Time - เวลาไม่เคยรอใคร - นิยาย Time - เวลาไม่เคยรอใคร : Dek-D.com - Writer
×

    Time - เวลาไม่เคยรอใคร

    จงทำทุกวันให้ดี เพราะเวลาไม่เคยรอใคร

    ผู้เข้าชมรวม

    50

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    50

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  11 เม.ย. 63 / 06:30 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ผมเจมส์ อายุ 50 ปี เมื่อสมัยวัยรุ่นผมใช้ชีวิตที่โลดโผนมาก มันเป็นช่วงของวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่ชอบทำอะไรตามเพื่อนและอยากให้เพื่อนยอมรับ

    ผมเกิดในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบชีวิตวัยเด็กของผมไม่ได้สวยหรูเหมือนกับเด็กทั่วไป ครอบครัวผมแตกแยกพ่อแม่ไปทาง ชีวิตมันก็ตลอดนะว่าไหมทั้งชีวิตผมไม่เคยเจอพ่อกับแม่อีกเลย สิ่งที่เจออันดับแรกคือเงินที่พ่อกับแม่ส่งให้ผมเรียนเท่านั้น

    กิจกรรมโรงเรียนผมต้องให้ญาติที่ว่างไปร่วมกิจกรรมแทนพ่อกับแม่ แม้กระทั้งเรียนจบพวกท่านก็ไม่เคยมาร่วมยินดีกับผมเลยสักครั้ง

    กระทั้งเข้าสู่ช่วงม.ต้น เป็นชีวิตที่สุดจะสนุกสนานสำราญผมมีเพื่อนสนิทชื่อ เมฆ เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้ใจและรู้จักนิสัยใจคอกันดี เมฆเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เพราะทุกเช้าผมต้องเอาการบ้านมันมาหลอกก่อนส่งครูตลอด...แน่นอนว่าบ้างครั้งผมก็ถูกครูตีหน้าห้องด้วยไม้เรียว ครูชื่อว่า ครูเพ็ญศรี เป็นครูประจำชั้นผมตั้งประถมจนถึงม.ต้น เชื่อว่าชีวิตม.ต้นทุกคนต้องมีวีรกรรมแปลกๆและถูกเข้าพบผู้ปกครองผมเองก็หนึ่งในนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องชกต่อยกระทบกระทั่งกันมากกว่า ผมติดนิสัยที่ใจร้อน หลายครั้งที่ถูกหักคะแนนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สุดท้ายก็สามารถเรียนจบมาได้ เพราะมีครูที่ดีและเพื่อนที่ดีอย่างครูเพ็ญศรี กับ เมฆ

    แล้วเข้าสู่ช่วงชีวิตที่ต้องเลือกระหว่างสายอาชีพ หรือ สามัญ ในตอนนั้นผมคิดว่าผมคงไม่ไหวกับการเรียนสามัญจึงเลือกที่จะไปทางสายอาชีพ นัยหนึ่งก็ตามเพื่อนๆที่ส่วนใหญ่ก็ไปสายอาชีพกันหมดรวมถึงเมฆเพื่อนรักด้วย

    ชีวิตช่วงปวช.เป็นไรที่สุดๆเพราะเราจะเจอคนมากหน้าหลายตาและช่วงวัยนี้เรื่องผู้หญิงก็จะมีเข้ามาหาเรื่อยๆ ผมเลือกเรียนสาขาวิชาช่างกลโรงงาน แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะรู้ชื่อเสียงเด็กช่างกลเป็นอย่างดียุคนั้น เด็กช่างกลเองก็เลือดร้อนตามข่าวแต่ไม่ทั้งหมดคิดเป็น% ก็ 1 ใน 10 ที่จะเป็นตัวปัญหาเช่นเคยผมเองก็อยู่ในกลุ่มที่ชอบสร้างปัญหา ผมกับเมฆเราไปเป็นกลุ่มและกลุ่มเรามักจะก่อเรื่องทั้งในวิทยาลัยและนอกวิทยาลัย ตีคนนู้นไปทั่วเเต่ที่ตีมันมีสาเหตุแน่นอน...ไม่พ้นเรื่องผู้หญิง

    ถึงเรื่องผู้หญิงผมเองก็มีรักแรก เธอชื่อว่า แก้ว ผมพบกับเธอครั้งแรกที่หน้าบคส.เป็นจุดเริ่มต้นและเจอกันที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แก้วเรียนสาขาบัญชีเป็นคนนิ่งๆเงียบๆกับคนที่ไม่รู้จักเธอออกจากหยิ่งๆเสียด้วยซ้ำ แต่เราก็ได้คบกันเป็นแฟนและได้มีความสัมพันธ์ที่ผิดผีครั้งแรกของกันและกันเช่นกัน แต่ด้วยนิสัยที่เลือดร้อนห้ามไม่ค่อยฟังของผมความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ก็ได้จบลงในเวลา 2 ปี ในเวลานั้นผมได้รู้จักคำว่าเจ็บและน้ำตาแตกเป็นครั้งแรกแต่ก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้หลังจากนั้นก็ดำเนินชีวิตได้ปกติด้วยที่ไม่มีเเก้วแต่แก้วก็ยังคงเป็นความทรงจำที่ดีของผมอยู่เสมอ

    เวลาผ่านไปจนใกล้ถึงวันเรียนจบผมได้ไปฉลองปาร์ตี้กับเพื่อนไปในคืนวันนั้นเป็นอีกวันที่มีความทรงจำดีๆและเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เห็นหน้าเพื่อนสนิทอย่างเมฆ คืนวันนั้นผมได้ออกไปกดเงินเพื่อที่จะมาจ่ายตังค่าอาหารแต่พอขับรถกลับมากลับเจอเหตุไม่คาดฝันเมื่อเมฆ เพื่อนสนิทที่สุดเพียงคนเดียวของผมถูกยิงเข้าที่กลางศีรษะตายคาที่อยู่หน้าร้าน โดยมีเพื่อนๆนั่งร้องไห้กุ่มมือเปื้อนเลือดอยู่ข้างๆเรียกชื่อ เมฆ ที่ไร้วิญญาณนอนจมกองเลือด

    เหตุการณ์ในวันนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนก่อแต่เท่าที่รู้มาเมฆนั้นได้เข้าไปห้ามเพื่อนที่กำลังจะทะเลาะและชกต่อยกับคู่กรณีอยู่หน้าร้าน และจากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นเมฆก็นอนจมกองเลือด

    ผมไปร่วมงามศพจุดธูปอ่ำลาเพื่อนซี้ที่ผ่านอะไรมาด้วยกันจนถึงตอนที่เพื่อนได้จากไป แม้มันจะเร็วไปสำหรับพวกเราในวัยนั้นแต่คำว่าเพื่อนก็ไม่มีวันตายจะคงอยู่ในใจของเราตลอดไป

    หลังจากวันเผาเสร็จสิ้นชีวิตของผมก็ได้ดำเนินต่อไปผมเลือกเส้นทางของตนเองโดยทำตามความฝันคืออยากจะเป็นนักดนตรี ผมกับเพื่อนชื่อ ต้า กับ โก้ ได้ฟอร์มวงดนตรีเล่นตามร้านเหล้ากันได้ 3 ปีก็ยุบวงกันไปเพราะเนื่องจากต่างคนต่างความเห็นไม่ตรงกัน แต่ผมก็ยังคงเล่นดนตรีในผับเหมือนเดิมจนกระทั้งได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งเธอชื่อ รี่ เป็นPR เด็กเสิร์ฟร้านเหล้าที่ผมทำงานอยู่ เราทั้งคู่ได้พูดคุยกันในเวลาสั้นๆและก็ได้มีค่ำคืนอันแสนสุขร่วมกันตลอดมาโดยที่ไม่ได้ป้องกันจนพลาดทำเธอท้อง...

    เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมครั้งยิ่งใหญ่ในวัย 23 ปีก็ได้เป็นพ่อคนอย่างไม่ได้ตั้งใจทำให้ช่วงชีวิตผมตอนนั้นต้องดิ้นร้นเอาตัวรอด เพราะพ่อกับแม่ของผมไม่ส่งเงินให้ใช้มาตั้งแต่ผมเรียนจบปวช. แต่ก็ยังดีที่เงินเก็บของผมยังพอสามารถเลี้ยงตัวกับรี่ได้ แต่สุดท้ายมันก็หมดไปเพราะการที่จะมีเด็กคนหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายและยิ่งไม่มีปัจจัยหลักด้วยก็จะลำบาก ผมดิ้นร้นทุกอย่างเท่าที่จะหาได้จนสามารถนำเงินมาทำคลอดได้แต่ก็ต้องช็อค...เมื่อเด็กคนนี้ที่ผมดูแลตั้งแต่ท้องอ่อนๆจนคลอดแลเข้าใจมาตลอดว่าเป็นลูกของผม..

    เมื่อเธอได้สติผมบรรดาลงโทสะรีดเค้นเอาความจริงจากปากของเธอ ซึ่งเธอก็ร้องไห้น้ำตาไหลและสารภาพว่าช่วงที่เธอมีอะไรกับผม เธอก็แอบไปมีอะไรผู้ชายอื่นมาที่เช่นกันและบ่อยครั้งมาก ผมอึ้งและทำอะไรไม่ถูกมันจุกและสับสนทุกอย่างที่ลงแรงทำทุกอย่างเพราะคิดว่าตัวเองจะได้เป็นพ่อคนกับสูญเปล่าไม่เหลืออะไร ผมบรรดาลโทสะจนเกือบจะพลั้งมือฆ่าคนตายในโรงพยาบาลจนรปภ.ต้องนำตัวออกจากโรงพยาบาลไป

    เวลานั้นผมเกือบจะเสียสติเกือบจะเป็นบ้านกับเหตุการณ์ในครั้งนี้แต่ก็ได้ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจก็คือพ่อกับแม่ที่ไม่เคยจะเหลียวแลผม เมื่อท่านรู้ข่าวก็ทิ้งงานมาอยู่กับผมและรักษาอาการใจจนหายดีในเวลา 3 ปี ผมก็กลับมาเป็นปกติและครอบครัวก็กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง ผมในวัย 26 ปียังคงไม่ล้มเลิกความฝันที่อยากจะเป็นนักดนตรีก็ได้ออกตามหาความฝันอีกครั้ง ยังคงเล่นดนตรีตามผับบาร์กลางคืนและใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ทุกครั้งก่อนที่จะมีอะไรกับผู้หญิงผมจะสวมถุงยางป้องกันตัวเองทุกครั้งไป และจะมั่นไปตรวจเลือดอยู่เป็นระยะก็ปกติไม่มีโรคอะไรติดตัวมา

    กระทั้งผมในวัย 30 ปีก็ได้พบรักครั้งใหม่ เธอมีชื่อว่า เมย์ ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศในบริษัทชื่อดัง.. เราทั้งคู่พบกันครั้งแรกตอนที่บริษัทเธอมาฉลองปีใหม่กันที่ร้านที่ผมเล่นประจำ เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใครไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆที่ผมเคยผ่านหูผ่านตามา เธอมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผมไม่อาจจะละสายตาจากเธอได้ ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียงหรือใต้สะดื้อแต่ผมรู้สึกว่าเธอคนนี้ใช่สำหรับผมในเวลาที่จ้องตากับเธอไม่กี่วินาที ผมเล่นกีต้าไปและร้องเพลงให้เธอฟังซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ตัวว่าผมจงใจร้องให้เธอฟังโดยเฉพาะ ทำเอาคนในร้านถึงกับงงร่วมถึงวงแบล็คอัพที่เล่นกันมาตลอดก็ยังงงไปตามกันเพราะมันเป็นเพลงที่ผมแต่งขึ้นมาสดๆ เล่นคอร์ดสดๆในเวลานั้นผมร้องไปตามองเธอไม่ขาดสาย รอยยิ้มเธอที่ฟังผมร้องผมเห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุขซึ่งตอนนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอฟังผมอยู่รึเปล่ากระทั้งผมเล่นจบท่ามกลางบรรยากาศในร้านที่งงและเงียบก่อนจะมีเสียงปรบมือดังขึ้นมาให้กับผม...และผมก็เล่นเพลงไปตามปกติกับวงแบล็คอัพจนปิดร้าน

    เวลาตี 1 ผมออกจากร้านเตรียมขับรถกลับบ้านแต่ก็พอออกมาหลังร้านก็เหลือบไปเห็นเธอนั่งรอรถอยู่ที่หน้าร้าน ผมจึงไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปทักทายกับเธอซึ่งเธอก็ไม่รังเกียจที่จะพูดคุยกันคำถามแรกที่ผมถามกับเมย์ คือ " ร้านปิดแล้วนะครับทำไมถึงยังไม่กลับบ้าน.. " ซึ่งเป็นคำถามง่ายๆแต่สิ่งที่ได้กลับมาจากเธอคือ " รอพบกับนักดนตรีคะ " คำกล่าวนี้ทำผมใจเต้นสั่นซึ่งเหมือนกลับไปเป็น 14 อีกครั้งเหมือนเพลงพี่เสกโลโซ เธอเชิญผมนั่งข้างๆเธออย่างไม่รังเกียจตอนนั้นเป็นฤดูหนาวทำให้อาการเย็นมีลมหนาวโชยมาเป็นระยะ เราทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอในเวลาอันสั้นซึ่งมันเป็นประหลาดใจมากเพราะเราพึ่งจะได้เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงและยังไม่ทันข้ามวันแต่กลับรู้สึกเหมือนรู้จักกันเป็นปี ผมสารภาพกับเธอว่าเพลงที่ร้องผมเป็นคนแต่งให้เธอเองและเเต่งในเวลานั้นด้วย มันทำให้เธอรู้สึกประทับใจและชื่นชมในตัวผมจากนั้นก็มีรถเก๋งสีดำมารับเธอจอดเลยจุดที่พวกเรานั่งคุยกันไม่กี่เมตร เธอก็บอกลาผมก่อนจะลุกไปผมเลยขอเบอร์โทรติดต่อไว้เธอหันกลับมายิ้มใส่ผมก่อนจะยื่นนามบัตรบริษัทให้พร้อมกับบอกลาผมและนั่งรถจากผมไป

    ผมในตอนนั้นก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่พอพลิกนามบัตรดูด้านหลังเป็นข้อความที่ว่า " ขอบคุณที่แต่งเพลงให้นะคะ.. By เมย์ " ทำให้ผมรู้สึกดีใจที่เธอรู้ก่อนว่าผมเป็นคนแต่งให้เธอ ผมกลับบ้านหลับฝันดีกว่าทุกคืนที่ผ่านมาในวัย 30 ปี หลังจากนั้นผมก็ติดต่อไปหาเธอที่บริษัท เธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่นิติบุคคลในนามบัตรมีชื่อ เมย์ ซึ่งการโทรหาครั้งแรกก็ทำเธอตกใจไม่นึกว่าผมจะกล้าโทรมาจริงๆ เธอจึงให้เบอร์ติดต่อของเธอให้ผ่านมือถือและผมก็โทรหาและพูดคุยกับเธอจนได้เดทกับเธอถึง 7 รอบแล้วก็มีคืนที่แสนสุขร่วมกันในคืนเดทที่ 7 แล้วเราก็คบกันเป็นแฟนมาได้ 7 เดือนก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่อเธอได้มีโอกาสไปทำงานที่ต่างประเทศ ซึ่งสำหรับเธอที่เคยโสดมาก่อนมันคือความฝันสูงสุดของเธอที่จะได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ เธอจะชอบเล่าให้ผมฟังว่ามันคือความฝันที่เธออยากได้ที่สุดในชีวิต แต่พอมีผมเข้ามาทำให้เธอเริ่มรู้สึกลังเลผมจึงเลือกที่จะออกมาจากชีวิต เพื่อให้เธอได้สิ่งที่ดีที่สุด ผมบอกเลิกกับเธอในวันครบรอบ 8 เดือนทั้งน้ำตาและรู้สึกเจ็บปวดที่สุดในชีวิตที่ผ่านๆมา เธอรั้งผมไว้แต่ผมก็ปัดมือออก ขับรถออกมาจากร้านด้วยความเร็วสูงจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นอาการผมโคม่าอยู่ 2 สัปดาห์จนผมฟื้นได้สติก็เห็นเธอซบเฝ้าผมอยู่ข้างๆในมือกุ่มตุ๊กตาหมีสีชมพูตัวเล็กที่ผมซื้อให้ตอนเดทครั้งแรกของเรา

    เธอตื่นมาพบว่าผมฟื้นเธอดีใจมากและเข้ากอดผมแน่น พูดพร้อมน้ำตากับผมว่า "อย่าจากเธอไปอีกนะ.." คำพูดแค่นี้แต่ก็ทำผมร้องไห้น้ำตาแตกอีกครั้งก่อนจะขอโทษที่ทำเธอเสียใจแบบนี้เธอดูแลผมตลอด 3 เดือนจนผมหายดีเป็นปกติ แต่ผมก็ยังอยากให้เธอไปใช้ชีวิตที่ดีๆกว่าอยู่กับผมที่อายุ 30 แล้วยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที ผมบอกเลิกกับเธออีกครั้งพร้อมกับโกหกเธอไปว่าผมมีคนอื่น เธอร้องไห้และตบหน้าผมแรงจนหน้าชาก่อนจะจากผมไปและเราก็ขาดการติดต่อกัน ผมเสียใจมากแต่ก็ยังคงใช้ชีวิตตามความฝันเหมือนเดิมจนกระทั้งคลิปที่ผมร้องเพลงสดให้เธอฟังดังไปทั่วสื่อจนมีแมวมองติดต่อมาหาผมให้ไปร่วมงานกับศิลปิน และในเวลา 3 ปีผมก็ดังเป็นพลุแตกมีเพลงดังๆมากมายและได้ออกรายการโชว์ต่างๆจนกระทั้งรายการนั่งคุยชื่อดังรายหนึ่งเชิญผมให้ไปร่วมรายการนั่งคุยชีวิตที่ผ่านๆมาของผม

    รายการนี้เป็นรายการที่ดีเพราะเราสามารถพูดได้โดยไม่ต้องใช้สคิปแบบรายการอื่นๆที่ผมเคยไปให้สัมภาษณ์ ผมจึงเล่าเรื่องราวชีวิตตั้งแต่ต้นจนใกล้จบ ผมก็สารภาพออกสื่อว่า

    "ผมยังคงรักและคิดถึงเมย์เสมอ..และขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมา ผมเพียงแค่อยากให้เมย์ได้มีชีวิตที่ดีๆกว่าอยู่กับผมที่มันไม่มีอะไรเลย...ผมยังรักเมย์เสมอและขอให้เมย์โชคดีกับการทำงานที่ต่างประเทศมีครอบครัวที่ดี และถ้ามีลูกแล้วก็ขอให้ลูกเป็นเด็กดีหน้าตาดีเหมือนกับเเม่.. "

    ผมอวยพรพร้อมกับข่มน้ำตาไว้ไม่ให้มันไหลออกสื่อแน่นอนว่ามันหลอกกล้องที่จับจ้องมาที่ผมกว่าพันตัวไม่ได้ พิธีกรก็ถามผมครั้งสุดท้ายว่ายังอยากเจอเธอไหม? ผมที่ข่มอารมณ์ไว้ก็พยักตาตอบและพิธีกรก็พูดชื่อจริงเมย์และเปิดตัวเธอเดินออกมาจากม่านหลังเวทีในชุดกระโปรงสีชมพูที่รายการจัดให้เข้ากับชุดของผม ทำเอาผมถึงกับยิ้มและรีบลุกเข้าไปกอดเธอเเน่นพร้อมกับน้ำตาลูกชายที่ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมพูดออกมาจากใจว่าคิดถึงเธอท่ามกลางเสียงปรบมือของคนดูที่ดังลั่น เมย์เองก็ร้องไห้น้ำตาไหลเช่นกันก่อนจะเดินเข้ามานั่งที่โซฟาพูดคุยกับพิธีกรก็สัมภาษณ์ต่อและผมก็รู้ว่าตอนที่เลิกกันไปไม่กี่วันเมย์ก็ทำเรื่องขอไปทำงานต่อที่ต่างประเทศอยู่กินที่นั้น 3 ปีตำแหน่งเป็น CEO ให้กับบริษัทชื่อดังของต่างประเทศและก็กำลังจะแต่งงานในเร็วๆนี้ ผมที่ได้ยินก็ไม่ได้เจ็บช้ำน้ำใจอะไรแต่กลับรู้สึกยินดีกับเมย์ที่ได้ดิบได้ดีตามที่เธอฝันไว้ และสัญญาว่าจะไปร่วมงานแต่งของเธอที่ต่างประเทศจนจบรายการเราทั้งสองก็พูดคุยกันถึงชีวิตความเป็นอยู่ เมย์มีชีวิตที่ดีขึ้นตั้งแต่ย้ายไปอยู่เมืองนอกแล้วเธอก็บอกว่าตอนนี้กำลังท้องกับแฟนฝรั่งที่อยู่ต่างประเทศที่คบกันมา 2 ปี แล้วผมก็รู้เป็นคนแรกผมยิ่งดีใจและสัญญาว่าจะไปร่วมงานแต่งของเธอที่ต่างประเทศ

    ผมก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเธอผมและรายการนั่งคุยได้เดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อไปร่วมยินดีกับเมย์คนที่ผมรักที่กำลังจะได้เป็นแม่คนและภรรยาที่ดี เวลา 1 ทุ่มที่ชายหาดงานวิวาห์ได้เริ่มขึ้นท่ามกลางแสงดาวและบาทหลวง ผมนั่งฟังคำให้สัตย์สัญญาของเมย์กับแฟนหนุ่มของเขาจนถึงตอนที่บาทหลวงให้ทั้งคู่จูบกัน ผมก็ยื่นปรบมือร่วมยินดีกับเธอและถ่ายรูปเป็นที่ละลึกมันเป็นความทรงจำที่ดีของผมอีกอันที่จะไม่มีวันลืมและเมื่อวันรุ่งขึ้นผมก็บินกลับไทยพร้อมกับรายการนั่งคุย และดำเนินชีวิตออกผลงานเพลงให้ฟังกันทุกปีจนผมอายุได้ 38 ปีได้เสียพ่อที่รักไปด้วยโรคชรา ผมจึงพาเเม่ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพและเลี้ยงส่งดูแลท่านแทนพ่อที่ล่วงลับไป กระทั้งผมได้เจอกับนุ่นนักศึกษาฝึกงานที่ค่ายเพลงของผม นุ่นมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้องมีความมุ่งมั่นตามสไตล์วัยรุ่นยุคใหม่ผมที่ตอนนั้นเองก็ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว กระแสเพลงที่เคยดังก็เริ่มถดถอยลงเรื่อยๆผมจึงได้นำเงินทุนมาสร้างค่ายเพลงของตนเองและพลั๊นตัวไปอยู่เบื้องหลังเป็นโปรดิวเซอร์เพลงและผู้อำนวยการสร้างเอง ผมได้ทำการปั้นนุ่นให้เป็นดาวดวงใหม่ของค่ายและได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกของคนยุคใหม่เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดกันจนกระทั้งเกิดเป็นความรัก ผมในวัย 41 ปีได้แต่งงานกับนุ่นนักศึกษาฝึกงานที่เรียนจบและได้เป็นศิลปินตามฝันมีบ้านมีรถส่งเงินให้ครอบครัวใช้ได้ในวัย 23 ปี

    ผมขอนุ่นแต่งงานตอนเรียนจบ และมีลูกคนแรกในวัย 42 ปี กับ 24 ปี ได้ลูกชาย แล้วลูกคนที่สองตามมาในวัย 44 ปี กับ 26 ปี ได้ลูกสาว และคนสุดท้ายในวัย 46 ปี กับ 28 ปี ได้ลูกแฝดชาย&หญิงโดยบังเอิญ

    เวลาได้ผ่านล่วงเลยไปจนผมอายุได้ 50 ปีก็พบกับข่าวร้ายเมื่อตรวจเจอมะเร็งในเป็นระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมกลัวที่สุดในชีวิตคือการที่จะจากโลกนี้ไปโดยที่ยังไม่ทันได้เห็นลูกๆได้เติบโตจนเป็นผู้ใหญ่และมีครอบครัวมีหลานและเหลนให้กับแม่ได้ แม้รู้ตัวว่าอีกไม่นานผมต้องจากโลกนี้ไปผมจึงใช้เวลาที่เหลืออยู่แม้จะมีแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม ผมตัดสินใจไม่รับการรักษาและยกกิจการให้ลูกน้องคนสนิทชื่อว่า อ้น เป็นทั้งเลขาส่วนตัวและพี่เลี้ยงเด็กให้กับผมและนุ่นตอนทำงานได้ดูแลแทน

    ผมใช้ชีวิตอยู่กับเมียอันเป็นที่รักและลูกๆจนนาทีสุดท้ายก่อนที่ความตายจะพรากผมไป ผมก็ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตให้คุ้มอย่างมีสติ.. ใช้เวลาให้คุ้มค่าโดยเฉพาะกับคนที่เรารักและเขารักเรา จงทำทุกวันให้ดีที่สุด จงอย่านึกเสียใจกับเวลาที่เสียไป เพราะว่าเวลา...มันไม่เคยคอยใคร.

    ....จบบริบูรณ์....

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น