ตอนที่ 9 : Chapter 7 :: ก้าวแรก
ช่างเป็นคืนที่ไม่อาจข่มตานอนได้จริงๆ
สำหรับคืนสุดท้ายที่จะได้นอนบนเตียงๆเดิม ห้องๆเดิม บ้านหลังเดิม อันเป็นสถานที่ที่ทรานส์หนุ่มอาศัยเติบโตมาตลอดยี่สิบปี ช่วงนี้ของทุกปีหน้าต่างห้องของเขาจะถูกใช้เป็นจุดชมทางช้างเผือกที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนกว่าทุกที อาซาเอลเท้าแขนลงกับขอบหน้าต่าง เส้นผมขยับเบาๆด้วยลมยามค่ำคืนที่แสนเหน็บหนาว หากแต่เจ้าของกลุ่มดาวสามดวงก็มิได้สนใจสภาพอากาศมากนัก เขายังคงเหม่อมองไปไกลแสนไกลจนกระทั่งความชื้นในอากาศส่งให้เจ้าตัวจามออกมาพรืดใหญ่
“อยากป่วยตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนหรือไงลูก น่าตีจริงๆ”เสียงหวานของผู้ที่ยืนมองเด็กดื้อของเธออยู่นานเอ่ยขึ้นเมื่อลูกชายคนเดียวยกมือขยี้จมูกฟุดฟิด นมอุ่นหนึ่งแก้วถูกส่งให้คนที่ฝืนตากลมทั้งที่สวมเพียงชุดนอนบางๆ
อาซาเอลยิ้มรับก่อนจะยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก ปล่อยให้ของเหลียวสีขาวได้ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายที่ผิวเนื้อเย็นจัดตามสภาพอากาศ อิซาเบลรับแก้วเปล่าคืน ยังไม่ทันได้ขยับเท้าก้าวออกจากห้องก็โดนมือหนาของลูกชายดึงชายเสื้อนอนไว้เสียก่อน
ตลอดสองวันที่สถาบันปล่อยให้นักเรียนใหม่กลับบ้านเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเปิดเทอม อิซาเบลมั่นใจว่าได้พูดคุยกับเด็กน้อยตรงหน้าไปแล้วหลายร้อยหลายพันเรื่องราว อาซาเอลถ่ายทอดประสบการณ์การทดสอบให้เธอฟังเท่าที่เวทย์สัจจะยอมให้ทำ และเธอก็รับรู้ว่าเด็กหนุ่มที่เธอเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกนั้นต้องผ่านความเจ็บปวดมากเพียงใด
คนเป็นแม่ได้แต่ปลอบโยนและเตือนภัยว่าภายในสถาบันนั้นมีสิ่งที่ต้องเผชิญอีกมากมาย
หากแต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่อาซาเอลจะมีแววตาสั่นไหวได้เท่าตอนนี้
“แม่ครับ ผมกลัว”
เสียงที่พยายามทำให้ไม่สั่นแต่ก็ยังสั่นอยู่นั้นบีบหัวใจผู้ให้กำเนิด
คนดื้อดึงอย่างอาซาเอล น้อยครั้งที่จะเอ่ยออกมาเองว่ากำลังหวาดกลัว น้อยคนนักจะเคยได้ยิน หากเมื่อใดที่เด็กคนนี้เอ่ยปาก นั่นหมายความว่าความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกนั้นใกล้ระเบิด ทรานส์ตัวน้อยที่กำลังสั่นกลัวต่ออนาคตต้องการอ้อมกอดของคนที่เขาไว้ใจช่วยปลอบโยน
และไม่มีอ้อมกอดใดอบอุ่นไปกว่าอ้อมกอดของมารดา
อิซาเบลค้อมตัวลงกอดลูกชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้บุนวมที่เธอเลือกให้เอง เพียงแค่คิดว่าเด็กคนนี้จะออกห่างอกเธอไปหลายปีก็ไม่อาจหยุดความร้อนผ่าวที่ขอบตาได้
กระนั้นหยดน้ำตาของหญิงวัยกลางคนก็มิได้ร่วงหล่นลงมา หากถามว่าอาซาเอลได้นิสัยเกลียดความพ่ายแพ้และความอ่อนแอของตัวเองมาจากใคร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากผู้หญิงคนนี้เอง
นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิต ที่เจ้าตัวน้อยต้องไปอยู่ไกลจากสายตา ทว่าครั้งนี้เธอยินยอม เพื่อให้ลูกแข็งแกร่งขึ้น การส่งเข้าเรียนในสถาบันดีๆนั้นเป็นเรื่องจำเป็น
“ความหวาดกลัวจะทำให้ลูกเอาตัวรอดได้ ยอมรับ และใช้มันให้เป็นประโยชน์นะลูกรัก”เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมลูบเส้นผมสีดำสนิทเบาๆอย่างรักใคร่ สัมผัสได้ถึงแรงขยับเบาๆอันเกิดจากการพยักหน้ารับคำ
“ตอนทดสอบ ผมเกือบลอสอย่างสมบูรณ์"
"ผมกลัว กลัวว่าสิ่งนี้จะฟ้องใครต่อใครว่าผมเป็นอะไร กลัวว่าสุดท้ายแล้วผมจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ เหมือน…”
อาซาเอลขบริมฝีปากแน่นกลั้นก้อนสะอื้นเมื่อพูดถึงใครบางคนในความทรงจำ คล้ายอะไรบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอทำให้หายใจสะดุด ดวงตาฉ่ำน้ำกระพริบถี่เพื่อไล่บางสิ่งที่กำลังเอ่อล้นขอบตาให้กลับเข้าไปที่ๆมันเคยอยู่
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ อย่าให้ความรู้สึกระแวงนี้ผลักลูกออกจากคนรอบข้าง”
แขนบางที่โอบกอดเด็กผู้ชายตัวโตอยู่ออกแรงโยกร่างกายผอมบางแต่ก็แข็งแรงสมวัยไปมาเบาๆ ราวกับเขาเป็นเด็กตัวน้อยที่กำลังโยเยไม่ยอมทานผัก
หากแต่เรื่องที่อาซาเอลกำลังโยเยนั้นขมเฝื่อนกว่ารสชาติของผักชนิดใดในโลกมากนัก
“ลูกเป็นคนพิเศษ อย่าหวาดกลัวสิ่งที่ตัวเองเป็นเลยอาซาเอล สักวันหนึ่งเจ้าของสิ่งที่อยู่ในตัวลูกต้องมารับมันคืนไปแน่นอน”
“แล้วผมก็ต้องกลายเป็นเขี้ยวของเขา ใช่มั้ยครับแม่”ดวงตาคมช้อนมองผู้เป็นแม่ แววสั่นไหวที่สะท้อนอยู่ในนั้นได้รับการส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ
อาซาเอลคิดว่าต่อให้คำตอบนี้เป็นคำโกหก มันก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมากโข
“ไม่หรอกลูก จะเป็นเขี้ยวของใคร เป็นสิ่งที่ลูกเลือกได้นะลูกรัก”
“ผมไม่อยากเป็นเขี้ยวของใครทั้งนั้น”
ครั้งนี้อาซาเอลไม่ได้ปฏิเสธด้วยเสียงห้วนอย่างทุกที เสียงสั่นเครือนั้นต่อต้านสิ่งที่ผู้เป็นแม่เอ่ยได้อย่างน่าเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่ผู้ให้กำเนิดจะก้มลงไปฟัดหอมแก้มนุ่มของลูกชายเสียฟอดใหญ่
“เด็กน้อย ลูกกลัวการเป็นเขี้ยวงั้นหรือ”อิซาเบลมองสบนัยต์ตาสีดำสนิทที่มักจะทอประกายสดใสอยู่เสมอ บัดนี้เมื่อสิ้นคำถามเธอ ประกายหม่นวูบฉายอยู่บนดวงตาคู่เดิม
อิซาเบลไม่อยู่ในจุดที่พูดได้ว่าเข้าใจลูกชายของตัวเอง เพราะเธอเป็นเพียว เป็นเพียวที่เคยคิดอยากทำให้ใครสักคนมาเป็นเขี้ยวของตน เธอจึงไม่อาจเอ่ยปากบอกเด็กน้อยตรงหน้าว่าการเป็นเขี้ยวนั้นไม่น่าหวาดกลัว ในเมื่อเธอรู้ดีว่าความกระหายให้ใครสักคนมาเป็นของตนนั่นน่าหวาดหวั่นเพียงใด
ทว่าเธอก็ไม่อาจปฏิเสธว่าเด็กคนนี้ผ่านเรื่องราวโหดร้ายมามากเพียงเพราะเกิดมาเป็นทรานส์ เพียงเพราะมีลักษณะพิเศษติดตัว และเพียงเพราะเกิดมาในตระกูลนี้
จิตใจของเด็กน้อยที่เธอเฝ้าทะนุถนอมตั้งแต่ลืมตาดูโลกแตกสลายไปเท่าไรเธอมิอาจรู้ ทำได้เพียงกอบเศษเสี้ยวที่เหลือนั้นเอาไว้ พยายามผลักดันให้อาซาเอลมีชีวิตแบบปกติสุข ชดเชยช่วงเวลาที่ผ่านมา
แต่ดูเหมือนเรื่องราวบางอย่างหยั่งรากฝังลึกจนทำให้อาซาเอลยึดติดกับคำว่าเขี้ยวมากเหลือเกิน
“ผมไม่ได้กลัวการเป็นเขี้ยว…
แต่ผมกลัวการเป็นเขี้ยวที่ไม่ถูกรัก”
hf
“นี่เป็นพิธีรับน้องใหม่อย่างเป็นทางการ หวังว่าเมื่อประธานในพิธี ผู้อำนวยการแห่งสถาบันเชนโตเออูโนเข้ามา พวกคุณจะอยู่ในความสงบนะครับ”
เสียงทุ้มนุ่มชวนฟังของผู้ที่แนะนำตัวว่าเป็นประธานนักเรียนคนปัจจุบันดึงความสนใจของนักเรียนใหม่ทั้งสี่สิบคนได้อย่างดี แม้แต่แจนิวาลที่เอาแต่พูดไม่หยุดตั้งแต่เข้ามานั่งภายในห้องประชุมขนาดกลางของสถาบันชื่อดังแห่งนี้ก็ยังยอมปิดปากสนิท เพราะหากทำให้ผู้มีอำนาจภายในสถาบันไม่พอใจ เขาอาจจะโดนโยนออกไปได้ง่ายๆ
กว่าจะเข้ามาได้เหงื่อแทบกลายเป็นสายเลือด เขาไม่ยอมโดนดีดออกไปตั้งแต่วันแรกแน่ๆ
หากนักเรียนใหม่คาดหวังว่าสถาบันเชนโตเออูโนแสนเลื่องชื่อจะเป็นสถานที่สุดวิจิตรพิสดาร ก็ถือว่าสมดังที่หวัง เพราะถึงจะไม่ได้วิจิตรบรรจงเหมือนลอยลงมาจากเขาโอลิมปัสอันที่เป็นสถิตของทวยเทพ แต่การที่สถาบันซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเทือกเขาขนาดใหญ่ราวกินพื้นที่ทางตอนใต้ของทวีปไปหลายส่วนนี่ก็น่าอัศจรรย์ไม่น้อย
สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของเทือกเขาที่มโหฬารยิ่งกว่า ภาพเช่นนั้นงดงามจนผู้ที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนอย่างแจนิวาลได้แต่อ้าปากพะงาบๆจนมินาคัสอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นช่วยปิดปากนั้นให้ แต่มันคงรุนแรงไม่น้อยเพราะเรียกสีหน้างอง้ำของคนตัวเล็กกว่าได้อีกหน
สำหรับอาซาเอลแล้วสิ่งที่ทำให้อยากอ้าปากพะงาบๆคือเมื่อจินตนาการว่าผู้ที่สร้างมันขึ้นมาจะต้องมีพลังเวทย์มากมายเพียงใด
การก่อสร้างอาคารใดก็ตามในปัจจุบันจะไม่ยอมให้เกิดการทำลายต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ดังนั้นสถาปัตยกรรมทั่วโลกจึงเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของผู้สร้างว่าจะใช้งานทรัพยากรอย่างไรไม่ให้สูญเสียสิ่งใดแม้แต่น้อย เว้นแต่พลังเวทย์ของผู้สร้างเอง
เช่นนั้นแล้ว การสร้างปราสาทขนาดใหญ่จากหิน แร่ และต้นไม้ที่ยังเจริญเติบโตได้แม้ถูกบิดม้วนเพื่อรัดตรึงโครงสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกันนั้นจึงต้องใช้พลังและความสามารถสูงเกินกว่าเด็กใหม่หัดเดินอย่างพวกเขาจะจินตนาการออก
เพียงแค่คิดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาจะได้พบกับบุคคลที่สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา รวมถึงการบิดมิติพื้นที่ร่วมสองพันมิติเมื่อครั้งทดสอบด้วยแล้ว อาซาเอลก็พบว่าตัวเองเผลอกลั้นหายใจอย่างห้ามไม่ได้
กระนั้นก็มีบางสิ่งที่ดึงความสนใจของเขาไป
โต๊ะประชุมถูกจัดวางให้เป็นรูปตัวยู ปลายโค้งตัวยูเป็นที่สำหรับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่อาซาเอลรอคอย ดังนั้นนักเรียนใหม่จึงถูกแบ่งเป็นสองแถวนั่งหันหน้าเข้าหากัน
และนั่นก็มีบางสิ่งที่น่ารำคาญใจ
อาซาเอลขยับตัวอย่างไม่สบายนักเมื่อรับรู้ได้ว่าท่ามกลางสายตาที่มองไปยังรุ่นพี่หน้าห้องกลับมีดวงตาเรียวอยู่คู่หนึ่งที่เอาแต่มองเขามาตั้งแต่ต้น จนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมละไปไหน หากสายตาของคนๆนี้เป็นของแหลม ตัวของอาซาเอลก็คงพรุนไปหมดแล้ว
และให้ตายเถอะ เขาเพิ่งรู้ว่าบุคคลที่ขึ้นบัญชีว่าไม่อยากเจอหน้าที่สุดเป็นคนๆเดียวกับนายแบบหนุ่มชื่อดังที่แจนิวาลเคยร่ายความดีความชอบให้ฟัง
การที่ได้มานั่งอยู่ตรงข้ามกันแบบนี้เลยทำให้แฟนคลับตัวยงหันมากระซิบกระซาบกับเขาไม่หยุด และนั่นก็ทำให้คนหูดีที่นั่งอยู่อีกฝั่งยิ้มได้อย่างน่าหมั่นไส้เหลือเกิน
ถ้าเป็นคนดังแล้วนิสัยเสีย เขาคนหนึ่งล่ะที่จะตั้งตนเป็นแอนตี้ของ คาดิเนียล
“ผู้อำนวยการพร้อมแล้วนะ เริ่มเลยมั้ย”
สายตาทุกคู่ในห้องประชุมหันไปตามเสียงของผู้เข้ามาใหม่ และเพราะอาซาเอลลอบมองคนที่ทำให้เขาอึดอัดอยู่จึงทันเห็นว่ารุ่นพี่ร่างสูงที่เข้ามาแจ้งข่าวนั้นสบตากับคาดิเนียลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากให้กันอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วินาที กระนั้นรอยยิ้มนั่นก็ดูอันตรายอย่างมิอาจอธิบายได้ ยิ่งเมื่อทรานส์หนุ่มเลื่อนสายตาไปสบเข้ากับเจ้าของร่างกายกำยำอย่างคนชอบออกกำลังที่ยืนอยู่เคียงข้างประธานนักเรียน ความชาวาบก็แล่นจากปลายเท้าขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
คล้ายกับเมื่อครั้งที่มิติพื้นที่แปรปรวนแล้วได้พบกับคาดิเนียลครั้งแรก
หวาดกลัวแต่โหยหา
ทว่าเจ็บปวดน้อยกว่ามาก
“เชิญท่านมาได้เลย นักเรียนใหม่ทุกคนเตรียมตัวนะครับ”
อาการอึดอัดคล้ายถูกขโมยลมหายใจหายไปราวไม่เคยเกิดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายถอนสายตาจากเขาไปเพื่อพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะก้าวออกจากห้องประชุมไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
เกิดอะไรขึ้น
อาซาเอลนิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนจะได้คิดทบทวนสิ่งใดก็ต้องลุกขึ้นยืนเพื่อทำความเคารพบุคคลสำคัญ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ผู้ก่อตั้งสถาบันอันยอดเยี่ยม
ผู้อำนวยการสถาบันเชนโตเออูโน
“สวัสดีนักเรียนใหม่ทุกคน ผมยูโนดิซัส ผู้อำนวยการของที่นี่ ยินดีต้อนรับทุกคนนะ”
ราวกับทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว
พลังเวทย์มหาศาลที่เอ่อออกมาจากชายคนนี้กดดันเสียจนทรานส์บางคนแทบจะลอส หากไม่ใช่ผู้ผ่านการทดสอบสุดโหดหินแล้วล่ะก็ คงมีทรานส์เผยร่างออกมาเป็นแน่
อาซาเอลกัดฟันจนเห็นสันกรามอย่างชัดเจน กลัวเหลือเกินว่าจะมีผู้สังเกตเห็น หากแต่สภาพของแจนิวาลที่เหงื่อซึมขมับอยู่นั้นก็ทำให้ทรานส์หนุ่มรู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่ทรานส์ แต่เพียวและไฮบ์ก็ได้รับผลกระทบจากพลังอำนาจนี้ไปด้วยเช่นกัน
เพราะความช่างจ้อของแจนิวาล อาซาเอลจึงได้รู้ว่าเพื่อนคนนี้เป็นเพียว ตอนที่รู้ทรานส์หนุ่มตื่นเต้นไม่น้อยเพราะในยุคนี้มนุษย์ทั้งสามกลุ่มเพียวถือว่าเหลือน้อยเต็มที ด้วยเพียวนั้นจะเกิดจากมนุษย์เลือดบริสุทธิ์เท่านั้น ตลอดเชื้อสายที่สืบทอดกันมาจะต้องไม่เคยมีผู้ใดจับคู่กับไฮบ์หรือทรานส์
ความสามารถสำคัญอย่างหนึ่งของเพียวคือทนต่อแรงกดดันจากพลังเวทย์ได้ดีกว่าไฮบ์และทรานส์ที่มีสัญชาตญาณสัตว์ป่าทำให้ตื่นกลัวได้ง่ายกว่า
กระนั้นแจนิวาลก็ยังสั่นกลัวต่อคนเบื้องหน้า
ทำเช่นไรจึงจะได้รับพลังในระดับนั้นมาครอบครอง หรือเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
หากจะพูดว่าใครสักคนได้รับความรักจากพระเจ้ามากกว่าผู้อื่น
ยูโนดิซัสผู้นี้ก็คงอยู่ในรายชื่อเหล่านั้นเป็นแน่
hf
“ฉันคิดว่าจะตายแล้วจริงๆนะตอนนั้น”
แจนิวาลพูดประโยคเดิมเป็นรอบที่เจ็ด อาซาเอลมิได้ตั้งใจนับหากแต่จำได้เองเมื่อตั้งแต่ครั้งที่สามเป็นต้นมามินาคัสก็ถอนหายใจตามหลังประโยคนี้ทุกครั้ง คงเบื่อจะฟังไม่ต่างกับเขานักหรอก
“จริงๆฉันว่านายน่าจะตายไปเลยนะ ตอนนั้นน่ะ”
แจนิวาลเบิกตาโตเอามือทาบอกทำทีตกอกตกใจกับคำพูดร้ายกาจของอาซาเอล ตั้งแต่รู้จักกันมาจนเริ่มสนิทสนม เขาก็รับรู้ได้ว่าริมฝีปากของอาซาเอลนั้นมีใบมีดซ่อนอยู่
หลายครั้งที่พูดจาเชือดเฉือนความรู้สึกเสียจนเจ็บแสบ
หากแต่แจนิวาลก็ปรับตัวได้เร็วจนไม่รู้สึกรู้สาต่อถ้อยคำรุนแรงเหล่านั้นไปเสียแล้ว ความสามารถนั้นทำเอาอาซาเอลและมินาคัสรู้สึกชื่นชมและหมั่นไส้ไปพร้อมกัน
เหตุที่แจนิวาลสามารถจ้อไม่หยุดได้เช่นนี้เพราะนักเรียนใหม่ถูกส่งเข้าหอพักเพื่อจัดเก็บสัมภาระที่นำมาให้เข้าที่เข้าทางและจัดการเรื่องการลงทะเบียนเรียน พวกเขาทั้งสามจึงพากันมานั่งปรึกษาเรื่องวิชาที่จะลงเรียนในห้องของอาซาเอล เหตุที่เลือกห้องนี้ก็เพราะอยู่ตรงกลางระหว่างแจนิวาลและมินาคัสพอดิบพอดี
มินาคัสเทเลพาทีไปชักชวนหากแต่ได้รับคำปฏิเสธจากเพื่อนรุ่นน้อง พร้อมเหตุผลว่าลงทะเบียนเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนใหม่ที่อยู่ห้องติดกัน อีกฝ่ายเข้าเรียนที่นี่ตั้งแต่ปีก่อนจึงช่วยเหลือนักเรียนใหม่ได้มาก
เหลือก็แต่สามสหายที่ต่างก็ไม่รู้อะไรเลย แต่ยืนยันว่าจะลงวิชาเรียนกันเอง ไม่อยากรบกวนให้เพื่อนใหม่ของซามูเอลต้องเดินลงมา และขี้เกียจเกินกว่าจะเดินขึ้นไป
ห้องของพวกเขาอยู่ทางด้านปีกตะวันออกซึ่งมีทัศนียภาพนอกหน้าต่างเป็นแนวเขาและป่าสนที่ให้ความรู้สึกร่มรื่น ยามเช้าคงมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอาบแสงเหนือเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปได้พอดี อาซาเอลชอบแสงแดดจึงชื่นชอบเป็นพิเศษหากได้อยู่ในที่ที่รับแสงได้ดี ภายในห้องตกแต่งไม่ต่างจากห้องพักที่ใช้รับรองผู้เข้าทดสอบ หากแต่บ่อน้ำพุร้อนถูกแทนที่ด้วยห้องอาบน้ำธรรมดาที่ก็สะดวกสบายดีในความรู้สึกของอาซาเอล นอกจากนี้กลิ่นไม้หอมในห้องยังถูกจริตอาซาเอลมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ มันหอมเย็นมิใช่หอมหวานจนรู้สึกเลี่ยนหากต้องอยู่นานๆ
โชคดีอีกอย่างก็คือที่นี่ให้นักเรียนพักแยกกันคนละห้อง เหตุผลคงไม่พ้นการปกป้องเหล่าทรานส์ตัวน้อยให้ได้มีพื้นที่หลบซ่อนตัวเมื่อเกิดอาการลอส กระนั้นการจัดห้องก็มิได้แยกเพียวและไฮบ์ออกจากทรานส์แต่อย่างใด ดูได้จากการที่ห้องของแจนิวาลอยู่ติดกับห้องของอาซาเอล
เพราะทรานส์ต้องอยู่ร่วมกับไฮบ์และเพียวนี่ล่ะ อาซาเอลจึงรู้สึกว่าโชคดีที่สุดของวันนี้คือการที่ห้องของคาดิเนียลอยู่แยกออกไปทางปีกตะวันตก แมวน้อยที่ตั้งป้อมไม่ยอมเข้าใกล้เจ้าหมาป่าเดินหนีเลี้ยวเข้าปีกตะวันออกตามที่ได้รับการแจ้งมา และพบว่ากลิ่นไอที่คุ้นเคยและคอยกวนอารมณ์เขาตลอดเวลานั้นค่อยๆจางไป
คาดิเนียลไม่ได้เดินตามมา
ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรจึงได้ลอบมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไกลออกไปทุกที
เฮอะ
ต่อให้ไปอยู่ไกลสุดขอบฟ้า หมอนั่นก็คงหาเรื่องทำให้เขารำคาญใจได้อยู่ดี
ขนาดเรื่องที่ทำให้อาซาเอลโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อวันก่อน เขายังไม่ได้ยินคำขอโทษเลยสักครั้ง
เอาแต่มองอยู่อย่างนั้นเพื่ออะไรกัน
นิสัยเสียจริงๆ
“เมื่อไรเราจะได้ลงวิชาเรียนกันเสียที ฉันเหนื่อยและอยากนอนเต็มทีแล้ว”มินาคัสถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับเด็กสองคนที่กวนอารมณ์กันไปมา รู้ดีว่าแจนิวาลนั้นเป็นอย่างไร แต่ไม่คิดว่าอาซาเอลจะเป็นไปด้วยนี่สิ
กลายเป็นเขาต้องคอยห้ามทัพไปเสียนี่
“นอกจากวิชาบังคับแล้วพวกนายอยากเรียนอะไรล่ะ”อาซาเอลเอ่ยถามขณะไล่สายตาไปบนกระดาษที่อัดแน่นไปด้วยชื่อวิชาเรียน บางวิชาแปลกตาเสียจนอาซาเอลจินตนาการไม่ออกว่าเกี่ยวข้องกับอะไร
ตอนนี้สิ่งที่เขากำลังตามหาคือวิชาที่แบคอนสอน หากแต่ในใบรายการก็ไม่ได้ใส่ชื่อผู้สอนเอาไว้เสียด้วย
ขั้นตอนการลงทะเบียนเรียนนั้นไม่ยุ่งยาก เพียงแค่อ่านชื่อวิชาจากใบรายการที่ได้มาหลังจากพิธีรับน้องใหม่จบลง เลือกวิชาที่สนใจ และเขียนลงในกระดาษสำหรับลงทะเบียนซึ่งมีวิชาบังคับเขียนไว้ให้ก่อนแล้ว เมื่อมั่นใจว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใดอีก การประทับตราเลือดถือเป็นสิ้นสุด ตลอดปีการศึกษาสิ่งที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นนี้คือสิ่งที่นักเรียนใหม่จะต้องไต่อันดับขึ้นไปให้ถึงระดับ Beginners ซึ่งเป็นขั้นแรกของการแบ่งระดับความสามารถ
ตอนนี้ความสามารถของพวกเขายังไม่ถึงระดับเบื้องต้นด้วยซ้ำไป กว่าจะไปถึงระดับสูงสุดอันถือเป็นเกณฑ์การจบการศึกษา คงมีหืดขึ้นคอกันแน่นอน
อาซาเอลมีเรื่องมากมายที่อยากเอ่ยถามประธานนักเรียนเกี่ยวกับการเรียนในสถาบันเชนโตแห่งนี้ แต่ก็ต้องเก็บไว้ก่อน ด้วยสภาพนักเรียนใหม่ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเองนั้นไม่ต่างจากคนเพิ่งรอดจากการจมน้ำ โชคดีเหลือเกินที่ผู้อำนวยการกล่าวต้อนรับพวกเขาเพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของประธานนักเรียนที่จะชี้แจงรายละเอียดต่างๆ หากปล่อยให้ผู้อำนวยการอยู่นานกว่านี้ อาซาเอลคิดว่าเขาอาจจะลอสต่อหน้าผู้คนตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนก็เป็นได้
เมื่อนักเรียนใหม่ทั้งสามตกลงกันได้ว่าอยากเรียนวิชาใดเป็นวิชาเลือก บางวิชาต้องแยกกันไปเรียนด้วยสนใจไม่ตรงกัน และพวกเขาก็โตพอที่จะไม่หอบเพื่อนไปเรียนด้วยในทุกวิชา ทั้งสามจึงตัดสินใจเขียนสิ่งที่อยากเขียน ก่อนจะประทับตาเลือดลงบนกระดาษที่จุดตัวเองเป็นเพลิงสีฟ้าอ่อนก่อนจะหายไปในที่สุด
ทรานส์หนุ่มพยายามกัดปลายนิ้วให้เบาที่สุดด้วยไม่ต้องการให้เลือดที่ออกมามากเกินไป กลิ่นคาวเลือดของทรานส์อาจกระตุ้นสัญชาตญาณของเพียวอย่างแจนิวาลเอาได้ แต่การที่อีกฝ่ายมัวแต่งอแงกับรอยแผลที่มินาคัสใช้เข็มอันเล็กจิ้มให้ที่ปลายนิ้วก็ทำให้อาซาเอลตระหนักว่าแจนิวาลเป็นเพียวที่ไม่น่ากลัวเอาเสียเลยสำหรับทรานส์อย่างเขา
ชาตินี้จะหาเขี้ยวได้มั้ยล่ะเนี่ย
ละสายตาจากเพื่อนกลับมามองกระดาษแผ่นน้อยในมือตัวเอง ไฟสีฟ้ากำลังลามเลียกระดาษจนใกล้จะหมดแผ่นโดยผู้ถือกระดาษไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ หากแต่สิ่งที่ทำให้อาซาเอลขมวดคิ้วมุ่นคือบางอย่างที่เกิดขึ้นกับกระดาษของเขา อาซาเอลคิดว่าตนเองตาไม่ฝาด วินาทีก่อนที่กระดาษจะกลายเป็นธุลี มีบางอย่างปรากฏเพิ่มขึ้นมาในรายการวิชาบังคับ
' How to survive '
วิชาบังคับเฉพาะทรานส์
หวังว่าความรู้จากวิชานี้จะทำให้เขารอดได้จริงๆ
เพราะเขาคงต้องใช้การเอาตัวรอดมากโข ในเมื่อวิชาบังคับมีรายชื่อยาวเหยียดเสียขนาดนั้น
เมื่อขึ้นชื่อว่าบังคับ หมายถึงนักเรียนใหม่ทุกคนต้องลงเรียน และนั่นก็หมายความว่า คาดิเนียล ก็ต้องลงเรียนวิชาเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
อยากโดดเรียนชะมัดเลย
hf
ช่วงกลางค่อนปลายของสารทฤดูนั้นกลางวันสั้นกว่ากลางคืนเล็กน้อย แม้ยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็นแต่อุณหภูมิของอากาศก็เริ่มลดต่ำลง โคมร้อนดวงโตที่สาดแสงจ้ามาทั้งวันเริ่มคล้อยตัวลงต่ำจนไม่อาจมองเห็นได้จากหน้าต่างของหอพักฝั่งตะวันออก เหลือเพียงร่องรอยสีชมพูอมส้มที่ระบายพาดผ่านท้องฟ้าคล้ายคำบอกลาของทิวากาล ใกล้หมดเวลาของสัตว์ป่าที่หาอาหารในเวลากลางวัน การล่าของสัตว์กลางคืนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ฝูงนกส่งเสียงเอะอะขณะร่อนลงในป่าสนที่โอบล้อมรอบหอพักนักเรียนปีกตะวันออกเอาไว้ กั้นแนวสถาบันกับป่าทึบด้วยต้นเมเปิ้ลที่ใบเปลี่ยนสีจนใกล้เป็นสีแดงทั้งต้น
อาซาเอลใช้พลังเวทย์บางเบาเพื่อปรับให้สายตาของตนมองเห็นได้ไกลกว่าปกติ หากแต่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดในป่าสนได้ แม้แต่ฝูงนกที่บินหายเข้าไปเมื่อครู่
มีเขตแดนโอบล้อมรอบโรงเรียนไว้
จุดประสงค์นั้นเป็นไปได้หลากหลาย อาจเพื่อปกป้องนักเรียนจากสัตว์ร้าย หรือเพื่อป้องกันนักเรียนหลงหายเข้าไปในป่า ไม่ว่ากรณีใดอาซาเอลก็ไม่คิดอยากลองพิสูจน์ประโยชน์ของเขตแดนเวทย์ขนาดมหึมานี้
ในโลกนี้เต็มไปด้วยเวทมนต์ มิใช่แค่มนุษย์ที่ได้รับพรพิเศษ หากแต่ทุกสรรพสิ่งล้วนมีเวทมนต์ในตัว สิ่งที่กุมพลังอำนาจแท้จริงมิใช่จอมเวทย์แห่งยุค หากแต่เป็นธรรมชาติทั้งมวล ต้นไม้ทุกต้น สัตว์ป่าทุกตัว มีเวทมนต์เป็นของตัวเอง และวิวัฒในแบบที่แตกต่างกันออกไป ไม่ใช่ทุกสายพันธ์ที่เลือกสติปัญญาจนกลายมาเป็นมนุษย์จำแลง หลายร้อยหลายพันที่เลือกหนทางแห่งความแข็งแกร่งในแบบอื่น
ท่ามกลางธรรมชาติ มนุษย์อาจเป็นได้แค่เหยื่อที่ไร้ทางสู้
ก้อกๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นก่อนเวลาอันควรทำให้เจ้าของห้องที่เหม่อมองไกลออกไปจนความมืดเริ่มโรยตัวโดยรอบรู้สึกตัวจากภวังค์ความคิด
หนึ่งวันของนักเรียนใหม่ไม่มีอะไรตื่นเต้นมากนัก หากไม่นับประสบการณ์คล้ายเฉียดปากเหวแห่งความตายยามเมื่อได้เผชิญหน้ากับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของผู้อำนวยการ เวลาที่เหลือหมดไปกับการจัดของและเหม่อมองออกไปนอกห้องพัก รอคอยเวลาที่ใครสักคนจะส่งสัญญาณมาเพื่อให้พวกเขาลงไปทานอาหารเย็นและเข้านอนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันเปิดเทอมของจริงในวันพรุ่งนี้
แต่เวลาที่รุ่นพี่แจ้งไว้ไม่ใช่ตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องรออีกสี่สิบนาที
ใครกันที่มาเคาะประตู
อาซาเอลยังคงยืนนิ่งพิงกรอบหน้าต่าง เผื่อว่าเป็นมินาคัสหรือแจนิวาลจะได้ปลดกลอนด้วยเวทย์ ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปต้อนรับแขกประจำให้เมื่อย หากแต่แขกปริศนากลับเงียบหายไป เจ้าของห้องได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัยด้วยหากเป็นเพื่อนสนิททั้งสองคงส่งเสียงเรียกอาซาเอลไปนานแล้ว ยิ่งถ้าเป็นแจนิวาลป่านนี้คงโหวกเหวกอยู่หน้าห้องอย่างไม่ต้องสงสัย
ขายาวพาเจ้าของห้องมายืนอยู่หน้าประตูก่อนจะดึงบานประตูไม้เนื้อดีให้เปิดออก
อ้าว
ร่างสูงครางกับตัวเองอย่างแปลกใจเมื่อไม่พบใครหน้าห้อง แต่แล้วสายตาก็ต้องลดต่ำลงเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่ปลายเท้า
ภูตจดหมาย
อาซาเอลยืนมองกระดาษสีเทาที่ถูกพับเป็นสุนัขป่าตัวจ้อย เจ้าภูตจดหมายน้อยนั่งอย่างเรียบร้อยรอคอยให้ผู้รับสารเอ่ยอนุญาตให้มันเข้าห้อง ดวงตากลมสีดำสนิทที่ถูกแต้มจากหมึกสีเข้มเป็นสิ่งที่อาซาเอลไม่ชอบนัก ไม่ว่าตัวภูตจะน่ารักน่าชังเพียงใดแต่ดวงตาไร้แววที่จ้องเขม็งนั่นไม่ชวนให้เปิดจดหมายอ่านเอาเสียเลย
โฮ่ง
เสียงทุ้มต่ำที่ดังออกมาจากภูตตัวจ้อยเรียกสีหน้าประหลาดใจจากผู้รับ โดยปกติแล้วเสียงที่บันทึกมาจะเป็นเสียงของผู้เขียนจดหมายเพื่อแจ้งให้ผู้รับทราบว่าเป็นจดหมายจากใคร แต่เจ้าตัวนี้กลับมาพร้อมเสียงเห่าสั้นๆ ที่ทำให้อาซาเอลนึกถึงใบหน้าของคนบางคน
ภูตจดหมายรูปหมาป่า
กับเสียงเห่าที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเสียงใคร
เจ้าภูตตัวนี้วิ่งมาไกลจากฝั่งตะวันตกไม่ผิดแน่
ไกลจนส่งเทเลพาทีไม่ได้ก็มาไม้นี้เลยเรอะ
“เข้ามาสิ”
เอ่ยอนุญาตหลังถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่
ทนให้ดวงตาสีดำด้านนี่จ้องนานๆไม่ไหวหรอก ยิ่งถ้าปล่อยเอาไว้ คนผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าคงไม่ดีเท่าไร
อาซาเอลทรุดตัวลงนั่งกับพรมอุ่นโดยมีเจ้าตัวจ้อยนั่งจ้องหน้าห่างไปไม่กี่คืบ ตั้งแต่ผลักประตูให้ปิดลงก็ถามตัวเองซ้ำๆว่าคิดดีแล้วหรือที่ยอมให้สุนัขเข้ามาในอาณาเขต ถึงจะเป็นเพียงกระดาษที่ผ่านการร่ายเวทย์ก็เถอะ แต่เจ้าของพลังเวทย์ที่ทำให้เจ้านี่ขยับได้ก็ไม่น่าไว้ใจสักเท่าไร
ล่าสุดก็เพิ่งขอให้อาซาเอลเป็นเขี้ยวให้หน้าตาเฉย
มันน่าข่วนให้หน้าเนียนๆนั่นเสียโฉมไปซะเลย
“เงื่อนไขการเปิดอ่านล่ะ”
‘จูบ’
น่าข่วนจริงๆนั่นแหละ
อาซาเอลไม่รู้ว่าตัวเองเผลอแยกเขี้ยวใส่กระดาษแผ่นเดียวไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนเผลอดีดหูของหมาป่ากระดาษไปแรงๆ คิดเอาว่ากำลังดีดหูเจ้าของเสียงที่บันทึกมาก็รู้สึกอยากเปลี่ยนเป็นบีบคอไปเสียเลยดีกว่า
คิดอะไรอยู่ตอนตั้งเงื่อนไขแบบนี้
“ให้ตายสิเจ้าบ้านั่น”
อาซาเอลจ้องภูตกระดาษสีเทานิ่งอยู่พักใหญ่ เพียงแค่ปฏิเสธไปว่าไม่ต้องการรับรู้สารบนกระดาษแผ่นนี้ เจ้าหมาป่าตัวน้อยก็จะถูกเผาเป็นจุลและหายไปเองในเวลาไม่กี่วินาที หากแต่ปากบางๆนี้กลับไม่ยอมเอ่ยคำปฏิเสธออกไป ฟันคมขบลงบนริมฝีปากตัวเองอย่างหงุดหงิดใจก่อนจะตัดสินใจว่าเขาอยากรู้ข้อความที่ส่งมา
บางทีอาจเป็นคำขอโทษ
ถึงไม่ได้อยากฟังนักก็เถอะ
เจ้าของห้องก้มลงมอบจุมพิตให้ภูตจดหมายอย่างรวดเร็วจนแทบไม่รู้สึกถึงเนื้อกระดาษที่สัมผัสริมฝีปาก หากแต่นั่นก็มากพอให้ผ่านเงื่อนไขการเปิดอ่านจดหมาย สุนัขกระดาษคลี่ตัวออกช้าๆกลายเป็นจดหมายธรรมดาแผ่นหนึ่ง
ทรานส์หนุ่มยกมือลูบหน้าไปเสียหนึ่งทีให้หยุดความคิดประหลาดๆในหัวตัวเอง
จูบกระดาษก็คือจูบกระดาษ ไม่เกี่ยวกับคนเขียนสักหน่อย
หยิบกระดาษสีเทาหม่นซึ่งภายในมีลายมือบรรจงเขียนไว้หลายประโยคขึ้นอ่าน เนื้อความล้วนเป็นคำพูดห้วนสั้นสมกับเป็นจดหมายจากคนที่อาซาเอลตราหน้าว่าไร้มารยาทมาตั้งแต่ต้น
ซ้ำคำแรกยังเป็นคำๆเดิมเวลาเจ้าตัวต้องการเปิดบทสนทนา
ไง
เป็นคำติดปากหรือไง
โกรธมากเลยหรอ ไม่ยอมสบตากันเลย
ก็เพราะจ้องจนตาแทบหลุดแบบนั้น ใครจะอยากสบตาด้วยล่ะ ถามหน่อย
ขอโทษ
ถ้ามีมารยาทก็ควรพูดต่อหน้า ไม่ใช่เขียนจดหมายมา
อยากพูดต่อหน้า แต่กลัวคุณไม่ยอมฟัง
อาซาเอลชะงักเมื่อข้อความต่อมาราวกับตั้งใจตอบความคิดค่อนขอดของเขา
ขอโทษที่เสียมารยาทตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมล้ำเส้นเอง
ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณรู้สึกไม่ดี
หายโกรธได้มั้ย
ผมพูดไม่คิดก็เพราะสนใจคุณมากจริงๆ
ยอมยกเลิกเรื่องหนี้ที่คุณเคยติดผมไว้ก็ได้
พลังเวทย์ที่ให้ไปก็ช่วยใช้อย่างถนอมด้วยนะ
มันยังอยู่ใช่มั้ยล่ะ
พลังของผม ในตัวคุณ
ถ้าหายโกรธแล้ว ตอนมื้อค่ำ คุณหยิบอาหารที่มีส่วนผสมของพีชนะ
ผมชอบพีชมากๆเลย
จะได้รู้ว่าคุณหายโกรธ
ดวงตาสีรัตติกาลกวาดตามองจดหมายทั้งฉบับอีกครั้งให้มั่นใจว่าเขาไม่ได้อ่านประโยคใดตกหล่นไป และทำความเข้าใจทุกประโยคเป็นอย่างดีแล้ว
‘ชอบพีชมากๆเลย’ งั้นรึ
ล้อกันเล่นหรือไง
ใครอยากรู้กันล่ะ
ทั้งที่เป็นจดหมายขอโทษหากแต่แสนเอาแต่ใจและทำตัวเป็นใหญ่เสียเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าความเอ็นดูที่ตีตื้นขึ้นมาแทนความขุ่นเคืองนี้คืออะไร
อีกฝ่ายทำเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆที่ไม่ได้ตั้งใจทำความผิด ทั้งขอร้องและบังคับให้หายโกรธไปพร้อมๆกัน
ไหนจะคำพูดที่กระตุกให้เกิดความคิดแปลกๆพวกนั้นอีก
สนใจมากนี่สนใจแบบไหนกัน เท่าที่จำได้อาซาเอลไม่เคยทำอะไรให้สะดุดตาคาดิเนียลเลยสักนิด ต่างคนต่างอยู่มาตลอด อีกฝ่ายพบเขาท่ามกลางมิติพื้นที่มากมายได้อย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องน่าพิศวงอย่างหนึ่ง
‘พลังของผมในตัวคุณ’
ดูพูดเข้า
ขนลุกไปหมดแล้ว
ทรานส์หนุ่มผู้มีพลังเวทย์ของไฮบ์ไหลเวียนอยู่ในร่างกายได้แต่บอกให้ตัวเองลืมมันไปเสีย เขายืมพลังของคาดิเนียลมาตั้งแต่ตอนทดสอบ จนตอนนี้พลังงานแปลกปลอมกลายเป็นของเขาโดยสมบูรณ์แล้ว หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายพูดขึ้นมาเขาก็คงไม่รู้สึกแปลกเช่นนี้
ก้อกๆ
“อาซาเอล ทำอะไรอยู่ พี่เขาเรียกให้ลงไปรวมตัวแล้วนะ”
คนที่จมอยู่กับกระดาษหนึ่งใบและความคิดสับสนวุ่นวายของตัวเองเงยหน้าขึ้นจากข้อความเหล่านั้น ดูเหมือนเขาจะมีสมาธิกับเจ้ากระดาษแผ่นจ้อยจนไม่ได้ยินเสียงเรียกรวมตัว ดีที่มินาคัสสังเกตเห็นว่าเจ้าของร่างสูงโปร่งที่มักจะโดดเด่นอยู่เสมอยังไม่ออกมาที่ระเบียงจึงเดินย้อนกลับมาตาม
อาซาเอลแสร้งเดินออกจากห้องด้วยใบหน้าง่วงงุนให้เพื่อนเข้าใจว่าตนเผลอหลับเสียดีกว่า จะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ คร้านจะตอบคำถามแจนิวาลว่าเหตุใดนายแบบดังอย่างคาดิเนียลจึงต้องส่งจดหมายมาง้องอนเขาถึงห้องนอน
hf
มื้อค่ำครั้งแรกในสถาบันคลาคล่ำไปด้วยนักเรียนหลายชั้นปี อาหารมากมายถูกวางเรียงรายไว้บนโต๊ะยาวรอบห้องอาหารที่ขนาดใหญ่กว่าห้องจัดเลี้ยงงานฉลองผ่านการทดสอบประมาณสามเท่า ผนังห้องเป็นต้นไม้หลายร้อยต้นที่มีเถาวัลย์เส้นโตเลื้อยพาดผ่าน กลิ่นอาหารอบอวลชวนให้น้ำลายสอ นักเรียนใหม่ทยอยเข้าจับจองโต๊ะที่ว่างพลางทักทายรุ่นพี่ที่นั่งทานอาหารอยู่ก่อน
ประมาณด้วยตาแล้วมีนักเรียนอยู่ในห้องอาหารนี้ร่วมสามถึงสี่ร้อยคน ซึ่งเป็นจำนวนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของนักเรียนในสถาบันเชนโตเออูโนที่มียอดนักเรียนล่าสุดอยู่ที่หนึ่งพันกว่า
ถือเป็นปริมาณที่ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับสถาบันอื่นๆที่รับนักเรียนไว้หลายพันคน ดังนั้นอัตราการแข่งขันในแต่ละครั้งจึงสูงเป็นพิเศษ แม้ตลอดปีจะมีการคัดเลือกนักเรียนเข้าใหม่ด้วยเงื่อนไขหลายรูปแบบ แต่การทดสอบเข้าแบบปกติที่อาซาเอลเพิ่งผ่านมาได้นั้นถือเป็นวิธีการที่ปกติสามัญ และมีอัตรการแข่งขันสูงที่สุด
อาซาเอลอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆห้องอาหารแสนร่มรื่น หากแต่สายตาของทรานส์หนุ่มไม่ได้สอดส่ายหาอาหารเลิศรสอย่างที่แจนิวาลกำลังทำ
เขากำลังตั้งใจมองหาคนๆหนึ่ง และเผลอมองหาใครอีกคนโดยไม่ได้ตั้งใจ
“พี่อาซาเอลมองหาใครครับ”เสียงแตกหนุ่มของเด็กน้อยที่กำลังตักอาหารอยู่ข้างแจนิวาลและมินาคัสดึงให้ทั้งกลุ่มหันมามองคนโดนตั้งคำถาม
“เพื่อน”เอ่ยตอบซามูเอลเบาๆขณะยังมองหา เพื่อน ที่ว่าอยู่ แต่แล้วก็ต้องตวัดสายตากลับมาด้วยประโยคหาเรื่องของคนช่างพูด
“มีเพื่อนกับเขาด้วยหรือ”แจนิวาลถามด้วยใบหน้ายียวน ปิดท้ายประโยคด้วยการหัวเราะเสียงแหลมเมื่ออาซาเอลแยกเขี้ยวใส่
“อย่าเหมารวมคนอื่นกับตัวเองสิแจนิวาล”คนมีดีที่ฝีปากไม่ยอมเป็นฝ่ายโดนจิกกัดฝ่ายเดียว และดูเหมือนแจนิวาลจะยอมยกธงขาวเพราะรู้ดีว่าหากโต้คารมกันต่อไปก็มีแต่จะเสียเปรียบ คำพูดของอาซาเอลนั้นคมคายพอจะกรีดเนื้อคนได้เลยเชียว
“มีเพื่อนที่เข้าเรียนที่นี่อยู่รึ”มินาคัสยังไม่หลุดจากประเด็นจึงหันมาถามเพื่อนร่างผอมบางที่หันมาตักอาหารใส่จานบ้างแล้ว ดูจากปริมาณแล้วไม่สมส่วนกับรูปร่างเอาเสียเลย เส้นสปาเก็ตตี้ที่พูนจานอยู่นั้นน่าจะเลี้ยงคนได้สักสามคนกระมัง
“อืม เพื่อนบ้านน่ะ”อาซาเอลครางรับในลำคอ เอ่ยตอบเบาๆขณะจดจ่ออยู่กับการเลือกซุป
“ถ้าไม่อยู่ที่นี่ก็อาจจะอยู่ที่ห้องอาหารฝั่งตะวันตก”
มือบางชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำว่าฝั่งตะวันตก และอาการนั้นก็ไม่อาจเล็ดรอดผ่านสายตาของคนที่มองอยู่
“นายออกมาช้าก็เลยไม่ทันฟังที่รุ่นพี่บอก หอพักเรามีห้องอาหารสองฝั่งน่ะ ฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตก แต่เราจะไปทานอาหารฝั่งไหนก็ได้ ไม่ได้แยกตามห้องพักหรอก จะลองไปฝั่งนู้นดูไหมล่ะ”
อาซาเอลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจส่ายหน้าปฏิเสธ
ไม่ได้รีบร้อนอะไรหรอก เรียนที่เดียวกันก็คงมีโอกาสได้เจอกันสักครั้ง
และที่สำคัญ เขาไม่อยากข้ามไปฝั่งตะวันตกสักเท่าไร เพราะใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ก็คงกำลังทานอะไรสักอย่างที่เป็นพีชอยู่ทางฝั่งโน้น
“เฮ้ ทาร์ตพวกนี้อร่อยดีนะ พวกนายจะเอาด้วยมั้ย”แจนิวาลตะโกนมาไม่เบานักจากโต๊ะของหวานที่ถัดไปไม่ไกล มินาคัสส่ายศีรษะเบาๆอย่างอ่อนใจกับความเอะอะโวยวายของคนตัวเล็ก
“กินของหวานของคาวปนกันอีกแล้วนะแจนิวาล”ดุเบาๆเมื่อเดินเข้ามาหาคนที่ง่วนกับการตักนั่นหยิบนี่เสียจนล้นจาน สองไม้สองมือจนซามูเอลทนมองไม่ไหวต้องช่วยถือเสียจานหนึ่ง
“ก็มันอร่อย”
สามชีวิตยืนมองหนึ่งคนที่หยิบจานใบใหม่มาใส่ของหวานเพิ่มจนเหมือนจะตักเผื่อคนทั้งห้องอาหาร
“หยุด”
อาซาเอลที่มองตามมือคนกินจุเอ่ยเสียงเฉียบจนแจนิวาลสะดุ้งชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปหาขนมชิ้นสุดท้ายในถาดสีเงินใบหนึ่งท่ามกลางถาดใส่ขนมหวานมากมาย
“หื้อ”คนตกใจครางในลำคออย่างไม่เข้าใจ เลิกคิ้วมองเพื่อนที่ทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจ้องขนมชิ้นนั้นนิ่ง
“ขอ”
คำสั้นๆที่หลุดจากริมฝีปากบางทำให้คนที่ฟังอยู่ทำหน้าฉงนหนักกว่าเก่า รวมถึงมินาคัสและซามูเอลที่หันมามองบ้างว่าอีกสองคนกำลังแย่งอะไรกันอยู่
“มีตั้งเยอะตั้งแยะ จะมาหวงทำไม”
แจนิวาลเอื้อมมือไปหมายจะตักขนมที่ตนเล็งไว้มาใส่จาน หากแต่ฝ่ามือบางที่ฟาดลงบนหลังมือก็ทำให้ต้องล่าถอยแต่โดยดี ดูจากสายตาอาซาเอลแล้วเขาอาจโดยฟาดจนหยิบอะไรใส่ปากไม่ได้อีกเลยหากยังไม่เลิกวุ่นวายกับขนมชิ้นนั้น
“ก็พีชน่ะเหลือชิ้นสุดท้ายแล้วนี่ ไปกินชิ้นอื่นสิ”
hf
มื้ออาหารเย็นจบลงหลังจากแจนิวาลเอ่ยปากว่าหนังท้องของเขาตึงจนไม่สามารถขยายไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสี่จึงถึงเวลาออกจากห้องอาหารที่ผู้คนบางตาลงไปมากด้วยนักเรียนส่วนใหญ่จัดการมื้อเย็นของตนเองและแยกย้ายกลับที่พักไปนานโข เหลือก็แต่รุ่นพี่ปีสูงที่ลงมาทานอาหารช้ากับเด็กใหม่ที่จับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บ้างเท่านั้น
หากแจนิวาลเป็นแบบนี้ในทุกมื้ออาหาร อาซาเอลกลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งเพื่อนตัวเล็กของเขาอาจกลมจนกลิ้งได้เหมือนลูกบอล
เสียงพูดคุยของกลุ่มเด็กหนุ่มสะท้อนก้องในทั่วโถงทางเดินที่พวกเขาผ่าน อาคารทั้งหลังมีด้วยกันเจ็ดชั้น ชั้นบนสุดไล่ลงมาสามชั้นเป็นห้องพักสำหรับนักเรียนใหม่ทั้งหมดรวมถึงนักเรียนปีอื่นที่สมัครใจจะอยู่ อาคารที่สร้างจากไม้เนื้อแข็งหลายพันต้นทอดตัวยาวหลายร้อยเมตรจนสามารถทำให้ชายหนุ่มร่างกายแข็งแรงคนหนึ่งถึงกับหอบฮักได้หากคิดจะวิ่งจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากของตึก
ชั้นหนึ่งเป็นห้องอาหารถูกกั้นกลางระหว่างปีกตะวันตกและปีกตะวันออกด้วยห้องครัวขนาดใหญ่ที่มีเสียงกระทบกันของเครื่องครัวและเสียงน้ำมันร้อนฉ่าดังลอดออกมาตลอดเวลาแม้ตะวันจะลับลาขอบฟ้าไปพักใหญ่ ด้วยต้องเตรียมอาหารให้นักเรียน คณาจารย์ และเหล่าคนงานที่อาศัยอยู่ในรั้วสถาบันร่วมพันชีวิต
ชั้นสองเป็นห้องสำนักงานสำหรับติดต่อประสานงานเพื่อดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนในหอพัก อาจารย์ที่มีหน้าที่ดูแลนักเรียนทั้งหอก็พักอยู่ในชั้นนี้เช่นกัน หากแต่ในวันนี้อาจารย์ผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่อันยิ่งใหญ่ยังไม่เสร็จภารกิจจากภายนอกสถาบัน นักเรียนใหม่จึงยังไม่มีโอกาสได้พบบุคคลซึ่งร่ำลือกันว่าเคร่งระเบียบเสียจนรุ่นพี่ต้องป้องปากกระซิบให้ระวังอย่าได้ทำอะไรขัดหูขัดตาเขาเข้า
ชั้นสามของอาคารไม้ทรงสวยถูกจัดสรรให้เป็นห้องสมุดที่กินพื้นที่ทั้งชั้นจนกลายเป็นโลกแห่งหนังสือนับหมื่นเล่ม ถือได้ว่าเป็นสวรรค์สำหรับยอดนักอ่าน แน่นอนว่าแจนิวาลเดินผ่านชั้นนี้อย่างรวดเร็วยามเมื่อรุ่นพี่พานักเรียนใหม่เดินสำรวจหอพักในช่วงบ่ายก่อนปล่อยให้ทุกคนได้กลับห้องพักเพื่อจัดเก็บข้าวของ
ถัดมาที่ชั้นสี่อันเป็นพื้นที่ที่ถูกใจอาซาเอลเสียเหลือเกินด้วยทั้งชั้นถูกจัดให้เป็นสวนสวยราวกับสวนสาธารณะที่ถูกยกขึ้นมาไว้บนอาคารสูง ทั้งพื้นหญ้าและต้นไม้ที่งอกงามอยู่บนระเบียงทางเดินทอดยาวที่ยื่นออกจากตัวอาคารทำให้มองเห็นท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน มีมุมผ่อนคลายมากมายให้เลือกจับจองทั้งเก้าอี้ม้าหินอ่อนไปถึงเก้าอี้หวายดัดอย่างดี นอกจากนี้ยังมีซุ้มรูปร่างแปลกตาอีกมากมายที่กระจายอยู่ตลอดทั้งชั้น หากไม่ต้องการนั่งเล่นกลางแจ้งก็มีพื้นที่ในร่มให้เลือกสรร
จุดที่ทรานส์หนุ่มหมายตาเอาไว้ตั้งแต่ช่วงบ่ายคือซุ้มรูปทรงรังนกกระจาบที่ทิ้งตัวลงจากต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่พอให้คนสามถึงสี่คนเข้าไปนอนเอกเขนกได้อย่างสบาย ห้องนั่งเล่นที่สร้างจากหวายดัดรัดตรึงกับกิ่งไม้นั้นห้อยอยู่สูงจากพื้นพอดู เป็นมุมที่เหมาะกับช่วงเวลาที่อยากทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องล่างและดื่มด่ำกับสายลมแสงแดดเท่าที่ต้องการ
หากแต่เมื่อท้องฟ้าถูกทาทับด้วยสีแห่งรัตติพาล รังนกกระจาบยักษ์ก็เหมาะกับการนอนดูดาวเสียจนอาซาเอลมิอาจตัดใจเดินผ่านมันไปในตอนนี้
“มีอะไรหรือเปล่าอาซาเอล”
มินาคัสสังเกตเห็นว่าใครอีกคนซึ่งเดินรั้งท้ายกลุ่มหยุดอยู่ที่ชั้นสี่ในขณะที่คนอื่นๆกำลังขึ้นบันไดไปยังชั้นห้าอันเป็นที่พักของพวกเขา
อาซาเอลมองสิ่งที่ทิ้งตัวระย้าลงจากต้นไม้ใหญ่อย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมามองคนที่หยุดรอเขาอยู่ที่กลางบันไดทางขึ้น แว่วเสียงแจนิวาลและซามูเอลที่ดังไกลออกไปบ่งบอกว่าทั้งสองกำลังบอกลากันเพื่อกลับเข้าห้องพักของตัวเอง ซามูเอลนั้นต้องเดินขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งในขณะที่แจนิวาล มินาคัส และอาซาเอลอยู่ชั้นเดียวกัน อีกไม่นานหากแจนิวาลรู้ตัวว่าเพื่อนร่วมชั้นทั้งสองหายไปคงเดินกลับมาตาม
“มีอะไรหรอ ทำไมไม่ขึ้นมา”เสียงจากคนชั้นบนดังลงมาก่อนตัว มินาคัสเงยมองก็เห็นว่าแจนิวาลก้มมองลงมาจากราวบันไดชั้นห้า
“ไปพักกันก่อนเลย ฉันขอเดินย่อยเสียหน่อย”อาซาเอลตอบด้วยเสียงไม่เบานักหวังให้คนชั้นบนได้ยินด้วย มินาคัสเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่เมื่อมองเลยออกไปด้านหลังของอาซาเอล ภาพของสวนสวยที่สว่างด้วยคบไฟเวทย์กับแสงสีอ่อนของดวงจันทร์ที่อาบอยู่บนพื้นหญ้าและม้าหินก็ทำให้พอเข้าใจได้ว่าบรรยากาศนั้นดึงดูดให้อยู่เพื่อผ่อนคลายเพียงใด
“งั้นฉัน…”
“งั้นฉันไปนอนก่อนนะ เฮ้ มินาคัส นายว่างมาช่วยฉันจัดของมั้ย ฉันตั้งใจจะจัดให้มันดูดีเหมือนห้องนาย แต่มันกลับรกสุดๆไปเลย”
เสียงของร่างสูงถูกกลบด้วยเสียงตะโกนของคนชั้นบน มินาคัสมองอาซาเอลสลับกับแจนิวาลก่อนจะพยักหน้าให้คนที่ก้มลงมาเสียจนน่ากลัวจะตกลงระหว่างช่องของราวบันได นึกสภาพของห้องที่เขาเปิดเข้าไปเรียกเจ้าตัวทานอาหารเย็นแล้วทนไม่ไหว ถ้าเจ้าของห้องจะนอนไปทั้งๆแบบนั้นอีกไม่นานคงมีสัตว์แปลกๆมาอาศัยร่วมเตียงด้วยแน่ๆ
อันที่จริง คนที่ควรอยากเดินย่อยน่าจะเป็นทางนี้เสียมากกว่าแท้ๆ
อาซาเอลยืนส่งเพื่อนร่างสูงที่เดินหายขึ้นไปชั้นบนตามด้วยเสียงบ่นอย่างอ่อนใจกับคนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ไม่นานเสียงของทั้งคู่ก็เบาลงจนเหลือเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่กรีดปีกส่งเสียงเบาๆอยู่ทั่วทั้งชั้น สวนกว้างกินพื้นที่เสียจนคล้ายหลงทางอยู่กลางป่าแต่ก็ชวนให้สงบจิตสงบใจได้อย่างน่าประหลาด
ร่างสูงปีนป่ายบันไดเชือกขึ้นสู่กิ่งสูงของไม้ใหญ่ ก่อนจะกระโดดเข้าไปทางช่องกว้างของรังนกกระจาบยักษ์ แรงกระโดดส่งให้ห้องทรงแปลกแกว่งไปมาเบาๆ คนที่ทิ้งตัวเข้ามาไม่เบานักคิดว่าคงจุกไม่น้อยหากแต่สิ่งที่สัมผัสได้กลับเป็นเบาะผ้านุ่มนิ่มที่บุอยู่รอบห้องทรงกลมขนาดเล็ก
แบบนี้ยิ่งน่านอนเข้าไปใหญ่ นอนแทนเตียงยังได้เลย
ฟ้าสวยขนาดนี้ อยากนอนมองทั้งคืนด้วยซ้ำไป
ดวงตาสีเดียวกับท้องฟ้ายามรัตติกาลสะท้อนภาพดวงดาวมากมายที่สว่างไสวอยู่บนผืนผ้าแพรสีดำสนิทที่ห่มคลุมทั้งโลกไว้ คืนนี้ดวงจันทร์ครึ่งดวงหลบอยู่หลังก้อนเมฆทำให้มองเห็นดาวได้ชัดเจน
ลมเย็นๆของฤดูใบไม้ร่วงทำให้ริมฝีปากสั่นระริก หากแต่ไม่เป็นปัญหา อาซาเอลสร้างลูกไฟเวทย์ให้ความอบอุ่นสองสามดวงขึ้นมาก่อนจะปล่อยให้ลอยวนอยู่ในห้องทรงรังนกยักษ์ การใช้เวทย์ของเขาเสถียรขึ้นมากตั้งแต่เข้ามาในบริเวณของสถาบัน จากคำอธิบายของรุ่นพี่ทำให้นักเรียนใหม่รู้ว่าทั่วทั้งบริเวณของสถาบันเชนโตมีโลหะตัวนำฝังไว้เป็นจุดๆ แม้จะไม่มีโลหะตัวนำประจำตัวช่วยในการใช้เวทย์ นักเรียนก็สามารถร่ายมนต์ง่ายๆได้หากทำอย่างระมัดระวัง รอจนถึงเวลาอันสมควรพวกเขาจะได้รับภารกิจให้ออกตามหาโลหะตัวนำของตนเองเพื่อช่วยให้ใช้เวทย์ขั้นสูงได้อย่างปลอดภัย
หอม
ดูเหมือนที่ใดสักแห่งในสวนแห่งนี้มีไม้หอมไม่ก็ดอกไม้ที่บานในเวลากลางคืนเติบโตอยู่ กลิ่นจางๆที่ลอยมาตามลมดึงให้อาซาเอลสูดลมหายใจเข้าลึกเสียจนเต็มปอด ขยับนอนให้สบายในขณะที่สายตาทอดไกลออกไปบนผืนนภา
ต่อจากนี้เขาต้องอยู่ใต้ผืนฟ้านี้ร่วมกับคนมากมายที่ไม่รู้ว่าร้ายหรือดี แม้มีมิตรก็ใช่จะไว้ใจได้เสมอไป ยามเมื่อความกระหายอำนาจครอบงำ แม้แต่คนในครอบครัวก็ยังอันตราย
เกิดเป็นทรานส์มันแสนยากเย็นจริงๆนั่นแหละ
ใช่ว่าไม่อยากผูกพันธะกับใคร การต้องระแวงโลกทั้งใบนั้นไม่สนุกเอาเสียเลย
แต่การเผลอเชื่อใจคนที่ไม่ควรเชื่อใจก็ไม่น่าพิสมัยเหมือนกัน
ความอบอุ่นของลูกไฟดวงน้อยกับภาพงานศิลปะที่ธรรมชาติสรรสร้างดึงให้ลมหายใจของทรานส์หนุ่มสม่ำเสมอ เรื่องราวหนักๆในหัวเริ่มเลือนราง ดวงตาค่อยๆหรี่ปรือลงยามเมื่อร่างสูงทอดตัวนอนหนุนฝ่ามือทั้งสองข้างที่ประสานรองศีรษะไว้
นอนที่นี่เสียเลยดีไหมนะ
ถ้าหลับไปแล้วดวงไฟเวทย์ดับลง อาจจะเป็นหวัดก็ได้
แต่ง่วง…
“มานอนในที่แบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี”
!!
ทรานส์หนุ่มสะดุ้งเฮือกดวงตาที่เคยหรี่ปรือเบิกโตแต่ไม่ทันได้ผุดลุกขึ้นนั่งก็พบว่าเจ้าของเสียงทุ้มต่ำกระโดดเข้ามาภายในรังของเขาเสียแล้ว น้ำหนักตัวไม่น้อยนั้นส่งให้รังนกแกว่งตัวไปมาจนคนที่อยู่ด้านในกลิ้งขลุกๆไปเกยตักคนที่ทิ้งตัวลงมานั่งเสียเต็มแรง
อ่ะ…
แย่ล่ะ
“หืม”คาดิเนียลเลิกคิ้วขึ้นและพยายามกลั้นยิ้มเสียจนปวดแก้มเมื่อพบว่าลูกแมวของเขาเงยมองขึ้นมาในระยะประชิด แขนยาวทั้งสองข้างของทรานส์ตัวน้อยคร่อมหน้าขาเขาอยู่ ใบหน้าเนียนนั้นเลยอยู่ห่างอกเขาแค่ฝ่ามือกั้น รับรู้ได้ถึงลมหายใจสะดุดเพราะอีกคนเผลอกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว
ให้ตายสิอาซาเอล ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้กัน
กะจะเดินเล่นแก้เบื่อ แต่บังเอิญรับรู้ได้ถึงพลังเวทย์คุ้นเคยที่เอ่อออกมาจางๆจากรังนก ก็เลยแวะมาดูเสียหน่อย ไม่คิดว่าจะเจอลูกแมวที่ทำตัวเป็นลูกนกนอนตาปรือจะหลับมิหลับแหล่อยู่จริงๆ
“จะไม่ลุกออกไปหรอครับ”
สิ้นเสียงเย้าแหย่คนโดนล้อก็ดีดตัวออกห่างผู้บุกรุกทันที หากแต่ห้องนี้ก็ไม่ได้กว้างพอให้สร้างระยะห่างที่ปลอดภัยเท่าที่อาซาเอลต้องการ ทรานส์หนุ่มจึงทำได้เพียงนั่งให้ห่างจากตัวอันตรายให้มากที่สุด
“ตามมาหรอ โรคจิตหรอ”
ตั้งใจทำสีหน้าให้ดูรังเกียจคนตรงหน้าเสียจนเกินจริง แทนที่อีกฝ่ายจะหน้าเสียกลับได้เสียงหัวเราะร่ากับตาที่กลายเป็นขีดกลับมาแทน
“ผมแค่มาเดินเล่น ใครจะกล้าตามคุณ ยังไม่รู้เลยว่าหายโกรธรึยัง”
ส่งซากานไปแอบดูอีกฝ่ายว่าได้หยิบอะไรที่ผสมพีชรึเปล่าแล้วก็จริง แต่ไอ้เพื่อนตัวดีกลับหายตัวเข้ากลีบเมฆไปเลย เขาที่รอคำตอบจนเริ่มกระวนกระวายถึงได้ต้องออกมาเดินสงบจิตสงบใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอคนที่ทำให้เขาวุ่นวายใจเข้าเสียเอง
แบบนี้ก็ง่ายดี จะได้พิสูจน์เองซะเลย ว่าแมวดื้อหายโกรธเขาหรือยัง
“ว่าไงคุณ หายโกรธรึยัง”
ถามอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่หายไปจากใบหน้า อาซาเอลหรี่ตามองคนถามอย่างจับผิด
“ไม่ใช่ว่าส่งคนมาตามดูผมแล้วหรอกหรอ”
อ่ะ รู้ทัน
“ก็ส่ง แต่ยังไม่ได้รับรายงาน”คาดิเนียลยกมือเกาหลังคออย่างเก้อๆ ยอมรับกันง่ายๆจนอาซาเอลเกือบหลุดขำกับความเด๋อด๋าของคนที่บางครั้งก็น่ากลัว แต่บางครั้งก็น่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
“งั้นก็รอคนของคุณมาบอกละกัน”ตัดบทเสียงห้วนก่อนจะขยับตัวหมายจะออกจากรังนกนี้เสียที เขาควรจะกลับไปนอนดีๆบนเตียงนุ่มๆ ดีกว่ามานั่งจ้องหน้ากับคนที่ไม่รู้ว่าคิดดีหรือคิดร้ายกับเขากันแน่
“เดี๋ยว”
ไม่เพียงแต่เสียงเรียกที่รั้งให้อยู่ หากแต่ฝ่ามือหนาก็คว้าต้นแขนไว้ด้วยเช่นกัน คาดิเนียลออกแรงดึงให้อีกคนนั่งลงที่เดิมในขณะที่ตัวเองก็เคลื่อนตัวขึ้นเหนือร่างของเจ้าเหมียวดื้อในสายตาเขา แม้ไม่ได้ทาบทับแต่ก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เสียงจนอาซาเอลต้องหดคอหนี ดวงตาคมเบิกโตและสั่นระริกเพราะตื่นตระหนกผสมปนเปไปกับความสับสน กลิ่นไอของไฮบ์ตระกูลหมาป่าทำให้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของทรานส์หนุ่มตระกูลแมวกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง และมันก็โหมกระหน่ำขึ้นอีกระดับเมื่อใบหน้าได้รูปของนายแบบดังยื่นเข้ามาใกล้ริมฝีปากของเขาจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่รดอยู่บนแก้ม
“ท…ทำอะไร”
เกลียดเสียงสั่นๆของตัวเองพอๆกับร่างกายที่แข็งทื่อ ว่ากันว่าเวลาแมวตื่นกลัวมากๆจะตัวแข็งจนไม่สามารถขยับได้ คาดิเนียลเห็นแล้วว่าจริง อาซาเอลเกร็งไปทั้งตัวจนอยู่ในยสภาพที่น่าขบขัน อยากจะกลั่นแกล้งให้มากกว่านี้แต่เขายังเข็ดกับหมัดหนักๆของอีกฝ่ายอยู่
ไฮบ์หนุ่มตั้งใจทิ้งสายตาไว้บนริมฝีปากบางสีสวยก่อนจะแลบปลายลิ้นเลียริมฝีปากอิ่มของตนเองอย่างสื่อความนัย เหลือบขึ้นสบตาของแมวน้อยที่เผลอกลั้นหายใจมองตามปลายลิ้นของเขาอย่างน่ารักน่าชัง
เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหวกันพอดี
ก่อนที่เขาจะทำอะไรลงไปและได้รับแผลใหม่กลับมา คาดิเนียลถอยตัวออกห่างคนที่นั่งตัวแข็งแม้เขาจะขยับกลับมานั่งที่เดิม อาซาเอลมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจผสมไปกับความระแวง
อะไร
อะไรวะเนี่ย
“หอมจัง”
“ตัวคุณมีกลิ่นพีช”
“ทานไปแล้วสินะครับ”
“แบบนี้ก็เท่ากับหายโกรธผมแล้วเนอะ”
จะโกรธอีกรอบก็เพราะทำตัวแบบนี้นี่แหละ
อาซาเอลกัดฟันกรอดหลับตาแน่นสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามควบคุมสติที่แตกกระจายของตัวเองให้กลับมา ขยับตัวเปลี่ยนท่าให้เข้าที่เข้าทางหลังจากกึ่งนั่งกึ่งนอนเพราะขยับตัวไม่ได้อยู่หลายนาที น่าขายหน้าเสียจนผิวแก้มเห่อร้อน ทั้งโกรธทั้งอาย แต่ทำอะไรไม่ได้เลย
“คุณนี่มันหมาจริงๆเลย อยากรู้อะไรก็ดมเอารึไง”เอ่ยประโยคเจ็บแสบด้วยสีหน้าแขยงหมาตัวโตตรงหน้า คาดิเนียลไหวไหล่เหมือนไม่ใส่ใจคำจิกกัด
“จริงๆแล้วถ้าผมสงสัยมากๆก็อาจจะเลียด้วยนะ แต่กลิ่นพีชมันแรง ก็เลยไม่ต้องถึงขั้นเลีย”
เกลียดสายตาที่มองมาพอๆกับคำพูดที่ไม่บอกก็รู้ว่าตั้งใจให้เขาคิดไม่ดี
อาซาเอลอยากต่อยหน้าคนเจ้าเล่ห์แรงๆอีกสักทีให้หายนิสัยเสีย แต่พอนึกถึงปลายลิ้นสีชมพูที่แลบออกมานอกริมฝีปากอิ่มสีสดเมื่อครู่แล้วก็ได้แต่อยากหันกลับมาต่อยตัวเองที่หัวใจดันเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
นั่งจ้องหน้ากันอีกหลายนาทีก่อนที่อาซาเอลจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คาดิเนียลไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งยิ้มเหมือนคนสติไม่ดีอยู่ตรงหน้าเขา และเขาก็ไม่ได้อยากเปิดประเด็นอะไรให้อีกฝ่ายก่อกวนเขาได้อีก
“ผมจะไปนอนแล้ว”
“ครับ”
ทรานส์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แปลกใจที่อีกฝ่ายยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ และก็ต้องเปลี่ยนใจเป็นระแวงอีกหนเมื่อคนตัวโตเอ่ยขอด้วยน้ำเสียงอ่อน
“ให้ผมไปส่งนะ”
“ผมเดินไปคนเดียวได้”
“แต่ผมอยากไปส่ง”
เอาแต่ใจจริงๆ
อาซาเอลไม่ได้ตั้งใจกลอกตาใส่ แต่ก็เผลอทำไปแล้ว
“ถ้าจะไปให้ได้ก็อย่าขอสิ”
แม้คำพูดคล้ายประชดประชันแต่ก็ถือเป็นคำอนุญาต
หนึ่งทรานส์และหนึ่งไฮบ์ปีนป่ายลงจากกิ่งไม้อย่างชำนิชำนาญ เห็นท่าทางของคาดิเนียลแล้วอาซาเอลได้แต่คิดว่าเขาจะไม่หนีคนๆนี้ขึ้นที่สูงเพราะดูเหมือนจะโดนไล่ทันได้ในทันที แต่อันที่จริงเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรหนีไปที่ไหนถึงจะไม่ถูกหาเจอ
คาดิเนียลหาเขาเจอตลอดแบบนี้ได้ยังไง
“คุณ”
เอ่ยเรียกอีกฝ่ายในขณะที่ก้าวเร็วๆขึ้นบันได อีกคนก็ก้าวเร็วไม่แพ้กัน ไม่ยอมให้ทิ้งระยะห่างเกินช่วงแขน
“คุณหาผมเจอตลอดได้ไง ตั้งแต่ตอนทดสอบ”
ถามด้วยเสียงแผ่วเบา มองตรงไปข้างหน้า ความเร็วของการก้าวขายังไม่ลดลง
คาดิเนียลลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนที่แสร้งทำเป็นไม่สนใจว่าเขาจะตอบอะไร แต่เมื่อเขาเงียบไปอีกฝ่ายก็แอบหันมามองจนสบตากันเข้าพอดี คนเก็บอาการไม่เก่งหันกลับไปมองทางข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนน่ากลัวว่าคอจะเคล็ด
เห็นนะว่าสะดุ้ง
ไฮบ์หนุ่มเกือบหลุดขำกับท่าทางแบบนั้นของเจ้าแมวดื้อ แต่ก็ได้แต่กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด หากหลุดขำออกไปเกรงจะโดนอีกฝ่ายงอนเข้าให้อีก ง้อก็ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะคิดมุกภูตจดหมายได้เขาแทบจะเอาขาขึ้นมาก่ายหน้าผากอยู่รอมร่อ
“ผมก็ไม่รู้ รู้แค่กลิ่นไอคุณ พลังเวทย์คุณ ตัวตนคุณ มันเรียกหาผมอยู่ตลอดเลย”เอ่ยออกไปตามที่คิด หากแต่มันกลับทำให้อาซาเอลชะงักเท้า คาดิเนียลที่ผ่อนความเร็วลงจนกลายเป็นเดินตามหลังหยุดเดินตามคนข้างหน้า ก่อนจะได้เอ่ยถามก็พบว่าใบหูของคนที่เดินนำไปไม่กี่ก้าวกำลังแดงก่ำ
อ่ะ เขินซะแล้ว
“ไม่ต้องไปส่งแล้ว ผมอยากเดินคนเดียว”
อีกครั้งที่คาดิเนียลกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม ก่อนจะส่งเสียงรับคำให้คนที่ไม่แม้แต่จะหันมาบอกลา เจ้าของร่างบางๆกับส่วนสูงที่ไม่ต่างกันมากนักจ้ำอ้าวหนีเขาไปบนทางเดินที่ทอดยาว ไม่รู้ว่าห้องเจ้าตัวต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน เห็นอาการแล้วไฮบ์หนุ่มก็ได้แต่ภาวนาว่าคนเขินจะไม่เดินเลยห้องตัวเอง
เนี่ย
เป็นเสียแบบนี้ จะให้เขาหยุดได้ยังไง
ไม่เพียงแข็งแกร่ง
ไม่เพียงงดงาม
หากแต่แสนดึงดูดเกินกว่าจะต้านทานได้
เกินไปแล้วอาซาเอล เกินไปจริงๆ
ตอนนี้ผมอยากครอบครองคุณมากเหลือเกิน
ไฮบ์หนุ่มเผยยิ้มของนักล่าแม้เขาจะอยากกักเก็บความคิดร้ายๆไว้สักเพียงใด หากแต่ปฏิเสธสัญชาตญาณไม่ได้ว่าอยากกลืนกินใครอีกคนไม่ให้ใครอื่นได้รู้ว่าตัวตนของคนๆนั้นน่าสนใจเหลือเกิน
‘ฝันดีนะ’
ด้วยระยะทางที่ไม่ห่างนัก พลังเวทย์บางเบาไล่ตามคนเดินหนี สื่อเป็นข้อความสั้นๆที่ทำให้คาดิเนียลได้ยินเสียงโครมครามดังสะท้อนมาท่ามกลางความเงียบสงัดของระเบียงทางเดิน
แมวหนุ่มที่เสียการควบคุมยกมือลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ
สาบานกับตัวเองเลยว่าชีวิตนี้จะไม่แตะต้องพีชอีก หากเจอต้นของผลไม้ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวนั่นก็จะเผาให้ไม่เหลือซากไปด้วยเลย
ให้ตายสิ ถ้าทำแบบนั้นจริงๆมันพอจะทำให้คนที่ปั่นหัวเขาอยู่ตอนนี้เจ็บใจได้บ้างไหมนะ
‘รำคาญ ไปนอนซะ เงียบๆด้วย’
อาซาเอลน่ารักเกินไปแล้วลูกกกกกกกกกกกก
ฉลองให้ความนก ฮืออออ
รีดคนไหนได้ไป ฝากตะโกนเรียกคุณองดังๆสักครั้งด้วยนะคะ
ที่สปอยไว้ ยกยอดไปตอนหน้าเนอะ -..-
ตอนนึงนี่ยาวเป็นมหากาพย์เลย
ดีใจมากเลยที่ฟิคเราขึ้นTop 100 กับเค้าด้วย ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ
เม้นของทุกคนเป็นทั้งกำลังใจแล้วก็แรงบันดาลใจ
บางคนมองเรื่องได้ดีพมาก มากจนเหมือนมานั่งใจสมองเราเลยอ่ะ สุดยอด
อยากย้ำอีกครั้ง คำว่าเขี้ยวเราได้แรงบันดาลใจมาก็จริง แต่เนื้อเรื่องไม่เหมือนกันแน่นอนค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กลับมาซ้ำอีกรอบค้าบบ แอแง น้องอาซาเอลยังน่ารักตุ้มุ้เหมือนเดิมเลย คิดถึงฟิคเรื่องนี้มากๆ คิดถึงคุณไรท์ด้วย ปี 63 ยังมีใครกลับมาเช็คอินอีกไหมนะ?
โอ้ยยย น่ารักมากก อาซาเอลลูกก แงงง
ไม่ไหวๆๆๆ อบอุ่น ไปหมด ไม่ได้หวานจนเลี่ยนแต่อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจไปหมด
เขิลโว๊ยยย เป็นเรื่องที่พระนางเจอกันน้อยมากแต่ฟินนนน
ตอนอาซาเอลอ้อนแม่คือใจเหลวไปแล้วค่ะ ไม่ว่ายังไงในสายตาของแม่ แม้ว่าลูกจะโตแค่ไหนก็ยังถูกมองเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ แม้ว่าอยากจะปลอบลูกสักแค่ไหน แต่เรื่องบางเรื่อง แม่ก็ไม่อยู่ในจุดที่จะปลอบได้โดยสนิทใจ คือตอนที่อาซาเอลบอกแม่ว่ากลัวเป็นเขี้ยวที่ไม่ถูกรัก เรานี่กุมหัวใจไปแล้วค่ะ น้องงงงงงง ฮื่ออออออออ มาหอมหัวทีสิ อยากกอดปลอบเหลือเกิน แต่เอาจริงๆมันก็เป็นความรู้สึกพื้นฐานนั่นแหละ การที่จะต้องเป็นของๆใคร แต่ถูกทิ้งขว้างมันคงเจ็บปวดไม่น้อยเลย...
ขอโทษโดยส่งภูติจดหมายมาง้อ น่าหมั่นไส้เสียจริง แต่สิ่งที่ขอให้อาซาเอลทำหากยกโทษให้ก็น่ารักจนทำให้เราเผลอยิ้มออกมาเลยค่ะ คือเหมือนคานิเนียลมีสองโหมดคือเป็นหมาป่า และลูกหมาตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้นเลย ไม่ใช่แค่อาซาเอลที่กลัวว่าแจนิวาลจะตัวกลมเป็นลูกบอล เราเองก็กลัว 555555 กินดุขนาดนั้นได้ยังไง น่าเอ็นดูละเกินนนน แต่เพื่อนๆรู้สึกว่าจะเริ่มปลงแล้ว ตอนที่อาซาเอลขอขนมชิ้นสุดท้ายมา ดิฉันถึงกับยิ้มกริ่ม โอ้ยยยย ทำไมน่ารักขนาดนี้ ไม่ให้คาดิเนียลแล้ว จะเก็บอาซาเอลไว้เอง แง...
ชอบพาร์ทที่บรรยายอาคารมากๆเลยค่ะ เห็นภาพแต่ละชั้นได้ดีมากเลย นี่เลยแอบชอบชั้น 4 ไปด้วย อยากไปนั่งมองดาวมองฟ้าแบบอาซาเอลบ้างเลย 5555555 อ่ะ...แล้วคานิเนียลก็ตามมาเต๊าะไปอีกเด้ออออ แอ๊วเก่งงงงง แหมมมม หมั่นไส้ได้ไหมอ่ะ 555555 เนี่ย อาซาเอลชอบไปทำตัวน่ารักใส่เขา แต่เอาจริงๆที่เจอกันวันแรกก็ทำถูกแล้ว ฝากหมัดไว้แบบนั้นจะได้เกรงกันบ้าง สักนิดก็ยังดี แบบว่าให้คาดิเนียลกลัวโดนต่อยอีกอะไรงี้ 5555555
เหนื่อยล่วงหน้าแทนนักเรียนใหม่เลยได้ไหมคะ 55555 ต้องเรียนอีกตั้งหลายปี โดยเฉพาะกลุ่มทรานส์เนี่ย เอาใจช่วยเป็นพิเศษเลย ขอไม่เดาอะไรทั้งนั้นว่าเรื่องจะเดินไปเวย์ไหน เพราะชอบอ่านไปเรื่อยๆ สนุกๆมากกว่า อิอิ แต่ไรท์อย่าทำร้ายเรานะ เราใจบาง 555555
#ทาสแมว