สิทธิมนุษยชน “สิ่งขัดขวางการปกครองรัฐ” หรือ “คุณค่าแห่งการสถาปนารัฐอันสูงส่ง”
มุมมองต่อสิทธิมนุษยชน
ผู้เข้าชมรวม
85
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
สิทธิมนุษยชน
“สิ่งขัดขวางการปกครองรัฐ” หรือ “คุณค่าแห่งการสถาปนารัฐอันสูงส่ง”
“สิทธิมนุษยชน” เป็นคำที่ผู้คนในปัจจุบันมักจะได้ยินทั้งในทางการเมืองและกฎหมาย ซึ่งหลายคนในสังคมอาจมีความเข้าใจมากน้อยเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนแตกต่างกัน อันอาจเกิดจากการเรียนรู้ในสถานศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน การใกล้ชิดกับปัญหาในสังคม ตลอดจนการคิดวิเคราะห์จากข้อมูลที่ได้รับทราบ ทำให้เกิดองค์ความรู้ที่หลากหลายของผู้คนในสังคมที่มีต่อคำว่า “สิทธิมนุษยชน” ผู้เขียนจึงพิจารณาเพื่อที่จะอธิบายถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนในกรอบปรัชญาและแนวคิดที่ส่งเสริมสนับสนุนเกี่ยวกับทฤษฎี หลักคิด ตลอดจนกรอบความคิดทางสังคมที่อาจส่งผลหรือไม่ ต่อความเป็นไปได้ในการอธิบายหลักสิทธิมนุษยชนได้
การก้าวเดินของสิทธิมนุษยชนตามความรับทราบของปุถุชนไทยโดยทั่วไป มักเข้าใจว่า สิทธิมนุษยชนสากลเริ่มพัฒนาในชาติตะวันตกก่อน โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้นนับตั้งแต่การเกิดขึ้นในอังกฤษที่ประชาชนรวมตัวกับขุนนางเรียกร้องให้พระเจ้าจอห์น กษัตริย์แห่งอังกฤษลงนามในกฎบัตร “แมคนา คาร์ตา (Magna Carta)” เพื่อควบคุมให้เกิดการปกครองที่กษัตริย์จะเรียกเก็บหรือเพิ่มอัตราค่าภาษีโดยไม่ผ่านสภาไม่ได้ หรือการลงโทษบุคคลโดยไม่ผ่านกระบวนการทางศาลมิได้ จึงถือได้ว่าเป็นเอกสารฉบับแรก ๆ ของโลกที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ต่อมาได้มีเหตุการณ์ในฝรั่งเศส เกี่ยวกับการปฏิรูปการเมืองทำให้เกิดหลักการสำคัญในการปกครองประเทศของฝรั่งเศส คือ “ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และพลเมือง (Declaration of the Rights of Man and the Citizen)” สืบเนื่องมาถึงช่วงสงครามโลกที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ในที่สุดจึงเกิดความร่วมมือระหว่างนานาชาติที่จะคุ้มครองปกป้องชีวิตมนุษย์โดยปรากฏชัดเจนในกฎบัตรสหประชาชาติ (The Charter of the United Nations) “เพื่อปกป้องคนรุ่นต่อไปจากภัยพิบัติของสงคราม และเพื่อยืนยันความศรัทธาในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ในศักดิ์ศรี และคุณค่าของมนุษย์ และในสิทธิอันเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรี” ซึ่งนี่เป็นความรู้โดยทั่ว ๆ ไปที่หาได้ตามสารานุกรมหรือเว็บไซต์ แต่ข้อความรู้นี้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ตกผลึกทางความคิดในหลักทั่วไปของสิทธิมนุษยชนอย่างสากลเท่านั้น ซึ่งผู้เขียนจะขอนำเสนอบทวิเคราะห์ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและการส่งผลกระทบถึงแนวคิดทางกฎหมาย ค่านิยมการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนการดำเนินงานของรัฐที่จะต้องดำเนินการและควรผูกพันตนต่อหลักทฤษฎีสิทธิมนุษยชน
ก่อนกล่าวถึงทฤษฎีที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ ผู้เขียนมีความประสงค์จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “ทฤษฎีสำนักกฎหมาย” เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนกล่าวถึง ทฤษฎีแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ทฤษฎีสำนักกฎหมายมีขึ้นเพื่อจำแนกความหมายของกฎหมาย ความมุ่งหมาย ความสำคัญ ตลอดจนค่าบังคับของกฎหมายโดยมีสำนักกฎหมายที่สำคัญหลัก ๆ สองสำนักคิด
๑. สำนักความคิดกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง (Positive Law School)
สำนักความคิดนี้ไม่มุ่งในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม หรือแนวคิดที่ว่ากฎหมายธรรมชาติมีอยู่จริงหรือไม่ โดยสำนักความคิดนี้ถือว่ากฎหมายของรัฐที่บังคับใช้เป็นกฎหมายมีคุณค่าบังคับ มีความแน่นอนและเคร่งครัด จึงทำให้มุมมองต่อกฎหมายของสำนักความคิดกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองนั้นมองว่า “กฎหมาย คือ คำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ซึ่งบังคับใช้กับผู้ใต้ปกครองถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตามผู้นั้นต้องรับโทษ”จากคำนิยามดังกล่าวจึงจำแนกองค์ประกอบของ “กฎหมาย” ในความคิดของสำนักความคิดกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองออกได้เป็น องค์ประกอบ ดังนี้
1) เป็นคำสั่งหรือคำบังคับ กล่าวคือ เป็นความประสงค์ของผู้มีอำนาจที่มีต่อบุคคลที่อยู่ใต้อำนาจในลักษณะบังคับให้กระทำหรือไม่กระทำ
๒) กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งรัฏฐาธิปัตย์ หมายถึง ผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐนั้นโดยไม่จำต้องพึ่งอำนาจจากผู้ใด
๓) ต้องมีผลเป็นการทั่วไป กล่าวคือ ต้องบังคับแก่ประชาชนเป็นการทั่วไปในรัฐนั้น ไม่เฉพาะเจาะจงแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
๔) ให้บุคคลปฏิบัติตาม ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามจะได้รับลงโทษ
๒. สำนักความคิดกฎหมายธรรมชาติ (Natural Law School)
สำนักกฎหมายนี้กำเนิดขึ้นมาเป็นสำนักแรกสุดของโลก โดยมีมุมมองต่อกฎหมายที่เชื่อว่า กฎหมายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ มีอยู่ก่อนแล้ว เป็นกฎหมายที่มีที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องชอบด้วยเหตุผลเสมอ บังคับแก่ทุกสิ่งได้อย่างสากล และถูกต้องเสมอไปโดยไม่จำกัดกาล “กฎหมาย” ในความคิดของสำนักความคิดกฎหมายธรรมชาติจึงมีลักษณะไม่จำกัดกาลและสถานที่ อยู่เหนือข้อกำหนดบทบัญญัติใด ๆ แห่งมนุษย์ ซึ่งหลักคิดดังกล่าวนี้มีการประกอบด้วยเหตุผลทั้งหลายอันบริบูรณ์
ในลำดับนี้เมื่อทำความเข้าใจถึงหลักคิดพื้นฐานของสำนักคิดกฎหมายแล้ว ผู้เขียนขอลงอภิปรายถึงสิทธิมนุษยชนเป็นลำดับต่อมาโดยสิทธิมนุษยชนนั้นพัฒนาในกลุ่มสำนักความคิดกฎหมายธรรมชาติ เพราะสิทธิมนุษยชนนี้เป็นสิทธิที่เชื่อว่าได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมและเป็นสากล ไม่อาจยกเลิกเพิกถอนได้
โดยผู้เขียนขอเสนอแนวคิดของผู้เขียน ดังนี้
สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า โดยขอยกข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล ความว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น” (๒ โครินธ์ ๓:๑๗.) “เพื่อเสรีภาพนั้นเองพระคริสต์จึงได้ทรงให้เราเป็นไท เพราะฉะนั้น จงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกของการเป็นทาสอีกเลย” (กาลาเทีย ๕:๑.)จากพระคัมภีร์ดังกล่าวพิจารณาได้ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้มอบเศษเสี้ยวหนึ่งแห่งวิญญาณไว้แก่มนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นบุตรอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ เมื่อพระองค์สถิตเศษเสี้ยวแห่งพระวิญญาณไว้
ณ มนุษย์แล้วเสรีภาพนั้นย่อมมีแก่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามเช่นกัน พระองค์ได้มอบเสรีภาพในการกระทำการใด ๆ ของมนุษย์ ให้มนุษย์เป็นอิสระชนที่จะไม่มีทางตกลงไปเป็นสิ่งของ (ไม่ตกเป็นทาส) เสรีภาพและอิสรภาพของมนุษย์นั้นจึงเป็นสิ่งที่ได้รับมอบโดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น สิทธิมนุษยชนอันมีหลักอยู่ที่อิสระ และเสรีภาพของมนุษย์จึงเป็นสิทธิที่ได้รับมอบโดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง หรือหากอธิบายให้สอดคล้องกับสำนักความคิดกฎหมายธรรมชาติ ก็กล่าวได้ว่า สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองโดยตรงจากกฎหมายธรรมชาติ เป็นสิทธิอันหนึ่งอันเดียวที่ได้รับประทานจากพระผู้เป็นเจ้าหรือรับรองโดยกฎหมายธรรมชาตินั่นเอง (เนื่องจากมักมีกรณีผู้ถกเถียงเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนว่าหากเป็น “สิทธิ” ย่อมจะต้องมีกฎหมายรับรอง หากไม่มีกฎหมายรับรองแปลว่ามนุษย์ย่อยไม่มีสิทธิมนุษยชนได้ แต่ข้อถกเถียงทางทฤษฎีนี้ย่อมจะถูกหักล้างได้จากหลักคิดที่ว่าเมื่อพระผู้เป็นเจ้าหรือกฎหมายธรรมชาตินั้นรับรองสิทธิมนุษยชนแล้ว ย่อมสอดคล้องกับหลักทฤษฎีที่ว่าสิทธิต้องรับรองโดยกฎหมายนั่นเอง)
เมื่อได้ข้อสรุปในเบื้องต้นดังนี้แล้วย่อมควรพิจารณาในลำดับต่อไปถึงคุณค่า สิทธิมนุษยชน ผู้เขียนขอยกกรณีตัวอย่างจากวรรณกรรมในอดีต โดยเหตุการณ์จากวรรณกรรม เรื่อง อานติโกเน (Antigone) โศกนาฏกรรมเรื่องนี้แสดงถึงความขัดแย้งระหว่างความเชื่อถือในจารีตประเพณีที่ตกทอดกันมาซึ่งถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติฝ่ายหนึ่ง กับคำสั่งของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า Antigone เป็นหญิงที่พี่ชายของเธอ
ไปต่อสู้แย่งชิงราชสมบัติกับลุง เมื่อลุงเป็นฝ่ายชนะได้ขึ้นครองราชย์ ก็ห้ามมิให้ผู้ใดฝังศพของพี่ชาย เธอ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ โดยปล่อยให้แร้งกากิน แต่เนื่องจากพิธีฝังศพผู้ตายเป็นสิ่งที่ชาวกรีก ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นสิ่งที่ต้องกระทำตามประเพณีเพื่อให้ผู้ตายไปสู่สุขติ Antigone จึงไม่ยอม ปฏิบัติตามคำสั่งของกษัตริย์ครีออน Creon เธอฝ่าฝืนจัดพิธีศพให้แก่พี่ชายจนเสร็จ เป็นการขัดพระราชโองการ จึงทำให้ถูกลงโทษ เมื่อพระราชาตรัสถามว่าเหตุใดจึงบังอาจขัดพระราชโองการ Antigone ได้กล่าวทูลโต้แย้งว่าการกระทำของเธอนั้นเป็นการกระทำที่ชอบธรรมดังมีใจความว่า
“ข้าพเจ้าจัดฝังศพตามกฎหมายซึ่งมิได้มีอยู่ในวันนี้ หรือวันก่อนนี้เท่านั้น แต่เป็นกฎหมาย
ที่มีมาแต่โบราณกาลและมีอยู่ชั่วนิรันดร ไม่มีใครรู้ว่ากฎเกณฑ์นี้มีมาแต่เมื่อใด และข้าพเจ้า
ก็จะไม่เกรงกลัวต่อความพิโรธโกรธาของมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น ในการที่จะยืนหยัดเชิดชู
กฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์นี้”
โศกนาฏกรรมเรื่องนี้ เป็นตัวอย่างของความขัดแย้งระหว่างคำสั่งของผู้มีอำนาจกับกฎเกณฑ์ที่ราษฎรนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์และถูกต้อง การที่ Antigone ฝ่าฝืนคำสั่งของฝ่ายบ้านเมืองที่เธอเห็นว่าไม่ถูกต้องสะท้อนให้เห็นว่าชาวกรีกนั้นเชื่อว่ากฎหมายที่แท้จริงนั้นอยู่เหนือมนุษย์ และไม่อยู่ภายใต้อำนาจของบุคคลใด ๆ ทั้งยังพร้อมที่จะเอาชีวิตของตนเองเดิมพันเข้าเสี่ยง เพื่อพิทักษ์เชิดชูกฎหมายที่เขาถือว่าชอบธรรมและศักดิ์สิทธิ์ พร้อมที่จะตายเพื่อรักษากฎหมายที่ตนเห็นว่าถูกต้อง โศกนาฏกรรมดังกล่าวนี้จึงแสดงให้เห็นความขัดแย้งระหว่างอำนาจที่มีอยู่ในบ้านเมือง กับสิ่งที่มนุษย์ถือว่าเป็นกฎหมายที่แท้จริง ซึ่งเรียกว่า The Good Old Law และมนุษย์ในยุคนั้นมีความเชื่ออย่างลึกซึ่งในสิ่งนี้ว่า มีค่าเหนือคำบัญชาของผู้มีอำนาจ[1] จะเห็นได้ว่ากรอบความคิดในวรรณกรรมโบราณของกรีกนี้แสดงให้เห็นว่ากฎหมายหรือข้อบังคับที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าที่สำนักความคิดกฎหมายธรรมชาติถือว่าเป็นกฎหมายธรรมชาติ เป็นกฎหมายอันสูงสุด ไม่อาจจะมีกฎหรือข้อบังคับของมนุษย์จะขัดหรือแย้งได้ ซึ่งในบริบทนี้ที่กฎหมายธรรมชาติรับรองสิทธิมนุษยชนไว้โดยชัดแจ้ง เนื่องจากเป็นสิทธิโดยตรงที่มนุษย์ได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้า สิทธิมนุษยชนจึงไม่อาจจะถูกระงับโดยกฎหรือข้อบังคับของมนุษย์ได้(กฎหมายธรรมชาติจึงมีลำดับศักดิ์บังคับเหนือกว่ากฎหรือคำสั่งที่ผู้มีอำนาจกำหนดในกรณีที่กฎหมายทั้งสองขัดหรือแย้งต่อกัน)
[1]ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์, นิติปรัชญา (พิมพ์ครั้งที่11 : กรุงเทพฯ : คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2553),หน้า 92-94
ในลำดับนี้จะเห็นปัญหาข้อกฎหมายอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากสมมุติฐานนี้ กล่าวคือ หากสิทธิมนุษยชนไม่อาจถูกระงับจำกัดได้โดยกฎข้อบังคับของมนุษย์ แล้วการจำกัดสิทธิเหล่านี้
เพื่อการคงอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร คำถามในปัญหานี้จึงเป็นข้อสำคัญ
อันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ในปัจจุบันที่ว่าสิทธิของมนุษย์นั้นอาจโดนระงับหรือจำกัดได้หรือไม่
ข้อพิจารณาในส่วนนี้ต้องพิจารณาถึงหลักสัญญาประชาคมอันเป็นทฤษฎีกฎหมายที่มนุษย์ยอมตนเข้าเป็นสังคม (ทฤษฎีสัญญาประชาคมนี้เป็นทฤษฎีหนึ่งที่กล่าวถึงการก่อกำเนิดรัฐอีกด้วย) ซึ่ง Thomas Hobbes ได้เสนอแนวความคิดดังกล่าวไว้ว่าธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัว พฤติกรรมของมนุษย์ถูกผลักดันไปโดยความต้องการของตนและพยายามใช้เหตุผลที่จะทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตนเอง มนุษย์จึงเริ่มสร้างเงื่อนไขให้เกิดสันติภาพ มนุษย์แต่ละคนควรจะเต็มใจสละสิทธิของตน การยินยอมสละสิทธิร่วมกันนี้เรียกว่าสัญญาประชาคม โดยที่แต่ละคนมีพันธะผูกพันกับตนเองที่จะไม่ขัดขืนคำสั่งของบุคคลหรือคณะบุคคลที่พวกเขายอมรับว่าเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตย ส่วน John Locke มีความเห็นต่างออกไป กล่าวคือ มองว่ามนุษย์มีเหตุผลและจิตสำนึกที่จะแยกความถูกผิดได้ ภาวะธรรมชาติของมนุษย์มีเสรีภาพบริบูรณ์ที่จะจัดการกับชีวิตของตนตามแนวทางที่เห็นว่าดีที่สุด มนุษย์มีอิสระจากการแทรกแซงของผู้อื่น แต่กระนั้นมนุษย์ไม่ได้มีอิสระที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ตามความพึงพอใจของตนทุกประการ เนื่องจากมีความเท่าเทียมแห่งสิทธิที่ได้รับจากกฎแห่งธรรมชาติ กฎหมายธรรมชาติจึงคุ้มครองอิสระและเสรีภาพของมนุษย์ทุกคนเสมอกันเนื่องจากมีสถานะเป็นมนุษย์ผู้ทรงสิทธิเช่นเดียวกัน ภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดความโกลาหลแห่งสิทธิได้เมื่อมีใครกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิขึ้นก่อน อาจจะทำให้เกิดผลสะท้อนที่มนุษย์อีกคนหนึ่งกระทำการละเมิดสิทธิกลับคืนจนเป็นเหตุให้เกิดพฤติการณ์ตาต่อตา ฟันต่อฟัน การทำร้ายกัน
ต่อสู้กันระหว่างกลุ่ม ลุกลามไปถึงสงครามการประหัตประหารกันที่เป็นผลกระทบต่อเสรีภาพโดยรวมทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องหาวิถีทางทำให้เกิดความสงบ
จากการกระทำอันละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ภาวะดังกล่าวผลักดันให้มนุษย์ต้องทำสัญญาประชาคมร่วมกัน เพื่อสร้างองค์กรขึ้นปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม Locke เห็นว่าอำนาจ
ที่เกิดจากสัญญาประชาคมนั้นสามารถทำลายลงได้ เมื่อมนุษย์มีเหตุผลสนับสนุน โดยที่ว่าผู้ใช้อำนาจปกครองตามสัญญาประชาคมนี้กระทำการอันเป็นทรราช ประชาชนมีสิทธิที่จะปกป้องตนเอง
ตามภาวะธรรมชาติ เหมือนเมื่อก่อนจะตกลงสร้างสังคมขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อผู้ใช้อำนาจ
ตามสัญญาประชาคมไม่กระทำการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามที่ได้ตกลงในสัญญา กลับกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์กับผลประโยชน์ของประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะต่อต้านอำนาจได้โดยล้มล้างสัญญาประชาคม แล้วเข้าสู่กระบวนการสร้างสังคมการเมืองขึ้นมาใหม่
เมื่อกล่าวถึงกรอบความคิดเบื้องต้นของทฤษฎีสัญญาประชาคม ที่ว่าด้วยสัญญาประชาคมนั้นเกิดจากการที่มนุษย์คนหนึ่ง ๆ ยอมตนเข้าผูกพันในสัญญา เมื่อมนุษย์ทุกคนที่ประสงค์จะเข้ารวมกันเป็นสังคมได้ยอมตนในสัญญาดังกล่าวร่วมกันด้วยฉันทามติที่จะสละเสียซึ่งสิทธิ
ในความเป็นปัจเจกชนลงแล้วย่อมทำให้เกิดสัญญาประชาคมขึ้น ซึ่งนักกฎหมายโดยทั่วไปย่อม
จะกล่าวแต่เพียงอย่างง่ายว่ามนุษย์ได้ยอมสละหรือจำกัดสิทธิของตนบางประการเพื่อรวมเข้าเป็นสังคม แต่สิทธิที่สละหรือจำกัดนั่นคือสิทธิประการใด คำถามนี้จึงเป็นข้อพิจารณานั่นเองว่า
สิทธิที่มนุษย์ผู้หนึ่งได้ยอมจำกัดไว้คือสิทธิมนุษยชนนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อสิทธิมนุษยชนได้รับ
การรับรองจากกฎหมายธรรมชาติแล้ว สิทธินั้นย่อมเป็นของมนุษย์ผู้หนึ่งนั้นโดยบริบูรณ์ และไม่อาจมีผู้อื่นกระทำการจำหน่ายจ่ายโอนสิทธินั้นโดยชอบได้ การที่มนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งยอมตนเข้าผูกพัน
ตามสัญญาประชาคมส่งผลให้อาจถูกบังคับจำกัดเสรีภาพในร่างกาย ทรัพย์สิน (หรือชีวิต) ได้
การยอมตนดังกล่าวจึงเป็นการยอมจำกัดสิทธิมนุษยชนอันจำเป็นต่อการดำรงร่วมกันเป็นสังคมนั่นเอง เช่น การยอมจำกัดสิทธิในร่างกายเกี่ยวกับการเดินทางตามกฎหมายแห่งรัฐเป็นการชั่วคราวโดยไม่เดินทางข้ามเขตจังหวัดที่อยู่เพี่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อันเป็นการยอมจำกัดเสรีภาพของตนบางส่วนเพื่อผลประโยชน์ของสังคมนั่นเอง
ข้อพิจารณาและข้อสังเกตประเด็นต่อมาที่เป็นเรื่องสำคัญ คือ ประเด็นเกี่ยวกับ “หลักสิทธิมนุษยชนเป็นสากลและไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ (Universality & Inalienability)”
โดยหลักดังกล่าวเห็นว่าสิทธิมนุษยชน เป็นของมนุษย์โดยทั่วไปที่ทุกคนเสมอกัน มีอยู่ติดตัวผู้นั้น
ไม่จำกัดกาลและสถานที่ จึงทำให้สามารถกล่าวอ้างได้เป็นการทั่วไปต่อบุคคลอื่นหรือรัฐอื่นใด
ทำให้มีลักษณะเป็นสิทธิประจำตัวของมนุษย์ การจะจำหน่ายจ่ายโอน โอนสิทธิดังกล่าวให้บุคคลอื่นจึงไม่อาจกระทำได้โดยสภาพ ในบริบทนี้การกล่าวว่ามิอาจโอนแก่กันได้นั้น จึงหมายถึง การโอน
จากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งนั้นโดยสภาพไม่สามารถโอนแก่กันได้ แต่การโอนหรือจำกัดสิทธิมนุษยชนไปยังสัญญาประชาคมมิได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากข้อกล่าวอ้างในเบื้องต้นที่ว่าไม่สามารถโอนไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยสภาพได้จำกัดเฉพาะการโอนให้แก่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น โดยหากพิจารณาสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า(กฎหมายธรรมชาติ)ประทานให้มนุษย์(รับสองสิทธิให้) กรณีนี้มนุษย์ที่ต้องการรวมเป็นสังคมได้โอนสิทธิมนุษยชนไปยังสัญญาประชาคม โดยสัญญาประชาคมนั้นเป็นอำนาจก่อตั้งรัฐ (หรือในที่นี้เรียกว่าสังคมอันเป็นผลจากสัญญาประชาคมที่มนุษย์ต้องการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม) รัฐจึงเป็นบุคลาธิษฐานของเสรีภาพโดยรวมที่มนุษย์แห่งรัฐนั้นยอมจำกัดหรือถ่ายโอนไว้นั่นเอง กล่าวโดยง่ายคือ รัฐเป็นตัวแสดงออกซึ่งสิทธิมนุษยชนขนาดใหญ่เหนือกว่าสิทธิมนุษยชนของมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใด ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ มนุษย์ 1 คน มีสิทธิมนุษยชน 100 แต้ม มนุษย์ 1 คนนั้นได้ยอมโอนหรือให้อำนาจระงับสิทธิมนุษยชนของตนจำนวน 10 แต้ม รวมไว้ที่สัญญาประชาคม มีมนุษย์เข้าร่วมสัญญาประชาคมดังกล่าวจำนวน 60 ล้านคน สัญญาประชาคมดังกล่าวจะมีสิทธิมนุษยชนรวมไว้ถึง 600 ล้านแต้ม แล้วสัญญาประชาคมดังกล่าวจึงก่อตั้ง “รัฐ” ขึ้นโดยสัญญาประชาคมนั้น รัฐจึงเป็นตัวแสดงออกซึ่งเจตจำนงของมนุษย์ในอันที่จะคุ้มครองอิสระและเสรีภาพโดยยอมให้รัฐมีอำนาจจำกัดสิทธิมนุษยชนบางคนที่มุ่งหมายจะกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่นนั่นเอง
จากข้อที่กล่าวไปในเบื้องต้นนั้นทำให้เห็นถึงที่มาของสัญญาประชาคมและอำนาจก่อตั้งรัฐของสัญญาประชาคมนั่นเอง เมื่อพิจารณาตามหลักคิดดังกล่าว ทำให้เห็นว่ารัฐนั้นต้องคุ้มครองปกป้องการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้เข้ารวมอยู่ในรัฐนั้น การกระทำใด ๆ ของรัฐ
จึงต้องเคารพสิทธิมนุษยชนของปัจเจกชนหนึ่งเทียบเคียงความเสียหายของสิทธิมนุษยชน
ของปัจเจกชนอื่น หากไม่เป็นการใช้สิทธิมนุษยชนก้าวล่วงให้เกิดความเสียหายแก่สิทธิมนุษยชนอื่น รัฐย่อมจะต้องส่งเสริมและสนับสนุนการใช้สิทธิมนุษยชนนั้น แต่หากการใช้สิทธิมนุษยชนของ
ปัจเจกชนใดจะมีลักษณะเป็นการละเมิดแก่สิทธิมนุษยชนปัจเจกชนอื่น รัฐจะต้องออกมาระงับ
หรือห้ามปราม ประเด็นนี้จึงเป็นการตอบข้อคำถามที่ได้มีประเด็นไว้ในตอนต้นที่ว่า “หากสิทธิมนุษยชนไม่อาจถูกระงับจำกัดได้โดยกฎข้อบังคับของมนุษย์ แล้วการจำกัดสิทธิเหล่านี้ เพื่อการคงอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร” โดยจากการอธิบายเกี่ยวกับสัญญาประชาคมในเบื้องต้น ทำให้ทราบว่าสัญญาประชาคมก่อตั้งขึ้นจากสิทธิมนุษยชนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นการรวบรวมสิทธิมนุษยชนที่มนุษย์ผู้เข้าร่วมสัญญาประชาคมนั้นยอมถ่ายโอนมาแก่รัฐผู้เป็นบุคลาธิษฐานของสิทธิมนุษยชนโดยรวม (สิทธิมนุษย์ชนเชิงจำกัดสิทธิ) จึงเป็นการสืบสายความชอบธรรมในการตรากฎหมายแห่งรัฐ กล่าวคือ พระผู้เป็นเจ้า (กฎหมายธรรมชาติ) ประธานสิทธิมนุษยชนแก่มนุษย์
มนุษย์รวมตัวและยอมสละสิทธิมนุษยชนบางส่วนไว้แก่สัญญาประชาคม สัญญาประชาคมก่อตั้งรัฐโดยอาศัยอำนาจสิทธิมนุษยชนที่รวมอยู่ในสัญญาประชาคม รัฐจึงใช้อำนาจของสิทธิมนุษยชน
ในสัญญาประชาคมเพื่อตรากฎหมายบังคับจำกัดสิทธิมนุษยชนบางส่วน นี่คือสายโซ่ที่เรียงร้อยความชอบธรรมของรัฐ ในการที่รัฐจะตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิมนุษยชนของปัจเจกบุคคลนั่นเอง
แม้รัฐจะมีความชอบธรรมในการตรากฎหมาย เพื่อจำกัดสิทธิมนุษยชนของ
ปัจเจกบุคคล แต่การจำกัดสิทธิเหล่านั้นต้องเป็นไปโดยเล็กน้อยไม่กระทบกระเทือนต่อสาระ
แห่งสิทธิมนุษยชน มีหลักคิดของนักปรัชญาในอดีตได้ให้ไว้ว่า “รัฐที่ดีควรปกครองโดยกฎหมาย
และรัฐที่ดีที่สุดต้องไม่มีกฎหมาย” กล่าวคือ รัฐที่ดีนั้นจะต้องไม่ปกครองโดยกลุ่มอำนาจใดโดยมิชอบ
โดยมิได้มาจากประชาชน ดังนั้น รัฐจึงต้องปกครองโดยกฎหมายซึ่งตราขึ้นจากรัฐที่สถาปนา
จากประชาชน โดยด้วยการที่ประชาชนยอมตนเข้าผูกพันในสัญญาประชาคม เพื่อก่อตั้งรัฐดังกล่าว และรัฐที่ดีที่สุดนั้นเป็นรัฐที่ไม่มีกฎหมาย กล่าวคือ การตรากฎหมายของรัฐกระทำเพื่อจำกัดการใช้สิทธิมนุษยชนของปัจเจกชนผู้หนึ่งมิให้ใช้เสรีภาพไปกระทบกระเทือนอีกปัจเจกชนหนึ่ง แต่รัฐที่ดีที่สุดปัจเจกชนย่อมจะเคารพสิทธิเสรีภาพซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนอื่น จึงทำให้รัฐไม่จำต้องตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิดังกล่าวนั่นเอง
นี่คือความหมายของแนวคิดด้านปรัชญาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าการตรากฎหมายของรัฐนั้น
ต้องกระทำแต่เพียงเท่าที่จำเป็นและไม่เป็นการเกินสมควรแก่กรณีที่จะคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
ของปัจเจกชนใด ๆ เมื่อเทียบกับเสรีภาพที่จะใช้สิทธิมนุษยชนของปัจเจกชนหนึ่ง ๆ เพราะหากรัฐกระทำการอันเป็นการจำกัดสิทธิเกินสมควร แปลว่ารัฐกำลังกระทำการอันเป็นการละเมิดต่ออำนาจที่ก่อตั้งตนเองขึ้นหรือกล่าวโดยง่าย คือ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจสถาปนาตนนั่นเอง
จึงสอดคล้องกลับแนวคิดของ John Locke ที่ว่า “หากเมื่อมนุษย์มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้อำนาจปกครองตามสัญญาประชาคมกระทำการอันเป็นทรราช ประชาชนมีสิทธิ
ที่จะปกป้องตนเองตามภาวะธรรมชาติ เหมือนเมื่อก่อนจะตกลงสร้างสังคมขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง
เมื่อผู้ใช้อำนาจตามสัญญาประชาคมไม่กระทำการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตามที่ได้ตกลงในสัญญา กลับกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์กับผลประโยชน์ของประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะต่อต้านอำนาจได้โดยล้มล้างสัญญาประชาคม แล้วเข้าสู่กระบวนการสร้างสังคมการเมือง
ขึ้นมาใหม่” ผู้เขียนจึงกล่าวได้ว่า เมื่อใดรัฐมีการตรากฎหมายหรือกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ
สิทธิมนุษยชน ประชาชนย่อมมีสิทธิโดยชอบกระทำการตอบโต้รัฐโดยชอบด้วยกฎหมาย (ธรรมชาติ) ได้
ดังนั้น สิทธิมนุษยชนจึงเป็นสิทธิที่สถาปนารัฐขึ้น การกระทำใด ๆ แห่งรัฐจึงต้องมุ่งมั่นที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนเป็นสำคัญ และไม่มีความชอบธรรมใด ๆ แห่งรัฐทั้งหลายและโลกทั้งมวลที่จะลดทอนสิทธิมนุษยชนให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินได้ เพราะสิทธิมนุษยชนดังกล่าวได้รับการประทานโดยพระผู้เป็นเจ้า (กฎหมายธรรมชาติ) นั่นเองเมื่อมีใครกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิขึ้นก่อน อาจจะทำให้เกิดผลสะท้อนที่มนุษย์อีกคนหนึ่งกระทำการละเมิดสิทธิกลับคืนจนเป็นเหตุให้เกิดพฤติการณ์ตาต่อตา ฟันต่อฟัน การทำร้ายกัน
ต่อสู้กันระหว่างกลุ่ม ลุกลามไปถึงสงครามการประหัตประหารกันที่เป็นผลกระทบต่อเสรีภาพโดยรวมทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องหาวิถีทางทำให้เกิดความสงบ
จากการกระทำอันละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ภาวะดังกล่าวผลักดันให้มนุษย์ต้องทำสัญญาประชาคมร่วมกัน เพื่อสร้างองค์กรขึ้นปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม Locke เห็นว่าอำนาจ
ที่เกิดจากสัญญาประชาคมนั้นสามารถทำลายลงได้ เมื่อมนุษย์มีเหตุผลสนับสนุน โดยที่ว่าผู้ใช้อำนาจปกครองตามสัญญาประชาคมนี้กระทำการอันเป็นทรราช ประชาชนมีสิทธิที่จะปกป้องตนเอง
ตามภาวะธรรมชาติ เหมือนเมื่อก่อนจะตกลงสร้างสังคมขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อผู้ใช้อำนาจ
ตามสัญญาประชาคมไม่กระทำการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามที่ได้ตกลงในสัญญา กลับกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์กับผลประโยชน์ของประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะต่อต้านอำนาจได้โดยล้มล้างสัญญาประชาคม แล้วเข้าสู่กระบวนการสร้างสังคมการเมืองขึ้นมาใหม่
เมื่อกล่าวถึงกรอบความคิดเบื้องต้นของทฤษฎีสัญญาประชาคม ที่ว่าด้วยสัญญาประชาคมนั้นเกิดจากการที่มนุษย์คนหนึ่ง ๆ ยอมตนเข้าผูกพันในสัญญา เมื่อมนุษย์ทุกคนที่ประสงค์จะเข้ารวมกันเป็นสังคมได้ยอมตนในสัญญาดังกล่าวร่วมกันด้วยฉันทามติที่จะสละเสียซึ่งสิทธิ
ในความเป็นปัจเจกชนลงแล้วย่อมทำให้เกิดสัญญาประชาคมขึ้น ซึ่งนักกฎหมายโดยทั่วไปย่อม
จะกล่าวแต่เพียงอย่างง่ายว่ามนุษย์ได้ยอมสละหรือจำกัดสิทธิของตนบางประการเพื่อรวมเข้าเป็นสังคม แต่สิทธิที่สละหรือจำกัดนั่นคือสิทธิประการใด คำถามนี้จึงเป็นข้อพิจารณานั่นเองว่า
สิทธิที่มนุษย์ผู้หนึ่งได้ยอมจำกัดไว้คือสิทธิมนุษยชนนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อสิทธิมนุษยชนได้รับ
การรับรองจากกฎหมายธรรมชาติแล้ว สิทธินั้นย่อมเป็นของมนุษย์ผู้หนึ่งนั้นโดยบริบูรณ์ และไม่อาจมีผู้อื่นกระทำการจำหน่ายจ่ายโอนสิทธินั้นโดยชอบได้ การที่มนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งยอมตนเข้าผูกพัน
ตามสัญญาประชาคมส่งผลให้อาจถูกบังคับจำกัดเสรีภาพในร่างกาย ทรัพย์สิน (หรือชีวิต) ได้
การยอมตนดังกล่าวจึงเป็นการยอมจำกัดสิทธิมนุษยชนอันจำเป็นต่อการดำรงร่วมกันเป็นสังคมนั่นเอง เช่น การยอมจำกัดสิทธิในร่างกายเกี่ยวกับการเดินทางตามกฎหมายแห่งรัฐเป็นการชั่วคราวโดยไม่เดินทางข้ามเขตจังหวัดที่อยู่เพี่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อันเป็นการยอมจำกัดเสรีภาพของตนบางส่วนเพื่อผลประโยชน์ของสังคมนั่นเอง
ข้อพิจารณาและข้อสังเกตประเด็นต่อมาที่เป็นเรื่องสำคัญ คือ ประเด็นเกี่ยวกับ “หลักสิทธิมนุษยชนเป็นสากลและไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ (Universality & Inalienability)”
โดยหลักดังกล่าวเห็นว่าสิทธิมนุษยชน เป็นของมนุษย์โดยทั่วไปที่ทุกคนเสมอกัน มีอยู่ติดตัวผู้นั้น
ไม่จำกัดกาลและสถานที่ จึงทำให้สามารถกล่าวอ้างได้เป็นการทั่วไปต่อบุคคลอื่นหรือรัฐอื่นใด
ทำให้มีลักษณะเป็นสิทธิประจำตัวของมนุษย์ การจะจำหน่ายจ่ายโอน โอนสิทธิดังกล่าวให้บุคคลอื่นจึงไม่อาจกระทำได้โดยสภาพ ในบริบทนี้การกล่าวว่ามิอาจโอนแก่กันได้นั้น จึงหมายถึง การโอน
จากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งนั้นโดยสภาพไม่สามารถโอนแก่กันได้ แต่การโอนหรือจำกัดสิทธิมนุษยชนไปยังสัญญาประชาคมมิได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากข้อกล่าวอ้างในเบื้องต้นที่ว่าไม่สามารถโอนไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยสภาพได้จำกัดเฉพาะการโอนให้แก่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น โดยหากพิจารณาสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า(กฎหมายธรรมชาติ)ประทานให้มนุษย์(รับสองสิทธิให้) กรณีนี้มนุษย์ที่ต้องการรวมเป็นสังคมได้โอนสิทธิมนุษยชนไปยังสัญญาประชาคม โดยสัญญาประชาคมนั้นเป็นอำนาจก่อตั้งรัฐ (หรือในที่นี้เรียกว่าสังคมอันเป็นผลจากสัญญาประชาคมที่มนุษย์ต้องการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม) รัฐจึงเป็นบุคลาธิษฐานของเสรีภาพโดยรวมที่มนุษย์แห่งรัฐนั้นยอมจำกัดหรือถ่ายโอนไว้นั่นเอง กล่าวโดยง่ายคือ รัฐเป็นตัวแสดงออกซึ่งสิทธิมนุษยชนขนาดใหญ่เหนือกว่าสิทธิมนุษยชนของมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใด ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ มนุษย์ 1 คน มีสิทธิมนุษยชน 100 แต้ม มนุษย์ 1 คนนั้นได้ยอมโอนหรือให้อำนาจระงับสิทธิมนุษยชนของตนจำนวน 10 แต้ม รวมไว้ที่สัญญาประชาคม มีมนุษย์เข้าร่วมสัญญาประชาคมดังกล่าวจำนวน 60 ล้านคน สัญญาประชาคมดังกล่าวจะมีสิทธิมนุษยชนรวมไว้ถึง 600 ล้านแต้ม แล้วสัญญาประชาคมดังกล่าวจึงก่อตั้ง “รัฐ” ขึ้นโดยสัญญาประชาคมนั้น รัฐจึงเป็นตัวแสดงออกซึ่งเจตจำนงของมนุษย์ในอันที่จะคุ้มครองอิสระและเสรีภาพโดยยอมให้รัฐมีอำนาจจำกัดสิทธิมนุษยชนบางคนที่มุ่งหมายจะกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่นนั่นเอง
จากข้อที่กล่าวไปในเบื้องต้นนั้นทำให้เห็นถึงที่มาของสัญญาประชาคมและอำนาจก่อตั้งรัฐของสัญญาประชาคมนั่นเอง เมื่อพิจารณาตามหลักคิดดังกล่าว ทำให้เห็นว่ารัฐนั้นต้องคุ้มครองปกป้องการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้เข้ารวมอยู่ในรัฐนั้น การกระทำใด ๆ ของรัฐ
จึงต้องเคารพสิทธิมนุษยชนของปัจเจกชนหนึ่งเทียบเคียงความเสียหายของสิทธิมนุษยชน
ของปัจเจกชนอื่น หากไม่เป็นการใช้สิทธิมนุษยชนก้าวล่วงให้เกิดความเสียหายแก่สิทธิมนุษยชนอื่น รัฐย่อมจะต้องส่งเสริมและสนับสนุนการใช้สิทธิมนุษยชนนั้น แต่หากการใช้สิทธิมนุษยชนของ
ปัจเจกชนใดจะมีลักษณะเป็นการละเมิดแก่สิทธิมนุษยชนปัจเจกชนอื่น รัฐจะต้องออกมาระงับ
หรือห้ามปราม ประเด็นนี้จึงเป็นการตอบข้อคำถามที่ได้มีประเด็นไว้ในตอนต้นที่ว่า “หากสิทธิมนุษยชนไม่อาจถูกระงับจำกัดได้โดยกฎข้อบังคับของมนุษย์ แล้วการจำกัดสิทธิเหล่านี้ เพื่อการคงอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร” โดยจากการอธิบายเกี่ยวกับสัญญาประชาคมในเบื้องต้น ทำให้ทราบว่าสัญญาประชาคมก่อตั้งขึ้นจากสิทธิมนุษยชนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นการรวบรวมสิทธิมนุษยชนที่มนุษย์ผู้เข้าร่วมสัญญาประชาคมนั้นยอมถ่ายโอนมาแก่รัฐผู้เป็นบุคลาธิษฐานของสิทธิมนุษยชนโดยรวม (สิทธิมนุษย์ชนเชิงจำกัดสิทธิ) จึงเป็นการสืบสายความชอบธรรมในการตรากฎหมายแห่งรัฐ กล่าวคือ พระผู้เป็นเจ้า (กฎหมายธรรมชาติ) ประธานสิทธิมนุษยชนแก่มนุษย์
มนุษย์รวมตัวและยอมสละสิทธิมนุษยชนบางส่วนไว้แก่สัญญาประชาคม สัญญาประชาคมก่อตั้งรัฐโดยอาศัยอำนาจสิทธิมนุษยชนที่รวมอยู่ในสัญญาประชาคม รัฐจึงใช้อำนาจของสิทธิมนุษยชน
ในสัญญาประชาคมเพื่อตรากฎหมายบังคับจำกัดสิทธิมนุษยชนบางส่วน นี่คือสายโซ่ที่เรียงร้อยความชอบธรรมของรัฐ ในการที่รัฐจะตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิมนุษยชนของปัจเจกบุคคลนั่นเอง
แม้รัฐจะมีความชอบธรรมในการตรากฎหมาย เพื่อจำกัดสิทธิมนุษยชนของ
ปัจเจกบุคคล แต่การจำกัดสิทธิเหล่านั้นต้องเป็นไปโดยเล็กน้อยไม่กระทบกระเทือนต่อสาระ
แห่งสิทธิมนุษยชน มีหลักคิดของนักปรัชญาในอดีตได้ให้ไว้ว่า “รัฐที่ดีควรปกครองโดยกฎหมาย
และรัฐที่ดีที่สุดต้องไม่มีกฎหมาย” กล่าวคือ รัฐที่ดีนั้นจะต้องไม่ปกครองโดยกลุ่มอำนาจใดโดยมิชอบ
โดยมิได้มาจากประชาชน ดังนั้น รัฐจึงต้องปกครองโดยกฎหมายซึ่งตราขึ้นจากรัฐที่สถาปนา
จากประชาชน โดยด้วยการที่ประชาชนยอมตนเข้าผูกพันในสัญญาประชาคม เพื่อก่อตั้งรัฐดังกล่าว และรัฐที่ดีที่สุดนั้นเป็นรัฐที่ไม่มีกฎหมาย กล่าวคือ การตรากฎหมายของรัฐกระทำเพื่อจำกัดการใช้สิทธิมนุษยชนของปัจเจกชนผู้หนึ่งมิให้ใช้เสรีภาพไปกระทบกระเทือนอีกปัจเจกชนหนึ่ง แต่รัฐที่ดีที่สุดปัจเจกชนย่อมจะเคารพสิทธิเสรีภาพซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนอื่น จึงทำให้รัฐไม่จำต้องตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิดังกล่าวนั่นเอง
นี่คือความหมายของแนวคิดด้านปรัชญาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าการตรากฎหมายของรัฐนั้น
ต้องกระทำแต่เพียงเท่าที่จำเป็นและไม่เป็นการเกินสมควรแก่กรณีที่จะคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
ของปัจเจกชนใด ๆ เมื่อเทียบกับเสรีภาพที่จะใช้สิทธิมนุษยชนของปัจเจกชนหนึ่ง ๆ เพราะหากรัฐกระทำการอันเป็นการจำกัดสิทธิเกินสมควร แปลว่ารัฐกำลังกระทำการอันเป็นการละเมิดต่ออำนาจที่ก่อตั้งตนเองขึ้นหรือกล่าวโดยง่าย คือ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจสถาปนาตนนั่นเอง
จึงสอดคล้องกลับแนวคิดของ John Locke ที่ว่า “หากเมื่อมนุษย์มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้อำนาจปกครองตามสัญญาประชาคมกระทำการอันเป็นทรราช ประชาชนมีสิทธิ
ที่จะปกป้องตนเองตามภาวะธรรมชาติ เหมือนเมื่อก่อนจะตกลงสร้างสังคมขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง
เมื่อผู้ใช้อำนาจตามสัญญาประชาคมไม่กระทำการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตามที่ได้ตกลงในสัญญา กลับกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์กับผลประโยชน์ของประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะต่อต้านอำนาจได้โดยล้มล้างสัญญาประชาคม แล้วเข้าสู่กระบวนการสร้างสังคมการเมือง
ขึ้นมาใหม่” ผู้เขียนจึงกล่าวได้ว่า เมื่อใดรัฐมีการตรากฎหมายหรือกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ
สิทธิมนุษยชน ประชาชนย่อมมีสิทธิโดยชอบกระทำการตอบโต้รัฐโดยชอบด้วยกฎหมาย (ธรรมชาติ) ได้
ดังนั้น สิทธิมนุษยชนจึงเป็นสิทธิที่สถาปนารัฐขึ้น การกระทำใด ๆ แห่งรัฐจึงต้องมุ่งมั่นที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนเป็นสำคัญ และไม่มีความชอบธรรมใด ๆ แห่งรัฐทั้งหลายและโลกทั้งมวลที่จะลดทอนสิทธิมนุษยชนให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินได้ เพราะสิทธิมนุษยชนดังกล่าวได้รับการประทานโดยพระผู้เป็นเจ้า (กฎหมายธรรมชาติ) นั่นเอง
[1]ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์, นิติปรัชญา (พิมพ์ครั้งที่11 : กรุงเทพฯ : คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2553),หน้า 92-94
เมื่อมีใครกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิขึ้นก่อน อาจจะทำให้เกิดผลสะท้อนที่มนุษย์อีกคนหนึ่งกระทำการละเมิดสิทธิกลับคืนจนเป็นเหตุให้เกิดพฤติการณ์ตาต่อตา ฟันต่อฟัน การทำร้ายกัน
ต่อสู้กันระหว่างกลุ่ม ลุกลามไปถึงสงครามการประหัตประหารกันที่เป็นผลกระทบต่อเสรีภาพโดยรวมทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องหาวิถีทางทำให้เกิดความสงบ
จากการกระทำอันละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ภาวะดังกล่าวผลักดันให้มนุษย์ต้องทำสัญญาประชาคมร่วมกัน เพื่อสร้างองค์กรขึ้นปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม Locke เห็นว่าอำนาจ
ที่เกิดจากสัญญาประชาคมนั้นสามารถทำลายลงได้ เมื่อมนุษย์มีเหตุผลสนับสนุน โดยที่ว่าผู้ใช้อำนาจปกครองตามสัญญาประชาคมนี้กระทำการอันเป็นทรราช ประชาชนมีสิทธิที่จะปกป้องตนเอง
ตามภาวะธรรมชาติ เหมือนเมื่อก่อนจะตกลงสร้างสังคมขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อผู้ใช้อำนาจ
ตามสัญญาประชาคมไม่กระทำการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามที่ได้ตกลงในสัญญา กลับกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์กับผลประโยชน์ของประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะต่อต้านอำนาจได้โดยล้มล้างสัญญาประชาคม แล้วเข้าสู่กระบวนการสร้างสังคมการเมืองขึ้นมาใหม่
เมื่อกล่าวถึงกรอบความคิดเบื้องต้นของทฤษฎีสัญญาประชาคม ที่ว่าด้วยสัญญาประชาคมนั้นเกิดจากการที่มนุษย์คนหนึ่ง ๆ ยอมตนเข้าผูกพันในสัญญา เมื่อมนุษย์ทุกคนที่ประสงค์จะเข้ารวมกันเป็นสังคมได้ยอมตนในสัญญาดังกล่าวร่วมกันด้วยฉันทามติที่จะสละเสียซึ่งสิทธิ
ในความเป็นปัจเจกชนลงแล้วย่อมทำให้เกิดสัญญาประชาคมขึ้น ซึ่งนักกฎหมายโดยทั่วไปย่อม
จะกล่าวแต่เพียงอย่างง่ายว่ามนุษย์ได้ยอมสละหรือจำกัดสิทธิของตนบางประการเพื่อรวมเข้าเป็นสังคม แต่สิทธิที่สละหรือจำกัดนั่นคือสิทธิประการใด คำถามนี้จึงเป็นข้อพิจารณานั่นเองว่า
สิทธิที่มนุษย์ผู้หนึ่งได้ยอมจำกัดไว้คือสิทธิมนุษยชนนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อสิทธิมนุษยชนได้รับ
การรับรองจากกฎหมายธรรมชาติแล้ว สิทธินั้นย่อมเป็นของมนุษย์ผู้หนึ่งนั้นโดยบริบูรณ์ และไม่อาจมีผู้อื่นกระทำการจำหน่ายจ่ายโอนสิทธินั้นโดยชอบได้ การที่มนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งยอมตนเข้าผูกพัน
ตามสัญญาประชาคมส่งผลให้อาจถูกบังคับจำกัดเสรีภาพในร่างกาย ทรัพย์สิน (หรือชีวิต) ได้
การยอมตนดังกล่าวจึงเป็นการยอมจำกัดสิทธิมนุษยชนอันจำเป็นต่อการดำรงร่วมกันเป็นสังคมนั่นเอง เช่น การยอมจำกัดสิทธิในร่างกายเกี่ยวกับการเดินทางตามกฎหมายแห่งรัฐเป็นการชั่วคราวโดยไม่เดินทางข้ามเขตจังหวัดที่อยู่เพี่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อันเป็นการยอมจำกัดเสรีภาพของตนบางส่วนเพื่อผลประโยชน์ของสังคมนั่นเอง
ข้อพิจารณาและข้อสังเกตประเด็นต่อมาที่เป็นเรื่องสำคัญ คือ ประเด็นเกี่ยวกับ “หลักสิทธิมนุษยชนเป็นสากลและไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ (Universality & Inalienability)”
โดยหลักดังกล่าวเห็นว่าสิทธิมนุษยชน เป็นของมนุษย์โดยทั่วไปที่ทุกคนเสมอกัน มีอยู่ติดตัวผู้นั้น
ไม่จำกัดกาลและสถานที่ จึงทำให้สามารถกล่าวอ้างได้เป็นการทั่วไปต่อบุคคลอื่นหรือรัฐอื่นใด
ทำให้มีลักษณะเป็นสิทธิประจำตัวของมนุษย์ การจะจำหน่ายจ่ายโอน โอนสิทธิดังกล่าวให้บุคคลอื่นจึงไม่อาจกระทำได้โดยสภาพ ในบริบทนี้การกล่าวว่ามิอาจโอนแก่กันได้นั้น จึงหมายถึง การโอน
จากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งนั้นโดยสภาพไม่สามารถโอนแก่กันได้ แต่การโอนหรือจำกัดสิทธิมนุษยชนไปยังสัญญาประชาคมมิได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากข้อกล่าวอ้างในเบื้องต้นที่ว่าไม่สามารถโอนไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยสภาพได้จำกัดเฉพาะการโอนให้แก่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น โดยหากพิจารณาสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า(กฎหมายธรรมชาติ)ประทานให้มนุษย์(รับสองสิทธิให้) กรณีนี้มนุษย์ที่ต้องการรวมเป็นสังคมได้โอนสิทธิมนุษยชนไปยังสัญญาประชาคม โดยสัญญาประชาคมนั้นเป็นอำนาจก่อตั้งรัฐ (หรือในที่นี้เรียกว่าสังคมอันเป็นผลจากสัญญาประชาคมที่มนุษย์ต้องการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม) รัฐจึงเป็นบุคลาธิษฐานของเสรีภาพโดยรวมที่มนุษย์แห่งรัฐนั้นยอมจำกัดหรือถ่ายโอนไว้นั่นเอง กล่าวโดยง่ายคือ รัฐเป็นตัวแสดงออกซึ่งสิทธิมนุษยชนขนาดใหญ่เหนือกว่าสิทธิมนุษยชนของมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใด ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ มนุษย์ 1 คน มีสิทธิมนุษยชน 100 แต้ม มนุษย์ 1 คนนั้นได้ยอมโอนหรือให้อำนาจระงับสิทธิมนุษยชนของตนจำนวน 10 แต้ม รวมไว้ที่สัญญาประชาคม มีมนุษย์เข้าร่วมสัญญาประชาคมดังกล่าวจำนวน 60 ล้านคน สัญญาประชาคมดังกล่าวจะมีสิทธิมนุษยชนรวมไว้ถึง 600 ล้านแต้ม แล้วสัญญาประชาคมดังกล่าวจึงก่อตั้ง “รัฐ” ขึ้นโดยสัญญาประชาคมนั้น รัฐจึงเป็นตัวแสดงออกซึ่งเจตจำนงของมนุษย์ในอันที่จะคุ้มครองอิสระและเสรีภาพโดยยอมให้รัฐมีอำนาจจำกัดสิทธิมนุษยชนบางคนที่มุ่งหมายจะกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่นนั่นเอง
จากข้อที่กล่าวไปในเบื้องต้นนั้นทำให้เห็นถึงที่มาของสัญญาประชาคมและอำนาจก่อตั้งรัฐของสัญญาประชาคมนั่นเอง เมื่อพิจารณาตามหลักคิดดังกล่าว ทำให้เห็นว่ารัฐนั้นต้องคุ้มครองปกป้องการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้เข้ารวมอยู่ในรัฐนั้น การกระทำใด ๆ ของรัฐ
จึงต้องเคารพสิทธิมนุษยชนของปัจเจกชนหนึ่งเทียบเคียงความเสียหายของสิทธิมนุษยชน
ของปัจเจกชนอื่น หากไม่เป็นการใช้สิทธิมนุษยชนก้าวล่วงให้เกิดความเสียหายแก่สิทธิมนุษยชนอื่น รัฐย่อมจะต้องส่งเสริมและสนับสนุนการใช้สิทธิมนุษยชนนั้น แต่หากการใช้สิทธิมนุษยชนของ
ปัจเจกชนใดจะมีลักษณะเป็นการละเมิดแก่สิทธิมนุษยชนปัจเจกชนอื่น รัฐจะต้องออกมาระงับ
หรือห้ามปราม ประเด็นนี้จึงเป็นการตอบข้อคำถามที่ได้มีประเด็นไว้ในตอนต้นที่ว่า “หากสิทธิมนุษยชนไม่อาจถูกระงับจำกัดได้โดยกฎข้อบังคับของมนุษย์ แล้วการจำกัดสิทธิเหล่านี้ เพื่อการคงอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร” โดยจากการอธิบายเกี่ยวกับสัญญาประชาคมในเบื้องต้น ทำให้ทราบว่าสัญญาประชาคมก่อตั้งขึ้นจากสิทธิมนุษยชนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นการรวบรวมสิทธิมนุษยชนที่มนุษย์ผู้เข้าร่วมสัญญาประชาคมนั้นยอมถ่ายโอนมาแก่รัฐผู้เป็นบุคลาธิษฐานของสิทธิมนุษยชนโดยรวม (สิทธิมนุษย์ชนเชิงจำกัดสิทธิ) จึงเป็นการสืบสายความชอบธรรมในการตรากฎหมายแห่งรัฐ กล่าวคือ พระผู้เป็นเจ้า (กฎหมายธรรมชาติ) ประธานสิทธิมนุษยชนแก่มนุษย์
มนุษย์รวมตัวและยอมสละสิทธิมนุษยชนบางส่วนไว้แก่สัญญาประชาคม สัญญาประชาคมก่อตั้งรัฐโดยอาศัยอำนาจสิทธิมนุษยชนที่รวมอยู่ในสัญญาประชาคม รัฐจึงใช้อำนาจของสิทธิมนุษยชน
ในสัญญาประชาคมเพื่อตรากฎหมายบังคับจำกัดสิทธิมนุษยชนบางส่วน นี่คือสายโซ่ที่เรียงร้อยความชอบธรรมของรัฐ ในการที่รัฐจะตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิมนุษยชนของปัจเจกบุคคลนั่นเอง
แม้รัฐจะมีความชอบธรรมในการตรากฎหมาย เพื่อจำกัดสิทธิมนุษยชนของ
ปัจเจกบุคคล แต่การจำกัดสิทธิเหล่านั้นต้องเป็นไปโดยเล็กน้อยไม่กระทบกระเทือนต่อสาระ
แห่งสิทธิมนุษยชน มีหลักคิดของนักปรัชญาในอดีตได้ให้ไว้ว่า “รัฐที่ดีควรปกครองโดยกฎหมาย
และรัฐที่ดีที่สุดต้องไม่มีกฎหมาย” กล่าวคือ รัฐที่ดีนั้นจะต้องไม่ปกครองโดยกลุ่มอำนาจใดโดยมิชอบ
โดยมิได้มาจากประชาชน ดังนั้น รัฐจึงต้องปกครองโดยกฎหมายซึ่งตราขึ้นจากรัฐที่สถาปนา
จากประชาชน โดยด้วยการที่ประชาชนยอมตนเข้าผูกพันในสัญญาประชาคม เพื่อก่อตั้งรัฐดังกล่าว และรัฐที่ดีที่สุดนั้นเป็นรัฐที่ไม่มีกฎหมาย กล่าวคือ การตรากฎหมายของรัฐกระทำเพื่อจำกัดการใช้สิทธิมนุษยชนของปัจเจกชนผู้หนึ่งมิให้ใช้เสรีภาพไปกระทบกระเทือนอีกปัจเจกชนหนึ่ง แต่รัฐที่ดีที่สุดปัจเจกชนย่อมจะเคารพสิทธิเสรีภาพซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนอื่น จึงทำให้รัฐไม่จำต้องตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิดังกล่าวนั่นเอง
นี่คือความหมายของแนวคิดด้านปรัชญาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าการตรากฎหมายของรัฐนั้น
ต้องกระทำแต่เพียงเท่าที่จำเป็นและไม่เป็นการเกินสมควรแก่กรณีที่จะคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
ของปัจเจกชนใด ๆ เมื่อเทียบกับเสรีภาพที่จะใช้สิทธิมนุษยชนของปัจเจกชนหนึ่ง ๆ เพราะหากรัฐกระทำการอันเป็นการจำกัดสิทธิเกินสมควร แปลว่ารัฐกำลังกระทำการอันเป็นการละเมิดต่ออำนาจที่ก่อตั้งตนเองขึ้นหรือกล่าวโดยง่าย คือ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจสถาปนาตนนั่นเอง
จึงสอดคล้องกลับแนวคิดของ John Locke ที่ว่า “หากเมื่อมนุษย์มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้อำนาจปกครองตามสัญญาประชาคมกระทำการอันเป็นทรราช ประชาชนมีสิทธิ
ที่จะปกป้องตนเองตามภาวะธรรมชาติ เหมือนเมื่อก่อนจะตกลงสร้างสังคมขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง
เมื่อผู้ใช้อำนาจตามสัญญาประชาคมไม่กระทำการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตามที่ได้ตกลงในสัญญา กลับกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์กับผลประโยชน์ของประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะต่อต้านอำนาจได้โดยล้มล้างสัญญาประชาคม แล้วเข้าสู่กระบวนการสร้างสังคมการเมือง
ขึ้นมาใหม่” ผู้เขียนจึงกล่าวได้ว่า เมื่อใดรัฐมีการตรากฎหมายหรือกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ
สิทธิมนุษยชน ประชาชนย่อมมีสิทธิโดยชอบกระทำการตอบโต้รัฐโดยชอบด้วยกฎหมาย (ธรรมชาติ) ได้
ดังนั้น สิทธิมนุษยชนจึงเป็นสิทธิที่สถาปนารัฐขึ้น การกระทำใด ๆ แห่งรัฐจึงต้องมุ่งมั่นที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนเป็นสำคัญ และไม่มีความชอบธรรมใด ๆ แห่งรัฐทั้งหลายและโลกทั้งมวลที่จะลดทอนสิทธิมนุษยชนให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินได้ เพราะสิทธิมนุษยชนดังกล่าวได้รับการประทานโดยพระผู้เป็นเจ้า (กฎหมายธรรมชาติ) นั่นเอง
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
สิทธิมนุษยน
“สิ่ัวาารปรอรั” หรือ “ุ่า​แห่ารสถาปนารัอันสูส่”
​ให้​ไว้​เป็นหลัิสำ​ั​เพื่อประ​าธิป​ไย​และ​สิทธิ​แห่มนุษย์ะ​​เริยิ่สืบ​ไป
“สิทธิมนุษยน” ​เป็นำ​ที่ผู้น​ในปัุบันมัะ​​ไ้ยินทั้​ในทาาร​เมือ​และ​หมาย ึ่หลายน​ในสัมอามีวาม​เ้า​ใมาน้อย​เี่ยวับสิทธิมนุษยน​แ่าัน อันอา​เิาาร​เรียนรู้​ในสถานศึษาประ​สบาร์​ในารทำ​าน าร​ใล้ิับปัหา​ในสัม ลอนาริวิ​เราะ​ห์า้อมูลที่​ไ้รับทราบ ทำ​​ให้​เิอ์วามรู้ที่หลาหลายอผู้น​ในสัมที่มี่อำ​ว่า “สิทธิมนุษยน” ผู้​เียนึพิารา​เพื่อที่ะ​อธิบายถึวามสำ​ัอสิทธิมนุษยน​ในรอบปรัา​และ​​แนวิที่ส่​เสริมสนับสนุน​เี่ยวับทฤษี หลัิ ลอนรอบวามิทาสัมที่อาส่ผลหรือ​ไม่ ่อวาม​เป็น​ไป​ไ้​ในารอธิบายหลัสิทธิมนุษยน​ไ้
าร้าว​เินอสิทธิมนุษยนามวามรับทราบอปุถุน​ไทย​โยทั่ว​ไป มั​เ้า​ใว่า สิทธิมนุษยนสาล​เริ่มพันา​ในาิะ​วัน่อน ​โย​แร​เริ่ม​เิมทีนั้นนับั้​แ่าร​เิึ้น​ในอัฤษที่ประ​านรวมัวับุนนา​เรียร้อ​ให้พระ​​เ้าอห์น ษัริย์​แห่อัฤษลนาม​ในบัร “​แมนา าร์า (Magna Carta)” ​เพื่อวบุม​ให้​เิารปรอที่ษัริย์ะ​​เรีย​เ็บหรือ​เพิ่มอัรา่าภาษี​โย​ไม่ผ่านสภา​ไม่​ไ้ หรือารล​โทษบุล​โย​ไม่ผ่านระ​บวนารทาศาลมิ​ไ้ ึถือ​ไ้ว่า​เป็น​เอสารบับ​แร ๆ​ อ​โลทีุ่้มรอสิทธิ​เสรีภาพอประ​าน ่อมา​ไ้มี​เหุาร์​ในฝรั่​เศส ​เี่ยวับารปิรูปาร​เมือทำ​​ให้​เิหลัารสำ​ั​ในารปรอประ​​เทศอฝรั่​เศส ือ “ปิาว่า้วยสิทธิอมนุษย์​และ​พล​เมือ (Declaration of the Rights of Man and the Citizen)” สืบ​เนื่อมาถึ่วสราม​โลที่ระ​ทบระ​​เทือน่อสิทธิมนุษยนอย่าร้าย​แรมีผู้​เสียีวิำ​นวนมา ​ในที่สุึ​เิวามร่วมมือระ​หว่านานาาิที่ะ​ุ้มรอปป้อีวิมนุษย์​โยปราั​เน​ในบัรสหประ​าาิ (The Charter of the United Nations) “​เพื่อปป้อนรุ่น่อ​ไปาภัยพิบัิอสราม ​และ​​เพื่อยืนยันวามศรัทธา​ในสิทธิมนุษยนั้นพื้นาน ​ในศัิ์ศรี ​และ​ุ่าอมนุษย์ ​และ​​ในสิทธิอัน​เท่า​เทียมันอบุรุษ​และ​สรี”ึ่นี่​เป็นวามรู้​โยทั่ว ๆ​ ​ไปที่หา​ไ้ามสารานุรมหรือ​เว็บ​ไ์ ​แ่้อวามรู้นี้​เป็น​แ่​เพียสิ่ที่ผลึทาวามิ​ในหลัทั่ว​ไปอสิทธิมนุษยนอย่าสาล​เท่านั้น ึ่ผู้​เียนะ​อนำ​​เสนอบทวิ​เราะ​ห์ว่า้วยสิทธิมนุษยน​และ​ารส่ผลระ​ทบถึ​แนวิทาหมาย ่านิยมารปิบัิหน้าที่ ลอนารำ​​เนินานอรัที่ะ​้อำ​​เนินาร​และ​วรผูพันน่อหลัทฤษีสิทธิมนุษยน
่อนล่าวถึทฤษีที่ผู้​เียน้อารนำ​​เสนอ ผู้​เียนมีวามประ​ส์ะ​ทำ​วาม​เ้า​ใ​เี่ยวับ “ทฤษีสำ​นัหมาย” ​เพื่อ​ให้​เิวาม​เ้า​ใ​ใน​เบื้อ้น่อนล่าวถึ ทฤษี​แนวิ​เี่ยวับสิทธิมนุษยน ทฤษีสำ​นัหมายมีึ้น​เพื่อำ​​แนวามหมายอหมาย วามมุ่หมาย วามสำ​ั ลอน่าบัับอหมาย​โยมีสำ​นัหมายที่สำ​ัหลั ๆ​ สอสำ​นัิ
๑. สำ​นัวามิหมายฝ่ายบ้าน​เมือ (Positive Law School)
สำ​นัวามินี้​ไม่มุ่​ใน​เรื่อุธรรม​และ​ริยธรรม หรือ​แนวิที่ว่าหมายธรรมาิมีอยู่ริหรือ​ไม่ ​โยสำ​นัวามินี้ถือว่าหมายอรัที่บัับ​ใ้​เป็นหมายมีุ่าบัับ มีวาม​แน่นอน​และ​​เร่รั ึทำ​​ให้มุมมอ่อหมายอสำ​นัวามิหมายฝ่ายบ้าน​เมือนั้นมอว่า “หมาย ือ ำ​สั่อรัาธิปัย์ึ่บัับ​ใ้ับผู้​ใ้ปรอ ถ้าผู้​ใ​ไม่ปิบัิามผู้นั้น้อรับ​โทษ” าำ​นิยามัล่าวึำ​​แนอ์ประ​อบอ “หมาย” ​ในวามิอสำ​นัวามิหมายฝ่ายบ้าน​เมือออ​ไ้​เป็น อ์ประ​อบ ันี้
๑) ​เป็นำ​สั่หรือำ​บัับ ล่าวือ ​เป็นวามประ​ส์อผู้มีอำ​นาที่มี่อบุลที่อยู่​ใ้อำ​นา​ในลัษะ​บัับ​ให้ระ​ทำ​หรือ​ไม่ระ​ทำ​
๒) หมาย้อ​เป็นำ​สั่หรือ้อบัับที่มาารัาธิปัย์ ึ่รัาธิปัย์ หมายถึ ผู้มีอำ​นาสูสุ​ในรันั้น​โย​ไม่ำ​้อพึ่อำ​นาาผู้​ใ
๓) ้อมีผล​เป็นารทั่ว​ไป ล่าวือ ้อบัับ​แ่ประ​าน​เป็นารทั่ว​ไป​ในรันั้น ​ไม่​เพาะ​​เาะ​​แ่บุล​ใบุลหนึ่
๔) ​ให้บุลปิบัิาม ึ่หา​ไม่ปิบัิามะ​​ไ้รับล​โทษ
๒. สำ​นัวามิหมายธรรมาิ (Natural Law School)
สำ​นัหมายนี้ำ​​เนิึ้นมา​เป็นสำ​นั​แรสุอ​โล ​โยมีมุมมอ่อหมายที่​เื่อว่า หมาย​เป็นสิ่ที่​เิึ้นอยู่ามธรรมาิ มีอยู่่อน​แล้ว ​เป็นหมายที่มีที่มาาพระ​ผู้​เป็น​เ้า หมายึ​เป็นสิ่ที่้ออบ้วย​เหุผล​เสมอ บัับ​แ่ทุสิ่​ไ้อย่าสาล ​และ​ถู้อ​เสมอ​ไป​โย​ไม่ำ​ัาล “หมาย” ​ในวามิอสำ​นัวามิหมายธรรมาิึมีลัษะ​​ไม่ำ​ัาล​และ​สถานที่ อยู่​เหนือ้อำ​หนบทบััิ​ใ ๆ​ ​แห่มนุษย์ ึ่หลัิัล่าวนี้มีารประ​อบ้วย​เหุผลทั้หลายอันบริบูร์
​ในลำ​ับนี้​เมื่อทำ​วาม​เ้า​ใถึหลัิพื้นานอสำ​นัิหมาย​แล้ว ผู้​เียนอลอภิปรายถึสิทธิมนุษยน​เป็นลำ​ับ่อมา ​โยสิทธิมนุษยนนั้นพันา​ในลุ่มสำ​นัวามิหมายธรรมาิ ​เพราะ​สิทธิมนุษยนนี้​เป็นสิทธิที่​เื่อว่า​ไ้รับมาาพระ​ผู้​เป็น​เ้า มนุษย์ทุน​ไ้รับอย่า​เท่า​เทียม​และ​​เป็นสาล ​ไม่อาย​เลิ​เพิถอน​ไ้
​โยผู้​เียนอ​เสนอ​แนวิอผู้​เียน ันี้
สิทธิมนุษยน​เป็นสิทธิที่​ไ้รับาพระ​ผู้​เป็น​เ้า ​โยอย้อวาม​ในพระ​ัมภีร์​ไบ​เบิล วามว่า “อ์พระ​ผู้​เป็น​เ้าทร​เป็นพระ​วิา ​และ​พระ​วิาออ์พระ​ผู้​เป็น​เ้าทรอยู่ที่​ไหน ​เสรีภาพ็มีอยู่ที่นั่น” (๒ ​โรินธ์ ๓:๑๗.) “​เพื่อ​เสรีภาพนั้น​เอพระ​ริส์ึ​ไ้ทร​ให้​เรา​เป็น​ไท ​เพราะ​ะ​นั้น ั้มั่น ​และ​อย่า​เ้า​เทียม​แออาร​เป็นทาสอี​เลย” (าลา​เทีย ๕:๑.)าพระ​ัมภีร์ัล่าวพิารา​ไ้ว่า พระ​ผู้​เป็น​เ้า​ไ้มอบ​เศษ​เสี้ยวหนึ่​แห่วิา​ไว้​แ่มนุษย์ทั้หลายผู้​เป็นบุรอัน​เป็นที่รัยิ่อพระ​อ์ ​เมื่อพระ​อ์สถิ​เศษ​เสี้ยว​แห่พระ​วิา​ไว้
มนุษย์​แล้ว​เสรีภาพนั้นย่อมมี​แ่มนุษย์ทุผู้ทุนาม​เ่นัน พระ​อ์​ไ้มอบ​เสรีภาพ​ในารระ​ทำ​าร​ใ ๆ​ อมนุษย์ ​ให้มนุษย์​เป็นอิสระ​นที่ะ​​ไม่มีทาล​ไป​เป็นสิ่อ (​ไม่​เป็นทาส) ​เสรีภาพ​และ​อิสรภาพอมนุษย์นั้นึ​เป็นสิ่ที่​ไ้รับมอบ​โยราพระ​ผู้​เป็น​เ้า ันั้น สิทธิมนุษยนอันมีหลัอยู่ที่อิสระ​ ​และ​​เสรีภาพอมนุษย์ึ​เป็นสิทธิที่​ไ้รับมอบ​โยราพระ​ผู้​เป็น​เ้านั่น​เอ หรือหาอธิบาย​ให้สอล้อับสำ​นัวามิหมายธรรมาิ ็ล่าว​ไ้ว่า สิทธิมนุษยน​เป็นสิทธิที่​ไ้รับารรับรอ​โยราหมายธรรมาิ ​เป็นสิทธิอันหนึ่อัน​เียวที่​ไ้รับประ​ทานาพระ​ผู้​เป็น​เ้าหรือรับรอ​โยหมายธรรมาินั่น​เอ (​เนื่อามัมีรีผู้ถ​เถีย​เี่ยวับสิทธิมนุษยนว่าหา​เป็น “สิทธิ” ย่อมะ​้อมีหมายรับรอ หา​ไม่มีหมายรับรอ​แปลว่ามนุษย์ย่อย​ไม่มีสิทธิมนุษยน​ไ้ ​แ่้อถ​เถียทาทฤษีนี้ย่อมะ​ถูหัล้า​ไ้าหลัิที่ว่า​เมื่อพระ​ผู้​เป็น​เ้าหรือหมายธรรมาินั้นรับรอสิทธิมนุษยน​แล้ว ย่อมสอล้อับหลัทฤษีที่ว่าสิทธิ้อรับรอ​โยหมายนั่น​เอ)
​เมื่อ​ไ้้อสรุป​ใน​เบื้อ้นันี้​แล้วย่อมวรพิารา​ในลำ​ับ่อ​ไปถึุ่า สิทธิมนุษยน ผู้​เียนอยรีัวอย่าาวรรรรม​ในอี ​โย​เหุาร์าวรรรรม ​เรื่อ อานิ​โ​เน (Antigone) ​โศนารรม​เรื่อนี้​แสถึวามั​แย้ระ​หว่าวาม​เื่อถือ​ในารีประ​​เพีที่ทอันมาึ่ถือว่า​เป็นสิ่ศัิ์สิทธิ์​และ​​เป็นสิ่ที่มีอยู่ามธรรมาิฝ่ายหนึ่ ับำ​สั่อผู้มีอำ​นา​ในบ้าน​เมืออีฝ่ายหนึ่ ​เรื่อมีอยู่ว่า Antigone ​เป็นหิที่พี่ายอ​เธอ ​ไป่อสู้​แย่ิราสมบัิับลุ ​เมื่อลุ​เป็นฝ่ายนะ​​ไ้ึ้นรอราย์ ็ห้ามมิ​ให้ผู้​ใฝัศพอพี่าย ​เธอ ึ่ถูล่าวหาว่า​เป็นบ ​โยปล่อย​ให้​แร้าิน ​แ่​เนื่อาพิธีฝัศพผู้าย​เป็นสิ่ที่าวรี ถือว่า​เป็นสิ่สำ​ั ​และ​​เป็นสิ่ที่้อระ​ทำ​ามประ​​เพี​เพื่อ​ให้ผู้าย​ไปสู่สุิ Antigone ึ​ไม่ยอม ปิบัิามำ​สั่อษัริย์รีออน Creon ​เธอฝ่าฝืนัพิธีศพ​ให้​แ่พี่ายน​เสร็ ​เป็นารัพระ​รา​โอาร ึทำ​​ให้ถูล​โทษ ​เมื่อพระ​ราารัสถามว่า​เหุ​ใึบัอาัพระ​รา​โอาร Antigone ​ไ้ล่าวทูล​โ้​แย้ว่าารระ​ทำ​อ​เธอนั้น​เป็นารระ​ทำ​ที่อบธรรมัมี​ใวามว่า
“้าพ​เ้าัฝัศพามหมายึ่มิ​ไ้มีอยู่​ในวันนี้ หรือวัน่อนนี้​เท่านั้น ​แ่​เป็นหมาย
ที่มีมา​แ่​โบราาล​และ​มีอยู่ั่วนิรันร ​ไม่มี​ใรรู้ว่า​เ์นี้มีมา​แ่​เมื่อ​ใ ​และ​้าพ​เ้า
็ะ​​ไม่​เรลัว่อวามพิ​โรธ​โรธาอมนุษย์หน้า​ไหนทั้สิ้น ​ในารที่ะ​ยืนหยั​เิู
​เ์อันศัิ์สิทธิ์นี้”
​โศนารรม​เรื่อนี้ ​เป็นัวอย่าอวามั​แย้ระ​หว่าำ​สั่อผู้มีอำ​นาับ​เ์ที่ราษรนับถือว่าศัิ์สิทธิ์​และ​ถู้อ ารที่ Antigone ฝ่าฝืนำ​สั่อฝ่ายบ้าน​เมือที่​เธอ​เห็นว่า​ไม่ถู้อสะ​ท้อน​ให้​เห็นว่าาวรีนั้น​เื่อว่าหมายที่​แท้รินั้นอยู่​เหนือมนุษย์ ​และ​​ไม่อยู่ภาย​ใ้อำ​นาอบุล​ใ ๆ​ ทั้ยัพร้อมที่ะ​​เอาีวิอน​เอ​เิมพัน​เ้า​เสี่ย ​เพื่อพิทัษ์​เิูหมายที่​เาถือว่าอบธรรม​และ​ศัิ์สิทธิ์ พร้อมที่ะ​าย​เพื่อรัษาหมายที่น​เห็นว่าถู้อ ​โศนารรมัล่าวนี้ึ​แส​ให้​เห็นวามั​แย้ระ​หว่าอำ​นาที่มีอยู่​ในบ้าน​เมือ ับสิ่ที่มนุษย์ถือว่า​เป็นหมายที่​แท้ริ ึ่​เรียว่า The Good Old Law ​และ​มนุษย์​ในยุนั้นมีวาม​เื่ออย่าลึึ่​ในสิ่นี้ว่า มี่า​เหนือำ​บัาอผู้มีอำ​นา[๓] ะ​​เห็น​ไ้ว่ารอบวามิ​ในวรรรรม​โบราอรีนี้​แส​ให้​เห็นว่าหมายหรือ้อบัับที่มาาพระ​ผู้​เป็น​เ้าที่สำ​นัวามิหมายธรรมาิถือว่า​เป็นหมายธรรมาิ ​เป็นหมายอันสูสุ ​ไม่อาะ​มีหรือ้อบัับอมนุษย์ะ​ัหรือ​แย้​ไ้ ึ่​ในบริบทนี้ที่หมายธรรมาิรับรอสิทธิมนุษยน​ไว้​โยั​แ้ ​เนื่อา​เป็นสิทธิ​โยรที่มนุษย์​ไ้รับมาาพระ​ผู้​เป็น​เ้า สิทธิมนุษยนึ​ไม่อาะ​ถูระ​ับ​โยหรือ้อบัับอมนุษย์​ไ้(หมายธรรมาิึมีลำ​ับศัิ์บัับ​เหนือว่าหรือำ​สั่ที่ผู้มีอำ​นาำ​หน​ในรีที่หมายทั้สอัหรือ​แย้่อัน)
​ในลำ​ับนี้ะ​​เห็นปัหา้อหมายอย่าหนึ่ที่​เิึ้นาสมมุิานนี้ ล่าวือ หาสิทธิมนุษยน​ไม่อาถูระ​ับำ​ั​ไ้​โย้อบัับอมนุษย์ ​แล้วารำ​ัสิทธิ​เหล่านี้​เพื่อารอยู่ร่วมัน​เป็นสัมอมนุษย์ะ​​เิึ้น​ไ้อย่า​ไร ำ​ถาม​ในปัหานี้ึ​เป็น้อสำ​ัอันะ​​เป็น​เรื่อพิสูน์​ในปัุบันที่ว่าสิทธิอมนุษย์นั้นอา​โนระ​ับหรือำ​ั​ไ้หรือ​ไม่
้อพิารา​ในส่วนนี้้อพิาราถึหลัสัาประ​ามอัน​เป็นทฤษีหมายที่มนุษย์ยอมน​เ้า​เป็นสัม (ทฤษีสัาประ​ามนี้​เป็นทฤษีหนึ่ที่ล่าวถึาร่อำ​​เนิรัอี้วย) ึ่ Thomas Hobbes ​ไ้​เสนอ​แนววามิัล่าว​ไว้ว่าธรรมาิมนุษย์​เป็นสัว์ที่​เห็น​แ่ัว พฤิรรมอมนุษย์ถูผลััน​ไป​โยวาม้อารอน​และ​พยายาม​ใ้​เหุผลที่ะ​ทำ​ทุอย่า​เพื่อวามอยู่รออน​เอ มนุษย์ึ​เริ่มสร้า​เื่อน​ไ​ให้​เิสันิภาพ มนุษย์​แ่ละ​นวระ​​เ็ม​ใสละ​สิทธิอน ารยินยอมสละ​สิทธิร่วมันนี้​เรียว่าสัาประ​าม ​โยที่​แ่ละ​นมีพันธะ​ผูพันับน​เอที่ะ​​ไม่ัืนำ​สั่อบุลหรือะ​บุลที่พว​เายอมรับว่า​เป็นผู้มีอำ​นาอธิป​ไย ส่วน John Locke มีวาม​เห็น่าออ​ไป ล่าวือ มอว่ามนุษย์มี​เหุผล​และ​ิสำ​นึที่ะ​​แยวามถูผิ​ไ้ ภาวะ​ธรรมาิอมนุษย์มี​เสรีภาพบริบูร์ที่ะ​ัารับีวิอนาม​แนวทาที่​เห็นว่าีที่สุ มนุษย์มีอิสระ​าาร​แทร​แอผู้อื่น ​แ่ระ​นั้นมนุษย์​ไม่​ไ้มีอิสระ​ที่ะ​ทำ​สิ่่า ๆ​ ​ไ้ามวามพึพอ​ใอนทุประ​าร ​เนื่อามีวาม​เท่า​เทียม​แห่สิทธิที่​ไ้รับา​แห่ธรรมาิ หมายธรรมาิึุ้มรออิสระ​​และ​​เสรีภาพอมนุษย์ทุน​เสมอัน​เนื่อามีสถานะ​​เป็นมนุษย์ผู้ทรสิทธิ​เ่น​เียวัน ภาวะ​​เ่นนี้ทำ​​ให้​เิวาม​โลาหล​แห่สิทธิ​ไ้ ​เมื่อมี​ใรระ​ทำ​ารอัน​เป็นารละ​​เมิสิทธิึ้น่อน อาะ​ทำ​​ให้​เิผลสะ​ท้อนที่มนุษย์อีนหนึ่ระ​ทำ​ารละ​​เมิสิทธิลับืนน​เป็น​เหุ​ให้​เิพฤิาร์า่อา ฟัน่อฟัน ารทำ​ร้ายัน ่อสู้ันระ​หว่าลุ่ม ลุลาม​ไปถึสรามารประ​หัประ​หารันที่​เป็นผลระ​ทบ่อ​เสรีภาพ​โยรวมทั้ีวิ ร่าาย ​และ​ทรัพย์สิน​ไ้ ้วย​เหุนี้มนุษย์ึ้อหาวิถีทาทำ​​ให้​เิวามสบาารระ​ทำ​อันละ​​เมิสิทธิ​และ​​เสรีภาพ ภาวะ​ัล่าวผลััน​ให้มนุษย์้อทำ​สัาประ​ามร่วมัน ​เพื่อสร้าอ์รึ้นปป้อีวิ​และ​ทรัพย์สิน อย่า​ไร็าม Locke ​เห็นว่าอำ​นาที่​เิาสัาประ​ามนั้นสามารถทำ​ลายล​ไ้ ​เมื่อมนุษย์มี​เหุผลสนับสนุน ​โยที่ว่าผู้​ใ้อำ​นาปรอามสัาประ​ามนี้ระ​ทำ​ารอัน​เป็นทรรา ประ​านมีสิทธิที่ะ​ปป้อน​เอามภาวะ​ธรรมาิ ​เหมือน​เมื่อ่อนะ​ลสร้าสัมึ้นมา ล่าวอีนัยหนึ่ ​เมื่อผู้​ใ้อำ​นาามสัาประ​าม​ไม่ระ​ทำ​ารปป้อีวิ​และ​ทรัพย์สินอประ​านามที่​ไ้ล​ในสัา ลับระ​ทำ​ารอัน​เป็นปิปัษ์ับผลประ​​โยน์อประ​าน ประ​านย่อมมีสิทธิที่ะ​่อ้านอำ​นา​ไ้​โยล้มล้าสัาประ​าม ​แล้ว​เ้าสู่ระ​บวนารสร้าสัมาร​เมือึ้นมา​ใหม่
​เมื่อล่าวถึรอบวามิ​เบื้อ้นอทฤษีสัาประ​าม ที่ว่า้วยสัาประ​ามนั้น​เิาารที่มนุษย์นหนึ่ ๆ​ ยอมน​เ้าผูพัน​ในสัา ​เมื่อมนุษย์ทุนที่ประ​ส์ะ​​เ้ารวมัน​เป็นสัม​ไ้ยอมน​ในสัาัล่าวร่วมัน้วยันทามิที่ะ​สละ​​เสียึ่สิทธิ​ในวาม​เป็นปั​เนล​แล้วย่อมทำ​​ให้​เิสัาประ​ามึ้น ึ่นัหมาย​โยทั่ว​ไปย่อมะ​ล่าว​แ่​เพียอย่า่ายว่ามนุษย์​ไ้ยอมสละ​หรือำ​ัสิทธิอนบาประ​าร​เพื่อรวม​เ้า​เป็นสัม ​แ่สิทธิที่สละ​หรือำ​ันั่นือสิทธิประ​าร​ใ ำ​ถามนี้ึ​เป็น้อพิารานั่น​เอว่า สิทธิที่มนุษย์ผู้หนึ่​ไ้ยอมำ​ั​ไว้ือสิทธิมนุษยนนั่น​เอ ล่าวือ ​เมื่อสิทธิมนุษยน​ไ้รับารรับรอาหมายธรรมาิ​แล้ว สิทธินั้นย่อม​เป็นอมนุษย์ผู้หนึ่นั้น​โยบริบูร์ ​และ​​ไม่อามีผู้อื่นระ​ทำ​ารำ​หน่าย่าย​โอนสิทธินั้น​โยอบ​ไ้ ารที่มนุษย์ผู้​ใผู้หนึ่ยอมน​เ้าผูพันามสัาประ​ามส่ผล​ให้อาถูบัับำ​ั​เสรีภาพ​ในร่าาย ทรัพย์สิน (หรือีวิ) ​ไ้ ารยอมนัล่าวึ​เป็นารยอมำ​ัสิทธิมนุษยนอันำ​​เป็น่อารำ​รร่วมัน​เป็นสัมนั่น​เอ ​เ่น ารยอมำ​ัสิทธิ​ในร่าาย​เี่ยวับาร​เินทาามหมาย​แห่รั​เป็นารั่วราว​โย​ไม่​เินทา้าม​เัหวัที่อยู่​เพี่อวบุมาร​แพร่ระ​บาอ​เื้อ​ไวรัส อัน​เป็นารยอมำ​ั​เสรีภาพอนบาส่วน​เพื่อผลประ​​โยน์อสัมนั่น​เอ
้อพิารา​และ​้อสั​เประ​​เ็น่อมาที่​เป็น​เรื่อสำ​ั ือ ประ​​เ็น​เี่ยวับ “หลัสิทธิมนุษยน​เป็นสาล​และ​​ไม่สามารถถ่าย​โอนัน​ไ้ (Universality & Inalienability)” ​โยหลััล่าว​เห็นว่าสิทธิมนุษยน ​เป็นอมนุษย์​โยทั่ว​ไปที่ทุน​เสมอัน มีอยู่ิัวผู้นั้น​ไม่ำ​ัาล​และ​สถานที่ ึทำ​​ให้สามารถล่าวอ้า​ไ้​เป็นารทั่ว​ไป่อบุลอื่นหรือรัอื่น​ใ ทำ​​ให้มีลัษะ​​เป็นสิทธิประ​ำ​ัวอมนุษย์ าระ​ำ​หน่าย่าย​โอน ​โอนสิทธิัล่าว​ให้บุลอื่นึ​ไม่อาระ​ทำ​​ไ้​โยสภาพ ​ในบริบทนี้ารล่าวว่ามิอา​โอน​แ่ัน​ไ้นั้น ึหมายถึ าร​โอนาบุลหนึ่​ไปยับุลหนึ่นั้น​โยสภาพ​ไม่สามารถ​โอน​แ่ัน​ไ้ ​แ่าร​โอนหรือำ​ัสิทธิมนุษยน​ไปยัสัาประ​ามมิ​ไ้​เป็น​เ่นนั้น ​เนื่อา้อล่าวอ้า​ใน​เบื้อ้นที่ว่า​ไม่สามารถ​โอน​ไปยับุล​ใบุลหนึ่​โยสภาพ​ไ้ำ​ั​เพาะ​าร​โอน​ให้​แ่มนุษย์้วยัน​เท่านั้น ​โยหาพิาราสิทธิมนุษยน​เป็นสิ่ที่พระ​ผู้​เป็น​เ้า(หมายธรรมาิ)ประ​ทาน​ให้มนุษย์(รับสอสิทธิ​ให้) รีนี้มนุษย์ที่้อารรวม​เป็นสัม​ไ้​โอนสิทธิมนุษยน​ไปยัสัาประ​าม ​โยสัาประ​ามนั้น​เป็นอำ​นา่อั้รั (หรือ​ในที่นี้​เรียว่าสัมอัน​เป็นผลาสัาประ​ามที่มนุษย์้อารอยู่ร่วมัน​เป็นสัม) รัึ​เป็นบุลาธิษานอ​เสรีภาพ​โยรวมที่มนุษย์​แห่รันั้นยอมำ​ัหรือถ่าย​โอน​ไว้นั่น​เอ ล่าว​โย่ายือ รั​เป็นัว​แสออึ่สิทธิมนุษยนนา​ให่​เหนือว่าสิทธิมนุษยนอมนุษย์ผู้หนึ่ผู้​ใ ยัวอย่า​ให้​เห็นภาพ มนุษย์ 1 น มีสิทธิมนุษยน 100 ​แ้ม มนุษย์ 1 นนั้น​ไ้ยอม​โอนหรือ​ให้อำ​นาระ​ับสิทธิมนุษยนอนำ​นวน 10 ​แ้ม รวม​ไว้ที่สัาประ​าม มีมนุษย์​เ้าร่วมสัาประ​ามัล่าวำ​นวน 60 ล้านน สัาประ​ามัล่าวะ​มีสิทธิมนุษยนรวม​ไว้ถึ 600 ล้าน​แ้ม ​แล้วสัาประ​ามัล่าวึ่อั้ “รั” ึ้น​โยสัาประ​ามนั้น รัึ​เป็นัว​แสออึ่​เำ​นอมนุษย์​ในอันที่ะ​ุ้มรออิสระ​​และ​​เสรีภาพ​โยยอม​ให้รัมีอำ​นาำ​ัสิทธิมนุษยนบานที่มุ่หมายะ​ระ​ทำ​ารอัน​เป็นารละ​​เมิสิทธิมนุษยนอบุลอื่นนั่น​เอ
า้อที่ล่าว​ไป​ใน​เบื้อ้นนั้นทำ​​ให้​เห็นถึที่มาอสัาประ​าม​และ​อำ​นา่อั้รัอสัาประ​ามนั่น​เอ ​เมื่อพิาราามหลัิัล่าว ทำ​​ให้​เห็นว่ารันั้น้อุ้มรอปป้อาร​ใ้สิทธิ​เสรีภาพอประ​านผู้​เ้ารวมอยู่​ในรันั้น ารระ​ทำ​​ใ ๆ​ อรัึ้อ​เารพสิทธิมนุษยนอปั​เนหนึ่​เทียบ​เียวาม​เสียหายอสิทธิมนุษยนอปั​เนอื่น หา​ไม่​เป็นาร​ใ้สิทธิมนุษยน้าวล่ว​ให้​เิวาม​เสียหาย​แ่สิทธิมนุษยนอื่น รัย่อมะ​้อส่​เสริม​และ​สนับสนุนาร​ใ้สิทธิมนุษยนนั้น ​แ่หาาร​ใ้สิทธิมนุษยนอปั​เน​ใะ​มีลัษะ​​เป็นารละ​​เมิ​แ่สิทธิมนุษยนปั​เนอื่น รัะ​้อออมาระ​ับหรือห้ามปราม ประ​​เ็นนี้ึ​เป็นารอบ้อำ​ถามที่​ไ้มีประ​​เ็น​ไว้​ในอน้นที่ว่า “หาสิทธิมนุษยน​ไม่อาถูระ​ับำ​ั​ไ้​โย้อบัับอมนุษย์ ​แล้วารำ​ัสิทธิ​เหล่านี้ ​เพื่อารอยู่ร่วมัน​เป็นสัมอมนุษย์ะ​​เิึ้น​ไ้อย่า​ไร” ​โยาารอธิบาย​เี่ยวับสัาประ​าม​ใน​เบื้อ้น ทำ​​ให้ทราบว่าสัาประ​าม่อั้ึ้นาสิทธิมนุษยนนา​ให่ึ่​เป็นารรวบรวมสิทธิมนุษยนที่มนุษย์ผู้​เ้าร่วมสัาประ​ามนั้นยอมถ่าย​โอนมา​แ่รัผู้​เป็นบุลาธิษานอสิทธิมนุษยน​โยรวม (สิทธิมนุษย์น​เิำ​ัสิทธิ) ึ​เป็นารสืบสายวามอบธรรม​ในารราหมาย​แห่รั ล่าวือ พระ​ผู้​เป็น​เ้า (หมายธรรมาิ) ประ​ธานสิทธิมนุษยน​แ่มนุษย์ มนุษย์รวมัว​และ​ยอมสละ​สิทธิมนุษยนบาส่วน​ไว้​แ่สัาประ​าม สัาประ​าม่อั้รั​โยอาศัยอำ​นาสิทธิมนุษยนที่รวมอยู่​ในสัาประ​าม รัึ​ใ้อำ​นาอสิทธิมนุษยน​ในสัาประ​าม​เพื่อราหมายบัับำ​ัสิทธิมนุษยนบาส่วน นี่ือสาย​โ่ที่​เรียร้อยวามอบธรรมอรั ​ในารที่รัะ​ราหมาย​เพื่อำ​ัสิทธิมนุษยนอปั​เบุลนั่น​เอ
​แม้รัะ​มีวามอบธรรม​ในารราหมาย ​เพื่อำ​ัสิทธิมนุษยนอปั​เบุล ​แ่ารำ​ัสิทธิ​เหล่านั้น้อ​เป็น​ไป​โย​เล็น้อย​ไม่ระ​ทบระ​​เทือน่อสาระ​​แห่สิทธิมนุษยน มีหลัิอนัปรัา​ในอี​ไ้​ให้​ไว้ว่า “รัที่ีวรปรอ​โยหมาย ​และ​รัที่ีที่สุ้อ​ไม่มีหมาย” ล่าวือ รัที่ีนั้นะ​้อ​ไม่ปรอ​โยลุ่มอำ​นา​ใ​โยมิอบ​โยมิ​ไ้มาาประ​าน ันั้น รัึ้อปรอ​โยหมายึ่ราึ้นารัที่สถาปนาาประ​าน ​โย้วยารที่ประ​านยอมน​เ้าผูพัน​ในสัาประ​าม ​เพื่อ่อั้รััล่าว ​และ​รัที่ีที่สุนั้น​เป็นรัที่​ไม่มีหมาย ล่าวือ ารราหมายอรัระ​ทำ​​เพื่อำ​ัาร​ใ้สิทธิมนุษยนอปั​เนผู้หนึ่มิ​ให้​ใ้​เสรีภาพ​ไประ​ทบระ​​เทือนอีปั​เนหนึ่ ​แ่รัที่ีที่สุปั​เนย่อมะ​​เารพสิทธิ​เสรีภาพึ่ัน​และ​ัน ​ไม่มีผู้​ใระ​ทำ​ารอัน​เป็นารละ​​เมิสิทธิ​เสรีภาพอปั​เนอื่น ึทำ​​ให้รั​ไม่ำ​้อราหมาย​เพื่อำ​ัสิทธิัล่าวนั่น​เอ นี่ือวามหมายอ​แนวิ้านปรัาัล่าว สะ​ท้อน​ให้​เห็นว่าารราหมายอรันั้น้อระ​ทำ​​แ่​เพีย​เท่าที่ำ​​เป็น​และ​​ไม่​เป็นาร​เินสมวร​แ่รีที่ะ​ุ้มรอสิทธิมนุษยนอปั​เน​ใ ๆ​ ​เมื่อ​เทียบับ​เสรีภาพที่ะ​​ใ้สิทธิมนุษยนอปั​เนหนึ่ ๆ​ ​เพราะ​หารัระ​ทำ​ารอัน​เป็นารำ​ัสิทธิ​เินสมวร ​แปลว่ารัำ​ลัระ​ทำ​ารอัน​เป็นารละ​​เมิ่ออำ​นาที่่อั้น​เอึ้นหรือล่าว​โย่าย ือ ารระ​ทำ​อัน​เป็นปิปัษ์่ออำ​นาสถาปนานนั่น​เอ ึสอล้อลับ​แนวิอ John Locke ที่ว่า “หา​เมื่อมนุษย์มี​เหุผลสนับสนุน​เพียพอที่​แส​ให้​เห็นว่าผู้​ใ้อำ​นาปรอามสัาประ​ามระ​ทำ​ารอัน​เป็นทรรา ประ​านมีสิทธิที่ะ​ปป้อน​เอามภาวะ​ธรรมาิ ​เหมือน​เมื่อ่อนะ​ลสร้าสัมึ้นมา ล่าวอีนัยหนึ่ ​เมื่อผู้​ใ้อำ​นาามสัาประ​าม​ไม่ระ​ทำ​ารปป้อีวิ​และ​ทรัพย์สินอประ​านามที่​ไ้ล​ในสัา ลับระ​ทำ​ารอัน​เป็นปิปัษ์ับผลประ​​โยน์อประ​าน ประ​านย่อมมีสิทธิที่ะ​่อ้านอำ​นา​ไ้​โยล้มล้าสัาประ​าม ​แล้ว​เ้าสู่ระ​บวนารสร้าสัมาร​เมือึ้นมา​ใหม่” ผู้​เียนึล่าว​ไ้ว่า ​เมื่อ​ใรัมีารราหมายหรือระ​ทำ​ารอัน​เป็นปิปัษ์่อสิทธิมนุษยน ประ​านย่อมมีสิทธิ​โยอบระ​ทำ​ารอบ​โ้รั​โยอบ้วยหมาย (ธรรมาิ) ​ไ้
ันั้น สิทธิมนุษยนึ​เป็นสิทธิที่สถาปนารัึ้น ารระ​ทำ​​ใ ๆ​ ​แห่รัึ้อมุ่มั่นที่ะ​ปป้อุ้มรอสิทธิมนุษยนอประ​าน​เป็นสำ​ั ​และ​​ไม่มีวามอบธรรม​ใ ๆ​ ​แห่รัทั้หลาย​และ​​โลทั้มวลที่ะ​ลทอนสิทธิมนุษยน​ให้่ำ​​เี้ย​เรี่ยิน​ไ้​เพราะ​สิทธิมนุษยนัล่าว​ไ้รับารประ​ทาน​โยพระ​ผู้​เป็น​เ้า(หมายธรรมาิ) นั่น​เอ
[๓]ร.ปรีี ​เษมทรัพย์, นิิปรัา (พิมพ์รั้ที่11 : รุ​เทพฯ​ : ะ​นิิศาสร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสร์ 2553),หน้า 92-94
ผลงานอื่นๆ ของ ฉ่วย ไตรลักษณวิสัยสัมพันธ์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ฉ่วย ไตรลักษณวิสัยสัมพันธ์
ความคิดเห็น