คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : ep31 - เร็วดุจสายฟ้า
อรุณถอนหายใจเบาๆก็ยังเป็นไอ
อากาศนอกโรงเตี๊ยมทำเขาหนาวไปจนถึงกระดูก อาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มไม่ได้เตรียมรับมือกับอุณหภูมิติดลบของโซนทางเหนือ
เสื้อผ้าจึงยังเป็นชุดเครื่องแบบของสตาร์เกทซึ่งเมทีโอให้มา ที่จริงการจะหารองเท้าหรือเสื้อโค้ทกันหนาวสักตัวในเกมนั้นไม่ได้ยากเย็นอะไร
แต่ในเมื่อเขากลายเป็นแม่เหล็กดูดความสนใจของคนทั้งเซิร์ฟเวอร์ อรุณสงสัยว่าตัวเองจะได้หยุดพักหายใจ
หรือเจอวาวก่อนกัน
“นี่น่ะเหรอจ้าวพิภพ แค่เสื้อกันหนาวยังไม่มีปัญญาหามาใส่ เปลี่ยนฉายาเป็นไอ้ขี้งกดีกว่ามั้ง
เอาความมั่นใจมาจากไหนวะ ใส่ชุดผ้าบางๆมาเหยียบถึงถิ่นเรา” ซิกตี้
ตัวรังควาญรายล่าสุด เอ่ยล้อเลียนชายหนุ่มกับพวกอัศวินเกราะแดงของมัน
เรียกเสียงหัวเราะอย่างดูถูกครืนใหญ่
วายุแดงว่าแล้วก็เตรียมง้างคันศร
“น่าผิดหวังจริงๆ ดูแล้วฝีมืออย่างมากก็คงสู้กับฉันได้ไม่เกินสามวินาที งั้นจะรีบทำให้มันจบเร็วๆละกัน”
“ใจเย็นๆก่อนสิซิกตี้ เจอหน้ากันทีไรก็เอาแต่จะสู้อยู่ท่าเดียวเลยน้า”
วินเซนต์ยิ้มเฝื่อนอย่างไม่เข้ากับน้ำเสียงเกลี้ยกล่อมของตัวเอง “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทำไมเราไม่ไปนั่งคุยกันอุ่นๆข้างในกันล่ะ ถ้าได้กาแฟร้อนๆมาคนละสักแก้วนะ”
“ล้อเล่นอะไรอยู่ไอ้แว่น โพลิติเชี่ยนอย่างแกนี่แหละสมควรหุบปากมากที่สุด”
ซิกตี้ไม่เล่นด้วย หันคันศรมาทางหัวหน้ากิลด์มันนี่แทน
ส่งผลให้สมาชิกของกลุ่มการค้าพากันกรูออกมายืนขวางหัวหน้าของพวกมันอย่างสุดกำลัง หนึ่งในนั้นตวาดขู่อัศวินรูปหล่อว่า
“ถ้าลูกศรพุ่งมาทางคุณวินเซนต์เมื่อไหร่ เตรียมเจอดีได้เลย
ดูซิว่าเรซิอองซ์จะเล่นงานแกยังไง”
“เอาเลยซี่” วายุแดงหัวเราะ “ดูซิว่าไอ้ฝรั่งซาดิสต์มันจะทำหน้ายังไงเวลาโดนหอกร้อยเล่มแทงใส่พร้อมกัน”
ขณะนั้นอัศวินบนหลังม้าของอีออสพลันตั้งท่าเตรียมจู่โจมสอดผสานกับคำพูดของซิกตี้
อรุณแค่เห็นความพร้อมเพรียงของพวกมันก็รู้ว่าเป็นกลุ่มคนที่ฝึกให้ต่อสู้ร่วมกันมาเป็นเวลานาน
ที่สำคัญแต่ละคนดูท่าฝีมือจะร้ายกาจไม่แพ้หัวหน้าอีกด้วย
และแล้วอรุณก็ตกเป็นเป้าหมายของซิกตี้อีกครั้ง
วายุแดงจ้องตาเขาไม่กระพริบพร้อมถามด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลนว่า “กลัวจนขี้แตกไปแล้วเหรอ พูดหน่อยเฮ้ยเจ้าพิภพ”
“คนที่ตัดสินผู้เล่นอื่นด้วยเครื่องสวมใส่อย่างคุณ ยิ่งคิดยิ่งน่าสงสารครับ
แสดงว่ารอบบินในคัลเลอร์แคลชยังน้อยอยู่เลย แค่นี้กลัว..ตลกตายล่ะ’
ชายหนุ่มก้าวออกไปโดยไม่กลัวเหล็กแหลมที่ชี้ใส่หน้าตามที่พูด
ยังไงเหล่าอัศวินคงไม่แทงอรุณถ้าไม่ได้รับคำสั่ง เขาจึงมาหยุดหน้าคันศรของซิกตี้ในระยะเผาขน
“หมายความว่าไง” วายุแดงกระตุกยิ้มเหมือนชอบใจ
“เครื่องสวมใส่ไม่ได้วัดฝีมือของผู้เล่นหรอก อยู่ที่วิธีเลือกใช้ ถึงผมจะไม่มีปัญญาหาเสื้อกันหนาวใส่
แต่สมมุติหลบการโจมตีหรือทุกอย่างได้หมดพลังป้องกันหรือความต้านทานสถานะก็ไม่มีความจำเป็นหรอกครับ
ที่ผ่านมาผมเคยเจอพวกใส่ชุดธรรมดาแต่ก็ปราบคนของครบมาก็เยอะ
ยังดีกว่าพวกใส่เกราะสวยๆแต่เอฟเฟ็คทับกันอีก”
“เซ็ตเกราะเลือดศิลาที่ใส่ๆกันอยู่นี่
ไม่รู้เหรอครับว่าออร่ามันส่งผลแค่คนเดียว” อรุณปิดท้ายด้วยการเลื่อนกรอบข้อมูลที่ตัวเองแอบตรวจสอบมาตั้งแต่แรกใส่หน้าซิกตี้
ผู้เล่นที่มุงอยู่ทำเสียงฮือฮาเพราะคิดว่าพวกอีออสจะฆ่าเขาซะแล้ว แต่อัศวินหนุ่มกลับยิ่งฉีกยิ้มเหี้ยมเกรียม
“...ยอมรับว่าประเมินแกต่ำไป ตาถึงนี่หว่า” วายุแดงปัดกรอบข้อความทิ้งด้วยสายตา
“ชุดเกราะเลือดศิลา ถ้าใส่ครบเซ็ตจะมีออร่าเพิ่มพลังโจมตีให้ผู้เล่นรอบๆโดยไม่สนว่ามิตรศัตรู
ไม่เห็นมันบอกว่าทับกันตรงไหน”
“ความสามารถประเภทออร่าในคัลเลอร์แคลช ส่งผลแค่ซ้ำเดียวเสมอ ถ้ารัศมีทับกันเพื่อความสมดุลของเกม
คนประสบการณ์น้อยอย่างคุณคงไม่รู้หรอก ลองตรวจสอบดูสิ”
“ของแบบนี้มันเบสิกที่สมควรจะรู้เลยนะ น่าสงสารจริงๆ ฉายาเท่ซะเปล่าๆ”
อรุณพูดตอกผาโลงจนซิกตี้หน้าแดงก่ำรีบเปิดข้อมูลชุดเกราะตัวเองออกมาดู
อัศวินหนุ่มเมื่อรู้ถึงความจริงก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก
‘หาให้ตายก็ไม่เจอหรอก ระบบไม่ได้บอกไว้’ อรุณนึกขำ
อันที่จริงเขาก็เองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีสอนในค่ายฝึกผู้เล่นใหม่ด้วยเช่นกัน
และซิกตี้ก็อาจจะเคยเรียนรู้มาแล้ว
เพียงแต่ความทะนงตนว่าเป็นผู้เล่นระดับสูงแล้วของมันคงทำให้ลืมเรื่องพวกนี้ไป
ความแตกต่างระหว่างผู้เล่นมืออาชีพกับผู้เล่นระดับสูงในคัลเลอร์แคลชที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ
มืออาชีพเข้าในพื้นฐานของเกมอย่างแตกฉานมากกว่าเท่านั้น
รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้เองที่เป็นเครื่องมือคั้นแยกหัวกะทิจากเหล่าหางกะทิ
ดังนั้นในสายตาของอรุณ
ซิกตี้เป็นแค่ผู้เล่นระดับสูงเท่านั้น
ไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของยอดฝีมือมากมายที่เขาเคยเจอมาด้วยซ้ำ
ถึงจะไม่ถึงเข้าขั้น
ซิกตี้และกองอัศวินนับร้อยในบัญชาการก็ชนะมืออาชีพคนหนึ่งได้ไม่ยากด้วยการโจมตีคนละครั้ง
ซึ่งมันเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงตวาดของวายุแดง “อวดดีจริงๆ
ตอนแรกก็จะแค่มาลองเชิง ฉันเปลี่ยนใจแล้ว!”
“ปล่อยจ้าวพิภพให้ฉันจัดการ ใครขวางเล่นมันได้เลย!!”
“ลามปามใหญ่แล้วนะซิกตี้ เอรอนตอนนี้อยู่ระหว่างเจรจากับโคโค่มาร์เก็ท”
อัลบาทรอสเป็นฝ่ายออกหน้าให้อรุณอย่างเหนือความคาดหมาย “เลิกทำตัวเป็นอันธพา...”
เปรี้ยง!
ซิกตี้แผลงศรสายฟ้าทะลวงกลางอกหัวหน้าโคโค่มาร์เก็ทหงายหลังล้มลง เป็นอันจบขั้นตอนการประนีประนอม
เกิดการเคลื่อนไหวมากมายในชั่วพริบตานั้นโดยรอบอรุณ วินาทีเดียวก็บานปลายเป็นการต่อสู้ตะลุมบอน
อันย่าเสกม่านกระจกครอบตัวเขาพอดีตอนซิกตี้ยิงธนูใส่อรุณด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ วายุแดงสบถอย่างเจ็บใจแล้วเปลี่ยนไปหลบการโจมตีจากเหนือหัว
คนฝ่ายเอ็นเลสเทลล์ที่ซุ่มบนหลังคาโปรยลูกระเบิดลงมาแบบเทกระจาด เปิดฉากโจมตีโต้กลับแบบสายฟ้าแลบ
พวกมันที่ไม่โดนหอกแทงกลางอากาศล้วนหายเข้าม่านควัน เสียงดังระดับแก้วหูแทบฉีกผสมกับแสงสีและควัน
พวกอีออสแค่คุมม้าไม่ให้แตกตื่นยังยาก แต่เหล่ามิจฉาชีพกลับกระโดดโจมตีผลุบโผล่อย่างแคล่วคล่องราวกับไม่มีอะไรบังสายตา
“อันโบรคเคน!” ถึงจะมองไม่เห็นแต่อรุณจำเสียงซิกตี้ได้
วายุแดงเปล่งแสงเจิดจ้าตอนที่มันควบม้าทะลวงผ่านแถวของอัศวินที่กำลังแตกตื่น
แรงกระแทกจากคลื่นเสียงนั้นสั่นสะเทือนราวกับปล่อยออกจากลำโพงตัวใหญ่
การเคลื่อนไหวมากมายบนถนนพลันหยุดลงชั่วคราว
ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามกับซิกตี้ทุกคนเหมือนถูกบังคับให้หันไปประจันหน้ากับอัศวินหนุ่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ทักษะยั่วยุแบบหมู่” อรุณรู้ว่ามันคืออะไรแต่ก็ทึ่งอยู่ดี
“เล่นคลาส’เทมพลาร์’ นี่เอง”
ในเกมคัลเลอร์แคลช สกิลประเภททักษะยั่วยุนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่พบในกลุ่มผู้รับความเสียหาย(Tank
class) เท่านั้น แต่ว่าคลาสทั้งสามสาย
คือ อัศวิน นักรบ และนักพเนจร ล้วนมีรูปแบบทักษะยั่วยุที่ต่างกัน
ดังนั้นอรุณเมื่อสังเกตความแตกต่างนี้ได้ ถึงไม่ตรวจสอบข้อมูล ก็รู้ว่าซิกตี้เล่นคลาสอะไร
การยั่วยุแบบหมู่
เป็นจุดเด่นของคลาสเทมพลาร์(Templar) หรือ อัศวินศักดิ์สิทธิ์
อันเป็นระดับสูงสุดของอาชีพอัศวิน สายอัศวินพิทักษ์ ทักษะของพวกเขาสามารถบังคับให้ศัตรูหันมาโจมตีแต่ตัวเองเท่านั้น
รวมถึงระหว่างนั้นก็จะได้บัพเพิ่มพลังป้องกันจนไม่ต้องกลัวจะถูกรุมจนตาย
สกิล
อันโบรคเคน(Unbroken) ที่ซิกตี้ใช้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ซึ่งจัดว่าเป็นท่าที่ขี้โกงอันดับต้นๆ ระบบจึงกำหนดให้มีคูลดาวน์ที่นาน
การต่อสู้แต่ละครั้งถ้าไม่ยืดเยื้อ อาจได้ใช้อย่างมากเพียงหนเดียว
ด้วยความสามารถบังคับให้ศัตรูต้องหันมาโจมตีตัวเอง ทำให้จังหวะบุกของเอ็นเลสเทลล์ขาดช่วง
พวกมันต้องจำใจกลุ้มรุมเข้ามาโจมตีซิกตี้ซึ่งขี่ม้าวนเพื่อถ่วงเวลาไปรอบๆ
กว่าจะหมดการยั่วยุอัศวินของอีออสก็ตั้งตัวใหม่สำเร็จ แล้วเปิดฉากโจมตีกลับอย่างไร้ปราณี
“อรุณ เข้ามาเร็ว!” เสียงของอันย่ารั้งสติของอรุณให้กลับคืนมา
อาศัยจังหวะฉุกละหุก เธอรีบคลายม่านกระจกออกแล้ววิ่งมาดึงตัวชายหนุ่มเข้าไปหลังม่านควันระเบิด
พริบตาเดียวก็เข้ามาอยู่ด้านในโรงเตี้ยมอย่างปลอดภัย
“นายท่าน บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ผมไม่เป็นไร คิทตี้” อรุณบอกปัดสาวแมวที่กุลีกุจอมาหา
ตอนนี้มีสิ่งอื่นที่เขาเป็นห่วงมากกว่าตัวเอง “เด็กสองคนหายไปไหนแล้ว
ไอริสกับซันหายไหน ฝากให้ดูแลไว้ไม่ใช่เหรอ”
“ตกใจกลัวเสียงระเบิดเลยวิ่งไปหลบน่ะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะพาไปหาเอง”
“เป็นห่วงตัวเองก่อนเหอะ” อันย่ากระตุกแขนรั้งเขาไว้ขณะทำท่าจะเข้าไปหาตัวไอริสกับซัน
“เป็นบ้าไปแล้วเหรอ ถามจริง นายจะไปหาเรื่องไอ้วายุแดงนั่นทำไม
ศัตรูยังเยอะไม่พออีกเหรอ”
“เออ
ผมมันบ้า!” อรุณไม่มีอารมณ์จะโต้เถียง กระชากแขนตัวเองหลุดจากแม่กระต่ายน้อยอย่างง่ายดายแล้วตามคิทตี้เข้าไปที่ส่วนของโรงครัว
โดยมีเสียงแง่งอนตามหลังมาติดๆ
“ฮึ่ม รู้อย่างนี้คราวหลังจะไม่ช่วยแล้ว ตาบ้า…’
ชายหนุ่มวิ่งตามคัลเลอร์เวเดอร์สาวมาถึงโรงครัว ค่อยพบว่าที่นี่ถูกเปลี่ยนเป็นหลุมหลบภัยชั่วคราวไปแล้ว
มีทั้งพนักงานของร้านและลูกค้าที่หนีไม่ทัน
สายตาที่ส่งมาทางชายหนถ่มแสดงความไม่พอใจในตัวเขาอย่างเห็นได้ชัด อรุณแหวกพวกนั้นเข้าไป
และพบกับเด็กสองคนที่กำลังหวาดกลัวในที่สุด
ไอริสนั่งยองๆด้วยอาการตัวสั่นงันงกโดยมีซันคอยปลอบ
แต่คนปลอบก็อาการไม่ดีกว่ากันเท่าไหร่ ทุกครั้งที่มีเสียงระเบิดเล็ดลอดเข้ามา ผู้เล่นอายุน้อยทั้งคู่จะพยายามกระเถิบหนีลึกเข้าไปแม้ว่าจะติดผนังแล้วก็ตาม
ดูน่าเวทนาขึ้นไปทุกที
“ไอริส ซัน พี่มาแล้ว” ชายหนุ่มไม่อาจทนดูมากกว่านี้ได้อีก
แต่เขาแค่ส่งเสียงเรียกเด็กสาวก็พุ่งฉิวมากอดเอวเขาไว้ทันทีราวกับอรุณเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของเธอ
“พี่อรุณ พวกนั้นจะจับหนูไปอีกแล้ว ช่วยหนูกับซันที” ไอริสเงยหน้ามองเขาด้วยน้ำตา
แววตาของเธอยังคงเลื่อนลอยเหมือนคนไม่ได้สติ
‘เธออาการหนักมาก หนอย ไอ้บ้าพวกนั้น’ อรุณข่มความเจ็บใจเอาไว้แล้วปาดน้ำตาออกจากแก้มอันบอบบางของเด็กสาว
เขาต้องโกหกเพื่อปลอบให้เธอสงบลง “ถ้าพี่อยู่ ไม่มีใครทำร้ายไอริสได้ทั้งนั้นแหละ
เดี๋ยวมันก็จบแล้ว”
“ซันเอ่ยปากถามบ้าง “พี่อรุณ เรา เราทำยังไงดีครับ
ถ้ายังหลบอยู่ในนี้สุดท้ายต้องโดนจับได้แน่”
อรุณก็คิดไม่ออกเหมือนกัน
ถ้าเป็นเขากับอันย่า หรือว่าคิทตี้ จะหนีไปตอนนี้เลยก็สบายมาก
แต่การจะพาเด็กสองคนนี้ไปด้วยโดยไม่ให้ถูกพวกกิลด์ใหญ่สังเกตเห็นนั้นยากเหลือเกิน
“ให้ข้าไปล่อพวกมันดีกว่านายท่าน” คิทตี้ร้องอาสา “คนขี่ม้าพวกนี้บินไม่ได้เหมือนไวเวิร์น ยังไงก็ตามข้าไม่ติดฝุ่น โดดทีเดียวก็พ้นแล้ว”
“ไวเวิร์นมันใช้สกิลยั่วยุไม่ได้เหมือนคนนะคะ หัดคิดซะบ้างสิ” อันย่าแทรกทันควัน
“ไม่รู้ว่านอกจากซิกตี้แล้วยังมีเทมพลาร์คนอื่นอีกเท่าไหร่
ถ้าเขาใช้ทักษะยั่วยุขึ้นมาพร้อมกันต่อให้ปิศาจแมวอย่างเธอก็หนีไม่รอดหรอก ต้องหนีทางอื่นเท่านั้นค่ะ”
แม่กระต่ายยังไม่วายหันมาแขวะอรุณเพิ่มว่า
“นี่นายเป็นแม่เหล็กดูดเรื่องวุ่นวายเหรอไง
ไปไหนนี่ต้องเกิดเรื่องให้ปวดหัวทุกทีเลย”
ระเบิดระลอกใหม่ดังอย่างอึกทึกครึกโครม
คราวนี้มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าดังแทรกแบบต่อเนื่องด้วย อรุณเดาว่าคงเป็นฝีมือของซิกตี้
กดดันให้ชายหนุ่มหาทางออกของเรื่องนี้โดยไว พวกข้างนอกคงรั้งไว้ได้อีกไม่นานแล้ว
‘หรือว่าเราจะยอมให้พวกอีออสจับเราไปแค่คนเดียวดีนะ
ทุกคนก็จะปลอดภัย แถมไม่แน่เราอาจหลอกไอ้ซิกตี้ให้พาเราไปเจอวาวด้วย’
‘ไม่สิ ไม่มีทาง’ เสียงร้องโหยหวนด้านนอกเปลี่ยนความคิดอรุณ
‘โดนลุงอัลบาทรอสตะคอกใส่นิดหน่อยมันก็ยิงธนูใส่แล้ว
วายุแดงเอะอะก็ใช้แต่ความรุนแรง ถ้ามาเจรจาจริงๆคงไม่พาลูกน้องมาเป็นร้อยแต่แรก
เกือบทำอะไรโง่ๆแล้วสิอรุณเอ้ย’
ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อหาทางหนีทีไล่ แล้วก็สะดุดเข้ากับผู้ชายสองคนที่หามปีกกันเองเข้ามาในโรงครัว
นั่นมันจ็อบบี้กับอัลบาทรอส ยังรอดอยู่อีกเหรอ?
“เฮ้ ในนี้มีใครเล่นสายรักษาไหม ช่วยคนเจ็บหน่อย” มือขวาร้องขอแต่ไม่มีใครสนใจ
พวกไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของกิลด์ใหญ่ ยิ่งให้ความช่วยเหลือศัตรูของซิกตี้
ก็เหมือนเป็นศัตรูของอีออสแบบกลายๆไปแล้ว
“ชิ” จ็อบบี้สบถเบาๆแล้วพยุงหัวหน้ามันมาหาอรุณอย่างทุกลักทุเล
“เห็นนิสัยอีออสรึยังน้องชาย มาร่วมมือกับพวกเราเถอะน่า จะยอมให้พวกมันเอาข่มเราด้วยกำลังทหารไปตลอดได้ที่ไหนกัน”
ไอริสกับซันพอเห็นหน้าคนมาใหม่เป็นโคโค่มาร์เกทเลยรีบวิ่งมาหลบหลังอรุณด้วยความกลัวทันที
เหตุผลเท่านี้ก็มากพอจะทำให้อรุณปฏิเสธไปอีกรอบ
ชั่วอึดใจนั้นก็มีเสียงระเบิดดังเหมือนกับผนังโรงเตี้ยมถูกทลายเข้ามา
“เฮ้ลุง ทางนี้ไม่ไหวแล้ว” วินเซนต์โอดครวญไม่เป็นภาษาเข้ามาในโรงครัว
“จะทำอะไรก็ทำเถอะ กิลด์ผมคงต้องเผ่นแล้วเหมือนกัน”
“ดูเหมือนพวกเราขึ้นเรือลำเดียวกันแล้วนะ ไอ้หนุ่ม” อัลบาทรอสจ้องอรุณผ่านเลนส์แว่นที่แตกอย่างเคร่งเครียด
หัวหน้ากิลด์สายผลิตที่ใหญ่ที่สุดกล่าวกับพวกอรุณแกมบังคับว่า
“ฉันเรียกคนมาช่วยแล้ว แต่ถ้ายังยืดยาดแบบนี้คงตายก่อนคนช่วยมาถึงอีก
ถ้าช่วยเราออกไปถึงสถานีรถไฟได้ เพื่อนๆของแกก็จะปลอดภัยด้วยไอ้หนุ่ม
ไม่มีทางเลือกแล้ว ใช้คัลเลอร์เวเดอร์ให้เป็นประโยชน์สิ”
“ไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะต้องเชื่อพวกคุณ”
อันย่าทำหน้าเหมือนลมจะจับ “โถ่อรุณคะ ไม่รู้หรอกนะว่าโกระอะไรกันมา
โล่กระจกฉันสู้อัศวินขี่ม้าเป็นร้อยไม่ไหวหรอก
‘บ้าจริง’ อรุณกำหมัดแน่น
เขาต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้แล้ว
“คิทตี้! พังผนังออกไปเลย
เอาไอริสกับซันไปที่สถานีรถไฟที่เรามาเมื่อเช้านะ เดี๋ยวพวกผมจะตามไปทีหลัง”
“สถานีรถไฟเมื่อเช้าสินะ เมี้ยว!”
สาวแมวทำตามคำสั่งเขาอย่างว่าง่ายด้วยการรวบรวมพลังงานไร้สีแล้วยิงใส่ผนังโรงครัวด้านหลังราวกับเป็นกระสุนปืนใหญ่
กำแพงที่สร้างจากอิฐกับไม้ระเบิดออกเป็นรูโบ๋อย่างง่ายดายเปิดทางให้คิทตี้หอบเอาไอริสกับซันวิ่งออกไป
“ลุง มานี่ ผมช่วย” ชายหนุ่มตรงเข้าไปหามปีกอีกข้างของอัลบาทรอส
พอมีสองคนพยุงแม้จะเกะกะแค่ก็ทำให้ไปได้ไวกว่าเดิม
จ็อบบี้ผงกหัวให้เบาๆเป็นการขอบใจ “แต๊งกิ้วน้อง เรื่องโบกี้รถไฟจะถือว่ายกให้ละกัน”
เอ้า-ฮึบ อรุณผสานเสียงกับมือขวาแล้วรีบหามตัวอัลบาทรอสออกไป
ที่ตรงหลังร้านเป็นตรอกแคบระหว่างบ้านเรือนจึงต้องหามแนวทแยงออกไป
นอกจากนั้นหิมะยังสูงกว่าถนนเพราะไม่ได้รับการเก็บกวาด
สร้างความลำบอกแก่อรุณอย่างมาก
“ผมช่วยเพราะว่าจำเป็นหรอกนะ
ถ้าคนที่มาช่วยไม่เจอคุณสองคนเพื่อนผมก็ไม่รอดเหมือนกัน ถามหน่อยเถอะ
ถ้าบาดเจ็บทำไมไม่ใช้ทักษะสีช่วยล่ะ พวกคุณสองคนก็สีเขียวไม่ใช่เหรอ
หรือไม่เป็นกิลด์พ่อค้าน่าจะมีรูนติดตัวมาบ้างสิ”
“ของแบบนั้นมีแต่สายต่อสู้มันพกกัน”
ผู้เล่นรุ่นลุงตอบทันควัน “ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะมันเป็นสถานะแบบพิเศษไงเล่า
เลยแก้ไม่หาย หัดตรวจสอบซะบ้างสิ”
‘อุตส่าห์ช่วยแล้วยังว่าเราอีก’
ไม่จำเป็นอรุณคงปล่อยอัลบาทรอสให้ล้มหัวทิ่ม ไม่แน่อาจเตะหิมะใส่เป็นของแถม
จ็อบบี้เลยรีบแก้ข้อสงสัยให้อรุณ
“ธนูสีแดงๆที่ซิกตี้ใช้ คือ ‘คันศรจ้าวอัสนี’ เป็นไอเทมเกรดสี่ที่หมอนั่นได้เป็นรางวัลจากศึกอ่าวลมฝน
นอกจากจะไม่ใช้ลูกธนู ยังยิงออกมาเป็นสายฟ้าด้วย สายฟ้านี่แหละ มันแผงเอฟเฟ็คไว้
คือดีบัพให้เหน็บชา”
อรุณเข้าใจแล้ว
เหน็บชาเป็นสถานะผิดปกติที่มักแฝงมากับการโจมตีประเภทพิษหรือสายฟ้า
มีผลทำให้ร่างกายส่วนที่โดนปวดเกร็งคล้ายเป็นอัมพาต เหมือนสถานะมึนงงแต่ยังมีสติ
คล้ายสถานะพันธนาการแต่ยังเคลื่อนที่ได้ ร้ายกาจก็ตรงที่เป็นแบบพิเศษนี่แหละ
ต้องรอให้หายตามระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น
เวลาหิมะสูงท่วมเข่าแบบนี้
ยิ่งรีบเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งช้า ผ่านไปนานกว่ากลุ่มของอรุณจะออกมาจากตรอกนั้นได้ เวลาล่วงเลยจนการต่อสู้ที่หน้าโรงเตี๋ยมได้จบลงไปแล้ว
ไม่รู้ผลเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ถ้าออกไปที่ถนนใหญ่ตอนนี้ถึงทางจะราบกว่า
แต่คงถูกพวกซิกตี้เจอในทันที่แน่ๆ
พวกเขาเลยเลือกวิธีเดินเลาะไปตามซอกอาคารโดยอาศัยแผนที่ของจ็อบบี้นำทางเท่านั้น
“นี่ยัยกระต่าย มีอาร์ติแฟคประเภทช่วยเคลียร์หิมะอยู่บ้างไหม” เขาถามหญิงสาวที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ห่าง ตอนนี้ใกล้จะถึงสถานีรถไฟแล้ว
และแรงเขาหมดแล้ว
“เห็นเราเป็นโดราเอม่อนเหรอ ไม่มีหรอก แต่ถ้าเป็นพี่ดอนอาจจะมีก็ได้”
“ดอน! ดอนงั้นเหรอ” อัลบาทรอสได้ยินชื่อของสิงฆ์นักบิดก็ทำตาโพลง
“มีอะไรเหรอลุง”
“ไม่มีอะไร…” หัวหน้าของโคโค่หุบปากทันที “มีเพื่อนในเกมชื่อดอนน่ะ ไม่สำคัญหรอก”
‘ไม่ใช่ดอนนักซิ่งคนนั้นแน่นอน’ ชื่อในเกมนั้นตั้งซ้ำได้
และอรุณก็จินตนาการหนุ่มใหญ่ที่ชอบร้องว่า บูย่าห์
เป็นเพื่อนกับลุงอารมณ์บูดคนนี้ไม่ออก
“ออกช่องข้างหน้าก็ถึงแล้ว อีกนิดนะอัลบาทรอส” จ๊อบบี้ชะเง้อดูบ้านข้างหน้าแล้วพูดให้กำลังใจ
ขาของเขากำลังชาเพราะความเย็น
เสียงหวูดรถไฟที่ห่างออกไปไม่ไกลช่วยให้ทั้งหมดมีแรงฮึดสู้จนหลุดออกมาจากตรอกได้ในที่สุด ด้วยความอ่อนล้าสะสม ชายทั้งสามที่ประคับประคองกันมาก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า
“ไหนครับคนที่เรียกมาช่วย ทำไมเห็นแต่เกราะแดงๆล่ะ” อรุณหันไปถามความเห็นคนที่อยู่ข้างๆแต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา
อัลบาทรอสหน้าถอดสีไปแล้ว ซิกตี้รู้ทันพวกเขา
มันพาอัศวินของอีออสมาดักรออยู่แต่แรก หมดทางหนีโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มได้ต่ทอดถอนใจให้กับความพยายามอันเปล่าประโยชน์ของตัวเอง
"เกิดอะไรขึ้นเนี่ยคิทตี้" เขาตะโกนถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างน้อยอาจมีความเป็นไปได้ที่พวกมันอาจะอยากเปลี่ยนมาเจรจา แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นคงจะน้อยกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง
“นายท่าน ข้ามาถึงพวกนี้ก็ตั้งแถวล้อมเข้ามาพอดีเลย เอาไงดี” คำบอกของคิทตี้ย้ำเตือนสถานการณ์ให้อรุณระวังตัวมากขึ้น “ว้า จนตรอกซะแล้วสิ” ชายหนุ่มหายใจเป็นไอยอมรับชะตากรรม แต่เขาจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
“ถ้าผมเป็นอะไรไป คิทตี้พาคนที่เหลือหนีไปได้เลยนะครับ ไม่ต้องห่วงนะ ผมก็อยากจะลองซัดกับวายุแดงที่เขาลือกันสักตั้งเหมือนกัน”
“ดีมากจ้าวพิภพ! มาสู้กันให้รู้ไปเลยดีกว่าว่าใครจะแน่กว่ากัน!!”
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ซิกตี้ก้าวลงจากหลังม้าปิศาจไนท์แมร์ยูนิคอร์นพร้อมกับคันศรคู่ใจ
เจตนาของการต่อสู้ชัดเจน ดวงตาสีแดงของมันจ้องมาที่เขาเหมือนสัตว์กระหายเลือด “ขอย้ำ ฉันจะส่งแกกลับจุดเซพภายในการโจมตีครั้งเดียว”
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละค่ะ!”
อันย่าชักปืนคู่เล็งไปทางอัศวินหนุ่ม “ใช้คนมากรุมทำร้ายคนระดับน้อยกว่าแบบนี้ไม่รู้สึกสมเพชตัวเองบ้างเหรอ”
“พามาเป็นสักขีพยานโว้ย!”
ซิกตี้เปิดฉากรุกก่อนด้วยความเร็วเหลือเชื่อ
พริบตานั้นศรสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงเข้าใส่ปืนคู่ของอันย่า สาวกระต่ายทำได้แค่อ้าปากค้างเมื่อตัวเองถูกปลดอาวุธอย่างง่ายดาย กระบอกปืนลำกล้องยาวแตกเป็นเสี่ยงๆคามือเธอด้วยซ้ำ
“เร็ว…!” อรุณเห็นฝีมืออันร้ายกาจของซิกตี้ก็ต้องลอบกลั้นหายใจไปชั่วครู่หนึ่ง
มองท่วงท่าไม่ทันด้วยซ้ำ การยิงธนูสองครั้งติดในหนึ่งวินาทีที่แม่นยำแบบนี้
ตั้งแต่อรุณเล่มเกม นับหัวคนทำแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่ถึงสิบ
“คนไม่เกี่ยวอยู่นิ่งๆไปเลย การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นศึกตัวต่อตัวระหว่างผมกับเอรอนเท่านั้น
อย่าห่วงไป ถ้าไม่มาขวางก็ไม่เจ็บตัวหรอกน่า”
“น้อง อย่าไปรับคำท้ามัน” จ็อบบี้รีบเตือนด้วยความหวังดี
“เลเวลตอนนี้ยังสู้กับซิกตี้ไม่ได้หรอก จากการจัดอันดับทอปร้อยครั้งล่าสุด
เจ้านี่มันได้ที่สิบสามเลยนะ”
ผู้เล่นลำดับสิบสามของเซิร์ฟเวอร์ไทยหัวเราะ
ก่อนจะชูมือขึ้นมาสามนิ้ว “ไม่ตอบแสดงว่ารับคำท้านะ
สาม สอง หนึ่ง….”
“ก่อนจะสู้กันผมกับคุณสองเรื่องก่อน”
“ว่ามาไอ้เก่งแต่ปาก”
อรุณขอร้องให้อันย่ากับคิทตี้พาไอริสและซันหลบออกไปแม้พวกเธอจะไม่ยอมก็ตาม
ชายหนุ่มก้าวออกไปอย่าสง่าผ่าเผยโดยมีสายลมเยือกแข็งพัดสวนต้านเข้ามาอย่างไร้ปราณี
เส้นผมและเครื่องแบบสตาร์เกทของเขาถูกพัดปลิวอย่างไม่มั่นคง
แต่แววตาของอรุณปราศจากความลังเล ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราเขาอย่างแน่นอน และถึงเวลาต้องถามเหตุผลแล้ว
“เรื่องแรก นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคนเท่านั้น
ห้ามทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แค่นี้รับปากได้ไหม”
“ขอช้าไปแล้วพวก” ซิกตี้แสยะยิ้ม “ฉันรับปาก ข้อสองซิ”
“ทำไมล่ะครับ”
“หา?”
“คุณคงไม่ได้มาที่นี่เพราะว่าอยากหาเรื่องผมอย่างเดียวใช่ไหมล่ะ
มันต้องมีเหตุผลมากกว่านั้น ช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับ คุณต้องการอะไร”
“เหตุผลเหรอ แกถามเหตุผลงั้นเหรอ!” ซิกตี้เลือดขึ้นหน้าอย่างกะทันหัน
“แย่งวาวของฉันไป แกยังจะมีหน้าถามเหตุผลอีกเหรอวะ!!”
‘วาว!?’ อรุณช็อกเมื่อซิกตี้พูดถึงคนที่ตัวเองยอมกลับมาเล่นเกมเพื่อตามหา
เธอคือเหตุผลเดียวเท่านั้น ทำไมมันบอกว่าวาวของมัน..ทำไม…ทำไมกัน เขาคิดทบทวนในหัวไปมาอย่างไม่เข้าใจแม้จะถูกสายฟ้าอันโกรธเกรี้ยวทะลวงหน้าอกสามครั้งติดด้วยกัน
9,410! 9,415! 9,409!
เสียงสายฟ้าฟาดเปรี้ยงยังดังก้องอยู่ในหูอรุณขณะที่ร่างกายเขาหงายหลังล้มลงนอนบนพื้นหิมะ พลังชีวิตเขามีแค่สามหมื่นกว่าๆ ยังพอเหลืออีกร้อยสองร้อยให้สู้ต่อไปได้ แต่เขาไม่อาจขยับตัวได้อีกแล้ว นี่คงเป็นผลของสถานะเหน็บชาที่จ็อบบี้บอก
“ลุกขึ้นมาจ้าวพิภพ!” ได้ยินเสียงซิกตี้คำรามอย่างความโกรธจัด
อรุณชะเง้อหน้าสุดความสามารถก็เห็นอัศวินหนุ่มเดินตรงเข้ามาเพื่อเผด็จศึกครั้งนี้
มือข้างหนึ่งของมันเรืองแสงสีแดงและกำลังชูขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีเสียงฟ้าแลบร้องปั่นป่วน
“รับ ความโกรธ ของฉันไปซะ”
“พอได้แล้วค่ะ พอที ซิกตี้เขาแพ้แล้วไม่เห็นเหรอ!” อรุณได้ยินเสียงอันย่าลอยมาไกลๆ
เหมือนเธอจะร้องให้ ไม่มีทางหรอกน่า ทำไมยัยกระต่ายนั่นต้องร้องให้กับคนอย่างเขาด้วย
“นายท่าน แฟรชออกมาสิ! อินเฟ็คก็ได้! ศัตรูจะใช้ท่าไม้ตายแล้ว” คิทตี้ก็เป็นกับเขาด้วย
โทษทีนะ แค่ยกหัวขึ้นก็แทบไม่มีแรงแล้วล่ะ
คนไม่ได้เรื่องที่ถูกดึงความสนใจเพราะชื่อคนแค่คนเดียวแบบผม โดนแบบนี้ก็สมควรแล้ว
“พี่อรุณ! ลุกขึ้นสิพี่อรุณ!” ไอริสอีกคน
เป็นเด็กขี้งอแงจังเลยนะ
“จบกัน” ขนาดอัลบาทรอส
ยังสบถออกมาอย่างผิดหวัง
“โยเนียร์ !” (Mjolnir)
ในที่สุดเมื่อซิกตี้สะบัดมือลง ท้องฟ้าอันปั่นป่วนก็ถูกแหวกออกด้วยค้อนสีแดงอันยักษ์ซึ่งประกอบขึ้นมาจากสายฟ้าล้วนๆ พุ่งลงมาด้วยความเร็วเกินกว่าสายตาของมนุษย์จะมองทัน เพื่อบดขยี้ชายหนุ่มที่รอความตายอยู่เบื้องล่าง นี่คือหนึ่งในท่าไม้ตายที่รุนแรงที่สุดของผู้เล่นสีแดงซึ่งเป็นการโจมตีแบบไม่พลาดเป้า นั่นหมายความว่าต่อให้เกิดปาฏิหารย์ขึ้นมาจริงๆ อย่างอรุณลุกพรวดขึ้นมาแล้ววิ่งด้วยความเร็วเสียงหนีไปได้ ค้อนนี้ก็ยังดิ่งลงมาทุบหัวเขาอยู่ดี
ดังนั้นนี่ย่อมหมายความได้อย่างเดียว ความพ่ายแพ้
‘เกมโอเวอร์’ อรุณเยาะเย้ยตัวเอง
ขณะที่เขากำลังหลับตารอรับชะตากรรมนั้น ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ามีบุรุษผมเขียวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างๆราวกับทะลุมิติออกมา
ความคิดเห็น