ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : สู่สโคว์ลันด์
บทที่ 1 : สู่สโคว์ลันด์
          “เลนาร์ด ตื่นรึยัง เลนาร์ด” เสียงของผู้เป็นแม่เรียกหนุ่มน้อยวัยสิบขวบเศษให้ตื่นจากนิทรา
          “ตื่นแล้วครับ” คำตอบสั้นๆ จากเด็กหนุ่มนาม เลนาร์ด คริปตอน ผู้มีนัยน์ตาสีน้ำเงินที่แฝงไปด้วยสิ่งต่างๆมากมาย ใบหน้าขาวนวลที่รับกับผมสีหิมะนั้นดูเย็นชากับสิ่งรอบตัวอย่างคนเจนต่อโลก นี่น่ะหรือ เด็กวัยสิบขวบ ?
          “อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปกินข้าวนะ”
          “ครับ” เลนาร์ดตอบอย่างเซ็งๆ ปิดเทอมอีกแล้ว เขาต้องอยู่แต่ในบ้านอีกสองเดือนเต็ม
          ที่โต๊ะอาหาร
          “คุณแน่ใจหรือคะ” ฮิลลาร์ คริปตอน  แม่ของเลนาร์ด พูดกับสามีของเธออย่างหวั่นใจ เพราะเขาจะส่งลูกชายสุดที่รักคนเดียวของเธอไปอยู่โรงเรียนประจำ
          อันที่จริง ครอบครัวคริปตอนของพวกเขาก็ใช่ว่าจะยากจน เพียงแต่หัวหน้าครอบครัว คุณฟาธาม คริปตอน  เป็นนักธุรกิจใหญ่โต มีงานประจำต้องทำมาก จึงไม่ค่อยเข้าใจลูกเพราะไม่มีเวลาให้แก่เขา
          “แน่สิ ที่นั่นก็ดีไม่ใช่หรอ” สามีของเธอพูดโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนแอบฟังอยู่
          “แต่ เขามีกฎว่าต้องอยู่อย่างน้อยห้าปี แล้วสามปีแรกก็ห้ามเยี่ยม ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทนได้แค่ไหนน่ะสิคะ” ฮิลลาร์ถอนหายใจ เธอรักลูกชายของเธอมาก แม้ว่าเขาจะเป็น “เด็กดื้อ” อย่างที่คนอื่นๆบอกก็ตาม แต่ในความรู้สึกของผู้เป็นแม่ เธอ ก็ยังไม่อยากจากลูกน้อยวัยเพียงสิบขวบเป็นปีๆ ถึงเขาจะดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยก็เถอะ
          ด้วยความเย็นชา ยากที่จะหยั่งเข้าไปภายในจิตใจ ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าลูกของเธอไม่มีความน่ารักอย่างที่ควรจะมีในเด็กวัยนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่า ภายใต้กำแพงน้ำแข็งยังมีความอบอุ่นอยู่เสมอ
          ...
          “เฮ่อ...” เลนาร์ดถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังกลับมาอยู่ในห้องนอน แหล่งกบดานชั้นเยี่ยมของตน
         
          ‘พ่อจะส่งเราไปไหนอีกเนี่ย’
...ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
          “เลนาร์ดจ๊ะ หลับรึเปล่า แม่ขอคุยด้วยหน่อยสิจ๊ะ” แม่ของเขาพูดอย่างอ่อนโยน ต่างจากพ่อ ที่ไม่ค่อยจะพูดดีกับเขาซักเท่าไร
          “เชิญครับ” แล้วเขาก็เดินไปเปิดประตูให้แม่
          “ขอบใจจ้ะ  เอ่อ...แม่จะมาคุยกับลูกเรื่องย้ายโรงเรียนน่ะนะ คือ พ่อกับแม่คุยกันว่าจะให้ลูกย้ายโรงเรียนไปอยู่ อะ..เอ่อ สโคว์ลันด์ น่ะจ้ะ” ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างเร็วพลางก้มหน้าลงอย่างไม่กล้าสบตาลูกชาย
          “อืม...ตกลงครับ” เลนาร์ดพูดอย่างไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
          “เอ่อ หนะ...แน่ใจหรอลูกแม่ คือ มันเป็นโรงเรียน..โรงเรียนประจำนะ” ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเขาพูดจนเธอใจอ่อน ทำยังไงเธอก็ไม่มีวันยื่นข้อเสนอแบบนี้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอเป็นอันขาด
          “ครับ” คำตอบห้วนสั้นแสดงคำขาดของลูกชายทำให้คนเป็นแม่อดใจหายไม่ได้
          สัปดาห์ต่อมา
          “เลนาร์ด เตรียมของเสร็จรึยังลูก” แม่ของผู้ที่ถูกเรียกเอ่ยถามลูกของตน
          ‘วันนี้แล้วสินะ วันที่เราจะต้องย้าย...ทั้งโรงเรียน..และ..บ้าน’ เขาคิดในใจ
          “จะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” เลนาร์ดหิ้วกระเป๋าสัมภาระเบาหวิวลงมาที่หน้าบ้าน ‘คนขับรถ’ ของพ่อคอยอยู่ในรถแล้ว สำหรับเขา มีพ่อ ก็เหมือนไม่มีนั่นแหละ
          “ไปกันเถอะจ้ะเดี๋ยวจะถึงเย็น” นางฮิลลาร์เอ่ยขึ้นเมื่อเท้าของเด็กชายแตะลงบนพื้นระนาบเดียวกับที่ตนยืนอยู่ แล้วเธอก็ช่วยเขาถือของไปไว้ในรถ
          “ออกรถเลยค่ะ” เธอกล่าวสั่งคนขับรถ
          เส้นทางจากเมืองอควอเรียสที่พวกเขาอยู่ ไปจนถึงเมืองแคนเซอร์ ที่ตั้งของสโคว์ลันด์ นับว่าไกลเลยทีเดียว เพราะ จะต้องผ่านทั้ง พิซีส แอเรียส ทอว์รัส เจมิไน ซึ่งทั้ง 4 เมืองนี้ก็ไม่ใช่เมืองเล็กๆ เป็นเมืองที่ใหญ่ระดับสาม สี่ ห้า และหกตามลำดับ กว่าจะถึงแคนเซอร์ ก็เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี
          “เดี๋ยวแวะกินข้าวกับแม่ก่อนนะจ๊ะ” ...ไม่มีคำตอบ มีแต่การพยักหน้าเนิบๆ ของผู้เป็นลูก
          “เลี้ยวเข้าไปในร้านข้างหน้าเลยค่ะ”
          ...
          “สโคว์ลันด์” เลนาร์ดพึมพำเมื่อเห็นป้ายใหญ่ จารึกอักษรสีทอง  “Skolland”
          “จอดรอตรงทางเข้าแล้วกันค่ะ” นางฮิลลาร์กล่าวบอกกับคนขับรถ แล้วเธอก็จูงมือลูกชายที่ทำได้แค่เพียงเดินตาม ให้เดินเข้าไปพร้อมกับเธอ
          ...
          “ฝากลูกเรียนหนังสือค่ะ” คุณนายคริปตอนพูดกับพนักงานเคาน์เตอร์ลงทะเบียน ระหว่างกรอกใบสมัครให้เด็กชาย ที่บัดนี้ถูกกันออกไปอยู่ข้างนอก
          “เด็กมีปัญหาอะไรมั้ยคะ” นักจิตวิทยาสาวถามเพื่อเป็นข้อมูล
          “ก็...เขาค่อนข้างเย็นชากับคนอื่นน่ะค่ะ ไม่รู้จะเป็นเพราะพ่อของเขาที่ไม่ค่อยเอาใจใส่หรือเขาจะมีปัญหาเอ่อ..” เธอกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปตรงบริเวณศีรษะ “ตรง นะ..นี้”
          “เขาเอ่อ แบบว่ามีปัญหาอย่างอื่นมั้ยคะ” แพทย์สาวยังถามต่อ
          “ไม่นี่คะ แล้วอย่างนี้ ลูกของดิฉันจะต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหนคะ” นางฮิลลาร์ถาม เพื่อความแน่ใจว่าตัวเธอจะต้องอยู่ห่างจากลูกน้อยของเธอนานแค่ไหน
          “เด็กอายุสิบปี ก็ต้องอยู่ก่อนห้าปีตามระเบียบนะคะ แล้วหลังจากนั้น ถ้าเด็กอยากอยู่ต่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของแกเองที่จะต้องตัดสินใจค่ะ ส่วนระเบียบต่างๆขอได้ที่ธุรการนะคะ เชิญเลยค่ะ” เมื่อเธอออกมาก็เห็นเด็กชายนอนหลับอยู่อย่างมีความสุข
          ยามนิทราเปลือกตาปิดสนิทไร้ความกังวลใดๆ ยังไงเด็กคนนี้ก็ยังเป็นเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูน่ารัก น่าทะนุถนอม แต่เมื่อเปลือกตาบางค่อยๆขยับ ปรับสายตาให้คุ้นเคยกับแสงช้าๆ ไม่นานเด็กหนุ่มก็กลับเข้าแก๊กตามเดิม จากเด็กน้อยน่ารัก กลับกลายเป็นเด็กชายที่เยือกเย็น สีหน้าแลดูสงบ ต่างกันลิบลับก็ว่าได้
          “คุณแม่ไปติดต่อที่ธุรการได้เลยนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะพาเขาไปทดสอบเล็กๆน้อยๆ ก่อนนะคะ” พนักงานสาวสวยที่เบื้องหลังเป็นศาสตราจารย์คนเก่ง บอกกับคุณนายคริปตอนก่อนที่จะพาลูกชายของเธออกไป
          ระหว่างทางที่มีแต่ความเงียบสงัด จนทำให้รู้สึกอึดอัด ในที่สุดหญิงสาวก็เลยพูดขึ้นมาก่อน
          “เธอชื่อเลนาร์ด ใช่มั้ยจ๊ะ” ที่ต้องพูดอย่างนี้เป็นเพราะว่าเธอยังหาเรื่องคุยกับเขาไม่ได้
          “ครับ” คำตอบตามมารยาทเมื่อท่าทีของเขาดูไม่อยากตอบเท่าไร ทำให้สาวสวยเลิกล้มความคิดที่จะชวนเขาคุยไปโดยปริยาย แล้วเธอก็หยุดเดินที่หน้าประตูบานหนึ่ง เธอหมุนลูกบิดให้ประตูเปิดออก แล้วผายมือเป็นสัญลักษณ์ให้เด็กชายเข้าไปข้างใน
          ภายในห้องที่ดูแล้วน่าจะเป็นห้องทำงานมากกว่าห้องทดสอบ มีโต๊ะทำงานกับเก้าอี้เข้าชุดกัน บนโต๊ะที่ว่ากองเต็มไปด้วยเอกสาร สร้างความรกหูรกตาได้เป็นอย่างมาก แล้วเด็กหนุ่มก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อเขียนว่า ‘ศ.จ. ลาพิส ลาซูลี’ เมื่อเธอเข้ามาและปิดประตูห้องเรียบร้อย เธอก็เดินไปแถวๆโต๊ะทำงาน คว่ำป้ายชื่อเหมือนไม่อยากให้เห็น โดยหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนได้เห็นสิ่งที่เธอไม่อยากให้เห็นไปเมื่อ 3-4 วินาทีก่อน แล้วเธอก็ไปนั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ค้นหาอะไรบางอย่างในกองเอกสารมหึมานั่น
          “เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”ศาสตราจารย์สาวพูดขึ้นเมื่อพบสิ่งที่ต้องการ
          “เธอเอาข้อสอบชุดนี้ไปทำก่อนนะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวฉันจะสอบสัมภาษณ์ให้เธอเอง” เธอยื่นกระดาษสองสามแผ่นให้เลนาร์ด แล้วก้มลงไปหาของต่อ 
          สองนาทีต่อมาเมื่อเธอหาของเสร็จเธอก็ต้องตกใจ เพราะ เด็กหนุ่มนั่งทำท่าเหมือนกับจะบอกว่า ‘ข้อสอบน่ะทำเสร็จแล้วจะให้ทำอะไรอีก’
          “ถ้าทำเสร็จแล้ว เรามาเริ่มสอบสัมภาษณ์กันเลยดีกว่านะ ฉันจะถามคำถามเดียว ครั้งเดียว เข้าใจนะ” แล้วเธอก็เริ่มอ่านข้อความจากกระดาษในมือ
          “เธอคิดยังไงกับสภาพยุคปัจจุบันของเพียเรสท์  เธอคิดว่าปัญหานี้จะจัดการได้หรือไม่ อย่างไร” คำถามยาวเหยียด แต่คนฟังกลับใช้เวลาคิดเพียงสามสิบวินาทีเท่านั้น
          “ผมคิดว่าในปัจจุบัน เพียเรสท์มีหลายสิ่งที่ไม่สู้จะดีนัก ในเมืองอควอเรียสที่ผมอยู่ก็มีฐานะทางการคลังย่ำแย่ลง ส่วนการจัดการ ผมอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ไปไหนมาไหนเท่าไรน่ะครับ แต่เท่าที่ผมรู้จากการอยู่ที่บ้านก็เผยให้เห็นอีกหนึ่งสาเหตุ ของการไม่สามารถแก้ปัญหาได้ของชาวเพียเรสท์” ศาสตราจารย์สาวพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้พูดต่อ
          “ซึ่งปัญหาที่ผมได้สัมผัสนั่นก็คือ ความไม่เท่าเทียม ความไม่เป็นธรรม การไม่รับฟังของผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น การที่ผู้ใหญ่ไม่เคยรับฟังเด็กเลย ซึ่งถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ผมคิดว่าการที่จะแก้ปัญหาให้หมดไปคงยากครับ”
          เขาพูดเร็วปรื๋อ แต่ไม่ลืมที่จะก็เว้นช่วงไว้ เพื่อให้เสียงฟังดูนุ่มนวลขึ้น น้ำเสียงของเด็กน้อยฟังดูมีความมั่นใจ นัยน์ตาสีน้ำเงินบัดนี้แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น ศาสตราจารย์สาวขยับรอยยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบที่เธอได้รับจากเด็กชายวัยสิบขวบ เนื้อความยังเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ถึงแม้จะพยายามใช้ถ้อยคำที่ฟังดูไม่เป็นเด็กก็เถอะ
          ‘นี่น่ะหรือ ความจริงที่เก็บกดฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ’
          “ตามมาจ้ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากเธอตรวจข้อสอบเสร็จ
          เมื่อเลนาร์ดเดินตามเธอไปยังห้องอีกห้องหนึ่งทางด้านหลังหน้าประตูห้องติดป้ายไว้ว่า ‘ห้องทดสอบ’ เขาก็ต้องตะลึงงัน ในห้องนั้นมีอัญมณีที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไนเต็มไปหมด แต่ละก้อนก็ไม่ใช่เล็กๆ แถมยังน้ำงามอีกด้วย มีกระทั่งแร่ต่างๆ หินสีมากมาย
        “เลนาร์ด มานี่ก่อนนะจ๊ะ” เธอเรียกให้เด็กชายมายืนอยู่กลางวงล้อมของอัญมณีสี่ชนิดด้วยกัน ชนิดแรกมีสีแดงสด ชนิดที่สองเป็นหินสีเหลืองสดใส ชนิดที่สามเป็นสีเขียวแวววาว ส่วนชนิดที่สี่เป็นอัญมณีสีฟ้าใสราวสายน้ำ
          “หลับตา ตั้งสติ รวบรวมสมาธิ” หญิงสาวพูดช้าๆ และคอยสังเกตผล “ค่อยๆยื่นมือออกมาข้างหน้า” เมื่อเด็กชายตั้งหน้าตั้งตาทำตาม สักพักก็รู้สึกว่ามีวัตถุบางอย่าง ทิ้งน้ำหนักลงบนฝ่ามือ
          “เอาล่ะ ลืมตาได้” เมื่อหนุ่มน้อยลืมตาก็พบว่า บนมือของเขาได้มีอัญมณีสีแดงเพลิงวางอยู่!
          “ยินดีต้อนรับสู่สโคว์ลันด์ เธอได้อยู่บ้านรูบี้จ้ะ” ...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รู้สึกบทนี้จะรีไรท์มากกว่าบทที่แล้วหน่อยนึง เหอๆ
ก็ลองใช้ตัวหนาดูด้วยอ่า ใช้ไม่เป็น ^^\"
GegKung
          “เลนาร์ด ตื่นรึยัง เลนาร์ด” เสียงของผู้เป็นแม่เรียกหนุ่มน้อยวัยสิบขวบเศษให้ตื่นจากนิทรา
          “ตื่นแล้วครับ” คำตอบสั้นๆ จากเด็กหนุ่มนาม เลนาร์ด คริปตอน ผู้มีนัยน์ตาสีน้ำเงินที่แฝงไปด้วยสิ่งต่างๆมากมาย ใบหน้าขาวนวลที่รับกับผมสีหิมะนั้นดูเย็นชากับสิ่งรอบตัวอย่างคนเจนต่อโลก นี่น่ะหรือ เด็กวัยสิบขวบ ?
          “อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปกินข้าวนะ”
          “ครับ” เลนาร์ดตอบอย่างเซ็งๆ ปิดเทอมอีกแล้ว เขาต้องอยู่แต่ในบ้านอีกสองเดือนเต็ม
          ที่โต๊ะอาหาร
          “คุณแน่ใจหรือคะ” ฮิลลาร์ คริปตอน  แม่ของเลนาร์ด พูดกับสามีของเธออย่างหวั่นใจ เพราะเขาจะส่งลูกชายสุดที่รักคนเดียวของเธอไปอยู่โรงเรียนประจำ
          อันที่จริง ครอบครัวคริปตอนของพวกเขาก็ใช่ว่าจะยากจน เพียงแต่หัวหน้าครอบครัว คุณฟาธาม คริปตอน  เป็นนักธุรกิจใหญ่โต มีงานประจำต้องทำมาก จึงไม่ค่อยเข้าใจลูกเพราะไม่มีเวลาให้แก่เขา
          “แน่สิ ที่นั่นก็ดีไม่ใช่หรอ” สามีของเธอพูดโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนแอบฟังอยู่
          “แต่ เขามีกฎว่าต้องอยู่อย่างน้อยห้าปี แล้วสามปีแรกก็ห้ามเยี่ยม ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทนได้แค่ไหนน่ะสิคะ” ฮิลลาร์ถอนหายใจ เธอรักลูกชายของเธอมาก แม้ว่าเขาจะเป็น “เด็กดื้อ” อย่างที่คนอื่นๆบอกก็ตาม แต่ในความรู้สึกของผู้เป็นแม่ เธอ ก็ยังไม่อยากจากลูกน้อยวัยเพียงสิบขวบเป็นปีๆ ถึงเขาจะดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยก็เถอะ
          ด้วยความเย็นชา ยากที่จะหยั่งเข้าไปภายในจิตใจ ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าลูกของเธอไม่มีความน่ารักอย่างที่ควรจะมีในเด็กวัยนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่า ภายใต้กำแพงน้ำแข็งยังมีความอบอุ่นอยู่เสมอ
          ...
          “เฮ่อ...” เลนาร์ดถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังกลับมาอยู่ในห้องนอน แหล่งกบดานชั้นเยี่ยมของตน
         
          ‘พ่อจะส่งเราไปไหนอีกเนี่ย’
...ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
          “เลนาร์ดจ๊ะ หลับรึเปล่า แม่ขอคุยด้วยหน่อยสิจ๊ะ” แม่ของเขาพูดอย่างอ่อนโยน ต่างจากพ่อ ที่ไม่ค่อยจะพูดดีกับเขาซักเท่าไร
          “เชิญครับ” แล้วเขาก็เดินไปเปิดประตูให้แม่
          “ขอบใจจ้ะ  เอ่อ...แม่จะมาคุยกับลูกเรื่องย้ายโรงเรียนน่ะนะ คือ พ่อกับแม่คุยกันว่าจะให้ลูกย้ายโรงเรียนไปอยู่ อะ..เอ่อ สโคว์ลันด์ น่ะจ้ะ” ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างเร็วพลางก้มหน้าลงอย่างไม่กล้าสบตาลูกชาย
          “อืม...ตกลงครับ” เลนาร์ดพูดอย่างไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
          “เอ่อ หนะ...แน่ใจหรอลูกแม่ คือ มันเป็นโรงเรียน..โรงเรียนประจำนะ” ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเขาพูดจนเธอใจอ่อน ทำยังไงเธอก็ไม่มีวันยื่นข้อเสนอแบบนี้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอเป็นอันขาด
          “ครับ” คำตอบห้วนสั้นแสดงคำขาดของลูกชายทำให้คนเป็นแม่อดใจหายไม่ได้
          สัปดาห์ต่อมา
          “เลนาร์ด เตรียมของเสร็จรึยังลูก” แม่ของผู้ที่ถูกเรียกเอ่ยถามลูกของตน
          ‘วันนี้แล้วสินะ วันที่เราจะต้องย้าย...ทั้งโรงเรียน..และ..บ้าน’ เขาคิดในใจ
          “จะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” เลนาร์ดหิ้วกระเป๋าสัมภาระเบาหวิวลงมาที่หน้าบ้าน ‘คนขับรถ’ ของพ่อคอยอยู่ในรถแล้ว สำหรับเขา มีพ่อ ก็เหมือนไม่มีนั่นแหละ
          “ไปกันเถอะจ้ะเดี๋ยวจะถึงเย็น” นางฮิลลาร์เอ่ยขึ้นเมื่อเท้าของเด็กชายแตะลงบนพื้นระนาบเดียวกับที่ตนยืนอยู่ แล้วเธอก็ช่วยเขาถือของไปไว้ในรถ
          “ออกรถเลยค่ะ” เธอกล่าวสั่งคนขับรถ
          เส้นทางจากเมืองอควอเรียสที่พวกเขาอยู่ ไปจนถึงเมืองแคนเซอร์ ที่ตั้งของสโคว์ลันด์ นับว่าไกลเลยทีเดียว เพราะ จะต้องผ่านทั้ง พิซีส แอเรียส ทอว์รัส เจมิไน ซึ่งทั้ง 4 เมืองนี้ก็ไม่ใช่เมืองเล็กๆ เป็นเมืองที่ใหญ่ระดับสาม สี่ ห้า และหกตามลำดับ กว่าจะถึงแคนเซอร์ ก็เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี
          “เดี๋ยวแวะกินข้าวกับแม่ก่อนนะจ๊ะ” ...ไม่มีคำตอบ มีแต่การพยักหน้าเนิบๆ ของผู้เป็นลูก
          “เลี้ยวเข้าไปในร้านข้างหน้าเลยค่ะ”
          ...
          “สโคว์ลันด์” เลนาร์ดพึมพำเมื่อเห็นป้ายใหญ่ จารึกอักษรสีทอง  “Skolland”
          “จอดรอตรงทางเข้าแล้วกันค่ะ” นางฮิลลาร์กล่าวบอกกับคนขับรถ แล้วเธอก็จูงมือลูกชายที่ทำได้แค่เพียงเดินตาม ให้เดินเข้าไปพร้อมกับเธอ
          ...
          “ฝากลูกเรียนหนังสือค่ะ” คุณนายคริปตอนพูดกับพนักงานเคาน์เตอร์ลงทะเบียน ระหว่างกรอกใบสมัครให้เด็กชาย ที่บัดนี้ถูกกันออกไปอยู่ข้างนอก
          “เด็กมีปัญหาอะไรมั้ยคะ” นักจิตวิทยาสาวถามเพื่อเป็นข้อมูล
          “ก็...เขาค่อนข้างเย็นชากับคนอื่นน่ะค่ะ ไม่รู้จะเป็นเพราะพ่อของเขาที่ไม่ค่อยเอาใจใส่หรือเขาจะมีปัญหาเอ่อ..” เธอกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปตรงบริเวณศีรษะ “ตรง นะ..นี้”
          “เขาเอ่อ แบบว่ามีปัญหาอย่างอื่นมั้ยคะ” แพทย์สาวยังถามต่อ
          “ไม่นี่คะ แล้วอย่างนี้ ลูกของดิฉันจะต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหนคะ” นางฮิลลาร์ถาม เพื่อความแน่ใจว่าตัวเธอจะต้องอยู่ห่างจากลูกน้อยของเธอนานแค่ไหน
          “เด็กอายุสิบปี ก็ต้องอยู่ก่อนห้าปีตามระเบียบนะคะ แล้วหลังจากนั้น ถ้าเด็กอยากอยู่ต่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของแกเองที่จะต้องตัดสินใจค่ะ ส่วนระเบียบต่างๆขอได้ที่ธุรการนะคะ เชิญเลยค่ะ” เมื่อเธอออกมาก็เห็นเด็กชายนอนหลับอยู่อย่างมีความสุข
          ยามนิทราเปลือกตาปิดสนิทไร้ความกังวลใดๆ ยังไงเด็กคนนี้ก็ยังเป็นเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูน่ารัก น่าทะนุถนอม แต่เมื่อเปลือกตาบางค่อยๆขยับ ปรับสายตาให้คุ้นเคยกับแสงช้าๆ ไม่นานเด็กหนุ่มก็กลับเข้าแก๊กตามเดิม จากเด็กน้อยน่ารัก กลับกลายเป็นเด็กชายที่เยือกเย็น สีหน้าแลดูสงบ ต่างกันลิบลับก็ว่าได้
          “คุณแม่ไปติดต่อที่ธุรการได้เลยนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะพาเขาไปทดสอบเล็กๆน้อยๆ ก่อนนะคะ” พนักงานสาวสวยที่เบื้องหลังเป็นศาสตราจารย์คนเก่ง บอกกับคุณนายคริปตอนก่อนที่จะพาลูกชายของเธออกไป
          ระหว่างทางที่มีแต่ความเงียบสงัด จนทำให้รู้สึกอึดอัด ในที่สุดหญิงสาวก็เลยพูดขึ้นมาก่อน
          “เธอชื่อเลนาร์ด ใช่มั้ยจ๊ะ” ที่ต้องพูดอย่างนี้เป็นเพราะว่าเธอยังหาเรื่องคุยกับเขาไม่ได้
          “ครับ” คำตอบตามมารยาทเมื่อท่าทีของเขาดูไม่อยากตอบเท่าไร ทำให้สาวสวยเลิกล้มความคิดที่จะชวนเขาคุยไปโดยปริยาย แล้วเธอก็หยุดเดินที่หน้าประตูบานหนึ่ง เธอหมุนลูกบิดให้ประตูเปิดออก แล้วผายมือเป็นสัญลักษณ์ให้เด็กชายเข้าไปข้างใน
          ภายในห้องที่ดูแล้วน่าจะเป็นห้องทำงานมากกว่าห้องทดสอบ มีโต๊ะทำงานกับเก้าอี้เข้าชุดกัน บนโต๊ะที่ว่ากองเต็มไปด้วยเอกสาร สร้างความรกหูรกตาได้เป็นอย่างมาก แล้วเด็กหนุ่มก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อเขียนว่า ‘ศ.จ. ลาพิส ลาซูลี’ เมื่อเธอเข้ามาและปิดประตูห้องเรียบร้อย เธอก็เดินไปแถวๆโต๊ะทำงาน คว่ำป้ายชื่อเหมือนไม่อยากให้เห็น โดยหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนได้เห็นสิ่งที่เธอไม่อยากให้เห็นไปเมื่อ 3-4 วินาทีก่อน แล้วเธอก็ไปนั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ค้นหาอะไรบางอย่างในกองเอกสารมหึมานั่น
          “เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”ศาสตราจารย์สาวพูดขึ้นเมื่อพบสิ่งที่ต้องการ
          “เธอเอาข้อสอบชุดนี้ไปทำก่อนนะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวฉันจะสอบสัมภาษณ์ให้เธอเอง” เธอยื่นกระดาษสองสามแผ่นให้เลนาร์ด แล้วก้มลงไปหาของต่อ 
          สองนาทีต่อมาเมื่อเธอหาของเสร็จเธอก็ต้องตกใจ เพราะ เด็กหนุ่มนั่งทำท่าเหมือนกับจะบอกว่า ‘ข้อสอบน่ะทำเสร็จแล้วจะให้ทำอะไรอีก’
          “ถ้าทำเสร็จแล้ว เรามาเริ่มสอบสัมภาษณ์กันเลยดีกว่านะ ฉันจะถามคำถามเดียว ครั้งเดียว เข้าใจนะ” แล้วเธอก็เริ่มอ่านข้อความจากกระดาษในมือ
          “เธอคิดยังไงกับสภาพยุคปัจจุบันของเพียเรสท์  เธอคิดว่าปัญหานี้จะจัดการได้หรือไม่ อย่างไร” คำถามยาวเหยียด แต่คนฟังกลับใช้เวลาคิดเพียงสามสิบวินาทีเท่านั้น
          “ผมคิดว่าในปัจจุบัน เพียเรสท์มีหลายสิ่งที่ไม่สู้จะดีนัก ในเมืองอควอเรียสที่ผมอยู่ก็มีฐานะทางการคลังย่ำแย่ลง ส่วนการจัดการ ผมอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ไปไหนมาไหนเท่าไรน่ะครับ แต่เท่าที่ผมรู้จากการอยู่ที่บ้านก็เผยให้เห็นอีกหนึ่งสาเหตุ ของการไม่สามารถแก้ปัญหาได้ของชาวเพียเรสท์” ศาสตราจารย์สาวพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้พูดต่อ
          “ซึ่งปัญหาที่ผมได้สัมผัสนั่นก็คือ ความไม่เท่าเทียม ความไม่เป็นธรรม การไม่รับฟังของผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น การที่ผู้ใหญ่ไม่เคยรับฟังเด็กเลย ซึ่งถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ผมคิดว่าการที่จะแก้ปัญหาให้หมดไปคงยากครับ”
          เขาพูดเร็วปรื๋อ แต่ไม่ลืมที่จะก็เว้นช่วงไว้ เพื่อให้เสียงฟังดูนุ่มนวลขึ้น น้ำเสียงของเด็กน้อยฟังดูมีความมั่นใจ นัยน์ตาสีน้ำเงินบัดนี้แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น ศาสตราจารย์สาวขยับรอยยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบที่เธอได้รับจากเด็กชายวัยสิบขวบ เนื้อความยังเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ถึงแม้จะพยายามใช้ถ้อยคำที่ฟังดูไม่เป็นเด็กก็เถอะ
          ‘นี่น่ะหรือ ความจริงที่เก็บกดฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ’
          “ตามมาจ้ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากเธอตรวจข้อสอบเสร็จ
          เมื่อเลนาร์ดเดินตามเธอไปยังห้องอีกห้องหนึ่งทางด้านหลังหน้าประตูห้องติดป้ายไว้ว่า ‘ห้องทดสอบ’ เขาก็ต้องตะลึงงัน ในห้องนั้นมีอัญมณีที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไนเต็มไปหมด แต่ละก้อนก็ไม่ใช่เล็กๆ แถมยังน้ำงามอีกด้วย มีกระทั่งแร่ต่างๆ หินสีมากมาย
        “เลนาร์ด มานี่ก่อนนะจ๊ะ” เธอเรียกให้เด็กชายมายืนอยู่กลางวงล้อมของอัญมณีสี่ชนิดด้วยกัน ชนิดแรกมีสีแดงสด ชนิดที่สองเป็นหินสีเหลืองสดใส ชนิดที่สามเป็นสีเขียวแวววาว ส่วนชนิดที่สี่เป็นอัญมณีสีฟ้าใสราวสายน้ำ
          “หลับตา ตั้งสติ รวบรวมสมาธิ” หญิงสาวพูดช้าๆ และคอยสังเกตผล “ค่อยๆยื่นมือออกมาข้างหน้า” เมื่อเด็กชายตั้งหน้าตั้งตาทำตาม สักพักก็รู้สึกว่ามีวัตถุบางอย่าง ทิ้งน้ำหนักลงบนฝ่ามือ
          “เอาล่ะ ลืมตาได้” เมื่อหนุ่มน้อยลืมตาก็พบว่า บนมือของเขาได้มีอัญมณีสีแดงเพลิงวางอยู่!
          “ยินดีต้อนรับสู่สโคว์ลันด์ เธอได้อยู่บ้านรูบี้จ้ะ” ...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รู้สึกบทนี้จะรีไรท์มากกว่าบทที่แล้วหน่อยนึง เหอๆ
ก็ลองใช้ตัวหนาดูด้วยอ่า ใช้ไม่เป็น ^^\"
GegKung
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น