ชัยชนะเคล้าน้ำตาสู่ฟ้าใหม่อันมีสุข - ชัยชนะเคล้าน้ำตาสู่ฟ้าใหม่อันมีสุข นิยาย ชัยชนะเคล้าน้ำตาสู่ฟ้าใหม่อันมีสุข : Dek-D.com - Writer

    ชัยชนะเคล้าน้ำตาสู่ฟ้าใหม่อันมีสุข

    ชีวิตหลังได้ชัยชนะ หลายๆคนคงคิดว่าคงสวยงามดุจสรวงสวรรค์ ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นมันอาจไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป แต่ทั้งนี้ถ้าคุณมั่นใจว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งดี ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง

    ผู้เข้าชมรวม

    386

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    386

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ก.ย. 61 / 11:27 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ตัวละครของเรื่อง

    โคย


    รูปประกอบ : ฮารุฮิโกะ จากเรื่อง ปีศาจในโลกหลากสี

    ชื่อจริง : คัมภีร์

    อายุ 23 ปี

    ส่วนสูง 177 ซม.

    เพชร


    รูปประกอบ : U1146 จากเรื่อง Cell at Work

    ชื่อจริง : ภูมิชัย

    บทบาท : รุ่นพี่ของโคย

    อายุ 25 ปี

    ส่วนสูง 174 ซม.

    ทราย


    รูปประกอบ :  เจ้าหญิงเทียร์น่า จากเรื่อง Princess and the Frog

    ชื่อจริง : เฉลิมชัย

    บทบาท : เจ้าของร้านอาหารเทียนทอง

    อายุ 28 ปี

    ส่วนสูง 184 ซม.

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      26 พฤษภาคม 2561

      เกาะแมนเดรส


                     ขณะนี้ผมเดินจากเรือบนเกาะเล็กๆของทะเลสาบแห่งหนึ่งภายในเกาะสินารันน่าพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต โดยผมได้เดินทางมาที่นี่เป็นวันแรกเพื่อหนีความวุ่นวายจากในเมืองใหญ่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่สิ...ไม่ได้หนีชั่วคราว หากแต่หนีมาถาวรเลย ผมได้คืนหอจากที่นั่นและคิดไว้อย่างดีว่าจะกลับมาอาศัยที่บ้านเกิดบนเกาะแห่งนี้และจะทำงานร้านอาหารเทียนทองยาวๆไปเลย

                     ในขณะนั้นเอง ผมก็ได้พบกับพี่เพชร เขามีบ้านอยู่บนเกาะแมนเดรสแห่งนี้ เขาเป็นรุ่นพี่คนสนิทของผมโดยที่ผมกับเขาได้รู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยม หากแต่ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยผมก็ได้แยกกันเพราะเรียนกันคนละคณะและสาขา ประกอบกับช่วงว่างมักไม่ค่อยตรงกัน แต่เมื่อเรียนจบเราทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสพบเจอกันบ่อยขึ้นมาบ้าง

                     "อ้าวโคย มึงไหวมั้ย" พี่เพชรไต่ถามสารทุกข์สุกดิบพลางกอดคอผมอย่างสนิทสนม 

                     สำหรับประโยคตอนหลังนั้นเขาได้หมายถึงช่วงก่อนหน้านี้ที่ผมได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเกี่ยวกับกรณีแผ่นป้ายโฆษณาข้างรถเมล์ที่แปะบนกระจกจนบดบังทัศนะวิสัย ซึ่งผมเองก็เป็นผู้ใช้บริการรถเมล์คนหนึ่งที่ต้องทนพบกับสิ่งดังกล่าวนี้ทุกวัน ซึ่งกรณีฟ้องร้องนี้ผมเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงต้นปี คือราวๆวันที่ 3 มกราคม พศ.2561 และพึ่งชนะคดีเมื่อราวๆวันที่ 22 พฤษภาคม ปี พศ.2561 ซึ่งก็คือเมื่อประมาณ 4 วันก่อนหน้า

                     "เห้อ...แทบเอาชีวิตไม่รอด" ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

                     "พวกสุดโต่งนี้ก็นะ..." พี่เพชรส่ายหน้า สำหรับเหตุการณ์ก่อนหน้านนี้หลังจากชนะคดีนั้น...(เดี๋ยวเล่าในช่วงต่อไปละกัน)...

                     "ร้านเทียนทองของพี่ทรายสิ ร้านนั้นบรรยากาศดีนะ เออ...เห็นว่ามึงจะมาขอสมัครงานที่นี่ด้วยนี่ กูกำลังต้องการผู้ช่วยอยู่พอดีเลย" 

                     "อืม...ก็ได้นะ" ผมพยักหน้าตอบตกลง "เพราะว่าผมแห้วงานจากที่เมืองใหญ่มาพอดี"


      ร้านอาหารเทียนทอง

                     ผมกับพี่เพชรเดินเข้ามาภายในร้านอาหารเทียนทอง ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่มีการเคลือบกำแพงด้วยดินเหนียวทั้งภายนอกและภายใน เฟอร์นิเจอร์ต่างๆมีการจัดแต่งสไตล์ธรรมชาติ เช่น โมบายเปลือกหอย โต๊ะ-เก้าอี้ไม้ โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มที่ข้างๆมีต้นไม้ที่มีโคมไฟจากสานเล็กๆห้อยต่องแต่งไปทั่วต้น โดยร้านนี้เป็นร้านที่พี่เพชรทำงานในตำแหน่งเด็กเสริ์ฟ ซึ่งก่อนหน้าก็มีวุฒิซึ่งเป็นน้องชายของเขามาทำงานด้านงานฝีมือ แต่วันนี้วุฒิไปเรียนหนังสือในโรงเรียนใหม่จึงเหลือแค่พี่เพชรทำควบอยู่คนเดียว ส่วนวุฒิจะมาช่วยในช่วงหลังเลิกเรียนถ้าไม่มีการบ้าน

                     "ไงจ๊ะอาโคย มาหาแต่หัววันเลย" พี่ทรายทักทายผมมาจากบริเวณเคาน์เตอร์ที่กำลังโรยน้ำตาลลงบนขนมปังที่พึ่งอบเสร็จ 3 จานที่อยู่บนถาดใหญ่ กลิ่นของขนมปังนั้นห้องข้างหอมหวนชวนเอาน้ำลายสอเป็นอย่างมาก

                     พี่ทรายนั้นแม้ภายนอกจะเหมือนผู้หญิง แต่ความจริงแล้วพี่ทรายนั้นเป็นเพศชาย แต่สรีระเหมือนเพศหญิง หากแต่เธอยังคงมีเค้าโครงความเป็นชายอยู่อย่างหนึ่ง คือเธอมีส่วนสูงที่สูงชะลูดซึ่งสูงกว่าพี่เพชรอยู่พอสมควร หรือเรียกง่ายๆคือเธอเป็นกะเทยนั่นเอง 

      sds

                     "สวัสดีครับ" ผมกล่าวทักทายพี่ทรายอย่างสุภาพ แม้ว่าผมจะเคยมาเยือนที่นี่บ้างแล้วแต่ผมก็ไม่ได้มาบ่อยแล้วสนิทกับพี่ทรายจนสามารถกล้าพูดเล่นพูดหัวกับพี่ทรายได้

                     "หวัดดีจ้า" พี่ทรายทักทายกลับพร้อมกับยกถาดใส่จานขนมปัง 3 จานพร้อมกับน้ำผึ้ง 1 โหลวางไว้ตรงกลางวงจาน "เห็นเพชรเมาท์ว่าจะเชิญโคยมาด้วย พี่เลยทำขนมปังต้อนรับจ้ะ"

                     "ขอบคุณครับ" ผมกล่าวขอบคุณพี่ทรายพร้อมกับหยิบขนมปังแผ่นหนึ่งมากัดเล็กน้อยแล้วเคี้ยวกิน ส่วนพี่เพชรก็ได้ลุกขึ้นไปกดนมอุ่นจากกาน้ำร้อนเครื่องหนึ่งมาดื่ม

                     "ไม่เป็นไร เปลี่ยนคำขอบคุณเป็น 500 บาทดีกว่านะ" พี่ทรายเล่นมุขตลกก่อนที่จะหัวเราะเบาๆแล้วเฉลยมุก "ฮ่าๆๆ ล้อเล่นจ้ะ แหม่...คนกันเอง ของมีเยอะแยะจะกลัวอะไร ยิ่งลูกค้าไม่ค่อยมีอยู่ด้วยปล่อยวัตถุดิบทิ้งไว้ก็เน่าเปล่าๆ"

                     "ที่พาไอ้โคยมานี่เพราะเห็นว่ามันโดนพวกนั้นรุมหนักเลยอะ" พี่เพชรเริ่มเข้าเรื่อง "แต่มันก็จะมาสมัครงานด้วยนะพี่"

                     "ดีจัง ร้านนี้ยิ่งแต่เหงาๆอยู่" พี่ทรายเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับรินน้ำผลไม้ในแก้วขึ้นมาแจกผมและพี่เพชร


                     "เรื่องที่ผมร้องเรียนเกี่ยวกับโฆษณาข้างรถเมล์แอร์น่ะ" ผมเริ่มเข้าประเด็นที่ผมจะกล่าว โดยในช่วงก่อนหน้าผมได้ทำการส่งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับโฆษณาข้างรถเมล์ปรับอากาศที่เป็นฟิล์มซีทรู หรือฟิล์มที่มีลักษณะเป็นรูพรุนคล้ายๆกับไข่ปลาให้สามารถมองเห็นจากข้างในได้ แต่ก็เป็นอะไรที่ลายตากับการที่ต้องมองลอดใต้รูไข่ปลานี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งในตอนนั้นรถเมล์ปรับอากาศส่วยใหญ่ยังมีลักษณะการติดโฆษณาบนกระจก ซึ่งก็มีทั้งแบบครึ่งคันและแบบรอบคัน และแบบหลังนั้นนับว่าน่าหัวร้อนที่สุดเพราะแทบหามุมที่จะดูอะไรโล่งๆใสๆผ่านกระจกไม่ได้เลย

                     "ได้ข่าวว่าโคยฟ้องชนะด้วยนี่" พี่เพชรเริ่มสนทนาพร้อมกับหยิบขนมปังขึ้นมาเคี้ยวหมุบหมับ จากนั้นก็ตั้งคำถามข้อต่อไปทันที "ว่าแต่นายทำขั้นตอนแบบนี้ไงมั่งอะ"

                     ไม่แปลกที่เขาจะถาม เพราะช่วงก่อนหน้านี้ผมกับพี่เพชรและพี่ทรายนั้นไม่ได้พบเจอกันเลย และช่วงที่ผมทำเรื่องฟ้องร้องผมก็ไม่ได้เดินทางออกนอกตัวเมืองเลยเพราะต้องเดินเรื่องหลายขั้นตอนพอสมควร ประกอบกับเป็นช่วงสมัครงานของผมที่ตอนแรกจะทำงานในเมือง แต่สุดท้ายก็แห้วงานจากตรงนั้นเพราะเหตุผลบางอย่าง

                     "อืม...เท่าที่ผมจำได้นะ ตอนแรกเลย ผมเขียนหนังสือร้องเรียนให้กับ ขสสน(ขนส่งมวลชนเกาะสินารันน่า) ไปก่อน" ผมเริ่มเล่าขั้นตอนการฟ้องร้องเบื้องต้นนี้ให้ทุกคนฟัง "ตอนนั้นรอประมาณอาทิตย์นึง ผอ ของทาง ขสสน ก็ส่งจดหมายตอบกลับ เค้าบอกประมาณว่าอีก 4 เดือนจะหมดสัญญา แล้วก็จะไม่ให้ติดโฆษณาที่กระจกอีก"

                     "ก็ดูว่าง่ายดีนี่" พี่เพชรพูดพลางดื่มนมอุ่นในแก้ว

                     "แต่ยังไม่จบ คือเค้าเหมือนจะเมิน" ผมเริ่มเล่าเหตุการณ์ต่อ "ผมก็อดทนรอนะ จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม ตอนนั้นก็ยังมีการติดโฆษณาบนกระจกเหมือนเดิม แล้วประเด็นคือโฆษณานั้นยังเป็นโฆษณาวงนักร้องดังวงหนึ่งด้วย"

                     "อ๋อ...วงนั้นรึเปล่า" พี่ทรายพูดเสียงดังเล็กน้อยเหมือนคนที่นึกอะไรบางอย่างออก "วงที่ตอนนั้นคือดังเปรี้ยงมาก ดังจนมีแบนด์ที่เอาพวกนางไปอยู่บนผลิตภัณฑ์สินค้าด้วย แถมยังจะมาซื้อพื้นที่โฆษณารถเมล์อีก"

                     "ใช่ วงนั้นหละพี่ แต่ผมไม่สนหรอก เพราะอารมณ์ผมตอนนั้นก็เหมือนโดนเหยียบหน้าอะ รับปากอย่างดีแต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม" ผมเริ่มตัวสั่นด้วยความโมโหปนอึดอัดใจเล็กน้อยเพราะเกิดนึกถึงความรู้สึกในขณะนั้นเข้า 

                     "เหมือนมันบอกว่า แน่จริงก็ฟ้องเซ่ แฟนคลับรอรุมอยู่นะ" ถึงตอนนี้ผมรู้สึกจุกอกผสมคับแค้นใจจากการที่ความรู้สึกครั้งนั้นมันหวนกลับมา ผมหายใจหอบแฮ่กๆจนพี่เพชรต้องเข้ามาลูบหลัง

                     ผมหายใจเข้า-ออกช้าๆแล้วตั้งสติเล่าต่อไป "หลังจากนั้นผมเลยแจ้งขนส่งไปเลย ใช้เอกสารที่เขียนชุดเดียวกับที่ส่ง ขสสน แต่ขนส่งก็ตอบกลับมาว่าทางนั้นมีหนังสืออนุญาตแล้ว แล้วก็ไม่ผิดกฏหมายใดๆ"

                     "จริงๆมันผิดวัตถุประสงค์เรื่องการใช้หน้าต่างนี่ ประมาณละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นคนเพราะเหมือนเอาคนไปนั่งในรถขนของ เพราะขนาดกรณีรถไฟยังโดนฟ้องไปแล้วตั้งแต่ปี48 ด้วยข้อหานี้นี่แหละ ติดโฆษณาลงกระจกบังมิดเลย ถึงจะเป็นสติกเกอร์ซีทรูรูไข่ปลาก็เถอะ" พี่ทรายกล่าววิจารณ์เหตุการณ์

                     "ใช่เจ๊ เพราะเมื่อก่อนตอนที่ผมยังเรียนอยู่ก็เจอแบบนี้แหละ เวียนหัวมาก ยิ่งตอนฝนตกนี่คือจบข่าวอะ" พี่เพชรให้ความเห็น

                     "นั่นหละพี่ ผมก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน ไม่คิดว่าส่วนที่น่าจะเที่ยงตรงที่สุดอย่างขนส่งยังเป็นไปกับเขาด้วย" ผมเล่าต่อ

                     "น่าจะเพราะขนส่งมีส่วนได้ส่วนเสียกับไอ้แผ่นป้ายโฆษณานั้นด้วย" พี่เพชรออกความเห็นพร้อมกับวางแก้วนมลงบนโต๊ะ "เท่าที่กูได้ยินมา ขนส่งจะได้ส่วนแบ่งค่าโฆษณาจาก ขสสน รวมไปถึงพวกเจ้าของรถเมล์ที่ติดโฆษณาแบบนี้ด้วย เลยปล่อยเบลอได้ อย่างว่าแหละ...ความยุติธรรมขับเคลื่อนด้วยเงิน"

                     "นั่นแหละ หลังจากวันนั้นคือโคตรฉุนขาด เลยเขียนหนังสือร้องเรียนอีก คราวนี้ส่งไปศาลปกครอง ส่งให้นายกด้วย...

                     ...จากนั้นเลยขึ้นศาลกันไป ทางโน้นแม่งก็อุธรณ์มาว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร หลายๆคันก็ติดโฆษณาแค่ครึ่งคันยังเหลือส่วนใสๆอยู่ก็ไปนั่งตรงนั้นสิ GPSก็มีก็ใช้ซะ ไม่ก็ให้ไปขึ้นรถร้อน รถพัดลม ไม่ก็ไปนั่งแท็กซี่ วันนั้นคือวันที่โคตรเดือดสุดๆ...

                     ...ผมถึงกับอาละวาดกลางศาลไปเลยเพราะตลอด 4 เดือนมานี้ผมก็อดทนนั่งรถร้อน รถพัดลมมาตลอดเพราะเวียนหัวกับโฆษณา รถแอร์คือนานๆขึ้นที ขึ้นตามสมควรจริงๆ...

                     ...แล้วไอ้ที่จะให้ไปนั่งในโซนที่ไม่ติดโฆษณาคือเหมือนคำพูดของคนที่ไม่เคยขึ้นรถโดยสารอะ บางทีที่ที่กระจดใสๆมีคนนั่งอยู่แล้วด้วย แล้วเรื่องGPS บางทีมันก็มั่วจนพาหลงหลายทีแล้ว" 


                     ผมพักหายใจด้วยการดื่มน้ำผลไม้รวมที่บรรจุในแก้วใสมีหูตรงหน้า 

                     "โห อุธรณ์ได้แย่มากอะ แล้วก็มาบ่นขาดทุน ก็เล่นเป็นซะแบบนี้นี่แหละ ไม่แปลกเลยที่บางสายจะเปลี่ยนจากรถแอร์เป็นรถร้อน" พี่เพชรกล่าวในขณะที่เกาหัวแกรกๆไปด้วย

                     "แล้วไอ้การที่ต้องไปเพ่งมองสิ่งที่มองไม่ชัดเนี่ยก็ทำให้คลื่นไส้อีก พออ้วกเลอะรถเค้าก็โดนด่าอีก เอ้า...แล้วจะติดโฆษณาแบบนี้เพื่อ...?"

                     "เรื่องGPS นี่ก็น่าด่าอยู่" พี่ทรายออกความเห็น "เอาจริงๆนะ ไอ้ระบบGPS ต่อให้ดีแค่ไหนมันก็รวนหรือพลาดได้ เพราะรถเมล์เนี่ยมันเป็นโลหะ ซึ่งบางทีก็สะท้อนคลื่นจนข้อมูลจากคลื่นมีโอกาสพลาดได้ แถมรถเคลื่อนที่ตลอดบางทีสัญญาณก็ดีเลย์อีก ขนาดแอพติดตามรถเมล์ยังมีโอกาสพลาดให้ข้อมูลผิดๆได้เลย แถมก้มดูไปบางทีเวียนหัว บางทีก็เลยป้าย กดออดช้าก็เจอพนักงานด่าว่าเอาแต่เล่นโทรศัพท์อีก ยังไงทัศนวิสัยการมองเห็นข้างทางสำคัญที่สุด"

                     จากนั้นผมก็ได้เล่าเหตุการณ์ตอนนั้นต่อ

                     "ก็ยังดีที่ศาลท่านยังเห็นหัวผม ท่านบอกประมาณว่าไอ้การเอาป้ายโฆษณาไปติดกระจกเนี่ย มันเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของรถโดยสารที่ต้องให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชน 

                     การที่ทำให้หน้าต่างมันไร้ประโยชน์มันก็เหมือนเอาคนไปนั่งในรถขนสินค้า เป็นการปฏิบัติกับผู้โดยสารเยี่ยงวัตถุ เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมีการพิพากษาให้เอาออกภายใน 30 วัน คือไม่ใช่แค่ในสินารันน่าทาวน์นะ แต่ทั้งหมู่เกาะเลย ทั้งที่เป็นรถ ขสสน รถร่วม และรถโดยสารทุกคันเลยที่ต้องลอกแผ่นป้ายโฆษณาออก"

                     "ยินดีด้วยนะ ที่ทำสำเร็จ ทีนี้...หน้าต่างรถเมล์ก็จะได้ใสๆซะที ขึ้นรถแอร์ก็ไม่ต้องเมารถอีก" พี่ทรายพูดเชิงรำพันเล็กน้อย

                     "สำเร็จก็จริง แต่หลังจากวันนั้นมันไม่ใช่ว่าจะสวยงามเลย" ผมเปิดประเด็นก่อนที่จะเล่าเรื่องในช่วงระหว่างเมื่อประมาณ 4 วันก่อน


      ....................................................................

      18 พฤษภาคม 2561

      เมืองสินารันน่าทาวน์ เกาะสินารันน่า


                     วันนี้เป็นวันแรกหลังจากที่มีคำสั่งพิพากษาให้ ขสสน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขูดลอกโฆษณาบนกระจกรถเมล์ ผมกำลังรอรถเมล์เพื่อที่จะเดินทางไปพิพิธภัณฑ์อาหารเพื่อที่จะไปเรียนรู้ก่อนที่ผมจะเป็นพ่อครัวอย่างเต็มตัว โดยเมื่อเดือนก่อนผมได้เข้าสมัครเป็นพ่อครัวของภัตตาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยในช่วงนั้นก็ยังมีให้ไปทดสอบความรู้ทางอาหารและวัตถุดิบ ทดสอบการทำอาหารอีกด้วย ซึ่งผลการสมัครคือผ่านและให้ไปรายงานตัวในวันพรุ่งนี้

                     ในช่วงนี้รถเมล์ปรับอากาศหลายคันบนท้องถนนเริ่มมีการถอดโฆษณาออกไปบ้างแล้ว บางคันก็ยังคงมีคราบกาวหลงเหลือบ้าง ซึ่งอีกไม่นานผมคิดว่าหน้าต่างรถเมล์ก็คงจะกลับมาสว่างอีกครั้งหนึ่ง

                     ทว่าจู่ๆ...ก็มีเสียงคนคุยกันบริเวณป้ายรถเมล์คุยกันเสียงดัง "เฮ้ย ใช่ไอ้นี่ป่าวที่มันเรียกร้องให้ ขสสน ลอกเอาโฆษณาวง...ออกไป" มันสะกิดบอกเพื่อน

                     "เออว่ะ เสียดายเนอะ ว่าจะมาดักถ่ายรถเมล์ที่มีรูปน้อง...ซะหน่อย"

                     "นั่นสิ ไม่รู้นึกอยากจะมาเป็นคนดีอะไรตอนนี้...เนอะ"

                     "ว่าไป ขสสน ก็ขาดทุนอยู่แล้วยังจะไปจับผิดเขาอีก"

                     "นั่นสิ เรื่องมากนักก็ไปขึ้นแท็กซี่สิ ค่าโดยสารหลักสิบจะเอาบริการหลักล้าน"

                     "ได้ข่าวว่ามันแถในศาลด้วยว่ะ แถว่ามองไม่ชัด มองแล้วคลื่นไส้ คือมันก็อาการเฉพาะตัวป่ะวะ พวกกูยังมองได้สบายดี GPSก็มีไม่ใช้ หลงยุคเป็นบ้า" 

                     เมื่อมาถึงขั้นนี้ผมจึงหยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลงเพื่อเป็นการลดแรงกดดันนี้ ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนกับโดนทุบลงบนหน้าอกแรงๆ แต่ผมก็พยายามสูดหายใจลึกๆ 'เอาวะ คงมีไม่กี่คนหรอกมั้งที่ด่ากู คิดซะว่ามันเป็นเสียงตด' ผมท่องในใจพร้อมกับกุมชายเสื้อตัวเองแน่นๆ

                     ทันใดนั้นรถเมล์สายที่ผมขึ้นก็มาถึง ผมจึงโบกรถเมล์คันนั้น แต่รถคันนั้นกลับออกขวาไม่จอดรับผม เสียงหัวเราะจากพวกขี้นินทาเมื่อสักครู่ดังขึ้นลอดผ่านหูฟังผม ผมจึงเร่งเสียงให้ดังยิ่งขึ้นเพื่อกลบเสียงหัวเราะอันโหยหวนดุจเสียงหมาเดือนสิบสองนั้นแล้วกุมขากางเกงเป็นการกระจายแรงกดดันลงไป

                     ไม่นานนักก็มีรถเมล์คันหนึ่งได้จอดเทียบป้ายจากการที่มีคนลงรถพอดี รถเมล์คันดังกล่าวเป็นรถเมล์ปรับอากาศสีขาว-น้ำเงิน ตัวรถยังมีคราบกาวและสีลอกเล็กน้อย บนกระจกรถรอบคันยังคงมีคราบกาวหลงเหลืออยู่อันบ่งบอกว่ารถคันนี้พึ่งถูกลอกโฆษณาไปไม่นาน และก่อนหน้าได้มีการติดโฆษณาแบบรอบคันและกระจกข้างรถทุกบาน เมื่อผมจ่ายเงินให้กับพนักงานเก็บค่าโดยสารเรียบร้อยแล้วผมก็ทำการเสียบหูฟังเพื่อฟังเพลงโปรดพร้อมกับดูวิวข้างทางไปด้วย แม้จะยังไม่ชัดเท่าที่ควร แต่ทัศนะวิสัยก็ยังนับว่าดีกว่าตอนที่มีโฆษณาแปะทับไว้ 


                     เมื่อถึงหน้าพิพิธภัณฑ์อาหาร ก็มีเสียงเรียงเข้าจากโทรศัพท์ผมดังขึ้น ...อ๊าๆๆๆ... ผมจึงกดรับสายทันที

                     ผม : ฮัลโหล สวัสดีครับ

                     ปลายสาย : คุณคัมภีร์ใช่มั้ยครับ ที่เข้าสมัครการเป็นพ่อครัวของภัตตาคารหลีเกียวฮวดที่ผ่านเข้ารับสมัคร

                     ผม : ใช่ครับ 

                     ปลายสาย : คือทางเราต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เพราะทางเบื้องบนเขาแจ้งภายหลังว่าคุณไม่ผ่านเกณฑ์ในบางข้อ

      ผมตกใจกับคำตอบนี้อยู่พอสมควร เพราะก่อนหน้านี้ผมก็ผ่านเกณฑ์ทุกอย่างแล้ว ซึ่งก็มีการแจ้งเตือนมาทางผลการรับสมัครในเว็ปของร้านเมื่อประมาณ 2-3 วันก่อน

                     ผม : ทำไมหรอครับ ทำไมถึงพึ่งมาบอกครับ

                     ปลายสาย : อันนี้ทางเราก็ไม่ทราบจริงๆครับ เพราะเบื้องบนสั่งผมมาให้เรียนแจ้งคุณแบบนี้ครับ ต้องขออภัยด้วยครับ

                     ผม : แล้วคุณช่วยบอกผมได้มั้ยครับ ว่าผมไม่ผ่านในส่วนไหน

                     ปลายสาย : ขออนุญาตเรียนตรงๆนะครับ คือทางเบื้องบนแจ้งว่าคุณมีทัศนะคติที่ไม่เหมาะสมกับการทำงานภัตตาคารแห่งนี้ครับ

                     ผม : ทัศนะคติ...

                     ปลายสาย : รายละเอียดในส่วนนี้ทางเราไม่อาจแจ้งให้ทราบได้จริงๆครับ ต้องขออภัยด้วยครับ

                     ผม : ครับ

                     จากนั้นผมก็กดวางสาย ร่างกายของผมเริ่มสั่นด้วยความเสียความรู้สึกจากการที่ทางภัตตาคารเรียนแจ้งว่าจะไม่รับผมเข้าทำงานทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็แจ้งว่าผ่านเกณฑ์และรอแค่พรุ่งนี้ที่จะได้เข้าทำงานแท้ๆ แต่กลับถูกปฏิเสธภายหลัง ผมจึงขึ้นรถเมล์เพื่อที่จะเดินทางกลับบ้าน โดยครั้งนี้เป็นรถร้อนครีมแดงซึ่งก็ไม่มีปัญหาเรื่องทัศนะวิสัยมากนัก


                     เมื่อผมเดินทางกลับถึงบ้าน ผมก็ได้นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับเปิดโทรศัพท์เพื่อที่จะดูคลิปต่างๆใน Youtube เพื่อคลายเครียด ทว่าจู่ๆ...เครื่องโทรศัพท์ก็มีเสียงข้อความเข้า ซึ่งข้อความจาก Message ที่เป็นการตำหนิผมเกี่ยวกับกรณีการขูดลอกป้ายโฆษณารถโดยสาร

                     [คุณคงพอใจมากสินะที่คุณทำสำเร็จ รู้มั้ย...รถโดยสารต่างๆก็มีค่าต้นทุนสูงอยู่แล้ว โฆษณานี่คือรายได้หลักของพวกรถเมล์ แต่ที่คุณทำแบบนี้มันก็เหมือนกับทำให้พวกเขาได้เงินน้อยลง แค่นี้ก็ขาดทุนกันอยู่แล้ว คุณไม่มีอยู่จุดนี้คุณไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง] 

                     เมื่อผมอ่านจบ ผมจึงตอบข้อความนั้นทันที [ส่วนอื่นมีเหตุผลนะครับ แต่รายได้หลักของพวกคุณคือเงินจากผู้โดยสารไม่ใช่หรอครับ พวกเขามีสิทธิที่จะเรียกร้องถ้ารถพวกคุณไม่น่านั่งหรือนั่งไม่สบายเพราะข้อบกพร่องบางอย่าง และการโฆษณาผมก็เห็นว่าไม่เสียหาย เข้าใจว่าต้องหารายได้เพิ่มเติม แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าจะออกแบบให้โฆษณาแบบที่ไม่บังทัศนะวิสัย อย่างติดแค่ตัวถังไม่ก็กระจกครึ่งบานบนก็ได้นี่ครับ]

                     [รายได้หลัก...กุละขำ ค่ารถ 10 กว่าบาทเกิน 20 นิดๆเนี่ยนะรายได้หลัก บางรอบก็ได้แค่ไม่กี่คน บอกอีกครั้งนะ ค่าโฆษณายังไงก็มากกว่าเงินที่ได้จากพวกคุณเห็นๆ เดือนนึงคันละหลักหมื่นหลักแสน อีกอย่างนึง ถึงจะเป็นโฆษณาครึ่งคันหรือรอบคันยังไงก็เห็นคนขึ้นกันตลอดไม่ได้มาบ่นเรื่องมากแบบคุณ ถ้าอยากเห็นวิวชัดๆก็รถร้อน รถแดง รถชมพูสิครับ ถ้ารวยก็แท็กซี่นู่น อีกอย่าง ป้ายพวกนี้กันแดดได้ หลายคนเค้าก็ชอบ มันบังแดดได้ อย่าสะเออะไปคิดแทนเขาครับ

                     อ้อ...อีกอย่าง ทำไมถึงต้องโฆษณาแบบทั้งบาน อันนี้ลูกค้าเค้าเป็นคนขอ แล้วทางเจ้าของก็ต้องสนอง ไม่งั้นเค้าก็ไปหาบริษัทอื่นโฆษณาให้เค้าแทน แถมถ้าติดนอกรถคนจะเห็นมากกว่า ลูกค้าเค้าเลือกแต่ตรงนั้นกันครับ]

                     ผมรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยกับคำตอบของอีกฝั่ง ผมสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่จะโต้แย้งต่อด้วยเหตุผลต่อไป

                     [คุณพูดแบบนี้ก็เท่ากับดูถูกผู้โดยสารอยู่นะ คุณเป็นเจ้าของรถก็มีสิทธิเจรจาได้ แล้วเมื่อก่อนนู้นทำไมรถแอร์ถึงยังสามารถติดโฆษณาแค่ตัวถังได้ล่ะครับ แบบนั้นยังสวยกว่าอีก ดูเหมือนรถบัสทัศนาจรแล้วยังดูเป็นรถเมล์มากกว่ารถอะไรก็ไม่รู้

                     และที่ขาดทุนเนี่ย จริงๆแล้วมันไม่ใช่แค่มีหรือไม่มีโฆษณาเท่านั้นนะครับ มันมีปัจจัยอื่นๆมาเสริมด้วย เช่น การบริหารรถที่ไม่ค่อยดี อย่างบางสายคนใช้เยอะแต่เป็นรถร้อนล้วน ในขณะที่สายที่คนน้อย หรือเยอะแค่ตอนเช้า/เย็นกลับใช้รถแอร์ การที่ป้ายรถเมล์มักไม่ค่อยมีข้อมูลเส้นทางรถเมล์ที่แสดงข้อมูลเท่าที่ควรทำให้เงินไหลไปขนส่งประเภทอื่นแทน ไหนจะเรื่องการทุจริต เรื่องการจัดซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นจนสุดท้ายก็กลายเป็นเอาเงินไปละลายเล่นด้วย] 

                     อีกฝ่ายเองก็ยังคงไม่ลดละเช่นกัน [ก็น่าดูถูกมั้ยล่ะ ผู้โดยสารบางคนก็เอาแต่เล่นมือถือไม่ดูข้างทางเลย สุดท้ายเลยป้าย ไหนจะพวกที่ขับเร็วก็ว่า ขับช้าก็บ่นอีก] เขาโต้กลับบ้างพร้อมกับลากประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องมาร่วมด้วย

                     [ที่เค้านั่งดูโทรศัพท์ บางทีคุณก็ไม่ควรไปเหมารวมเค้ายังงั้นยังงี้นะ เค้าอาจจะดูตำแหน่งเพราะไอ้โฆษณาแบบยัดเยียดมันบังข้างทาง มองออกไปก็ไม่ชัดอีก ส่วนตัวเคยนั่งรถแบบมีโฆษณารอบคันตอนฝนตก สุดท้ายคือต้องเปลี่ยนคันเพราะมองทางไม่เห็น เมารถสุดๆ ยิิ่งต้องก้มดูGPS ในโทรศัพท์นี้ยิ่งโคตรเวียนหัว

                     เกือบลืมไป ไอ้การที่คุณไม่ยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง เอาแต่โทษผู้โดยสาร พอเขาใช้สิทธิอันชอบธรรมในฐานะผู้บริโภคที่จะออกความเห็นการให้บริการ คุณก็ไล่เขาไปใช้รถอย่างอื่นอีก ไหนจะมารยาทการขับที่บทจะเร็วก็เร็วจนหวาดเสียว บทจะช้าก็เป็นเรือเกลือ พอมีคนบ่นก็ไปด่าไปว่าทั้งที่การขับแบบความเร็วปานกลางก็ทำได้ แต่กลับเลือกทางสุดโต่งจนคนหนี เผลอๆเจอค่าปรับอีก นี่ก็นำไปสู่การขาดทุนได้นะ]

                     [คุณเป็นเทวดาหรอถึงได้รู้มากจริงๆ] อีกฝ่ายแขวะกัด

                     [ผมเป็นแค่คนธรรมดาครับไม่ใช่เทวดาจากชั้นฟ้าไหนนะครับ ผมจึงอยากจะขอทราบว่าคุณทำรถเมล์สายไหน บริษัทรถรถไหนครับ จะขอทราบไว้เพื่อเป็นแนวทางการหลีกเลี่ยง ทัศนะคติคุณคือทำเอาผมไม่อยากไปใช้บริการเลยจริงๆ]

                     [ผมไม่ได้ทำรถเมล์สายไหนครับ เป็นคนที่ชอบนั่งรถเมล์ไปเรื่อย แต่ก็รู้จักกับคนขับ/กระเป๋าหลายคน เอาเป็นว่าผมใช้รถเมล์มานานกว่าคุณอีก ซึ่งผมก็เฉยๆกับป้ายโฆษณา ก็น่าจะศึกษาเส้นทางมาให้ดีๆก่อน ตอนนั้นคุณนี่ป๊อดนะ แน่จริงก็นั่งคันเดิมให้ถึงปลายทางสิ]

                     [คุณครับ เรื่องมันจบแล้วครับ แต่ใครกันแน่ที่ป๊อด คุณบอกว่าเคยขึ้นรถเมล์มาก่อนผม แต่คุณก็ได้แต่ยอมรับสภาพ...ทำอะไรไม่ได้  ปล่อยไปจนชินกับความเอาเปรียบนั้น คุณกลัวอะไรหรอครับ ทำไมผมที่ประสบการณ์การขึ้นรถเมล์น้อยกว่าคุณยังกล้าทำ คิดดูละกัน อ่อ...ที่ว่าผมไม่ศึกษาเส้นทาง ตอนนั้นผมศึกษามาดีครับ รวมทั้งเรื่องรถเมล์ในส่วนต่างๆด้วย ผมเลยมาเถียงกับคุณยาวๆได้ครับ]

                     [กล้าแบบผิดวิธีก็ระวังจะเจอดีไว้เถอะ]

                     [ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องดีๆผมมีเข้ามาตลอด]


                     ผมตัดสินใจจบบทสนทนากับคู่กรณีแล้วเปิดดูโทรทัศน์เพื่อจะรอดูรายการสารคดีสัตว์โลก โดยระหว่างที่รอดูสารคดีสัตว์โลกก็ได้มีข่าวกำลังรายงานถึงสถานการณ์ ซึ่งก็มีกรณีที่ผมชนะดคีรวมอยู่ด้วย

                     "กรณีการลอกแผ่นป้ายโฆษณาออกจากรถเมล์ปรับอากาศตอนนี้เริ่มมีความคืบหน้ามากขึ้น รถเมล์ปรับอากาศหลายคันเริ่มมีการลอกแผ่นป้ายโฆษณาออก ภาพล่าสุดตอนนี้เราได้อยู่ที่อู่รถเมล์เหมียวน้อย แผ่นป้ายโฆษณาที่กำลังถูกลอกเต็มพื้นอู่เลยค่ะ"

                     โฆษกที่เป็นกะเทยสาวผมยาวแต่งตัวเรียบร้อยกำลังรายงานข่าวโดยฉากหลังเป็นอู่รถเมล์ที่ทางพนักงานกำลังดำเนินการลอกป้ายโฆษณาออกจากกระจกรถเมล์ปรับอากาศพร้อมกับทำความสะอาดกระจกและตัวรถไปด้วย ผมรู้สึกโล่งใจอยู่พอสมควรที่เหตุการณ์เป็นไปได้ด้วยดี

                     "แต่ในอีกฝั่งหนึ่งก็มีผู้คนส่วนหนึ่งแสดงความไม่พอใจด้วย เหตุเกิดที่บริเวณสวนอสุจ๊าก มีประชาชนกลุ่มหนึ่งได้นำรูปของนายคัมภีร์ เทวลีลากุลบุญศิระ ผู้ฟ้องคดีมาตั้งไว้พร้อมกับขว้างปาสิ่งของแล้วตะโกนโห่ร้องด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ" เมื่อมาถึงตรงนี้ผมกลับรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หน้าอก ผมรู้สึกสะเทือนใจต่อเหตุการณ์ในข่าวเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะกลายเป็นคนที่ถูกผู้คนเกลียดราวกับว่าผมเป็นอาชญากรรม

                     "ขอสัมภาษณ์สักครู่ค่ะ เกี่ยวกับสาเหตุที่ออกมาประท้วงเดินขบวน"

                     "คือพวกผมเป็นแฟนคลับนักร้องวงนั้นครับ พวกผมเป็นคนระดมเงินในการซื้อโฆษณารถเมล์นั้น เป็นโฆษณาเกี่ยวกับนักร้องวงที่พวกเราชอบด้วยครับ สัญญาเช่าพื้นที่โฆษณา 3 เดือน

                     พวกเราโดนคนในสังคมมองว่าโรคจิต โดนมองว่าบ้ามาโดยตลอด แต่พอมีวันนี้ วันที่สังคมเริ่มชอบในสิ่งที่พวกเราชอบ เริ่มเห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเรารัก พวกเราขอเวลาแสดงจุดยืนแค่ 3 เดือนมันเดือดร้อนหรอ

                     ทีป้ายโฆษณารถเมล์แบบเก่าๆที่ติดมาเป็น 10 ปีบังกระจกเหมือนกันทำไมเขาคนนั้นไม่ฟ้อง แต่กลับเก่งแต่กับนักร้องวงที่พวกเรารัก หรือว่าคุณอคติ ถ้าทนไม่ได้ทำไมไม่ขึ้นรถพัดลมหรือนั่งแท็กซี่ล่ะ"


                     ผมเริ่มสะเทือนใจอีกครั้งด้วยข้อหาอคติ พวกนั้นมันไม่เคยรู้อะไรบ้างเลยว่าจริงๆผมพยายามฟ้องตั้งแต่โฆษณาก่อนแล้ว แต่เพราะตอนนั้นเขาปฏิเสธคำขอของผม ปากบอกว่าจะไม่ให้ติด สุดท้ายก็วนลูปกลับมาติดเหมือนเดิม 

                     ทันใดนั้นเองก็มีเสียงแจ้งเตือน Messenger สลับกับเสียงแจ้งเตือนการ Comment บนโพสต์และรูปประจำตัวดังขึ้นมาถี่ๆ และส่วนมากก็เป็นคำด่าทอแบบหยาบคาย เช่น...

                     [แค่โฆษณาทำเป็นจะตาย]

                     [เรื่องมาก]

                     [ไปตายซะ]

                     [แน่จริงก็ฟ้องกูสิ 555 แอร์ในศาลน่าจะเย็น]

                     [ทนไม่ได้ก็ไปต่างประเทศสิ]

                     [รถพัดลมมีทำไมไม่ขึ้น]

                     และยังมีข้อความที่ใช้คำหยาบคายอีกเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับ Coppy รูปประจำตัวของผมแล้วนำมาแปะใน Comment โพสต์ต่างๆพร้อมกับเหยียดเรื่องหน้าตา 

                     ผมจึงตัดสินใจแคปหน้าจอและโปรไฟล์ของคู่กรณีพวกนั้นและบันทึกลิงค์ของบัญชีพวกมันเพื่อเตรียมตัวจะใช้เป็นหลักฐานการแจ้งความเพราะผมไม่ใช่พ่อพระ ไม่ใช่พระเอกละครโลกสวยที่จะมาอดทนกับการถูกจิกหัวด่าแบบนี้ได้ ได้...ในเมื่อพวกมึงอยากจะเจอกูฟ้อง กูจัดให้ก็ได้ 

      ..............................................

      26 พฤษภาคม 2561

      ร้านอาหารเทียนทอง เกาะแมนเดรส


                     "จากนั้นผมก็แจ้งความไป ผลคือมีคนโดนจับไปรัวๆ เอาจริงๆนะ...ถ้าจะตามจริงๆต่อให้อวตาลแค่ไหนถ้าจะตามจริงๆก็ทำได้" ผมเล่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นแบบคร่าวๆ "แต่ผมเองก็ไม่อยากอยู่ที่นั่นต่อหรอก อึดอัด คับที่อยู่ได้แต่คับใจอยู่ยากนี่มันยังใช้ได้จริงๆ"

                     "กฏหมู่อยู่เหนือกฏหมายจริงๆ" พี่เพชรกล่าวพลางส่ายหัวเบาๆ "นี่แหละ สาเหตุที่การล่าแม่มดถึงมีขึ้นมาตลอด"

                     "เรื่องนี้พี่ก็ติดตามมาบ้างนะ เพจรถเมล์บางเพจนี่ก็ย้อนแยงจริงๆ ครั้งก่อนโพสต์ว่าการนั่งตรงที่ที่มีโฆษณามันคือไม่ดี" พี่ทรายออกความเห็น "แต่เมื่อเร็วๆนี้กลับโพสต์เชียร์ให้ติดโฆษณานักร้องวงนั้นเย้วๆแล้วเชียร์คนไปถ่ายรูป ยิ่งลูกหาบบางคนเชียร์ให้ติดรอบคันบ้าง ให้ทุกคันติดบ้าง ถ้าเป็นรถร้อนจะไม่ว่าเลยเพราะยังไงก็ติดแค่ตรงตัวถังรถ แต่รถแอร์นี่คือต้องติดบนกระจกด้วย ล่อทั้งบานอีกตะหาก"

                     "ใช่พี่ ผมเองก็เจอนะ ยิ่งเพื่อนในเฟซผมบางคนนี่คือเชียร์ให้ติดรอบคันเลย พอไปแย้งหน่อยแม่งลบเพื่อนเฉย" พี่เพชรบ่น

                     "คิดซะว่าได้คัดคุณภาพคนรอบตัวไปด้วย" พี่ทรายให้ความเห็นพร้อมกับนำใตะไคร้ที่หั่นละเอียดมาจำนวนหนึ่งเทลงไปในกาน้ำชาไฟฟ้าพร้อมกับผสมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย "เอาล่ะ แต่ละคนมาดื่มน้ำชากันก่อนดีมั้ย"

                     "เอ่อ...ชาใบตะไคร้เนี่ยนะ" ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่จะต้องดื่มชาแบบนี้ 

                     "เอาน่า ลดกลิ่นปาก ลดโอกาสการเกิดมะเร็ง เพิ่มประสิทธิภาพการย่อยอาหารได้น้าา" พี่ทรายพยายามพูดจาโน้มน้าว

                     "บอกตรงๆนะ ตอนนี้คืออยากกอดใครสักคน ไม่ก็โดนใครสักคนกอดจริงๆ" ผมตัดพ้อกับความรู้สึกที่เคยหวาดกลัวก่อนหน้า ทว่า...พี่เพชรเองก็ได้เข้ามากอดผมพร้อมกับลูบหลังไปมา

                     "เห้ยพี่ กอดผมทำไมเนี่ย" ผมตกใจกับสิ่งที่พี่เพชรทำตอนนี้เล็กน้อย

                     "ก็เห็นว่ามึงอยากโดนกอดนี่นา" พี่เพชรตอบพร้อมกับลูบหัวผมแล้วขยี้เบาๆ

                     "แหม อย่าเล่นหัวโคย...แรงสิจ๊ะ" พี่ทรายแซวอย่างขำขัน

                     "ก็โคยอุ่น...ดีนี่นา" พี่เพชรตอบพร้อมกับยังคงกอดผมอยู่ "เอาตรงๆนะ คือกูชอบกอดใครสักคนว่ะ กอดแล้วแม่งรู้สึกดีชิบหาย"

                     "พี่เคยได้ยินมาว่ามาว่าการกอดนี้คือวิธีเยียวยาจิตใจได้อย่างนึง" พี่ทรายพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ผมเองก็กอดพี่เพชรตอบด้วยเช่นกัน ตัวของพี่เพชรค่อนข้างอุ่นมาก แขนของพี่เพชรนั้นประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจนทำให้การกอดนั้นแน่นจนเกือบทำเอาผมหายใจไม่ออกอยู่เหมือนกัน

                     "แอร๊ยย หายใจไม่ออก" 

                     "อ้าวๆ โทษที พอดีมึงมันน่ารักเลยเผลอกอดแน่นไปหน่อย"

                     "เห้ยพี่...ผมเริ่มเสียวๆแล้วนะเนี่ย"

                     "แหมคู่นี้" พี่ทรายร่วมวงแซวพร้อมกับหัวเราะเบาๆ "ระวังโคยจะหาย...ใจไม่ออกนะจ๊ะ"

                     "เออ กูล้อเล่น" พี่เพชรปล่อยผม จากนั้นก็เทศนาต่ออีกเล็กน้อย

                     "เอาจริงๆนะ มึงไม่ควรต้องไปสนใจพวกหลงผิดพวกนั้นหรอก พวกนั้นน่ะ...มันเห็นเรื่องผิดเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ยิ่งในส่วนที่มึงเล่าว่าไอ้คนที่อ้างว่าขึ้นรถเมล์มานานกว่ามึงน่ะ อันนั้นคือตัวอย่าง นั่งมาก่อน สนิทกับคนขับ/กระเป๋า สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งมันนี่แหละ ป๊อดตัวจริงเลย ส่วนพวกซอมบี้ในสวนนั่น...เดี๋ยวมีกระแสนักร้องวงนั้นใหม่มาก็ไปเอง คงไม่มาอะไรมากหรอก ถึงมาก็ดำเนินคดีได้เลย ยังไงกูก็อยู่ข้างมึงนะ มึงทำถูกแล้วโคย"

                     "ใช่จ้ะ นี่คือตัวอย่างของการคิดบวกในเชิงสร้างสรรค์" พี่ทรายพูดเสริมพร้อมกับยกตัวอย่าง 

                     "รู้มั้ย...คนเรามักจะจำสลับกันระหว่างโลกสวยกับคิดบวก ทั้งที่สองคำนี้มันแตกต่างกันกว่าที่คิดนะ

      โลกสวย อันนี้มีสองแบบ แบบแรก คืออ่อนต่อโลก ใสซื่อ เห็นทุกอย่างดีงามไปหมด อันนี้ไม่เท่าไหร่ แต่อีกแบบนั้นอันตรายมาก เพราะอีกแบบที่ว่านี้คือพวกที่เห็นว่าทุกอย่างมันดีอยู่แล้ว คือพวกชาชินกับสิ่งไม่ดี พอจะมีคนไปแก้ไขก็พูดจาตัดกำลังใจ บ้างก็ไปขัดขวางอีก

                     ส่วนมองแง่บวก คือการมองว่าทุกอย่างมีความดีและไม่ดีปะปนกัน และส่วนไม่ดีนั้นก็ควรต้องได้รับการแก้ไข และคนพวกนี้คือนักแก้ไข อาจจะไม่ขาวสะอาด แต่อาจให้เทาน้อยลง อันนี้นับว่าดีเพราะทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น"

                     "ขอบคุณพี่ๆทั้งสองมากนะ" ผมพูดขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง น้ำตาของผมไหลอาบแก้มทั้งสองข้างเป็นการตอบสนองถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เหมือนกับทั้งยกภูเขาออกจากอก อีกทั้งยังเหมือนกับยังคงมีที่พึ่งทางใจที่ไม่ใช่เพียงแค่วัตถที่พูดโต้ตอบด้วยไม่ได้

                     "เอาน่า เราพวกเดียวกัน" พี่เพชรพูดยิ้มๆ

                     "เดี๋ยวโคยมาทำงานร้านพี่ได้นะ เป็นพ่อครัวก็ดี ยิ่งตอนนี้คนเยอะพี่ทำไม่ค่อยไหวเลย" พี่ทรายรินน้ำชาตะไคร้ทั้งสามแก้วแล้วยื่นให้ผมกับพี่เพชร "บำรุงสุขภาพกันก่อนเน้อ น้ำตะไคร้ ละลายไขมันในเลือด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ ลดความดันเลือดสูงได้อีกนะจ๊ะ"

                     ผมรับชาตะไคร้ขึ้นมาดื่ม ชาตะไคร้ค่อนข้างหวานเล็กน้อยจากการที่พี่ทรายผสมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อยในก่อนหน้านี้ พี่เพชรและตัวพี่ทรายเองก็ดื่มด้วยเช่นกัน การดื่มครั้งนี้ก็คือการได้สลัดเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในช่วงเวลานรกนั้น มันเหมือนการได้ปลดปล่อยระดับหนึ่งเลยทีเดียว การมีที่ปรึกษาและผู้ปรับทุกข์เป็นมนุษย์ด้วยกันที่สามารถโต้ตอบกับเราได้และมีความเข้าใจหัวอกก็ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้


                     หลังจากวันนั้นผมก็ได้เข้าทำงานเป็นพ่อครัวที่ร้านอาหารเทียนทองของพี่ทราย เมนูของที่นี่ส่วนมากเป็นแนวๆมังสวิรัติที่ไม่ค่อยมีกลิ่นคาวมากนัก ประกอบกับเมนูส่วนมากไม่ค่อยมีวิธีที่ซับซ้อนมาก แถมเมื่อคนกินเหลือก็จะมีการแยกไปทำเป็นปุ๋ยต้นไม้ในสวน บ้างก็นำไปทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อไล่แมลงและเป็นอาหารเสริมกับพืชผักผลไม้ ซึ่งทางพี่เพชรก็เป็นคนแปรรูปพวกเศษซากต่างๆไปเป็นน้ำหมักโดยจะมีการรวบรวมเศษอาหารทุกๆช่วง 1 ทุ่มหลังร้านปิด โดยระหว่างวันพี่เพชรก็จะทำหน้าที่เป็นเด็กเสริ์ฟอาหารที่ผมทำไปยังลูกค้าที่สั่งตามโต๊ะต่างๆ ส่วนพี่ทรายก็จะเป็นคนคิดเงินและประดิษฐ์ของเหลือใช้ขายไปด้วย แน่นอน...ผมรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้ทำงานที่นี่

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×