ตอนที่ 7 : Chapter 6 :: งานเลี้ยงอาหารค่ำ
น่าเบื่อ
ทางเชื่อมเล็กๆที่ทำให้พลังเวทย์จากมิติหนึ่งล่องลอยไปยังอีกมิติได้ถูกปิดลง พลังงานอบอุ่นหายไปพร้อมกับเสียงทุ้มที่เคยดังก้องในหัวแม้ไม่ต้องการ อาซาเอลนอนขดตัวคล้ายทารกน้อยในครรภ์มารดา หูและหางสีดำสนิทยังไม่หายไปเพราะพลังเวทย์ยังไม่ฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ และดูเหมือนมันจะฟื้นฟูได้ช้าลงไปอีกเมื่อพลังเวทย์ของใครบางคนไม่อาจส่งมาถึงเขาอีกต่อไป
ทรานส์หนุ่มที่อยู่ในช่วงกึ่งลอสลืมตาตื่นมาพบว่าตัวเองหลับยาวชดเชยความเหนื่อยล้าจนกินเวลาไปเกือบครึ่งวันของการทดสอบวันสุดท้าย แม้ร่างกายจะไม่ร้องประท้วงอย่างที่เคย แต่เด็กหนุ่มกึ่งมนุษย์กึ่งแมวก็ยังไม่ยอมลุกออกจากเตียงเมื่อพบว่าการสื่อสารกับใครบางคนถูกตัดขาด
ทั้งที่คิดไว้ว่าตื่นมาจะสูบพลังเสียให้เข็ดที่ทำเขานอนไม่หลับไปเสียค่อนคืน
ดันมาหนีไปเสียได้
หางยาวตรงสีเดียวกับเส้นผมนุ่มสะบัดขึ้นลงบนเตียงจนเกิดเสียงปุๆซ้ำๆ แม้จะพยายามเก็บสีหน้าให้เรียบเฉย แต่ภาษากายกลับแสดงออกชัดเจนว่ากำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าหมาป่าแน่ๆ แต่อาซาเอลไม่อยากยอมรับนักหรอกว่าคนที่ไม่เคยเจอหน้าจะมามีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเขาได้
ก้อกๆ
ดวงตาสีรัตติกาลที่เคยเหม่อมองไร้จุดหมายเปลี่ยนจุดวางสายตาเป็นประตูไม้บานสวยแทน และก่อนที่จะเผลอเอ่ยอนุญาตคนหน้าประตู ร่างสูงเจ้าของห้องก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา
แม้ตอนลอสจะไม่ต่างอะไรกับการเดินไปเดินมาด้วยร่างเปลือย แต่ก็ยังมีขนนุ่มละเอียดปกคลุมให้ไม่รู้สึกกระดากอาย ต่างจากในเวลากึ่งลอสเช่นนี้ ร่างกายเขากลับเป็นมนุษย์ ผิวเนื้อที่เสียดสีกับผืนผ้านั้นย้ำให้ตระหนักว่าหากใครเข้ามาเห็นในสภาพนี้คงไม่ดีเท่าไรนัก อาซาเอลจึงคลานไปปลายเตียงที่มีเสื้อผ้าชุดใหม่วางอยู่ ดูเหมือนแบคอนจะเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืน เพียงแต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะสังเกตเห็น
“เข้ามาได้เลยครับ”เอ่ยอนุญาตเมื่อจัดการตัวเองจนเรียบร้อยดี และคนที่ก้าวเข้ามานั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น
แบคอนเลิกคิ้วมองเด็กในความดูแล ก่อนจะเผยยิ้มล้อเลียนที่ทำให้อาซาเอลต้องยกมือขึ้นจับหูนุ่มสีดำสนิทบนศีรษะตัวเอง
“ดูดีนะเนี่ย ไม่คิดว่านายจะเหมาะกับหูสัตว์ขนาดนี้ อ้ะ หางด้วย”เสียงหัวเราะคิกคักของร่างเล็กทำเอาอาซาเอลได้แต่เข่นเขี้ยวนึกอยากจับคนช่างเยาะมาบีบแก้มให้หยุดส่งเสียงกวนหู
ติดที่ว่าคนตรงหน้าอายุมากกว่าเขาหลายปี และมีตำแหน่งสูงกว่าเขามาก
“ผมดูเท่ใช่ไหมล่ะครับ”รอยยิ้มยียวนแบบที่มักจะระบายอยู่บนใบหน้าคมเสมอกลับมาอีกครั้ง หลังจากถูกซ่อนไว้ใต้ใบหน้าน่ารักน่าชังของแมวน้อยไปเสียหนึ่งวันเต็ม
“พูดกันตรงๆเลยนะอาซาเอล ตอนนี้นายดูน่ารักชะมัดเลย จะต้องมีเพียวกับไฮบ์กระโจนเข้าใส่นายแน่ถ้าได้เห็นภาพนี้”
รอยยิ้มที่ส่งไปก่อกวนคู่สนทนาหุบฉับลงทันทีที่โดนประโยคโต้ตอบซึ่งเป็นเหมือนหมัดฮุกเข้าใส่ที่ปลายคาง
ยกนี้แมวน้อยแพ้จิ้งจอกหนุ่มไปเห็นๆ
“คุณแบคอนมีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมมาหาผมถึงที่นี่”
อาซาเอลถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องก่อนจะโดนหยอกล้อมากไปกว่านี้ ปฏิกิริยาของคนโดนตั้งคำถามมีเพียงการไหวไหล่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ดัดที่วางอยู่ชิดผนังฝั่งปลายเตียง
“ไม่เห็นนายอยู่ในห้องรับรองก็เลยมาดู”
จุดประสงค์แท้จริงคือมาให้ทรานส์ในความดูแลได้ดึงพลังเวทย์ไปใช้ หากแต่จะพูดออกไปตรงๆก็คงไม่ได้ อาซาเอลเฉลียวฉลาดพอจะเข้าใจความนัย เขาจึงเริ่มปันพลังงานจากผู้ดูแลมาอย่างช้าๆ ในขณะที่ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระเบี่ยงเบนความสนใจ
แบคอนลอบประเมินทักษะในการขโมยพลังเวทย์ของอาซาเอล ถือว่าทำได้ดีทีเดียว อาจเพราะเด็กหนุ่มคนนี้มีวาทศิลป์ดี ความสามารถในการสร้างบทสนทนาให้น่าสนใจของร่างสูงนั้นไม่เป็นสองรองใคร ในสถานการณ์จริงคงใช้เป็นจุดดึงดูดความสนใจจนคนรอบข้างไม่ทันสังเกตว่ากำลังโดนใบหน้าคมคายและรอยยิ้มชวนฝันนี้ล่อหลอกให้มอบพลังเวทย์ให้อย่างแนบเนียน
“ไม่อยากดื่มชาสักหน่อยหรอ”แบคอนเอ่ยตัดบทสนทนารื่นไหลที่อาซาเอลสร้างขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองมาอยู่ในห้องส่วนตัวของอีกฝ่ายนานเกินไปแล้ว
“วันนี้ผมอยากพักเงียบๆในห้องนอนมากกว่าครับ”
“อายหูแมวน่ารักๆนั่นงั้นหรือ”
อาซาเอลยิ้มแหยให้กับสายตารู้ทันของผู้ดูแลที่เหมือนจะกลายเป็นพี่ชายคนหนึ่งไปเสียแล้ว แบคอนถอนหายใจเบาๆก่อนจะพยักหน้ารับรู้ความตั้งใจของอีกฝ่าย ด้วยพลังเวทย์ของอาซาเอลอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปกติมากแล้ว ต่อให้เขาไม่อยู่ตรงนี้ ร่างสูงก็คงฟื้นฟูตัวเองได้ไม่ยาก ตอนนี้มีเด็กในความดูแลของเขาอีกหลายคนที่อาการยังน่าเป็นห่วงและต้องการพลังเวทย์ของเขาในการเยียวยา การปล่อยจอมกวนไว้คนเดียวคงไม่เป็นปัญหาเท่าใดนัก
ร่างเล็กหยัดตัวขึ้นจากเก้าอี้ไม้ดัด ก่อนจะสาวเท้าเข้าหาคนที่นั่งอยู่บนเตียง วัตถุสีเงินถูกส่งคืนให้กับเจ้าของที่รับไปพร้อมรอยยิ้ม
“ต่อไปนี้นายคงไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว แต่เก็บไว้ให้ดีล่ะ การสลักนามสกุลลงไปบนของใช้ส่วนตัวอาจทำให้นายเดือดร้อนได้ ในสถาบันเชนโตมีพวกหูตาไวอยู่มาก”
คำเตือนจากผู้ดูแลร่างเล็กทำให้อาซาเอลได้แต่ยิ้มบางๆตอบรับ ทรานส์หนุ่มรู้สึกว่าตนโชคดีที่ได้คนๆนี้เป็นผู้ดูแล การวางตัวสบายๆและความห่วงใยจากใจจริงนั้นช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายในสถานที่แสนกดดันแห่งนี้
“ถ้าหิวก็ออกไปที่ห้องรับรองนะ ฉันเตรียมรถเสบียงไว้ให้แล้ว ถึงจะเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง แต่หากนายละเลยการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน หูกับหางนั่นอาจหายไปไม่ทันเวลาก็ได้ ระวังหน่อย”
อีกครั้งที่อาซาเอลตอบรับความหวังดีของผู้ดูแลด้วยรอยยิ้ม และครั้งนี้มันคลี่กว้างจนมองเห็นฟันเขี้ยวเล็กๆของทรานส์หนุ่ม ดวงตาคมยิบหยีลงจนกลายเป็นโค้งพระจันทร์เสี้ยว เมื่อรวมกับหูและหางนั่นแล้วน่าเอ็นดูเสียจนคนที่เกิดเป็นไฮบ์ได้แต่ลอบถอนหายใจ
เด็กนี่ต้องแย่แน่ๆถ้าไปอยู่กลางดงตัวอันตรายทั้งหลาย
และสถาบันเชนโตก็ไม่ต่างอะไรกับใจกลางสงครามของผู้ล่ากับผู้ถูกล่า
แบคอนเดินออกจากห้องไปแล้ว อาซาเอลมองส่งจนลับสายตาก่อนจะก้มลงมองแหวนวงเล็กในมือ ด้านในของแหวนเงินเรียบๆถูกสลักไว้ด้วยนามสกุลของเขา
นามสกุลที่คล้ายจะประกาศความเป็นทรานส์ตระกูลเก่าแก่ผู้สืบเชื้อสายแมวใหญ่เกือบทุกชนิด
ลืมไปเสียสนิทว่ามีนามสกุลสลักอยู่ เพราะใส่มาตลอดและไม่เคยถอดเลยสักครั้ง
ความวิตกเดียวที่เกิดขึ้นคือ ไคมัส ผู้คุมการทดสอบคนนั้นจะเห็นมันหรือไม่ หวาดหวั่นเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะรู้ในสิ่งที่เขาปิดบังไว้ หากแต่ความลับนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะรู้ได้เพียงแค่รู้ว่าเขามาจากตระกูลใด
หากไม่ได้เห็นด้วยตา
น้อยคนนักที่จะรู้ว่า คนแบบเขา ยังหลงเหลืออยู่
อาซาเอลทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวบนเตียงอีกครั้ง แสงแดดที่ส่องลงมาเป็นลำเล็กๆผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ที่บิดเข้าด้วยกันก่อร่างเป็นเพดานนั้นทำให้อุณหภูมิในห้องสูงขึ้นจนเขาเริ่มไม่สบายตัว แต่ความเกียจคร้านก็ครอบงำเกินกว่าจะผลักให้เขาเดินออกไปหาที่ๆสบายกว่าอย่างห้องรับรองที่มีลมพัดผ่านตลอดเวลา
ทรานส์ตระกูลแมวพ่ายแพ้ให้กับความง่วงงุนที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง บอกกับตัวเองว่าของีบต่ออีกหน่อยแล้วจะตื่นมาอาบน้ำเพื่อออกไปหาอะไรทานในยามบ่าย
หากแต่เขาไม่คิดว่าการงีบหลับในครั้งนี้จะทำให้ความทรงจำในวัยเด็กหวนกลับมาในภาพฝัน ภาพที่เขากำลังมองแผ่นหลังกว้างของใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นสูงกว่าเขาอยู่มากด้วยวัยที่ห่างกันหลายปี เป็นพี่ชายที่ดูห้าวหาญพึ่งพาได้อยู่เสมอ เส้นผมสีดำเส้นหนาที่มักจะถูกแต่งทรงหยาบๆขยับเบาๆจากแรงลมที่พัดผ่าน ดูเหมือนการเดินตามคนตรงหน้าจะเป็นสิ่งที่เขาทำเป็นกิจวัตรอยู่ช่วงหนึ่ง
แล้วเหตุใดเขาจึงเลิกเดินตามร่างสูงคนนี้กันนะ ในเมื่อความรู้สึกที่ฉายชัดอยู่ในความทรงจำนั้นแสนจะยินดีกับการได้มองแผ่นหลังกว้างเบื้องหน้านี้
มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ
“อัล หันมามองผมบ้างสิ”
ในขณะที่ภาพทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้าๆ อาซาเอลได้ยินเสียงเรียกชื่อที่เขาไม่คุ้นหู แต่เหตุใดในความฝันนี้เขาจึงหันกลับไปราวกับนั่นเป็นชื่อที่เขาคุ้นเคย
อึก
ความปวดแปลบในทรวงอกปลุกให้คนหลับไหลสะดุ้งตื่น ร่างสูงผุดลุกนั่งบนเตียง มือหนึ่งกดกลางอกแน่นหากแต่ความเจ็บร้าวราวร่างจะสลายนั้นหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
อาซาเอลกระพริบตาถี่ไล่หยาดน้ำใสๆที่คลอในหน่วยตา ไม่อาจเข้าใจว่ามันเอ่อล้นออกมาเพราะความเจ็บปวดหรือด้วยสาเหตุใด
เขารู้สึกเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ เหมือนเวลาที่คนทั่วไปตื่นจากฝัน แต่เมื่อพยายามนึกย้อนว่ากำลังฝันเรื่องใดกลับนึกอะไรไม่ออก ด้วยความหงุดหงิดใจมือเรียวจึงยกขึ้นสางขยี้เส้นผมสีดำสนิทที่ตกลงปรกใบหน้า และพบว่าอวัยวะบางอย่างที่เคยอยู่ท่ามกลางกลุ่มผมของเขานั้นหายไปแล้ว
ทรานส์หนุ่มตั้งสติพิจารณาตัวเองอีกครั้ง หันมองด้านหลังก็พบว่าไม่มีสิ่งใดที่คล้ายกับหางยาวๆสะบัดอยู่
หายลอสแล้ว
อาซาเอลเงยมองเวลาและพบว่ามันล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็นของวัน ร่างสูงตัดสินใจยกเลิกรายการที่จะออกไปหาอะไรทานเป็นมื้อบ่าย เพราะอย่างไรเสีย มื้อค่ำวันนี้ก็รอเขาอยู่
ในฐานะสมาชิกใหม่ของสถาบันเชนโต เอ อูโน
hf
เสียงจอแจจากการพูดคุยของคนหลายสิบคนและเสียงเครื่องเงินที่กระทบภาชนะกระเบื้องชั้นดีดังออกมาจากห้องโถงใหญ่สำหรับจัดเลี้ยง เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำขลับเข้ากับเสื้อนอกสีเดียวกันที่ขับให้ผิวขาวนั้นขาวขึ้นไปอีกชะงักเท้าอยู่ห่างจากซุ้มประตูโค้งไม่ถึงสามก้าว
อาซาเอลก้มลงจัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างประหม่า มองเงาที่สะท้อนเลือนรางอยู่ในกระจกครอบรูปวาดแสนวิจิตรของป่าทึบ ได้แต่ถอนหายใจเมื่อพบว่าเขายังคงดูโดดเด่นแม้อยู่ในชุดสุภาพสำหรับร่วมงานเลี้ยงทั่วไป การเกิดมาพร้อมรูปลักษณ์งดงามราวรูปสลักแต่ต้องซ่อนตัวไม่ให้สะดุดตานั้นแสนยากเย็นสำหรับทรานส์หนุ่ม
พูดไปก็จะหาว่าหลงตัวเองอีก แต่ลองมาเป็นเขาสิ ทำอย่างไรจึงจะเดินเข้าไปในฝูงชนโดยไม่มีใครสักคนหันมอง ต่อให้ก้มหน้าเขาก็ซ่อนส่วนสูงและรูปร่างสมส่วนชวนมองนี้ไม่ได้
อาซาเอลมั่นใจว่าเขาย้ำแล้วย้ำอีกกับคนของสถาบันที่มาช่วยเรื่องการแต่งกายสำหรับค่ำคืนสุดพิเศษนี้ว่าขอชุดที่ทำให้เขาดูธรรมดาที่สุดในงาน ปฏิเสธชุดสูทเข้ารูปสีขาวที่ผู้ช่วยหญิงในวัยใกล้เคียงกับแม่ของเขาจัดมาให้ แม้เธอจะยิ้มร่าขณะทาบชุดสีอ่อนลงบนตัวเขา เอ่ยชมไม่ขาดปากว่าทุกคนในงานจะต้องเผลอมองตามทุกฝีก้าวหากเด็กหนุ่มเข้าไปในโถงจัดเลี้ยงด้วยสูทชั้นดีตัวนี้ แน่นอนว่าสถานการณ์นั้นห่างไกลจากสิ่งที่ทรานส์อย่างเขาต้องการ เรื่องอะไรจะต้องดึงดูดสายตานักล่าทั้งหลายมาที่ตัวเองตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกัน ผู้ช่วยของเขาตั้งท่าจะแย้งที่เจ้าของรูปร่างสมส่วนปฏิเสธจะเป็นจุดเด่นของงาน แต่อาซาเอลก็ยังยืนยันว่าอยากได้เพียงสูทเรียบๆสีดำสนิทเท่านั้น
การใส่ชุดสีอ่อนนั้นจะทำให้เป็นจุดดึงดูดสายตาทามกลางแสงสลัวของแชนเดอเลียร์ อย่างไรเสียสีดำก็ปลอดภัยที่สุด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเดียวกับนัยน์ตาและเส้นผมอยู่เสมอ
ซึ่งสิ่งที่ได้มาก็ไม่ผิดจากที่เขาขอ อาซาเอลเป็นเด็กหนุ่มที่สูงแต่ผอมบาง เขาจึงต้องอยู่ในชุดที่ใหญ่เกินตัวอยู่เสมอ แต่เสื้อนอกสีดำเรียบๆตัวนี้กลับพอดีตัวจนสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของคนตัดเย็บ เชิ้ตตัวในเป็นสีขาวที่มีลูกเล่นเป็นแถบสีดำยาวตามแนวกระดุม ใบหน้าถูกแต่งแต้มบางเบาเท่าที่เด็กหนุ่มยอมให้แปรงขนนุ่มสัมผัสกับใบหน้าเขาได้ เส้นผมสีรัตติกาลถูกจัดทรงให้เปิดใบหน้าได้รูป คืนนี้อาซาเอลเห็นดาวบนแก้มของตัวเองได้ชัดขึ้นอีกหน่อย การรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกของบรรดาผู้ช่วยสาวจบลง แม้ทุกคนจะอยากแต่งเติมสีสันให้ผืนผ้าใบชั้นดีอย่างใบหน้าของเด็กหนุ่มรูปงามมากกว่านี้ แต่ก็ไม่อาจขัดใจคนที่ตั้งท่าจะเช็ดทุกอย่างออกจากใบหน้าตลอดเวลาได้
ทั้งหมดนี้อยู่ในกรอบความธรรมดาที่เขาขีด แต่ยังมีบางสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรผู้ช่วยด้านการแต่งกายก็ไม่ยอมลงให้เขา และแววตามุ่งมั่นของหญิงวัยกลางคนที่อยากทำให้คนในความดูแลของตนมีอะไรน่าดึงดูดนั้นก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่ทรานส์ตัวน้อยจะต้านทานได้
เพราะไม่อาจปฏิเสธอะไรได้อีก สายหนังเส้นเล็กสองเส้นจึงพาดผ่านลำคอของเขาอยู่ในตอนนี้ และมันก็ขับให้ชุดสุดแสนธรรมดาดูลึกลับน่าค้นหาขึ้นเป็นกอง
พูดแบบไม่อาย เห็นตัวเองแล้วลองจินตนาการว่าเป็นคนอื่นที่กำลังมองเด็กหนุ่มตรงหน้า
เขายังอยากฝากรอยประทับอุ่นๆไว้บนสายหนังเย็นเฉียบที่พาดผ่านลำคอขาวๆนี้ไว้สักรอยสองรอย
นี่ล่ะที่ทำให้เขายืนถอนหายใจอยู่ตรงนี้
ไม่คิดมาก่อนว่านอกจากตัวเองจะเหมาะกับหูสัตว์แล้ว ยังเหมาะกับปลอกคออีกด้วย
บ้าเอ้ย ถ้าหนีออกไปแล้วเขาไม่โดนถอนสิทธิ์ออกจากผู้ผ่านการทดสอบ สาบานเลยว่าจะวิ่งออกไปให้ไวที่สุด
จะไม่ให้หวาดระแวงขนาดนี้ได้อย่างไรในเมื่อกลิ่นไออบอวลของเพียวและไฮบ์มันลอยออกมาจากภายในงาน ชวนให้ช่องท้องบิดมวนอยู่ตลอด นี่ขนาดอยู่ในมิติปกติ ไม่มีการกระตุ้นสัญชาตญาณใดๆ แต่จิตสำนึกของเขาก็ร้องระงมเตือนภัยว่าภายในโถงที่ก่อด้วยอิฐสีส้มแดงและกิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่นี้ไม่ปลอดภัยสำหรับทรานส์ที่เพิ่งหายลอสหมาดๆ
“อ้าว”
เด็กหนุ่มที่ยืนรวบรวมความกล้าอยู่ในเงามืดของซุ้มประตูสะดุ้งโหยง เผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ และนั่นเรียกรอยยิ้มเยาะจากคนที่เดินออกมาได้จังหวะพอดิบพอดี
ไคมัส
“คิดว่าแมวที่ไหนมายืนหลบมุมตัวสั่นอยู่ตรงนี้ ที่แท้ก็ไอ้หนูแมวดำนี่เอง”รอยยิ้มที่อาซาเอลเรียกมันว่ารอยยิ้มของปีศาจแต้มอยู่บนมุมปากของคนตัวใหญ่กว่า เรียกแววตาวาวโรจน์ของเด็กหนุ่มให้จ้องตอบ ยิ่งร่างสูงใหญ่ยืนอยู่มีแสงสลัวจากภายในห้องฉายมาเป็นฉากหลัง ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกคามจนอยากจะวิ่งหนี แต่สำหรับคนเกลียดความพ่ายแพ้นั้นทำได้เพียงเชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือดี พร้อมรอยยิ้มยียวนอย่างเป็นเอกลักษณ์
“เผื่อคุณไม่รู้ ผมแค่รอจังหวะให้กลิ่นสาบหมีจางไปสักหน่อยค่อยเข้างาน กลัวจะไม่เจริญอาหาร”อาซาเอลตบท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มหวานแบบที่ใช้กลบเกลื่อนความร้ายกาจของฝีปากเสมอๆ เด็กหนุ่มรู้มาจากผู้ดูแลร่างเล็กว่าคนตรงหน้านี้เป็นไฮบ์ตระกูลหมี และเป็นอริกับแบคอน
ใช่ว่าคุณแบคอนเกลียดแล้วจะเกลียดด้วย เขาแค่ไม่ถูกชะตากับคนโรคจิตก็แค่นั้นเอง
“หึ”ไคมัสแค่นหัวเราะในลำคอ นึกหมั่นเขี้ยวจนอยากสั่งสอนเด็กน้อยตรงหน้า
คลานตามกันมากับไอ้แบคอนหรืออย่างไร ทำไมฝีปากชวนให้จับหักคอทิ้งไม่ต่างกันเลย
แม้จะคันไม้คันมือ แต่ก็ทำได้เพียงโบกมือปัดๆคล้ายสั่งให้อีกคนเข้างานไปเสีย เพราะเขาต้องไปทำธุระสำคัญของตนเอง หากล่าช้ากว่านี้เกรงว่าคนที่นอนรออาหารอยู่ในห้องจะกัดกินเขาแทนมื้อค่ำ
เซรัลลอส ลอสเพราะโหมงานหนักตลอดสามวัน แถมเมื่อกลางวันเขายังเผลอรังแกเขี้ยวตัวเองหนักหน่วงเกินไปหน่อย ก็ร่างกึ่งลอสนั้นมันยั่วยวนเกินจะห้ามใจ ตอนนี้เขี้ยวของเขาเลยกลายเป็นเสือดาวตัวใหญ่ที่พร้อมตะปบหน้าหากเขาทำอะไรขัดใจ เลยต้องประคบประหงมกันไปจนกว่าจะหายลอส
ฝากบัญชีของไอ้หนูแมวปลอมไว้ก่อนก็ยังไม่สาย
อาซาเอลก้าวฉับๆผ่านอาจารย์หนุ่มเข้าสู่ห้องโถงกว้าง เพดานยกสูงเสียจนต้องเงยหน้าเกือบขนานพื้นจึงจะเห็นจุดสูงสุดของห้อง สถาปัตยกรรมรักโลกที่เกิดจากหิน ดิน และต้นไม้ หลอมหลวมเข้าด้วยกันด้วยพลังเวทย์ สร้างห้องจัดเลี้ยงที่วิจิตรไม่แพ้อารยธรรมเก่าก่อนใดๆ สินแร่ของอัญมณีมีค่าหลากสีทอประกายล้อแสงจากแชนเดอเลียร์ที่ทิ้งตัวระย้าอยู่รอบห้อง แชนเดอเลียร์อันใหญ่สุดที่ทอแสงนวลตรงกลางห้องนั้นงดงามด้วยคริสตัลชั้นดีจนอาซาเอลเผลอวางสายตาไว้นานเกินไป ไม่ทันสังเกตว่าใครบางคนกำลังเดินเข้ามาหาด้วยความเร็วที่ไม่ต่างกับการวิ่ง
“อาซาเอล”
“เฮ้ย”
เจ้าของชื่อสะดุ้งจนเผลอกระโดดถอยหลังเป็นครั้งที่สองของวัน ดูเหมือนจะเป็นนิสัยติดตัวของแมวหนุ่มที่ชอบกระโดดหนีไปตั้งหลักเวลาตกใจ อาซาเอลมองคนที่เข้ามาแตะต้นแขนด้วยแววตาสั่นไหวก่อนเสียงทุ้มจะโวยวายใส่คนที่ทำให้เขาแทบหัวใจวายตาย
“คุณแบคอน”
“ก็ฉันน่ะสิ คิดว่าใครกันล่ะ”
ไม่ทันได้คิดหรอกว่าใคร
แวบหนึ่งไม่ได้นึกถึงหมาตัวไหนเลย
จริงๆนะ
“ยินดีด้วยนะ แต่ฉันก็คิดไว้แล้วแหละว่ายังไงนายก็ต้องผ่าน ฉันมองใครไม่พลาดหรอก”แบคอนยิ้มกว้างให้เด็กในความดูแลด้วยแววตาเป็นประกาย เรียกเสียงหัวเราะใสๆจากคนอายุน้อยกว่า
“นายมาได้จังหวะชะมัดเลย ไอ้ไคมัสออกไปพอดี งานค่อยน่าสนุกหน่อย”แบคอนเบ้ปากคว่ำเมื่อพูดถึงเพื่อร่วมงานที่รีบแจ้นออกไปหาเขี้ยวของตัวเองทั้งที่งานยังไม่ทันเริ่มอย่างเป็นทางการ
เป็นห่วงเซรัลหรอกนะถึงได้ไม่อยากต่อความด้วย
“ถูกจังหวะเกินไปน่ะสิครับ ผมสวนกับเขาตรงทางเข้านี่เอง”แบคอนเลิกคิ้วขึ้น ส่งเสียงหืมในลำคอยาวๆ หลังถามไถ่จนได้ความว่าทรานส์ตัวน้อยของเขาไม่ได้โดนรังแกอะไร อาจารย์หนุ่มร่างเล็กจึงถือโอกาสชักชวนให้อาซาเอลไปนั่งร่วมโต๊ะกับเหล่าคณาจารย์คนอื่นๆ ซึ่งนักเรียนใหม่ที่ไม่อยากโดดเด่นในสายตาใครก็ปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาด จนแบคอนที่พอจะเข้าใจสถานการณ์ได้แต่เรียกร้องสัญญาว่าครั้งหน้าจะต้องไปเปิดตัวกับกลุ่มเพื่อนของเขา เพราะอาซาเอลเป็นเด็กปั้นที่แบคอนตั้งใจดันเต็มที่
ย้ำอีกว่าหากเข้าเรียนเป็นเรื่องเป็นราวแล้วต้องทำคะแนนในคลาสวิชาต่างๆให้ดี เพราะมิเช่นนั้นจะเสียชื่อไปถึงเขาได้
กดดันกันตั้งแต่ยังไม่ได้เหยียบเข้าสถาบันเลย
ทรานส์หนุ่มเริ่มไม่แน่ใจว่าการปล่อยให้ผู้ดูแลของเขาเดินกลับไปที่โต๊ะนั้นเป็นความคิดที่ถูกหรือไม่ เพราะแบคอนเป็นคนเดียวที่เขารู้จักในบรรดากลุ่มคนเกือบร้อยคนในห้องนี้ หมอชาร์ลที่เขาพอจะเริ่มบทสนทนาด้วยได้ก็นั่งอยู่เคียงข้างผู้ดูแลของเขาที่โต๊ะคณาจารย์ซึ่งกวาดตามองผ่านๆยังสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของแต่ละคน
แล้วยังไงต่อล่ะทีนี้ จะให้ยืนหลบมุมห้องแบบนี้ทั้งคืนก็ไม่ไหวหรอกนะ
ไล่สายตาจากมุมห้องฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ดูเหมือนงานจะยังไม่เริ่ม อาหารหลักยังไม่ถูกจัดวางบนโต๊ะ มีเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยอย่างคานาเป้หลากชนิดที่วางเรียงรายอยู่ตามโต๊ะต่างๆและในถาดเงินที่บริกรเดินถือผ่านไปผ่านมา เสียงเปียโนบรรเลงแผ่วคลอมาในอากาศแต่กลับไม่พบแกรนด์เปียโนวางอยู่ อาซาเอลเคยอ่านเจอว่าไม้บางจำพวกสามารถส่งเสียงคล้ายเครื่องดนตรีได้ และถ้าเดาไม่ผิด ต้นเสียงดนตรีหวานหูคงมาจากไม้ดอกคล้ายลิลลี่ที่ถูกจัดไว้ในกระถางทรงสวย วางเรียงกันอยู่สี่ห้าต้น มันไหวน้อยๆตามเสียงดนตรีทั้งที่ในห้องไม่ได้มีลมแรงพอจะทำให้ต้นของมันโอนสะบัดได้ขนาดนั้น
อาซาเอลยังคงกวาดสายตาไปรอบๆ เหม่อมองของตกแต่ง และหลีกเลี่ยงการสบตากับผู้คน ในมิติปกตินี้ การแยกแยะว่าใครเป็นเพียว ไฮบ์ หรือทรานส์นั้นทำได้ยากเย็น แต่กลิ่นไอที่อวลแทรกอยู่ในห้องก็บอกได้ว่านักล่ามีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่อยากเสี่ยงจึงต้องหลบเลี่ยงอยู่ลำพัง แต่ด้วยรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าแสนดึงดูด และท่วงท่าการขยับร่างกายชวนมอง แม้อาซาเอลจะทำเพียงทิ้งแผ่นหลังพิงผนังห้องและยกแขนขึ้นกอดอก กลับทำให้แขกในงานต้องลอบมองไม่วางตา อยากเข้าไปทักทายคนที่คล้ายกำลังเบื่อหน่ายกับงาน แต่ดวงตาสีดำที่ทอประกายคล้ายรวมดาวทั้งท้องฟ้าไว้นั้นกลับขุ่นมัวเหมือนไม่อยากสนทนากับใคร
คล้ายชนชั้นสูงที่ไม่อยากลดตัวเกลือกกลั้วกับปุถุชนคนธรรมดา
ใครล่ะจะกล้าเข้าไปทักทาย
“รับอะไรมั้ยคะ”
ยามเมื่อดวงตาคมตวัดกลับมามอง บริกรสาวได้แต่ลอบกลืนน้ำลายด้วยเกรงจะโดนตำหนิที่เข้ามารบกวน แต่แล้วใบหน้าซีดเผือดก็ต้องพาดผ่านด้วยรอยแดงที่เกิดจากการสูบฉีดเลือดแรงกว่าปกติเมื่อแขกรูปงามเผยรอยยิ้มกว้างจนตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เคียงคู่อยู่กับกลุ่มดาวบนแก้ม
อาซาเอลเกี่ยวสปาร์คกลิ้งไวน์ในแก้วทรงสูงด้วยนิ้วเรียวยาวก่อนจะเอ่ยขอบคุณเบาๆ สายตาซุกซนเหลือบเห็นปอยผมที่หล่นลงเคลียแก้มของหญิงสาวจึงยื่นมือไปปัดขึ้นเกี่ยวใบหูให้อย่างอ่อนโยน และการกระทำนั้นก็เกือบทำให้ถาดเงินที่วางแก้วใส่เครื่องดื่มร่วงลงจากผ่ามือของสาวผู้โชคดีในสายตาของคนในงาน หากไม่ใช่เพราะใครบางคนยื่นมือเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทัน
และบริกรสาวก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเทพบุตรสองตน
ดีเหลือเกินที่ภายในงานไม่มีแขกหญิงสาว มิเช่นนั้นเธออาจโดนสายตาทิ่มแทงมากกว่าตอนนี้ เพราะการบริหารงานของสถาบันเชนโตนั้นจะแยกนักเรียนชายและหญิงออกจากกันจนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม การจัดงานฉลองในค่ำคืนนี้จึงแบ่งเป็นสองส่วนเช่นกัน ตอนรู้ว่าเป็นหนึ่งในบริกรหญิงเพียงไม่กี่คนที่ต้องมาช่วยงานฝั่งนักเรียนชายนั้นเธอแสนจะวิตกกังวลด้วยเกรงกลัวอำนาจของชายหนุ่มที่ผ่านการคัดสรร แต่ตอนนี้เธออยากจะขอบคุณชะตาของตัวเองเหลือเกิน
“ระวังด้วยนะครับ แถวนี้มีสัตว์ร้ายอยู่เยอะ ผู้หญิงตัวเล็กๆไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก”เสียงทุ้มจากเทพบุตรที่เข้ามาช่วยประคองถาดรองแก้วเครื่องดื่มดึงสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยให้กลับมา บริกรสาวรีบก้มหัวขอโทษก่อนจะผละออกจากแขกทั้งสองท่าน สาวเท้าเร็วๆออกจากห้องจัดเลี้ยงด้วยไม่สามารถเบาเสียงระรัวที่อยู่ในอกได้ คงต้องขอกลับไปช่วยงานฝั่งนักเรียนหญิง มิเช่นนั้นเธออาจทำอะไรตกแตกจนโดนไล่ออก
เหลือไว้เพียงเทพบุตรสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน
อาซาเอลยกยิ้มมุมปากกับคำถากถางว่าเขาเป็นสัตว์ร้าย ในขณะที่อีกคนผู้เข้ามาใหม่ยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“สวัสดีครับ”เป็นอาซาเอลที่เอ่ยทักทายขึ้นมาก่อน มือเรียวยื่นไปตรงหน้า ชายหนุ่มที่สูงกว่าอยู่หลายเซ็นมองตามการเคลื่อนไหวก่อนจะยื่นมือออกมาจับแสดงการทักทายอย่างมีไมตรีจิต
“สวัสดีครับ ขอโทษด้วยที่เข้ามาขัดจังหวะ”เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ ฟังผ่านๆยังจับได้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดอย่างที่พูด
“ไม่ได้ขัดอะไรหรอกครับ ทั้งผมทั้งคุณก็ตั้งใจจะช่วยเหลือเธอเหมือนๆกัน บริสุทธิ์ใจกันทั้งนั้นใช่มั้ยล่ะครับ”อาซาเอลยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่ทำให้คู่สนทนาต้องหลุดหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ
คนๆนี้ทะเล้นกว่าที่คิดไว้มาก มากเสียจนแปลกใจที่รูปลักษณ์ภายนอกดูเข้าถึงยากได้ถึงเพียงนี้
ยิ่งกว่านั้นคือเขารู้สึกคุ้นเคยกับหนุ่มรูปงามคนนี้อย่างประหลาด
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นหรอกครับ ผมเป็นนักเรียนที่เพิ่งผ่านการทดสอบเหมือนกัน”ร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิทกับเสื้อเชิ้ตตัวในสีฟ้าอ่อนเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยแนะนำชื่อตัวเอง
“มินาคัสครับ”รอยยิ้มเป็นมิตรระบายอยู่บนริมฝีปากบาง อาซาเอลมองสำรวจคนตรงหน้าและพบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงาม พูดสุภาพ และไม่มีท่าทีคุกคาม
“ฉันชื่ออาซาเอล ถ้าบอกว่าไม่ต้องสุภาพ ก็หยุดพูดครับลงท้ายประโยคได้แล้ว”น้ำเสียงขี้เล่นนั้นทำให้คนเข้ามาทักทายชะงักไปครู่หนึ่ง
มองไกลๆราวกับรูปปั้นแกะสลักที่ไม่ควรแตะต้อง แต่จริงๆแล้วก็ดูเป็นเด็กหนุ่มอัธยาศัยดีคนหนึ่ง
โชคดีจริงๆที่เข้ามาทัก มินาคัสใจดีเกินกว่าจะปล่อยให้ใครยืนโดดเดี่ยวอยู่ในงานเลี้ยงตลอดทั้งคืน ยิ่งเป็นคนที่แสนจะดึงดูดแต่ลึกลับด้วยแล้ว เขาไม่อยากพลาดการทำความรู้จัก
ไหนจะชื่อแสนคุ้นหูนั่นอีก อาซาเอล งั้นหรือ...
คนใจดีซ่อนสีหน้าสงสัยเอาไว้เกือบไม่มิด โชคดีที่มีคนอื่นเข้ามาดึงความสนใจของอาซาเอลไปเสียก่อน
“เฮ้ๆ ไหนบอกจะให้พวกฉันร่วมวงด้วยไง ไหงมายืนคุยคนเดียวแบบนี้ล่ะ”เสียงติดแหลมของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาพร้อมเครื่องดื่มสองแก้วในมือ ดูเหมือนหนึ่งในนั้นจะเป็นของมินาคัส เพราะคนมาใหม่ยัดแก้วไวน์คืนให้คนสูงสุดในกลุ่มแล้วเริ่มแนะนำตัวเอง ไม่ลืมหันไปแนะนำเด็กหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีทองซีดที่เดินมาพร้อมกัน
“สวัสดี ฉันชื่อแจนิวาล นี่ซามูเอล พวกเราเพิ่งรู้จักกับมินาคัสแล้วก็อยากรู้จักกับนายด้วย นายดูดีเป็นบ้า”
อาซาเอลเลิกคิ้วให้กับบทสนทนาตรงๆที่เป็นกันเองจนน่าตกใจ ยิ่งการตบบ่าแรงๆนี่ยิ่งดูเหมือนเพื่อนสนิทสนมกันมาตั้งแต่เกิด ไม่เห็นจะเข้ากับคำว่า เพิ่งรู้จัก หรือ อยากรู้จัก ตามที่เจ้าตัวบอกตรงไหน แต่ท่าทางสบายๆนั้นก็ทำให้แมวที่กำลังแตกตื่นกับสถานที่ใหม่ๆพอจะคลายกังวลลงได้บ้าง
“อาซาเอล ยินดีที่ได้รู้จัก พวกนายก็ดูดีเหมือนกัน”อาซาเอลมองอีกสองคนที่สูงน้อยกว่า แจนิวาลอยู่ในชุดสูทสีดำที่ปักเลื่อมเกือบทั้งตัวจนดูฉูดฉาดแบบที่อาซาเอลไม่คิดจะใส่ตลอดชีวิตนี้ ส่วนซามูเอลนั้นดูดีจริงๆด้วยสูทสีน้ำเงินเข้มพอดีตัว ดูจากใบหน้าอ่อนเยาว์แต่เครื่องหน้าคมชัดนั่นแล้ว ซามูเอลน่าจะเด็กที่สุดในกลุ่มที่กำลังทำความรู้จักกันอยู่นี้
แต่ตรงนี้คงไม่มีใครเหมาะกับคำว่า ดูดี ไปกว่าร่างสูงที่ยืนยิ้มเงียบๆอยู่ข้างๆอาซาเอลตั้งแต่เพื่อนของเขาอีกสองคนก้าวเข้ามา มินาคัสยกแก้วไวน์ขึ้นแตะริมฝีปากและละเลียดของเหลวในแก้วไปพลางระหว่างที่แจนิวาลกำลังชวนทุกคนคุย
เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำให้คนมั่นใจในตัวเองอย่างเหลือล้นต้องยอมรับว่าอิจฉาความดูดีไม่เกรงใจใครนั่นอยู่หน่อยๆ
กิ๊งๆ
บทสนทนาที่มีแจนิวาลพูดอยู่เป็นส่วนใหญ่ต้องชะงักลงด้วยเสียงเครื่องเงินกระทบเนื้อแก้วชั้นดี มองไปกลางห้องโถงพบว่าอาจารย์ท่านหนึ่งยืนอยู่พร้อมด้วยแก้วไวน์และช้อนเงินในมือ อันเป็นต้นกำเนิดเสียงที่เรียกความสนใจของคนทั้งห้อง
ในห้องโถงที่ประกอบด้วยคนเกือบร้อยคนนี้ แยกคณาจารย์ออกจากเหล่านักเรียนใหม่ด้วยเสื้อคลุมตัวยาวที่ขับให้ผู้สวมใส่ดูทรงภูมิอย่างไม่อาจอธิบาย และบุคคลที่ยืนอยู่กลางห้องท่ามกลางสายตาทุกคนในขณะนี้ก็เป็นคนเดียวที่มีแถบสีทองพาดตามแนวสาบเสื้อคลุม ในขณะที่อาจารย์ท่านอื่นมีแถบสีแดง สีทองบ่งบอกตำแหน่งที่พิเศษกว่า แต่ถึงแม้ไม่สังเกตจากชุด ก็รู้ได้ว่าคนๆนี้มีตำแหน่งสูง ด้วยท่าทีให้เกียรติของเหล่าคณาจารย์ที่ยืนนิ่งตั้งใจฟังเจ้าของผิวขาวดุจหิมะแรกของปีเอ่ยทักทายผู้ร่วมงาน
“ได้เวลาสมควรที่จะเริ่มงานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างเป็นทางการ ผมซาฮาล เป็นอาจารย์ของสถาบันเชนโต มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมดูแลนักเรียนใหม่ทุกคน นั่นหมายถึงผมจะต้องรับผิดชอบชีวิตพวกคุณไปอีกหนึ่งปี”รอยยิ้มที่ไม่อาจบอกได้ว่าอบอุ่นหรือเย็นเฉียบถูกวาดบนริมฝีปากสีสด พาให้ขนคอนักเรียนใหม่ลุกชัน
“เรื่องนั้นเอาไว้ว่ากันต่อหลังจากพวกคุณเข้าสู่รั้วขอสถาบันเชนโตอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ขอให้สนุกกับงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับผู้ผ่านการทดสอบทั้ง 75 ท่าน ซึ่งนักเรียนชายทั้งหมด 40 ท่าน ได้อยู่ที่นี่กันครบแล้ว เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เราจะได้พบกับเพื่อนร่วมรุ่นอีก 35 ท่าน แต่ไม่ใช่ในเร็วๆนี้แน่นอน หวังว่าพวกคุณคงไม่ผิดหวังจนแห้งเหี่ยวไปเสียก่อน”เสียงหัวเราะครืนดังขึ้นเมื่ออาจารย์ซาฮาลขยิบตาอย่างรู้กันให้กับเหล่านักเรียนหนุ่ม
การมีเขี้ยวเป็นสาวสวย หรือการมีผู้ผูกพันธะเป็นสาวพราวเสน่ห์นั้นเป็นความฝันอันดับต้นๆของใครหลายๆคน
แต่ด้วยความได้เปรียบเสียเปรียบทางสรีระ การปล่อยทรานส์สาวไว้ท่ามกลางเพียวหรือไฮบ์หนุ่มเลือดร้อนเกรงจะอันตรายเกินไป สถาบันเชนโตจึงแยกนักเรียนชายหญิงออกจากกันเป็นเวลาสองปีเพื่อเตรียมการให้นักเรียนหญิงสามารถปกป้องตนเองได้ และกล่อมเกลาให้นักเรียนชายมีสติยับยั้งมากพอ
กว่าจะถึงตอนนั้น หลายๆคนก็จับคู่ผูกพันธะกันไปก่อนแล้ว
ในฐานะทรานส์หนุ่มแล้ว อาซาเอลอยากกระซิบบอกผู้มีอำนาจสักคนว่าการปล่อยให้ทรานส์อยู่ร่วมกับไฮบ์และเพียวนั้น ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ก็เป็นเรื่องโหดร้ายไม่ต่างกัน
“เอาล่ะ เชิญสนุกสนานตามสบาย ให้คุ้มค่ากับความพยายามตลอดสามวันที่ผ่านมา ระลึกไว้ว่านับจากวันนี้ไป ชีวิตของพวกคุณจะไม่เหมือนเดิม”
เสียงฮือกระหึ่มขึ้นทันทีหลังจบประโยค พร้อมกับพลุไฟหลากสีสันที่ทะยานขึ้นสู่เบื้องบนแล้วแตกตัวออกเป็นดอกไม้เพลิงนับร้อยกลางอากาศก่อนถึงเพดานห้องเพียงเล็กน้อย ทั้งหมดนั้นเกิดจากการสะบัดเสื้อคลุมเพียงครั้งเดียวของซาฮาล เพลิงเย็นระบำอวดลวดลายอยู่บนพื้นที่ว่างระหว่างผู้ร่วมงานกับเพดานห้องอีกพักใหญ่ ในขณะที่บริกรเริ่มทยอยนำอาหารมาวางเรียงรายบนโต๊ะกลมแต่ละตัว นักเรียนใหม่และคณาจารย์เริ่มจับจองที่นั่งรอบโต๊ะเหล่านั้นเพื่อดื่มด่ำกับมื้ออาหารสุดพิเศษ
อาซาเอลได้ยินแจนิวาลเรียกให้เขาไปนั่งด้วยกัน คนที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับลูกไฟหลากหลายสีทำเพียงครางรับในลำคอ กระนั้น เมื่อดวงตาสีรัตติกาลละจากเพลิงระบำกลับไม่อาจหันไปหากลุ่มเพื่อนได้ เพราะมันถูกตรึงนิ่งไว้ด้วยแววตาของใครบางคน
เจ้าของผมสีทรายที่เขาจำได้ดีแม้จะมองเห็นเพียงแผ่นหลัง
“ไง”
และการทักทายแบบไม่มีมารยาทนี่ด้วย
hf
บรรยากาศที่ควรจะสนุกสนานด้วยมื้ออาหารเลิศรสและดนตรีเสนาะหูกลับต้องมาคุขึ้นมาหน่อยด้วยเพื่อนร่วมโต๊ะคนหนึ่งกำลังลงแรงกรีดมีดลงบนเนื้อสเต็กที่ดูก็สุกกำลังดี แต่แววตาของคนหั่นทำให้คนรอบข้างมองมันเป็นเนื้อสดๆไปเสียแล้ว
แจนิวาลหันไปสบตาเพื่อขอความช่วยเหลือจากมินาคัสที่นั่งใกล้เจ้าของแววตาเหมือนอยากขย้ำใครสักคนให้ตายคามือ คนคอยสร้างบรรยากาศและชวนทุกคนคุยรู้สึกคอแห้งผากเพราะพยายามเริ่มหัวข้อสนทนาไปแล้วเป็นร้อยๆหัวข้อ แต่เจ้าของรอยยิ้มทะเล้นเมื่อแรกทำความรู้จักกลับไม่ตอบสนองใดๆจนคนมั่นใจว่าตนเองคุยสนุกเริ่มเสียความมั่นใจไปเสียแล้ว
“อาซาเอล นายฟันไม่ดีหรือไง จำเป็นต้องหั่นจนมันกลายเป็นเนื้อบดเลยรึเปล่า”มินาคัสเอ่ยกลั้วหัวเราะ มือหนาแตะลงบนหลังมือคนที่จับมีดแน่นจนคนโดนทักสะดุ้งตัวเบาๆ คล้ายเพิ่งได้สติ
อาซาเอลที่จมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองมาเกือบชั่วโมงหันมองเจ้าของมือขาวที่เปลี่ยนมาโยกศีรษะเขาเบาๆแทน มินาคัสขบขันกับแววตาเลิ่กลั่กของคนที่หูอื้อด้วยแรงอารมณ์มาตลอดตั้งแต่เดินมานั่งที่โต๊ะ ไม่สนใจการแนะนำเพื่อนใหม่ที่แจนิวาลเพียรจะทำให้เขาเอ่ยทักทายจนครบทุกคน ทรานส์หนุ่มที่อารมณ์ขุ่นมัวทำเพียงค้อมหัวลงเบาๆแล้วเอ่ยชื่อตัวเองอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก
ย้ำให้หลายคนเข้าใจว่าอาซาเอลนั้นแสนหยิ่งยโสและถือตัว
เว้นก็แต่สามชีวิตที่ได้คุยกับร่างผอมบางไปบ้างแล้ว จนรับรู้ได้ว่าเจ้าของท่าทีไม่สนใจสิ่งใดในตอนนี้นั้น เนื้อแท้เป็นคนสนุกสนานมากทีเดียว
อะไรทำให้อาซาเอลหัวเสียได้ถึงเพียงนี้
“อย่าบอกนะไม่ได้ฟังอะไรเลยมาตั้งแต่ต้น”แจนิวาลเอ่ยถามด้วยใบหน้าคล้ายเห็นผี
เอาความพยายามในการชวนคุยตลอดชั่วโมงของเขาคืนมา ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาเสียเวลาทานอาหารรสเลิศเหล่านี้ไปกับการเอาใจคนที่ไม่ใส่ใจคำพูดเขาเลย
“ขอโทษทีนะแจนิวาล ฉันกำลังคิดอะไรเพลินไปหน่อย”อาซาเอลยิ้มแหยพลางยกมือขึ้นเกาหลังคอ รู้สึกผิดต่อคนที่เบะปากคล้ายจะร้องไห้อยู่บนเก้าอี้ถัดไปสองตัว
แจนิวาลแสร้งโวยวายใหญ่โตที่อีกคนละเลยเขา กระนั้นก็สบายใจขึ้นหน่อยที่ได้เห็นรอยยิ้มของอาซาเอลเสียที
“ใจร้ายมากอาซาเอล นายใจร้ายมาก รับผิดชอบความรู้สึกของฉันด้วยการยกของหวานให้ฉันซะ”
“ให้ตายสิแจนิวาล เมื่อกี้นายก็เพิ่งปล้นสเต็กของซามูเอลไปครึ่งหนึ่งไม่ใช่รึ นี่ยังไม่พอหรือไง”
สีหน้าเอือมระอาของมินาคัสได้ปฏิกิริยาตอบกลับจากคนโดนค่อนขอดเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างไม่รู้สึกรู้สา จนเจ้าของใบหน้างดงามราวเทพบรรจงสร้างต้องถอนหายใจยาวอย่างยอมแพ้ และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะครืนจากผู้ร่วมโต๊ะ ไม่เว้นแม้แต่อาซาเอลที่รู้สึกว่าอาหารบนโต๊ะเริ่มอร่อยขึ้นมาแล้ว ทั้งที่เมื่อกี้ยังกร่อยฝาดลิ้นอยู่เลย
สาเหตุที่อาหารฝีมือเชฟชั้นนำกลับไร้รสชาติสำหรับเขานั้นคงเป็นเพราะความคิดที่ตีกันวุ่นอยู่ในสมอง น่าหงุดหงิดเสียจนเอาอะไรใส่ปากก็ไม่รู้รส
ความคิดทั้งหมดนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับใครบางคน ใครบางคนที่เมินเฉยต่อเขาได้อย่างโหดร้านเสียยิ่งกว่าที่เขาเพิกเฉยต่อแจนิวาลเมื่อครู่
ไง
ถ้อยคำสั้นๆนั้นดึงให้อาซาเอลยืนนิ่งมิอาจไหวติง แต่เจ้าของน้ำเสียงทุ้มต่ำชวนให้จังหวะการเต้นของหัวใจทวีความเร็วขึ้นกลับเดินผ่านเขาไป บ่งบอกว่าการทักทายอย่างไร้มารยาทนั้นไม่ได้มอบให้เขา แต่มอบให้ใครอีกคนที่ยืนอยู่ถัดไปไม่กี่ก้าว ดูได้จากการที่ทั้งสองทักทายกันอย่างสนิทสนม คงเป็นเพื่อนที่รู้จักกันก่อนเข้ารับการทดสอบ
หากไม่นับเสี้ยววินาทีที่สายตาประสานกันโดยบังเอิญแล้ว เจ้าของแผ่นหลังกว้างนั้นไม่ได้มองหน้าอาซาเอลเลยแม้แต่น้อย
แม้ตอนนี้เขาทั้งคู่จะอยู่ในมิติปกติที่ไม่มีการกระตุ้นสัญชาตญาณใดๆ แต่อาซาเอลกลับจำเรือนผมสีทรายนี้ได้ ไม่อาจลืมกลิ่นไออบอุ่นเหมือนผ้านวมที่เพิ่งตากแดดใหม่ๆแต่ก็มีบางสิ่งลึกลงไปที่ชวนให้กริ่งเกรงจนมิอาจเข้าใกล้
อาซาเอลเป็นทรานส์ ในเวลาปกติประสาทสัมผัสของทรานส์จะดีกว่าไฮบ์และเพียว
ไม่ว่าเจ้าของภาพหมาป่าที่เขาเคยเห็นจะเป็นอะไร แต่การแสดงออกของคนๆนี้ราวกับไม่รู้สึกถึงตัวตนของเขาเลย
อาซาเอลไม่ได้นับว่าตนยืนเก้ออยู่ตรงนั้นกี่วินาที เพราะรู้ตัวอีกทีขายาวก็พาตัวเองมาที่โต๊ะของพวกแจนิวาลแล้ว
และอารมณ์ขุ่นมัวก็ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมินาคัสเรียกสติเขากลับมา
ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธ ว่าภาพใบหน้าของคนที่เขาเคยเห็นเพียงแผ่นหลังกับได้ฟังเพียงน้ำเสียงหยอกล้อที่เพียรส่งมาหาจนเขารำคาญใจนั้นยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด ทั้งที่หงุดหงิดเหลือเกินแต่วันนี้เขาได้เจอคนที่ดูดีจนน่าอิจฉาเป็นคนที่สองแล้ว
เสื้อนอกเรียบหรูสีดำสนิทกับเชิ้ตสีขาวบางที่ปลดกระดุมถึงสองเม็ด ดูก็รู้ว่าตั้งใจหว่านเสน่ห์ไม่ใช่เพราะเป็นคนขี้ร้อนแต่อย่างใด ไหนจะเส้นผมสีทรายที่จัดทรงขับให้ใบหน้าเนียนโดดเด่น แม้มีโอกาสได้มองเพียงไม่กี่วินาที แต่อาซาเอลบันทึกภาพดวงตาเรียวรีที่โดนแต่งแต้มอย่างประณีตบรรจงจนดูมีเสน่ห์เหลือเกินไว้ได้อย่างชัดเจน
ให้ตายสิ
ยิ่งภาพเหล่านั้นชัดเท่าไร ยิ่งเจ็บใจเท่านั้น ทำไมคนที่กลายเป็นจุดสนใจแม้หลบอยู่ในมุมไหนก็ตามอย่างเขาถึงกลายเป็นอากาศธาตุได้ถึงเพียงนี้
“อาซาเอล”
ทรานส์หนุ่มเลิกคิ้วมองคนที่เอ่ยเรียกตน มั่นใจว่าเขาตั้งใจฟังแจนิวาลพูดมาตลอด แม้จะเข่นเขี้ยวใครบางคนอยู่ในใจไปด้วยก็ตาม แต่บทสนทนาที่ผ่านๆมาไม่มีหัวข้อใดที่เกี่ยวข้องกับอาซาเอลโดยตรง เขาจึงไม่เข้าใจเมื่อเพื่อนช่างจ้อเจาะจงเรียกชื่อเขา
“ถามจริงๆเลยนะ ที่จริงนายเป็นคนดังใช่มั้ย”แจนิวาลป้องปากถามคนที่นั่งถัดไปสองเก้าอี้ โดยมีมินาคัสที่เลิกคิ้วมองเขาเหมือนกำลังฟังเรื่องไร้สาระคั่นกลาง
ประโยคคำถามนั้นทำให้อาซาเอลลอบกลืนน้ำลาย
ตัวเขาไม่ใช่คนดัง
แต่ตระกูลเขาก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง
หรือเขาจะแสดงพิรุธอะไรที่ทำให้ใครต่อใครเห็นว่าเขาเป็นทรานส์ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
“ถ้าฉันดัง นายก็คงรู้จักไปตั้งแต่แรกแล้วสิ จะต้องมานั่งถามกันแบบนี้รึ”อาซาเอลตอบเรียบๆ ลอบมองปฏิกิริยาของแจนิวาล และพยายามไม่ให้มินาคัสที่มองหน้าเขาอยู่เห็นแวววูบไหวในดวงตา
“นั่นน่ะสิ ฉันว่าฉันไม่เคยเห็นนายตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารนะ”
อาซาเอลมองคนที่คล้ายจะพึมพำกับตัวเองมากกว่าคุยกับเขาแล้วลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
การสื่อสารในยุคนี้อาศัยเวทมนต์เป็นหลัก จึงไม่จำเป็นต้องมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเหมือนในกาลก่อน แม้แต่สื่อบันเทิงและการนำเสนอข่าวที่เคยถูกถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ก็ถูกแทนที่ด้วยหนังสือพิมพ์และนิตยสารเวทมนต์ ด้วยอยากส่งเสริมให้อ่านมากกว่าดู แก้ไขความล่าช้าในการจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยเวทมนต์ หน้าหนังสือพิมพ์ของแต่ละบ้านจะถูกแทนที่ด้วยข่าวใหม่ทุกๆวัน แทบทันทีที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เช่นเดียวกับความบันเทิงที่หาได้จากนิตยสารต่างๆ
แม้แต่ในยุคที่หลายคนต้องหลบซ่อนตัวตน ก็ยังมีคนดังอยู่บ้าง คนดังที่หมายถึงบุคคลสำคัญซึ่งมีผู้คนรู้จักอย่างแพร่หลาย ในกลุ่มคนดังอายุน้อยก็คงมีแค่เพียวและไฮบ์ เพราะสำหรับทรานส์นั้น ต่อให้มีความสามารถโดดเด่นเพียงใดการอยู่ท่ามกลางสายตาสาธารณะชนบ่อยครั้งก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
อาซาเอลไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก จึงอดแสดงอาการมึนงงไม่ได้เมื่อแจนิวาลเอ่ยถามเขาอีกครั้ง
“ถ้านายไม่ใช่คนดัง แล้วทำไมคาดิเนียลถึงเอาแต่มองนายตลอด”
“หือ”อาซาเอลส่งเสียงในลำคอพลางเอียงคออย่างไม่เข้าใจ
“คือนายดูดีอันนี้ไม่ปฏิเสธ คนแทบทั้งงานเอาแต่มองมาที่โต๊ะเราเพราะนายกับมินาคัสอันนี้ฉันยอมรับ แต่คนดังอย่างคาดิเนียลก็เอาแต่มองนายด้วยนี่มันไม่ปกติน่ะสิ”แจนิวาลอธิบายเสริมความ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อาซาเอลหายงงงวย ในเมื่อเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคาดิเนียลที่แจนิวาลกล่าวถึงราวเป็นบุคคลสำคัญนั้นเป็นใคร
“เดี๋ยวๆ คาดิเนียลที่นายพูดถึงนี่ใครกัน”อดรนทนไม่ไหวจนต้องยกมือห้ามก่อนที่แจนิวาลจะสันนิษฐานไปไกลและทิ้งให้คนในหัวข้อสนทนานั่งกระพริบตาปริบๆอยู่ตรงนี้
“นายนี่… ไปอยู่เขาลูกไหนมา”
มั่นใจว่าไม่ใช่เขาลูกเดียวกับนายแล้วกัน เพราะแถวบ้านฉันไม่พูดไปเคี้ยวของหวานของคนอื่นไปแบบนี้แน่ๆ
อาซาเอลหยิบยื่นผ้าเช็ดปากให้อีกฝ่ายที่ตั้งท่าจะร่ายผลงานของคุณคาดิเนียลยาวจนไม่รู้สึกว่าชอคโกแลตชั้นดีเปื้อนริมฝีปากอยู่ หากแต่ผ้าเช็ดปากในมืออาซาเอลกลับไปไม่ถึงเมื่อมินาคัสจัดการใช้ผ้าเช็ดปากของแจนิวาลที่มีสภาพไม่ต่างจากผ้าเช็ดโต๊ะตะปบเข้าที่หน้าของคนช่างพูด จะสะอาดหรือเลอะเทอะกว่าเดิมไม่อาจบอกได้ แต่นั่นช่วยให้แจนิวาลเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะแสดงอาการเหมือนน้อยอกน้อยใจที่โดนกระทำรุนแรง
“เอาเป็นว่าคาดิเนียลคือลูกชายตระกูลใหญ่ และเป็นนายแบบที่กำลังมาแรง เมื่อกี้เห็นนั่งอยู่โต๊ะโน้น แต่ตอนนี้ลุกหายไปไหนแล้วไม่รู้”
การตัดบทจบแบบไม่อธิบายของแจนิวาลยังไม่เท่าใบหน้างอง้ำกับสายตากรีดแทงที่ตวัดมองมินาคัสเป็นระยะ จนคนโดนค้อนใส่ต้องยกจานผลไม้เคลือบชอคโกแลตฟองดูวของตัวเองให้ไปนั่นล่ะ รอยยิ้มกว้างถึงกลับมาหาคนโดนรังแก
อาซาเอลมองภาพเพื่อนที่หยอกล้อกันก่อนจะหันไปมอง โต๊ะโน้น ที่แจนิวาลบอก แต่กลับไม่เห็นใครอยู่ที่โต๊ะเลยสักคน คล้ายว่าสมาชิกในโต๊ะนั้นออกไปสนุกกับเพลงจังหวะหนักๆที่นักดนตรีวงใหม่ออกมาบรรเลง
งานเลี้ยงอาหารค่ำดำเนินมาถึงช่วงปลายแล้ว เวลาก็ล่วงเลยไปค่อนคืน เหล่าคณาจารย์หลายท่านทยอยกลับที่พักที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคาร ปล่อยให้เหล่านักเรียนหนุ่มได้สนุกสนานกับงานเลี้ยงแบบวัยรุ่นกันอย่างเต็มที่ ดนตรีที่เคยบรรเลงหวานหูก็กลายเป็นจังหวะร้อนแรงเอาอกเอาใจแขกส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ในงาน
ทรานส์หนุ่มปฏิเสธคำชวนให้ออกไปเต้นด้วยกันตรงกลางโถงที่มีเหล่านักเรียนใหม่วาดลวดลายกันอยู่ เมื่อมินาคัสออกตัวว่าจะอยู่เป็นเพื่อนแม้ในตอนแรกจะอยากออกไปสนุกกับเหล่าเพื่อนใหม่ อาซาเอลจึงบอกปัดด้วยการขอตัวไปเข้าห้องน้ำและให้ทุกคนออกไปสนุกกันตามสบาย เดินเลี่ยงออกจากโถงจัดงานไปตามระเบียงยาวที่มีห้องน้ำอยู่สุดทางเดิน เมื่อเสร็จธุระแล้วก็ตั้งใจจะเดินกลับเข้างาน หากแต่ในวันนี้เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากสังสรรค์เท่าใดนัก ปลายเท้าจึงเปลี่ยนทิศทางเป็นสวนสวยที่เขามักมองจากห้องรับรองเสมอๆ
แต่ตอนนี้มันคือสวนจริงๆ ไม่ใช่ภาพจำลองที่อยู่ในมิติพื้นที่ใดๆ หากวิ่งฝ่าพงหญ้าและต้นไม้หนาแน่นเหล่านี้ออกไป เขาก็อาจจะออกไปถึงด้านนอกของป่าทึบได้ ด้านนอกที่มีชีวิตปกติธรรมดาดั่งที่เคยเป็นมา หากแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไป การเอาตัวรอดในสถาบันที่รวบรวมนักเรียนชั้นแนวหน้าไว้มากมายอาจจะหนักหนาสาหัสจนเขาไม่อาจทนได้ในสักวันหนึ่ง แต่กระนั้นมันก็แสนท้าทาย
อาซาเอลก้าวเข้าสู่บริเวณสวน รองเท้าหนังขัดมันอย่างดีช่วยไม่ให้เท้าของเขาเปียกด้วยน้ำค้างบนยอดหญ้า อากาศหนาวของช่วงค่ำคืนอาจบาดผิวหากไม่มีเสื้อนอกตัวหนาปกคลุมผิวกายไว้ เหลือเพียงใบหน้าเนียนที่รับเอาลมยามค่ำคืนเข้ามากระทบยามเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ประดับประดาไว้ด้วยดวงดาวทั้งน้อยใหญ่ ปลายจมูกรั้นขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อด้วยอากาศเย็นที่ปะทะกับผิวอ่อน
แต่แล้วภาพศิลปะที่ธรรมชาติสรรสร้างก็ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด ความเย็นที่ตกกระทบผิวหน้าถูกทาบทับด้วยความอุ่นร้อนของฝ่ามือหนาที่เลื่อนลงมาปิดดวงตาของเขา
อาซาเอลสะดุ้งสุดตัว แต่ก่อนจะทันได้ผละออกจากอาณัติของบุคคลปริศนา ตัวของเขาก็ถูกกักขังไว้ด้วยท่อนแขนแกร่งที่รวบรัดรอบเอว
บ้าเอ้ย
เขาไม่ระวังตัวจนโดนประชิดได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
“ชู่”
เสียงเป่าปากเบาๆที่ส่งลมหายใจร้อนรินรดบนหลังคอ แทนที่จะปลอบประโลมคนออกแรงขัดขืน กลับส่งให้แมวหนุ่มทั้งศอกทั้งเตะใส่คนที่รวบตัวเขาไว้จากด้านหลัง สัมผัสของแผ่นอกกว้างที่ทาบทับลงบนแผ่นหลังบ่งบอกว่าคนๆนี้ตัวใหญ่กว่าเขามากแม้ส่วนสูงจะไม่ต่างกันเท่าไรนัก
“ดื้อ”
ราวทุกอย่างหยุดนิ่ง เมื่อคำสั้นๆที่เอ่ยออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆนั้นแสนคุ้นหู เป็นคำที่ใครบางคนใช้ดุเขาครั้งแล้วครั้งเล่ายามเมื่อส่งสารใดๆมาแต่เขาไม่ตอบกลับ
“ไง”
เป็นอาซาเอลที่เอื้อนเอ่ยออกไปด้วยคำทักทายเดียวกับที่เคยได้รับ ซ้ำยังเป็นคำเดียวกับที่ทำให้เขาเสียหน้าจนแทบอยากฆ่าใครบางคนให้ตายคามือ
“จำกันได้แล้วหรือไง”
ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองกำลังค่อนขอดอีกฝ่ายคล้ายประกาศให้รู้กันไปเลยว่ากำลังน้อยใจ
หยุดเลยนะอาซาเอล หยุดทำอะไรที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจได้แล้ว
“ใครจะลืมเจ้าเหมียวของตัวเองได้กัน”เสียงทุ้มที่กระซิบอยู่ชิดหูเอาอกเอาใจเสียจนอาซาเอลเกือบละเลยสัมผัสแผ่วเบาที่ไล้วนบนช่วงเอว ซึ่งแม้ไม่คอดกิ่วเหมือนหญิงสาวแต่ก็แสนบางเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มทั่วไป มือหนาซุกซนจนสอดผ่านเสื้อตัวนอกเข้าไปสัมผัสเนื้อผ้าลื่นมือของเชิ้ตตัวใน และหากเจ้าของร่างผอมบางเผลอไผล มือร้อนก็อาจวุ่นวายเข้าไปถึงเนื้อในแสนนุ่มมือ
หึ
เป็นคนแบบที่ไม่สมควรเข้าใกล้จริงๆนั่นแหละ
“ปล่อยก่อนจะต้องเจ็บตัว”อาซาเอลเลี่ยงเปลี่ยนเรื่อง ไม่ให้ความสำคัญกับคำว่า เจ้าเหมียวของตัวเอง เพราะหากต่อความไปแล้ว คนเดือดร้อนอาจจะเป็นตัวเขาเอง
ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายทำอะไรเขาได้บ้าง
แต่เชื่อเถอะว่าอาซาเอลไม่โง่พอจะท้าทาย ในเมื่อเขากำลังเสียเปรียบตั้งแต่เริ่ม
ไว้เริ่มเกมกันใหม่แบบที่เท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียทีให้หมาป่าแบบนี้อีกแน่
“หายกลัวกันแล้วหรือไง ถึงขู่ได้ขู่ดี”คาดิเนียลยอมปล่อยให้เจ้าเหมียวหลุดออกจากอ้อมกอดแต่โดยดี อาซาเอลไม่ลังเลที่จะดีดตัวออกห่างจากคนที่ทำเหมือนกลัวคำขู่แต่กลับยืนยิ้มร่าจนตาแทบกลายเป็นขีด
“เผื่อคุณกำลังเข้าใจผิด ผมไม่ได้กลัวคุณ”
แววตาถือดีฉายวาบขึ้นมาอย่างเคย และนั่นก็กระตุ้นให้นักล่าเดินเข้าหาเหยื่อที่ไม่ยอมให้กลืนกินแต่โดยดี
“แม้ว่าผมจะรู้ว่าคุณเป็นทรานส์ แถมยังเคยช่วยคุณไว้ตั้งหลายครั้ง งั้นหรือครับ”คาดิเนียลเอ่ยระลึกความหลังที่ทำให้อาซาเอลต้องเม้มริมฝีปาก คนสูงกว่าสบเข้ากับนัยน์ตาสีเข้มที่เขาประเมินด้วยตัวเองว่ามันงดงามกว่าท้องฟ้าที่รวบรวมดาราทั้งจักรวาลเอาไว้ ยิ่งมันวูบไหวด้วยเจ้าของกำลังคิดหาทางหนีทีไล่จนสมองแทบระเบิด มันก็ยิ่งดึงดูดให้เขาไล่ต้อน
“ผมว่าผมบอกคุณไปแล้วนะว่าพลังเวทย์ที่ให้ไปไม่ใช่ของให้เปล่า แต่คุณก็ยังใช้มันอย่างเต็มที่ คงเตรียมใจชดใช้ไว้แล้วใช่มั้ยล่ะครับ”รอยยิ้มเหนือกว่าถูกวาดบนริมฝีปากอิ่มที่อาซาเอลมองว่ามันไม่ต่างอะไรกับเยลลี่สีสดยามเมื่อเคลือบด้วยเครื่องประทินโฉมจนมันวาว หากแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ อาซาเอลไม่ได้สงสัยในรสชาติของเยลลี่ตรงหน้า หากแต่กำลังสงสัยว่าอีกคนมองเห็นเขาเป็นอาหารชนิดใด จึงได้จ้องกลับมาด้วยแววตาเช่นนั้น
“อยากได้อะไรก็ว่ามา”อาซาเอลทำใจดีสู้เสือ ไม่ใช่สิ เป็นการทำใจดีสู้หมาป่าเสียมากกว่า ทรานส์หนุ่มเลือกจะยืนประจันหน้ามากกว่าจะถอยหนี หากเขาถอยอีกก้าวเดียว ราวกับจะแพ้ให้กับสงครามประสาทในครั้งนี้
“ผมบอกตอนนี้ได้จริงๆหรอ”คาดิเนียลเลิกคิ้ว นึกสนุกกับการเย้าแหย่อีกคนที่ไม่ต่างอะไรกับแมวกำลังโก่งตัวขู่ฟ่อ
เมื่อไรจะหยุดก่อกวนกันเสียที
จะเจ้าเล่ห์ก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ
อาซาเอลเข่นเขี้ยวในใจ และความหงุดหงิดนั้นก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้าที่ต้องแสงจากคบเพลิงเกิดเป็นเงาวูบไหว
“รีบพูด ก่อนผมจะเปลี่ยนใจ”
ถอนหายใจหนักๆให้รู้ว่าหงุดหงิดเต็มที กระนั้นลมหายใจของแมวน้อยก็ต้องกระตุกวูบ เมื่อได้ยินคำร้องขอของอีกฝ่าย
คาดิเนียลสนุกเกินไป ตื่นเต้นเกินไป เหมือนลูกสุนัขตัวใหญ่ที่ได้ตุ๊กตาใหม่ ถูกใจเสียจนเผลอฟัดแรงจนใยนุ่นปริออก
แม้หวงแหนแต่ไม่รู้จักรักษา เป็นข้อเสียที่ตัวเขารู้ดีแต่ยังไม่รู้วิธีแก้ไข
“ถ้าผมบอกให้คุณมาเป็นเขี้ยวของผมล่ะ”
วินาทีเดียวกับที่เอ่ยจบประโยค
รสคาวของเลือดสดๆอวลไปทั้งช่องปากของคนที่ถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด
ดูเหมือนคาดิเนียลจะเหยียบกับระเบิดโดยไม่ตั้งใจ
เขาเพียงอยากลองเชิงทรานส์ที่ตนเองกำลังสนใจ คาดิเนียลไม่ชอบอะไรที่ได้มาง่ายๆ หากอาซาเอลหัวอ่อนยอมตกเป็นของเขาแต่โดยดี การล่าครั้งนี้คงน่าเบื่อเกินกว่าจะเสียเวลาด้วย
แม้รู้อยู่แก่ใจว่าแมวน้อยของเขาหัวแข็งเพียงใด แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอของแข็งเข้าจริงๆ
“เก็บชีวิตเอาไว้ทำประโยชน์เถอะ อย่ารนหาที่ตายตั้งแต่ยังหนุ่มจะดีกว่า”
เสียงกดต่ำด้วยพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่ตีตื้นขึ้นมาเป็นระลอก ราวมีเพลิงผลาญสุมอยู่ในอก อาซาเอลกัดฟันกรอดในขณะที่หมัดยังกำแน่นจนเล็บจิกลงในเนื้อ ข้อนิ้วปวดแปลบเพราะมันเพิ่งกระแทกเข้ากับโหนกแก้มของอีกฝ่าย
คาดิเนียลใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม แตะไล้ไปตามรอยแสบที่เกิดจากแผลแตก แรงกระแทกจากหมัดของชายหนุ่มที่มีเรี่ยวแรงสมวัยทำเอาหน้าชาไปทั้งแถบ ปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงรสเฝื่อนของเลือดสดๆ เขาเลือกจะยืนนิ่งมากกว่าคว้าตัวแมวดื้อเข้ามาสั่งสอนที่ทำตัวก้าวร้าว
แรงจากหมัดเรียกให้คนที่กำลังสนุกจนเกินพอดีได้สติ ดูเหมือนจะเป็นเขาที่ล้ำเส้นก่อน
ไฮบ์หนุ่มปล่อยให้คนที่กำลังโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงก้าวฉับๆผ่านเขาไป แว่วเสียงอีกฝ่ายลงเท้าหนักๆไปตามทางเดิน ไกลออกไป ไกลพอจะไม่รับรู้ถึงพลังงานรุนแรงที่เอ่อล้นออกมาจากร่างสูงที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวกลางสวนสวย
หาโอกาสใหม่คงง่ายกว่าการปราบพยศอาซาเอลในตอนนี้ ถ้าโรมรันกันไปแล้วอีกฝ่ายถอยห่างออกไปคงไม่ดีเท่าไร กว่าจะทำให้เจ้าตัวไว้วางใจเขาได้ต้องแลกด้วยพลังเวทย์ตั้งมากมาย เรื่องอะไรจะยอมให้เสียเปล่า
อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าการเข้าหาเจ้าแมวตัวร้ายต้องมีชั้นเชิงกว่านี้มาก
บุกเข้าไปตรงๆมีแต่จะชนกำแพงเข้าเท่านั้น
กลิ่นหอมจางจากตัวคนที่เคยอยู่ในอ้อมกอดของเขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนยังคงติดตรึงอยู่ในประสาทรับกลิ่น ภาพของแก้มนวลที่อยู่ห่างปลายจมูกเขาไม่ถึงคืบจนมองเห็นรอยแต้มเล็กๆที่เรียงกันคล้ายกลุ่มดาวยังชัดเจนอยู่ในมโนภาพ คาดิเนียลไม่เคยอยากคว้าดาวดวงใดเท่ากลุ่มดาวสามดวงนี้มาก่อน
รอยยิ้มบางวาดขึ้นที่มุมปากอิ่ม หากอาซาเอลอยู่ใกล้พอจะมองเห็น คงต้องสาวเท้าให้เร็วขึ้นอีก หนีห่างออกไปให้มากขึ้นอีก
หากแต่ไม่มีใครตอบได้ว่าต้องหนีไปไกลเพียงใด รวดเร็วแค่ไหน จึงจะรอดพ้นจากการตามล่าของหมาป่าตัวนี้
คอยก่อน
ไฮบ์หนุ่มเอ่ยเตือนตัวเอง ผลักดันความกระหายให้กลับไปอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
กฎของการล่าที่คาดิเนียลบัญญัติเอง
ข้อแรก
ยิ่งเหยื่อแข็งแกร่งและดื้อรั้นเท่าไร
การล่ายิ่งเร้าใจมากขึ้นเท่านั้น
แม้แมวน้อยของเขาจะไม่ชอบใจเท่าไรนัก แต่สักวันเขาต้องได้ในสิ่งที่เขาร้องขอ ไม่เคยมีใครเป็นหนี้เขาแล้วไม่ต้องชดใช้
“เล่นเป็นหมาหยอกแมวมันสนุกมากนักหรือไง”
เสียงทุ้มแหบของคนที่หลบอยู่ในเงามืดดึงให้คาดิเนียลหันมอง เขารู้ดีว่าชายคนนี้แอบมองมาตั้งแต่ต้น ผิดแผนไปหน่อยตรงที่ไอ้เพื่อนตัวดีดันเห็นตอนที่เขาโดนซัดเข้าเต็มๆ
“อ่ะ ไม่ต้องตอบล่ะ หน้านายมันบอกทุกอย่างเลย”คนเข้ามาใหม่ยกมือห้ามเมื่อเห็นว่าแววตาของเพื่อนตนกำลังเป็นประกายเพียงใด
“แล้วแอบมองคนอื่นมันสนุกนักรึไง ซากาน”คาดิเนียลถามกลับกลั้วหัวเราะ แต่อีกฝ่ายทำเพียงไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจคำค่อนขอด
“เฮ้ นายพูดจริงรึ”ซากานเอ่ยพลางเงยมองท้องฟ้าพร่างดาว คล้ายสิ่งที่พูดมิได้สลักสำคัญ หากแต่แววตาเรียบนิ่งนั้นกำลังจริงจังอยู่
“เรื่องอะไรล่ะ”
คาดิเนียลรู้ดีว่าซากานถามถึงเรื่องใด
“เขี้ยวไง”
หากแต่ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากเลี่ยงการสนทนาในเรื่องนี้กับเพื่อนที่โตด้วยกันมา และรู้เรื่องราวของเขาเป็นอย่างดี
“อืม”
ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศอยู่พักหนึ่งเมื่อคาดิเนียลครางรับในลำคอ ดวงตาเรียวยังคงมองนิ่งอยู่ที่สหายคนสำคัญ ในขณะที่ซากานยังเพ่งมองไปไกลราวจะมองเห็นสุดปลายของท้องฟ้าได้
“ทั้งที่นายมีเขี้ยวอยู่แล้วงั้นรึ”
ดวงตาคมกริบของไฮบ์ตระกูลหมาป่าที่เติบโตเคียงข้างกันมาสบเข้าหากันพอดีเมื่อซากานเลื่อนสายตากลับมาหาคู่สนทนา ความขมขื่นสะท้อนอยู่ในดวงตาเรียวรีทั้งสองคู่วูบหนึ่งก่อนจะเลือนหายไปเมื่อคาดิเนียลแย้มรอยยิ้มที่ไม่ได้สื่อความใด
เขาไม่จำเป็นต้องตอบ
เพราะซากานรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
hf
งานเลี้ยงอาหารค่ำจบลงในเวลาที่พระจันทร์เคลื่อนจากกึ่งกลางผืนนภาไปมากโข แม้ร่างกายของชายหนุ่มทั้งหลายจะกระหายการดื่มกินและเต้นรำ หากแต่ก็โหยหาการพักผ่อนมากพอกัน ช่วงเวลาตีสามกว่าจึงไม่เหลือนักเรียนหรืออาจารย์คนใดอยู่ในโถงจัดงาน มีเพียงเหล่าพนักงานที่เข้ามาเก็บกวาดเศษซากความสนุกสนานที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ในห้องสีส้มอิฐ
ทรานส์หนุ่มเจ้าของกลุ่มดาวสามดวงนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ร่วมห้องกับเหล่าเพื่อนใหม่ที่เข้ากันได้ดีจนอาซาเอลคิดว่าคงคบกันไปอีกนาน อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะเรียนจบ ไม่ก็จนกว่าใครสักคนจะลุกขึ้นมาพยายามสร้างพันธะสัญญาเลือดกับทรานส์อย่างเขา
หากมีวันนั้น เพื่อนก็เพื่อนเถอะ คงได้หลั่งเลือดกันบ้าง
อาซาเอลแสนเกลียดชังชะตากรรมของเขี้ยว เขาจึงหุนหันพลันแล่นและไร้สติยับยั้งเมื่อต้องพัวพันกับคำๆนี้ อย่าว่าแต่ใครจะลากเขาไปเป็นเขี้ยว แค่เห็นคนรอบตัวถูกบังคับให้ตกเป็นทาสก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยคนๆหนึ่งไว้จนตัวเองตกอยู่ในอันตรายแสนสาหัส กระนั้นก็จำไม่ได้ว่าเหตุการณ์เป็นมาอย่างไร และจบลงตรงไหน จำได้เพียงความรู้สึกหวาดกลัวที่เกาะกุมอยู่ในจิตใจ
ฝังให้อาซาเอลเกลียดชะตากรรมของทรานส์ที่ต้องตกเป็นทาสจนไม่อาจทนฟังได้เสียด้วยซ้ำ
เหตุใดจึงมีเพียงทรานส์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น
แม้จะอดทนจนผ่านวัยยี่สิบห้าปีไปได้แล้วอย่างไร ได้รับพลังอำนาจแล้วอย่างไร ในเมื่อก็ต้องเผชิญจุดอ่อนอย่างอาการลอสไปตลอดชีวิต มีขีดจำกัดแม้จะเป็นพลังเวทย์ของตนเอง ในขณะที่เพียวและไฮบ์จะใช้พลังเวทย์เท่าใดก็ได้ตามที่ต้องการ ตราบใดที่กายเนื้อของตนทนไหว ซึ่งก็มีน้อยคนนักที่สิ้นใจเพราะฝืนใช้พลังเวทย์เกินตัว
นี่ไม่นับการที่ต้องดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการถูกจับเป็นเขี้ยว ทั้งไฮบ์และเพียวต่างตามล่า แม้ว่าบางคนจะโชคดีหน่อยที่ได้ผูกพันธะด้วยใจสมัครรักและภักดีมาตั้งแต่ต้น
แต่บางคน
ก็ไม่มีแม้สิทธิ์เลือก
เขาเห็นมาแล้ว ทรานส์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะการถูกบังคับเป็นเขี้ยว ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า เป็นสิ่งของที่จะใช้หรือจะทิ้งก็ขึ้นอยู่กับผู้ผูกพันธะ มิอาจเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองได้
แม้แต่ความตาย
หากนายสั่งให้อยู่
เขี้ยวก็มิอาจทอดทิ้งนายได้ ไม่ว่าจะจากเป็น หรือจากตาย
ชะตากรรมน่าเวทนาของทรานส์นั้นใช่ว่าจะทดแทนได้ด้วยความเก่งกาจ
ความแข็งแกร่งของทรานส์เป็นดาบสองคม
คมหนึ่งใช้ฟาดฟันให้ตัวเองรอดพ้นจากอันตราย
อีกคมหนึ่งหันเข้าใส่ตัวเอง ด้วยเป็นแรงดึงดูดให้คนมากมายตามไล่ล่า
ยิ่งเขี้ยวแข็งแกร่งเท่าไร
พลังอำนาจของผู้ผูกพันธะยิ่งทบเท่าทวีมากเท่านั้น
ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
อาซาเอลพลิกตัวไปมาจนกลัวอีกสามชีวิตในห้องจะสะดุ้งตื่น ทั้งที่อากาศเย็นสบาย และเตียงก็นุ่มจนชวนให้ทิ้งตัวเข้าสู่ห้วงนิทรา หากแต่พลังงานบางอย่างที่กดดันเขาอยู่ตลอดเวลานี้ทำให้ทรานส์หนุ่มไม่อาจฝืนข่มตาหลับได้
ไอ้หมาป่านั่นพยายามเทเลพาทีกับเขาอีกแล้ว
หากแต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน
เมื่อครั้งต้องอาศัยพลังเวทย์ของคาดิเนียลเพื่อช่วยให้ผ่านพ้นอาการลอส อาซาเอลจำเป็นต้องยินยอมให้เจ้าของเสียงทุ้มต่ำเข้ามาในห้วงการรับรู้ แม้จะไม่ยอมตอบกลับด้วยต้องเก็บกักพลังเวทย์ หากแต่ทุกประโยคที่อีกฝ่ายส่งมา ดังก้องอยู่ในโสตประสาทอย่างมิอาจปฏิเสธ
ทว่าในยามที่ทรานส์หนุ่มไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังเวทย์ของอีกฝ่าย การปิดกั้นมิให้ข้อความใดไหลผ่านการรับรู้นั้นทำได้ง่ายดาย เพราะเทเลพาทีต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนพลัง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม ก็เหมือนโยนหินใส่กำแพง
อาซาเอลเพิกเฉยต่อพลังงานเบาบางที่ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าเป็นของใคร ความอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยอาบไล้อยู่ในความรู้สึก รอคอยให้เขาเผลอไผลปล่อยให้เจ้าของพลังเวทย์เข้ามาในสมอง หากแต่อารมณ์ขุ่นมัวของเขานั้นยังคงอยู่ ทรานส์หนุ่มปฏิบัติต่อคนที่ทำให้เขากรุ่นโกรธราวกับการปิดประตูบ้านยามเมื่อแขกที่ไม่ต้องการมาเยือน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเพียรเคาะเรียกเท่าไร เขาก็ไม่คิดจะรับฟังสิ่งใดในตอนนี้
ถึงจะรำคาญใจอยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เสียงทุ้มต่ำนั้นเข้ามามีอิทธิพลเหนือตัวตนของเขา
ไม่อยากโอนอ่อนตามคำออดอ้อนที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเชี่ยวชาญเหลือเกิน
เสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นเป็นระยะทำให้ร่างสูงที่ทอดกายอยู่บนเตียงถัดไปไม่อาจเพิกเฉย
มินาคัสลอบสังเกตอาซาเอลมาตลอดตั้งแต่ทั้งสี่คนล้มตัวลงนอน ด้วยแสงสีเหลืองนวลจากลูกไฟเล็กๆที่ล่องลอยอยู่ทั่วห้อง อันเกิดจากเวทมนต์ของซามูเอล ผู้อ่อนเยาว์ที่สุดในกลุ่มสารภาพว่าไม่อาจนอนในห้องที่มืดสนิทได้ และเวทมนต์บทง่ายๆที่เขาเรียนรู้ไว้เพื่อช่วยให้ตนเองข่มตานอนในที่ไม่คุ้นเคยก็ถูกนำออกมาใช้ นอกจากมันจะช่วยให้ซามูเอลหลับได้อย่างสบายใจ ลูกไฟดวงน้อยยังช่วยให้มินาคัสมองเห็นว่าคนบนเตียงข้างๆเอาแต่พลิกตัวไปมาด้วยใบหน้างอง้ำเพียงใด
หากแต่การถามไถ่อาซาเอลออกไปในยามที่ห้องเงียบสนิทเช่นนี้อาจทำให้อีกสองร่างที่อยู่ในภวังค์ฝันรู้สึกตัวตื่น มินาคัสจึงเลือกที่จะส่งพลังงานบางเบาไปสัมผัสอีกฝ่ายคล้ายขออนุญาต
ครั้งนี้เจ้าของบ้านยินดีเปิดรับแขกผู้มาเยือน
เป็นอะไรรึเปล่า นายดูไม่สบายตัวเอาเสียเลย
อาซาเอลมิได้ตอบกลับในทันที ฝ่ายที่ทำให้เพื่อนร่วมห้องเป็นห่วงพลิกตัวหันหน้าเข้าหาเตียงของคู่สนทนา และพบว่าอีกฝ่ายกำลังลืมตามองเขาอยู่ท่ามกลางแสงสลัวของลูกไฟเวทย์
มินาคัสส่งยิ้มที่ทำให้อาซาเอลได้แต่ถอนหายใจ
รอยยิ้มของคนๆนี้อ่อนโยนเกินกว่าจะปฏิเสธน้ำใจจากเขาได้
แม้จะไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย แต่ก็เป็นยิ้มที่อันตรายไม่ต่างจากยิ้มของใครบางคนที่มักจะมาพร้อมดวงตายิบหยีจนกลายเป็นขีด
รอยยิ้มที่ทำให้อาซาเอลไม่อาจขัดขืน
มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย
อาซาเอลตอบกลับไปในความคิด มินาคัสเลิกคิ้วน้อยๆก่อนจะส่งกระแสเสียงนุ่มกลับมาอีกครั้ง
ฉันช่วยอะไรได้บ้างมั้ย
สรรพนามที่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่ได้คุยกันบ่งบอกว่าชายหนุ่มที่มีท่าทีแสนสุภาพนั้นยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นมาอีกหน่อย อาจเพราะอาซาเอลขอแกมบังคับไม่ก็เป็นเพราะแจนิวาลที่ก่อกวนจนมินาคัสหลุดมาดเจ้าชายไปเสียหลายหน
ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงหลับไปเอง
มินาคัสมองคนที่ตอบแบบขอไปทีอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยคำถามที่ทำให้ได้รับสายตาดุๆตอบกลับมาพร้อมกับเสียงเข้มที่ดังอยู่ในหัว
มานอนด้วยกันสิ เดี๋ยวกล่อม
ล้อกันเล่นรึไง
แว่วเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ที่เหมือนเจ้าตัวจะพยายามเก็บกักไว้ในลำคอ อาซาเอลแยกเขี้ยวใส่คนที่พูดจาราวกับเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆแถมยังขบขันกับคำพูดของตัวเองเสียอีก
ก่อนที่บทสนทนาระหว่างร่างสูงทั้งสองจะดำเนินไปไกลกว่านี้ เสียงงัวเงียของคนอายุน้อยที่สุดในห้องก็ดึงให้อาซาเอลพลิกตัวกลับไปมอง ภาพที่ซามูเอลหยัดตัวขึ้นนั่งด้วยใบหน้าเหยเกนั้นดึงความสนใจของอาซาเอลไปเสียหมด จนไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มบางเบาที่แตะแต้มบนมุมปากของใครอีกคน
มินาคัสมองแผ่นหลังของอาซาเอลด้วยแววตาแบบเดียวกับที่มองเจ้าของร่างสูงแต่ผอมบางตอนกำลังยืนอยู่ลำพังในห้องจัดเลี้ยง ทำไมผู้ที่มีนัยน์ตาสดใสเพียงนี้จึงต้องสร้างช่องว่างระหว่างตัวเองกับคนรอบข้างอยู่เสมอ แม้ไม่ปฏิเสธน้ำใจจากเขา แต่ก็ไม่ยอมขอความช่วยเหลือ
ดูแลคนอื่น ในขณะที่ตนเองก็กำลังต้องการการดูแล
มินาคัสรู้นิสัยนั้นได้จากน้ำเสียงอ่อนโยนที่อาซาเอลกระซิบถามซามูเอล
“มูเอล เป็นอะไร”เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อน้องน้อยยังแสดงท่าทีกระสับกระส่าย ทั้งที่หลับสนิทไปนานแล้วแต่กลับสะดุ้งตื่นกลางดึกเช่นนี้ต้องมีสาเหตุ
ซามูเอลเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงผอม ดูเต็มหนุ่มจนอาซาเอลต้องแปลกใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอายุเพียง 15 ปี ถือว่าน้อยเหลือเกินที่ต้องจากครอบครัวมาอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้ามากมายและไม่ใช่ทุกคนที่หวังดีกับเด็กที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
หากไม่แข็งแกร่งคงไม่อาจผ่านการทดสอบมาได้
นึกภาพไม่ออกเลยว่าเด็กอายุแค่นี้ต้องอาศัยความพยายามและความอดทนเพียงใดในการก้าวผ่านบททดสอบทั้งหมดมา
ขนาดตัวเขาว่ากร้านแดดกร้านฝนพอตัว ยังเลือดตาแทบกระเด็น
ยิ่งอาซาเอลชื่นชมในความเก่งเกินวัยของเด็กน้อยมากเท่าไร ยิ่งอยากปกป้องมากเท่านั้น
อาจเพราะทรานส์หนุ่มสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นอะไรที่ไม่ต่างกันกับเขา
“พวกพี่ไม่รู้สึกกันหรอครับ มันอึดอัดบอกไม่ถูก”ซามูเอลเอ่ยบอกคนอายุมากกว่าที่มองตรงมายังเขา มินาคัสทำเพียงเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่อาซาเอลถอนหายใจเบาๆแล้วเอ่ยคำที่ทำให้เพื่อนร่วมห้องทั้งสองส่งเสียงหืมในลำคอ
“มานอนกับพี่มา”
มือใหญ่แต่บางตบลงเบาๆบนที่ว่างข้างตัว
ซามูเอลเลิกคิ้วสูงมองอีกคนอย่างไม่เชื่อสายตา แต่แววตาที่อาซาเอลส่งมาก็ทำให้เด็กน้อยไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของคนเป็นพี่ได้ แม้จะไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย
เด็กหนุ่มที่รูปร่างสูงเกินอายุขยับลงจากเตียงตัวเองแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม ทั้งที่เตียงทั้งสองหลังเหมือนกันทุกประการ หากแต่ซามูเอลรับรู้ได้ทันทีว่าเขาจะไม่สะดุ้งตื่นอีกเป็นครั้งที่สองหากนอนอยู่ตรงนี้
วินาทีนี้เขาเข้าใจเหตุผลในการกระทำของอาซาเอลแล้ว
คนเป็นพี่มั่นใจในสิ่งที่ตนสงสัยยามเมื่อดึงคนอายุน้อยกว่าเข้ามาลูบกลุ่มผมสีทองซีดเบาๆ ปล่อยให้พลังงานบางเบาโอบล้อมทั้งตนเองและคนร่วมเตียง พลังเวทย์ที่ใช้เจือจางเสียจนมินาคัสที่นอนอยู่เตียงถัดไปไม่อาจสัมผัสได้ มันกำลังปกป้อง ทรานส์ทั้งสอง จากความรู้สึกคุกคามของไฮบ์และเพียวมากมายที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แม้คนเหล่านั้นไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เป็นไปตามธรรมชาติที่เหยื่อจะหวาดระแวงต่อกลิ่นไอของผู้ล่า
หากซามูเอลเรียนรู้เวทย์ลูกไฟเพื่อช่วยให้ตนเองนอนหลับในที่ไม่คุ้นเคย อาซาเอลก็คิดว่าเป็นการสมควร หากทรานส์รุ่นพี่อย่างเขาจะสอนวิธีที่ทำให้เด็กน้อยสามารถนอนหลับได้อย่างปลอดภัยในที่อันตราย
เพราะสถาบันเชนโตไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะนักสำหรับทรานส์ที่ไม่รู้วิธีป้องกันตัว
ซามูเอลหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่ากลับสู่ห้วงนิทราแล้ว
คงได้เวลาที่เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับเจ้าของพลังงานที่คุกคามจนเด็กน้อยผวาตื่นกลางดึก
คนอื่นอาจไม่ตั้งใจ แต่กับคนนี้นั้นต่างกัน
อาซาเอลรู้ดีว่าคนนิสัยเสียตั้งใจกดดันให้เขายอมตอบกลับพลังงานที่ส่งมา
แน่นอนว่าทรานส์หนุ่มไม่คิดจะตอบกลับดีๆ
เลิกวุ่นวายแล้วไปนอนสักที น่ารำคาญ
ถ้อยคำตัดเยื่อขาดใยนั้นไม่อาจสร้างความเจ็บปวดใดให้กับผู้ได้รับ ซ้ำร้ายใบหน้าทรงเสน่ห์ของคาดิเนียลกลับถูกระบายด้วยรอยยิ้มกว้าง
“อยู่ๆก็นอนยิ้ม อาการหนักแล้วนะ”เสียงค่อนขอดจากคนเตียงถัดไปได้รับการตอบกลับเป็นเสียงหัวเราะอย่างชอบใจจากคนโดนแขวะ ปฏิกิริยาเช่นนั้นทำให้ซากานได้แต่ถอนหายใจหนักๆแล้วพลิกตัวหนี
ท่าทางเพื่อนรักของเขาจะสมองมีปัญหา
แต่จริงๆมันก็ไม่ปกติมาตลอดนั่นล่ะ
อาซาเอลถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจมลงสู่ห้วงนิทรารมณ์ รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยที่อีกฝ่ายยอมรามือแต่โดยดี มิเช่นนั้นคืนนี้คงผ่านไปอย่างยากลำบาก การต่อต้านคนพรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
เหนื่อยเหลือเกินกับการจัดการชีวิตในแต่ละวัน แม้ทำใจไว้แล้วตั้งแต่รู้ว่าตนเกิดมาเป็นทรานส์ว่าชีวิตคงไม่ง่ายดาย แต่ไม่คิดว่ามันจะสุดแสนวุ่นวายซ้ำยังอันตรายได้ถึงเพียงนี้
เพียงเพราะมีใครบางคนก้าวเข้ามาในวงโคจร
แค่คิดว่าต้องอยู่ร่วมสถาบันเดียวกันไปอีก 5 ปี ในช่องท้องก็บิดมวนด้วยก้อนมรสุมชีวิตอีกแล้ว
Tip : หากมีเขี้ยวแล้วไม่สามารถยกเลิกพันธะสัญญาได้ ยกเว้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นลมหายใจ
กระนั้น เขี้ยวก็มิอาจอยู่ได้หากขาดนาย
เขี้ยวไม่ใช่คนรัก แท้จริงเขี้ยวคือการผูกสัญญาทาส
ความขมขื่นของชีวิตเขี้ยวที่ไม่ถูกรัก จะได้เห็นกันในเนื้อเรื่อง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

OMG มี ทรานส์2คน อยากรู้ว่านุ้งซามูเอลเป็นตัวอะไรอ่าาา
มีเขี้ยวแล้วไม่ต้องมายุ่งกับน้องเลยนะ -3-
ฮึ่บ มาค่ะ ขอรวบรวมสติมาพิมพ์แป๊บ คือมันมีหลายความรู้สึกมากๆในตอนนี้...
อาซาเอลเป็นคนดื้อจริงๆนั่นแหละ แถมยังพยศจนยากที่จะปราบ แต่ก็เป็นคนที่แข็งแกร่งเช่นกัน อาจจะไม่อยากเป็นทรานส์ที่อ่อนแอจนต้องยอมเป็นเขี้ยวที่อยู่ใต้อานัสของใครง่ายๆด้วยงี้ การได้เข้าเรียนที่นี่อาจจะท้าทายก็จริง คงจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง และคงจะไม่ใช่ที่ที่อยู่ได้ง่ายๆ ดีใจที่อาซาเอลได้พบเจอเพื่อนที่ดี ตอนที่เจอคาดิเนียลในงานคือแบบ...เหมือนวื๊ดเบาๆ เรายังเลิกคิ้วเลย อ้าว ไหงงั้นอ่ะ เธอแกล้งไม่เห็นเค้าหรือยังไง กวนประสาทดีแท้ น่าตีจริงๆ ทำคนเค้าหงุดหงิด หัวร้อนไปเลย ดีที่ยังมีเดอะแก๊งค์คอยดึงสติอยู่เรื่อยๆ
ตอนอาซาเอลเดินออกไปที่สวนคือแบบ...เส้นกราฟความเขินกำลังจะพีคแล้ว อีกนิดๆ จะเขินเพราะคาดิเนียล แล้วก็กลอกตาเพราะคาดิเนียลเช่นเดียวกัน เป็นไงอ่ะ ต่อรองแบบนั้น โดนเสยไปที ซึ้งเลยดิ 555555 ไม่รู้ว่าทำไมประโยคที่ว่า i'm not your toy ถึงเด้งขึ้นมาตอนที่อ่านพาร์ทนี้เหมือนกัน แต่มันก็คงเป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละเนอะ อาซาเอลไม่ง่ายนะครัช น่ะ...กลิ่นมาม่าหอมจังเลย(?) ฮื่ออออออ ตกลงคุณเค้ามีเขี้ยวเป็นของตัวเองแล้วหรอ เห้อมมมม แล้วมาวอแวอะไรขนาดนั้นน่ะ ขอตีสักทีได้ไหม พยายามส่งกระแสจิตไปกดดันจนเด็กน้อยในห้องเดียวกับอาซาเอลนอนไม่หลับเลยด้วย ไม่ไหวเลยคนเรา
เอ็นดูกลุ่มเพื่อนอาซาเอลมากค่ะ แจนิวาลก็กินเก่งเหลือเกิน 5555 แต่ก็เป็นคนที่สดใสมากๆ เหมือนเป็นคนสร้างบรรยากาศดีๆให้กับเพื่อนในกลุ่ม เป็นคนที่ใครอยู่ใกล้ก็ยิ้มได้อะไรทำนองนั้น และน้องซามูเอลก็ด้วย เด็กน้อยของพี่ 555555 แต่เอาจริงๆก็แอบเกรงน้องอยู่เหมือนกัน เด็กกว่าพี่ๆตั้งหลายปี แต่สอบเข้ามาเรียนได้นี่ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆเลย มินาคัสก็แสนดีเหลือเกิน ช่างอ่อนโยน ช่างดูแล ตอนอยู่กับแจนิวาลนี่แบบ...แงงงงงง อุ่นเว่อร์
แว๊บไปอ่านตอนถัดไปก่อนนะคะ สนุกมากเลยยยยย