให้เขาเวลาเหงา ลายมือที่ใช้เป็นแบบอย่างให้เขาเขียนหนังสือ  ลายมือของคนที่เขารักและยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ ‘ ไดอารี่ของพี่พิม!’
      ภีมเปิดมันอ่านด้วยความสนใจ  มือของเขาสั่นเล็กน้อย  แล้วกระดาษใบหนึ่งก็ร่วงลงมา


      “ ครูพบมันฝังอยู่กับร่างของพิม  คิดว่ามันควรจะเป็นของเธอ
               อารียา”

      ภีมเปิดมันอ่านหน้าต่อหน้า  คำต่อคำ  เขาอ่านมันทุกตัวอักษร  แต่ละคำเหมือนทำให้เขาได้อยู่ใกล้ๆพี่สาวที่เขารัก

      “… ฉันมีน้องชายคนหนึ่งอยู่ที่อเมริกา ถึงเขาจะไม่ใช่น้องแท้ๆ  แต่ฉันก็รักเขามาก  เขาเป็นน้องชายที่น่ารัก  คิดถึงเธอจังเลยภีม...”

      “ ...วันนี้มีสอบ  น่าเบื่อจัง  ไม่รู้ว่าภีมจะเป็นยังไงบ้าง  กลับบ้านเสาร์นี้ พี่ว่าพี่โทรไปคุยกับเธอดีกว่า...”

      “... เมื่อวันเสาร์โทรไปภีมไม่สบาย  เป็นห่วงเธอจัง  ต้มโจ๊กส่งไปให้กินดีมั้ยน้า...”

      “ ...ฉันได้ไปรู้เรื่องไม่ดีเข้าแล้วล่ะ  ทำไงดี  มีคนพยายามชวนฉันเข้ากลุ่มค้ายา  ไม่เอาด้วยหรอก  เฮ้อ! อยากให้ภีมอยู่ด้วยจัง ป่านนี้ไม่รู้ภีมทำอะไรอยู่ คิดถึงจัง...”

      “ ...วันนี้โดนขู่อีกแล้ว ภีมเมื่อไรเธอจะกลับมาช่วยพี่ซะที  ไว้เธอมาเมื่อไรจะให้ไปต่อยมันให้รู้กันไปเลยว่าน้องของพี่น่ะเก่งขนาดไหน...”

      “… ไม่ไหวแล้ว  ฉันว่าฉันต้องไม่รอดแน่ๆ แต่ภีมไม่ต้องห่วงนะ  พี่ดูแลตัวเองได้และพี่ก็ฝากให้เพื่อนพี่ช่วยดูแลภีมเอาไว้แล้ว  เพื่อนพี่ชื่อพี่ปุ๋ยนะ  ส่วนอีกคนก็พี่น้ำ  เอ้อ! ยังไม่ได้แนะนำภีมให้น้ำรู้จักเลย  ไม่เป็นไรอย่างน้อยปุ๋ยก็รู้แล้ว  เอาไว้วันหลังแล้วกัน...”


      ข้อความต่างๆพรั่งพรูออกมาจากหน้าหนังสือเหมือนกับน้ำตาของเขา  ทุกหน้าที่พิมเขียนต้องมีคำว่าภีมอยู่  ตลอดเวลาที่ผ่านมา พิมใช้ไดอารี่เล่มนี้เป็นตัวแทนของน้องชาย  เธอจดเล่าเรื่องราวต่างๆเหมือนรู้ว่าวันหนึ่ง น้องชายของเธอจะได้รับรู้สิ่งเหล่านั้น  นั่นทำให้หัวใจภีมรู้สึกเจ็บ เขาได้แต่อยู่อย่างสบาย คอยอ้อนพี่สาวให้ทำอะไรต่างๆให้ โดยไม่รู้เลยว่าพี่สาวของเขากำลังเจอกับอะไรบ้าง  เขาไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้เลย  ภาพของพิมลอยวนเวียนอยู่ตรงหน้า  มือของภีมที่เปิดหน้ากระดาษไปมาสั่นระรัว  และในที่สุด  เขาก็เปิดมาถึงหน้าสุดท้าย...

       

       

       


      “...ภีม  พี่ชักไม่มั่นใจแล้วว่าจะได้เห็นหน้าเธออีกหรือเปล่า  ถ้าโอกาสนั้นมันไม่มาถึง พี่คงเสียใจน่าดู  พี่คิดถึงเธอนะภีม อยากให้เธอมาอยู่ข้างๆพี่ตอนนี้จัง  ภีมเป็นน้องชายที่พี่ภูมิใจเสมอนะรู้มั้ย  และวันหนึ่ง หากพี่ตายหรือหายตัวไป  พี่อยากให้ภีมรู้ไว้ว่าพี่สาวคนนี้จะยังรักและคอยห่วงใยเธอตลอด  ภีมไม่จำเป็นต้องตามหาหรือโกรธแค้นใครแทนพี่  พี่อยากให้ภีมอยู่ในโลกอันสวยงามของภีม  อย่าเอาตัวมาพัวพันกับสิ่งไม่ดี  มันจะนำแต่เรื่องลำบากใจมาให้  สิ่งสุดท้ายที่พี่สาวคนนี้อยากจะขอจากน้องชายที่น่ารักก็คือ  ขอให้เธอประสบแต่สิ่งดีๆ  พี่จะคอยมองความสำเร็จของเธออยู่ห่างๆ 
      อย่าทำร้ายใครนะภีม...

             รักเธอที่สุดเลย
                  พี่สาว…”

      หากน้ำตาสามารถเปลี่ยนไปเป็นสายเลือดได้  ป่านนี้น้ำใสๆบนหน้าของภีมก็คงจะเป็นสีแดง  ภีมปิดหนังสือแล้วเอามากอดแนบอก ‘ แม้สิ่งสุดท้ายที่พี่ขอ  ผมยังทำไม่ได้’  ภีมคิด  ทุกสิ่งทุกอย่างมันผิดพลาดไปหมด  แม้แต่ข้อความของพิมที่อยากจะส่งถึงน้องชาย  ยังมาช้าเกินไป ถ้าเขาได้รู้มันก่อนหน้านี้  เรื่องต่างๆก็คงจะไม่เกิดขึ้น  แต่สำหรับตอนนี้  อะไรๆมันก็...สายไปหมดแล้ว

       


         

       

       

         
        

       

       


       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×