คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : os พลับพลึงอินทร์จันทร์ / #ProjectEXOBoyfriend
พลับพลึงอินจันทร์
Warning : BAD END :)
“ผา พลับทำนมอุ่นมาให้”
เสียงเล็กที่ดังเล็ดรอดออกมาจากนอกห้องครัวจำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากจอแล็ปที่ยังคงค้างงานลูกค้าคนสำคัญเอาไว้ .. เรือนร่างขาวผ่องอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำตัวบางพร้อมทั้งถือแก้วนมอุ่นเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มแสนกว้างเป็นเอกลักษณ์
คนๆนั้นแหละพลับพลึง ภรรยาของผมเอง
เราสองคนแต่งงานกันมาร่วมปีกว่าแล้ว ใช้ชีวิตธรรมดา เรียบง่าย ไม่ได้หวือหวาอะไร ตามประสาคนถูกคลุมถุงชน .. ทั้งๆที่การเกิดเป็นลูกชายคนเดียวของผมนั้นมันควรจะดีอย่างที่เข้าใจไว้ แต่กลับไม่.. ผมไม่เคยถูกตามใจไม่ว่าจะกลับใครก็ตามแต่ ถูกบังคับให้เรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ ถูกวางกรอบในชีวิตร้อยแปดพันอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งความรัก และถึงแม้ว่าในบางครั้งความสมหวังมันลอยมาอยู่ต่อหน้าแล้วแท้ๆ แต่ก็ต้องมีบางสิ่งบางอย่างขัดขวางจนชวดสลายไปเสียหมด ..
คนตัวเล็กเดินมานั่งบนตักแกร่งพร้อมกับวางแก้วนมอุ่นๆไว้บนโต๊ะ เป็นประจำอยู่แล้วที่พลับพลึงจะชอบเอาอกเอาใจสามีโดยที่ภูผาเองก็ไม่ได้เต็มใจรับมันสักเท่าไหร่นัก .. เขาไม่ได้รักพลับพลึง
“ทำงานอีกแล้ว ไม่สนใจพลับเลย” มือเรียวหอมกลิ่นโลชั่นราคาแพงค่อยๆลูบคลำแผงอกผ่านเสื้อนอนของผมอย่างแช่มช้า ร่างกายช่วงล่างบรรจงเบียดเสียดลงมาพร้อมทั้งริมฝีปากสีหวานที่กำลังกดลงยังข้างแก้มจนเกิดเสียงแผ่วเบา ..
ผมปล่อยให้คนตัวเล็กทำสิ่งที่อยากทำตามอำเภอใจในขณะที่ดวงตาโฟกัสอยู่กับงานตลอด คงไม่แปลกถ้าเกิดว่าพลับพลึงจะเริ่มหงุดหงิดและเผยนิสัยจริงๆของตัวเองออกมาให้ได้เห็น
“ภูผา” เสียงหวานที่เริ่มแข็งตึงขึ้นเพราะสามีที่แสนจะเย็นชา พลับพลึงเอื้อมมือไปตบจอแล็ปท็อปลงก่อนจะหันมาทำตาขวางใส่ร่างสูงที่เอาแต่นั่งเงียบ ..
“งานมันสำคัญกว่าพลับหรือไง”
“เปล่าครับ”
“เปล่าหรอ?” ชายหนุ่มหยัดตัวเองขึ้นก่อนจะหยิบเอาแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งหมดโยนทิ้งลงกับพื้น เรียวเท้าข้างซ้ายเหยียบลงกับงานของร่างสูงพร้อมทั้งกอดอกแสดงสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวออกมาจนคนเห็นเริ่มทนไม่ไหว
“งั้นก็เลิกทำมันซะสิ”
“พลับพลึง นั่นมันงานผม”
“แล้วยังไง!?” ร่างบางก้มลงไปฉีกเอกสารที่หลุดออกมาจากแฟ้มงานจนขาดว่อนเป็นชิ้นซาก เสียงฟึดฟัดขัดใจดังออกมาให้ได้ยินจนภูผาต้องกระชากแขนคนตัวเล็กให้เลิกทำกิริยาน่ากลัวเหมือนพวกโรคจิตนั่นเสียที
“พอได้แล้วพลับพลึง!!”
“ไม่!! มันแย่งผาไปจากพลับ!!”
“ไม่มีใครแย่งผมไปทั้งนั้นแหละ คุณมันโรคประสาท!!”
เสียงกรีดร้องโทนแหลมดังคับห้องพร้อมด้วยกายเล็กที่เริ่มทำลายข้าวของเสียหาย มือเรียวปัดป่ายแจกันดอกไม้หล่นกระจัดกระจาย เรี่ยวแรงมหาศาลที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหนกำลังฝืนกำลังของภูผาจนเขานั้นต้องอุ้มภรรยาของตัวเองเข้าห้องเพื่อจับมัดขึงเตียงไว้อย่างเช่นทุกครั้งที่เกิดอาการ
“ปล่อย!!! ปล่อยพลับ!!!” กุญแจมือที่ต้องซื้อมาติดบ้านเอาไว้ทั้งๆที่ไม่ควรจะมีถูกหยิบออกมาจากเก๊ะข้างเตียง ภูผาล็อคร่างบางเอาไว้กับเสาทั้งสองข้างภายในเวลาไม่กี่นาทีพร้อมทั้งเปิดหาซองยาในตู้อีกฝั่งเพื่อเช็คว่ามันพร่องลงไปบ้างหรือเปล่า ทำไมพลับพลึงถึงได้เกิดอาการอย่างนี้ .. ซองยาสีใสถูกหยิบออกมาในเวลาไม่นาน และเม็ดเล็กๆสีขาวที่หลงเหลือราวหลายสิบเม็ดนั่นก็เป็นคำตอบได้ดีว่าทำไมไอ้โรคประสาทนี่ถึงได้กำเริบ
“พลับไม่ไดัทานยาเลยหรอ?”
“ทำไมต้องทาน!! พลับไม่ได้ป่วย!!!”
“...”
“ห..หรือว่าเป็นเพราะมัน อีอินจันทร์!! อีอินจันทร์มันมาเป่าหูผาว่าพลับเป็นโรคจิตใช่มั้ย!!!? พลับจะฆ่ามัน!!! พลับจะฆ่ามัน!!!!” ภูผาเหลือบมองคนตรงหน้าก็ได้แต่หดหู่ในคำพูดแสนอันตรายแบบนั้น ท่าทางกระฟัดกระเฟียดดุร้ายไม่ต่างจากสัตว์ป่า เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยทำใจยอมรับได้ .. ทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลก ให้เขาคลุมถุงชนกับแฝดพี่ทั้งๆที่ความจริงแล้ว..หัวใจของภูผามีแต่แฝดน้องอย่างอินจันทร์มาโดยตลอด ..
หรือเป็นเพราะเขาต้องชดใช้กรรมอะไรบางอย่าง ชีวิตของเขามันถึงได้เป็นแบบนี้ ..
*
“อ้าว พี่ผา แล้วพี่พลับล่ะครับ?”
หนุ่มน้อยผิวขาวแก้มชมพูเอ่ยท้วงทันทีที่เปิดรั้วบ้านแล้วพบว่าเป็นพี่เขยตัวโตยืนรออยู่ ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววตึงเครียดก่อนจะเอ่ยตอบอินจันทร์ไปอย่างเรียบๆตามนิสัยคนพูดน้อยพอตัว
“อยู่ที่โรงพยาบาล”
“พี่พลับเป็นอะไรครับ!”
“อาการเดิมนั่นแหละ ไม่ยอมทานยา” ถึงจะคลายความกังวลลงไปบ้างแต่เรียวคิ้วสีน้ำตาลอ่อนนั่นก็ยังไม่ยอมเลิกขมวดเข้าหากันจนคนเป็นพี่ต้องเอ่ยท้วง .. ทำไมถึงได้ต่างกันขนาดนี้ ทั้งๆที่ก็เป็นแฝดเหมือนกัน หน้าตาเหมือนกัน หากทว่านิสัยใจคอ.. เทียบไม่ติดราวฟ้ากับเหว
ภูผาเหลือบมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ไม่ได้ต่างกันเลยกับภรรยาของเขา เรียกง่ายว่าๆแยกแทบไม่ออกจนกว่าจะพ่นวาจาออกมาถึงได้รู้ว่าคนไหนพลับพลึง คนไหนอินจันทร์ และแน่นอน..ร่างสูงรู้สึกดีกับคนตัวเล็กนี่มาแต่ไหนแต่ไร จนบทสรุปสุดท้ายกลับได้คนที่ไม่ได้รักมาเป็นคู่ครองเสียอย่างนั้น .. มือแกร่งยกถุงผลไม้ของโปรดอินจันทร์ขึ้นก่อนจะเหลือบเห็นดวงตาเรียวรีเป็นประกายเล็กๆ
ถึงจะรู้ว่าไม่เหมาะสมที่ทำแบบนี้ .. แต่ก็ยังฝืนทำ
“พี่ซื้อมาฝาก”
“โหห ขอบคุณมากๆเลยครับ!”
เราทั้งคู่ต่างอ่านสายตาของกันและกันออก .. ผมเจออินทร์จันทร์ก่อนเจอพลับพลึง ผมจูบอินจันทร์ก่อนจูบพลับพลึง และผมคาดหวังว่าจะได้แต่งงานกับอินจันทร์.. ไม่ใช่พลับพลึง
“ไม่คิดจะชวนพี่เข้าบ้านหน่อยหรอ?” ร่างเล็กแอบนิ่งไปสักพักเพราะไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไรแบบนี้ อินจันทร์เองก็ทำใจและตัดใจจากพี่ภูผาไปได้สักพักแล้วหลังจากที่ร่างสูงแต่งงานแยกเรือนออกไปอยู่กับพี่พลับ และมันก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าเกิดว่าจะชวนคนตรงหน้าเข้าบ้านในยามวิกาลแถมยังไม่มีใครอยู่ด้วยเลยสักคน
“คือ..” ผมเหลือบมองพี่ผาที่เดินดุ่มๆเข้ามาพร้อมทั้งปิดประตูรั้วหน้าบ้านให้ด้วยเสร็จสรรพ รอยยิ้มหวานๆถูกส่งให้อย่างเช่นวันแรกที่เราได้เจอกัน และเพราะคนตรงหน้าทำแบบนั้น ผมถึงได้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทุกที .. ดวงตาคู่คมจดจ้องรูปหน้าหวานพริ้มตลอดเวลาเล่นเอามือไม้อยู่ไม่สุข ผมก้มมององุ่นเขียวในถุงก่อนจะเด็ดมันใส่คาไว้ในปากแก้เขิน แต่ดูเหมือนว่าการกระทำแบบนั้นจะเป็นการกระทำที่ผิด..แถมยังผิดอย่างร้ายแรงเลยด้วย
ร่างสูงยิ้มขำกับท่าทางแสนน่าเอ็นดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆพร้อมทั้งเชยคางเรียวให้สบตาขึ้นมองตรงๆจนอินจันทร์แทบไม่ทันสังเกต
ว่าองุ่นในปากของเขามันน่าทานขนาดไหน..
“แบ่งพี่กินด้วยสิ”
เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยขอเบาๆก่อนจะโน้มใบหน้าลงมางับองุ่นในปากของเขาไปอย่างเชื่องช้า อินจันทร์รู้สึกได้ถึงริมฝีปากของเราทั้งคู่ที่แตะกันนิดหน่อย มือแกร่งที่ประคองเอวเขาไว้ แถมเจ้าตัวยังยิ้มทะเล้นเคี้ยวผลไม้ในปากทานต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกด้วย
ถึงมันจะรู้สึกดีมากๆก็ตาม .. แต่คนตรงหน้าคือคนของพี่พลับพลึง ไม่ใช่อินจันทร์
แววตาสีอ่อนฉายความเศร้าออกมาเบาๆหากทว่าเพียงครู่เดียวก็เลือนหายไป น่าตลกเนาะ..เขามาก่อนแท้ๆแต่ก็ยังแพ้ .. อินจันทร์ไม่เคยชนะใครอยู่แล้ว ไม่เคยเลย
ร่างโปร่งขมวดเรียวคิ้วพร้อมทั้งหยิกแก้มใสเบาๆเป็นการหยอกล้อ ถ้าใครผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าก็คงมองไม่ออกหรอกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่ใช่ภรรยาของเขาจริงๆหรือเปล่า .. ถามว่าทำแบบนี้ภูผาเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่นัก เขารู้สึกผิดอยู่ลึกๆที่แอบนอกใจเมียตัวเอง หากทว่าอินจันทร์นั้น.. ช่างอยู่ใกล้หัวใจเขาเหลือเกิน
“เป็นไรเรา ดูทำหน้า”
“พี่ผา .. กลับไปดูแลพี่พลับพลึงเถอะครับ อินจะเข้านอนแล้ว” พูดเพียงแค่นั้นก็เป็นอันเข้าใจกัน .. ถึงช่วงเวลาแห่งความสุขมันมักจะสั้น แต่อย่างน้อย..มันก็ช่วยทำให้ความรู้สึกแย่ๆของผมที่เจอมาเกือบทั้งวันหายไปแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ .. ภูผายิ้มรับก่อนจะลูบหัวเด็กหนุ่มแทนคำเอ่ยลา ประตูรั้วถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบาและไม่นานเสียงเครื่องยนต์จากตัวรถก็ขับเคลื่อนไกลออกไป ..
*
1 เดือนถัดมา
“ขอบคุณครับ ถ้าเจอยังไงช่วยโทรติดต่อกลับเบอร์นี้ด้วยนะครับ”
ภูผากดวางสายโทรศัพท์เป็นรอบที่ร้อยของวัน นับตั้งแต่พลับพลึงหายตัวออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว เขาพยายามตามหาภรรยาของเขาทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะแจ้งความ ออกตามหาเอง หรือแม้กระทั่งปริ้นส์ใบโปสเตอร์แปะประกาศ .. พลับพลึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจนจากตอนแรกที่คิดว่าไม่นานก็คงกลับมากลายเป็นว่างานนี้มันยิ่งเสียกว่างมเข็มในมหาสมุทร .. กายสูงเอนตัวนอนลงไปกับพนักเก้าอี้พร้อมทั้งถอนหายใจเสียงดัง กลัวก็แต่ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ถึงจะยังไงเขาก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้.. ตามหน้าที่หรือในสถานะของสามีที่ควรจะเป็น
“ว่ายังไงบ้างครับ?” คนตัวเล็กที่เดินออกมาจากห้องทำงานของร่างสูงเอ่ยถาม .. อินจันทร์หอบโปสเตอร์รูปพี่ชายฝาแฝดกองใหญ่พร้อมทั้งวางมันไว้บนโต๊ะกลางบ้านด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาเหลือบเห็นอีกฝ่ายถอนใจก่อนจะโคลงศรีษะไปมาเป็นคำตอบว่าไม่มีอะไรคืบหน้าอย่างเช่นทุกๆครั้ง
“แล้วนี่เราจะไปไหนต่อหรือเปล่า?” ชายหนุ่มเอ่ยถามก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนออกด้วยอากาศที่เริ่มร้อนขึ้น ..รู้สึกแย่ชะมัดที่แอบคิดว่าการกระทำแบบนั้นมันเหมือนกับว่าพี่ผากำลังเชื้อเชิญอะไรบางอย่างจากตัวเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ และแน่นอน..มันได้ผล
ผมส่ายหัวไปมาพร้อมทั้งคว้าเอาโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะเก็บใส่ในกระเป๋า อยู่ด้วยกันนานๆแบบนี้ยิ่งรู้สึกบาปเข้าไปใหญ่ .. โดยเฉพาะเวลาที่สายตาคมคายนั่นจ้องมาทำเอาอินจันทร์สูญเสียความเป็นตัวเองไปซะเสียหมด
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว อินขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ”
“...”
“อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อน..นะครับ” ภูผาเอ่ยขอพร้อมทั้งยิ้มบางๆหวังว่าคนน้องจะใจอ่อนยอมทานข้าวด้วย และสุดท้าย ..ขัดอะไรไม่ได้ก็ต้องตามน้ำไปทุกที
ช่วงเวลาสองทุ่มปลายๆเกือบสามทุ่ม เราสองคนนั่งทานอาหารง่ายๆกันตรงโซฟาหน้าโทรทัศน์โดยมีเสียงพิธีกรดำเนินรายการดังแว่วๆให้ได้ยินอยู่บ้าง .. อินจันทร์เหลือบมองร่างสูงข้างกายยกกระป๋องเบียร์ยี่ห้อหนึ่งเข้าปากพร้อมทั้งนั่งนิ่งไม่ยอมพูดยอมจามาได้สักพัก เขาเองก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพี่ผามาก หากทว่าอาการแบบนี้มันผิดวิสัยของเจ้าตัวไปเสียจน..น่าเป็นห่วง
“พี่ไม่ชอบดื่มเบียร์หนิ” คนฟังอดยิ้มขำขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่เล่นเอาตัวเล็กแอบงงจนต้องเอ่ยท้วง
“ยิ้มอะไรครับ”
“พี่ดีใจ”
“...”
“ดีใจที่ยังมีคนจำได้ว่าพี่ไม่ชอบ” ถึงจะอธิบายออกมาแบบนั้นก็เถอะ แต่อินจันทร์เองก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพี่ผาจะดื่มเบียร์ไปทำไมถ้าเกิดว่าตัวเขานั้นไม่ได้ชอบ มือแกร่งกระดกของเหลวในมือเป็นอึกสุดท้ายก่อนจะหันกลับมามองหน้าหนุ่มน้อยขี้สงสัยที่ยังขมวดปมคิ้วไม่เลิก
“เห็นเค้าบอกว่าเวลาทำแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นจะดูเท่ห์ขึ้น”
“ตรงไหนครับ?”
“เนี่ย อย่าทำให้พี่เสียความมั่นใจสิ” ร่างสูงหลุดขำออกมาเล็กน้อยพร้อมทั้งยกมือขึ้นขยี้ผมสีอ่อนของอินจันทร์ด้วยความมันเขี้ยว ไม่อยากปฏิเสธหรอกนะว่าการที่พี่ผาทำแบบนั้นมันดูดีมากจริงๆ แต่ก็เพราะรู้ว่าเจ้าตัวไม่ชอบดื่มเบียร์นั่นแหละถึงได้กลายเป็นข้อกังขาเข้าไม่ถึงความเท่ห์ที่อีกฝ่ายอีกฝ่ายพยายามส่งออกมาให้เขาเห็น .. บรรยากาศกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหลังจากที่เสียงหัวเราะดับลง เราทั้งคู่กลับมาตั้งใจทานอาหารให้เสร็จโดยที่มีรายการโทรทัศน์เจื้อยแจ้วเป็นเพื่อนแก้เหงา ผมมีความสุขอยู่ในใจเล็กๆหากทว่าจู่ๆก็ดันคิดถึงพี่พลับพลึงขึ้นมาจนต้องเก็บอารมณ์แบบนี้เอาไว้ให้ได้ลึกที่สุด ..
อินจันทร์เหลือบมองรายการโทรทัศน์ที่เปลี่ยนมาเป็นซีรี่ย์สยองขวัญเรื่องหนึ่ง .. เอาตามตรงเขาเองเป็นคนที่ไม่ชอบดูอะไรแบบนี้มากถึงมากที่สุดด้วยความกลัวและจินตนาการที่แสนล้ำเลิศ.. จากตอนแรกว่าจะลุกเอาของทั้งหมดไปเก็บล้างในครัวแต่ก็ต้องนั่งจุ้มปุ๊กอยู่นิ่งๆเพราะไม่กล้าเดินไปคนเดียว
“อะ!”
“กลัวหรอ พี่นึกว่าจะหายกลัวแล้ว” มือแกร่งที่วางทาบลงกับหลังมือของเขาเล่นเอาอินจันทร์แอบสะดุ้ง พี่ผาเองก็รู้ดีว่าเขากลัวหนังแนวนี้..แต่ก็ยังเปิด เปิดทำไมนักหนาก็ไม่รู้! ขี้แกล้ง! ..คนเป็นพี่โน้มกายลงไปหยิบรีโมทพร้อมทั้งปิดมันลงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดคิดว่าเขาเปิดหนังทำลายบรรยากาศ แต่ดูเหมือนว่า..น่าจะพลาดไปแล้ว
อินจันทร์ผลุดลุกจากโซฟาทันควันหากทว่าพี่ผากลับไม่ปล่อยเรียวมือออกจากเขา หนำซ้ำยังใช้ปลายนิ้วไล้สันกระดูกเบาๆคล้ายกับร้องขอให้อีกฝ่ายเย็นลง
“พี่ไม่ได้จะแกล้งเราซะหน่อย”
“...”
“นั่งก่อนเร็ว”
“อินจะกลับบ้านแล้วครับ” คนเป็นพี่ถอนใจยอมแพ้พร้อมทั้งหยัดยืนขึ้นเต็มความสูงจนเลยหัวเล็กๆนั่นไปหลายสิบเซน ภูผาควานหาอะไรบางอย่างจากในกระเป๋าเสื้อก่อนจะบอกให้หนุ่มน้อยหันหลัง .. ด้วยความงุนงงไหนจะท่าทางแปลกๆของพี่ภูผาทำให้เขาต้องยอมหันหลังให้และเผลอขมวดเรียวคิ้วขี้สงสัยออกมาอีกครั้ง ..ยิ่งเป็นคนขี้แกล้งอยู่ด้วย ไม่ใช่จะทำอะไรพิเรนทร์ๆหรอกนะ
ความรู้สึกเย็นวาบราวกับถูกสวมสร้อยจำให้อินจันทร์ก้มมองโดยอัตโนมัติ เครื่องประดับเงินขาวมีจี้รูปดอกไม้ดูน่ารักเข้ากันกับเจ้าของใบหน้าหวานพริ้มอย่างไม่ต้องสงสัย.. พี่ผาลอบยิ้มพร้อมทั้งลูบหัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูจนเจ้าตัวเล็กแอบเขินทำอะไรไม่ถูก
“พี่ให้..” เสียงทุ้มเอ่ยริมชิดใบหูน้อยๆที่เริ่มแดง ไหนจะกอดอบอุ่นซ้อนจากด้านหลัง .. ถ้าตอนนี้เราอยู่ในสถานะคนรักกันมันคงจะมีความสุขมากกว่านี้ร้อยเท่า
“อินจันทร์”
“...”
“ถ้าเกิดว่าพี่เจอตัวพลับพลึงเมื่อไหร่ พี่จะขอหย่า”
“พี่ผา” คนน้องรีบหันกลับมามองร่างสูงด้วยแววตาคัดค้าน ถึงในใจอยากจะเลื่อนขั้นสถานะมากขึ้นเท่าไหร่แต่ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายจะทิ้งพี่พลับมารักกับตนเองนั้น มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่สมควร .. ทั้งจะพ่อแม่ ไหนจะสายตาคนมองนั่นอีก ยังไงซะอินจันทร์ก็คงไม่ยอม
“แต่พี่พลับ..รักพี่ผามากๆเลยนะ”
“แล้วอินไม่รักพี่หรอ”
รักสิ..รักมากๆเลยเหมือนกัน
“พี่ยอมเป็นคนเห็นแก่ตัวอินจันทร์”
“...”
“พี่ยอม” ปลายจมูกโด่งสันวางกดลงยังหลังซอกคอขาวเนียนของคนน้องในทันทีที่เอ่ยจบ มือแกร่งค่อยๆดันกายเล็กให้ล้มลงไปกับโซฟาพร้อมทั้งขึ้นคร่อมกักกันเอาไว้ไม่ให้อินจันทร์ดิ้นหลุดไปไหน .. ดวงหน้าจิ้มลิ้มฉายแววตื่นตระหนกพร้อมทั้งพยายามดันกายสูงให้ลุกออกห่างจากตนเองหากทว่าคงยาก .. ถ้าพี่พลับพลึงรู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันเป็นแบบนี้ จะตัองรู้สึกแย่มากแน่ๆ
“พี่ผา! แต่พี่แต่งงานแล้วนะ”
“...”
“พี่คิดถึงหน้าพี่พลับบ้างสิ เค้าเป็นเมี-อื้อออ”
เสียงเล็กๆกลืนหายเข้าไปในลำคอทันที่ภูผาประกบจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากแสนหวานยังคงไม่ต่างไปจากครั้งแรกที่เขาเคยสัมผัส หากทว่าครั้งนี้..ความขัดขืนมันเปลี่ยนจากจูบแสนรักให้กลายเป็นความเร่าร้อนภายในพริบตา
“พี่ผา!!”
“อินไม่รู้หรอกว่าพี่ทรมานขนาดไหนที่ต้องทนอยู่กับคนแบบนั้น!”
“...”
“พลับพลึงน่ะ..เค้าไม่ได้รักอิน อย่างที่อินรักเค้าหรอกนะ” พูดไปพลางหอบหายใจไปด้วยจากแรงอารมณ์ที่เริ่มปะทุยามเมื่อคิดถึงความร้ายกาจของคนๆนั้น ภูผากัดริมฝีปากตัวเองพร้อมทั้งค่อยๆสอดมือเข้าไปยังใต้สาบเสื้อของอินจันทร์ เขาจงใจปลุกอารมณ์ด้านมืดของเจ้าตัวออกมาทีละน้อย ไม่ว่าจะคอยเบียดเสียดช่วงล่างของเราให้สัมผัสถึงกันและกัน พยายามปลดเปลื้องเสื้อผ้าและสิ่งที่ไม่จำเป็นออกรวมทั้ง .. คิสมาร์คหนักๆจนหนุ่มน้อยเริ่มทนไม่ไหวหลุดครางออกมาอย่างลืมตัว
“กลั้นไว้ทำไมล่ะครับ พี่อยากฟัง..”
*
หลายปีถัดมา..
20 : 15
ไม่ได้ข่าวของพลับพลึงเลย ..
เขาหายออกไปจากชีวิตของผมราวกับว่าทุกๆอย่างรวมถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นมันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย งานแต่งงานในฝัน ชีวิตคู่ในฝัน ตอนนี้เหมือนผมได้ตื่นขึ้นจากมโนภาพเหล่านั้นแล้วมาใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง .. มีบ้างในบางครั้งที่แอบคิดว่าภรรยาของเขานั้นป่านนี้จะเป็นอย่างไร จะยังมีชีวิตอยู่มั้ย..หรือว่าจะตายไปแล้ว ..
ร่างสูงโปร่งเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังบ่งบอกเวลาสองทุ่มนิดๆ วันนี้เป็นวันที่อินจันทร์จะกลับมาที่บ้านหลังจากที่เจ้าตัวออกไปดูงานกับลูกค้ายังบริษัทต่างประเทศอยู่ประมาณเกือบๆสามอาทิตย์ .. แถมตอนนี้ร่างบางยังย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านภูผาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่ใช่เพราะว่าเลื่อนสถานะแต่อย่างใด .. หากเป็นเพราะพ่อของอินจันทร์เสียชีวิตด้วยโรคร้ายแรงเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมาทำให้เด็กหนุ่มต้องอยู่คนเดียวแถมพี่ชายฝาแฝดก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาเองในฐานะคนที่ใกล้ชิดที่สุดเลยต้องไปตามร่างบางถึงในบ้านเพราะไม่อยากจะต้องมานั่งเสียใจถ้าเกิดทิ้งอินจันทร์เอาไว้แล้วเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้น
มือแกร่งกดเบอร์ยุกยิกในมือถือ .. เวลาป่านนี้เจ้าตัวเล็กก็คงน่าจะถึงสนามบินแล้ว
“ถึงไหนแล้วครับ”
[อยู่สนามบินแล้วว ซื้อของมาฝากพี่ผาด้วย] ชายหนุ่มหัวเราะกับโทนเสียงดื้อๆของคนปลายสาย ทำไมผู้ชายตัวเล็กๆนั่นถึงได้น่ามันเขี้ยวขนาดนี้กันนะ
“จริงหรอ ให้พี่ไปรับมั้ย?”
[อินมีรถ พี่ผาไม่ต้องเป็นห่วง]
“โอเค ขับรถระวังด้วยนะ”
[ได้เลย!]
บทสนทนาสั้นๆที่ทำเอาคนตัวใหญ่ยิ้มแก้มแทบแตก .. นี่แหละชีวิตจริง ไม่ใช่ฝันร้ายอย่างที่เคยเจอ
23 : 56
เสียงหยาดฝนที่สาดกระทบลงมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำทำเอาภูผาเดินวนไปวนมารอบห้องเป็นหนูติดจั่น เขาพยายามโทรหาอินจันทร์อยู่ตลอดเวลาหากทว่าปลายสายกลับไม่ตอบรับแถมจู่ๆก็โทรไปไม่ติดเสียดื้อๆ ..ความกังวลเริ่มทำหน้าที่ของมันได้ดีเคล้ากับบรรยากาศน่าเป็นห่วง ภูผาไม่เป็นอันจะนอนแล้วถ้าเกิดว่าภายในเที่ยงคืนคนตัวเล็กนั่นยังไม่ยอมติดต่อเขากลับมา
!
ออดหน้าบ้านดังขึ้น .. กายสูงรีบเดินลงจากบันไดชั้นสองเพื่อวิ่งไปเปิดประตูให้กับร่างบางที่เฝ้าคิดถึงมานานแสนนานนับหลายชั่วโมง .. เป็นห่วงก็เป็นห่วงแถมฝนก็ตก อยู่ข้างนอกโดนละอองชื้นๆพวกนั้นเป็นไข้ขึ้นมาจะทำยังไงล่ะเนี่ย .. เสียงย่ำเท้าเป็นจังหวะที่เร็วขึ้น ภูผาพุ่งกายเข้าไปเปิดประตูรับเด็กหนุ่มก่อนจะเห็นว่าคนตรงหน้านั้นหัวเปียกไม่ต่างอะไรจากลูกหมาตกน้ำเลยสักนิด
“หนาว”
“ตัวยุ่ง โทรไปก็ไม่รับ” มือแกร่งรีบดึงร่างบางให้เข้ามาในบ้านก่อนจะเอาผ้าเช็ดตัวคลุมหัวให้ด้วยความเป็นห่วง เขาลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาด้านในหวังช่วยเก็บหากแต่พอสังเกตดีๆกลับพบว่ามันเกินมาใบนึง
“อิน”
“หือ?”
“กระเป๋าอะไร?” คนตัวโตเหลือบมองกระเป๋าเดินทางล้อลากสีดำสนิทดูเก่าเกินกว่าที่จะใช้งานด้วยความรู้สึกเคลือบแคลงใจ หากทว่าเพราะรอยยิ้มสดใสของเจ้าตัวทำเอาภูผาคลายความสงสัยไปเสียสนิท
“อ๋อ ของพี่ลูกค้าครับ เค้าฝากเสื้อมาให้” เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมทั้งเดินมาลากกระเป๋าใบนั้นอย่างไม่รีบร้อน .. อย่างน้อยอินจันทร์กลับมาถึงบ้านปลอดภัยเขาเองก็รู้สึกสบายใจแม้ว่าจะสังเกตเห็นตามเนื้อตามตัวมีรอยบาดแผลโดนข่วนมาสดๆ แต่ก็ไม่อยากไปถามอะไรมากกลัวหาว่าเขาเซ้าซี้อีกจะโดนงอน .. ร่างสูงเดินเอาข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างไปเก็บให้เข้าที่เข้าทาง หลังจากกังวลมาหลายวัน คืนนี้จะได้หลับสบายเต็มตาเสียที ..
03 : 01
ผมตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกคอแห้งจนทนนอนต่อไปไหว .. แอบพลิกร่างกายเหลือบมองคนตัวเล็กก่อนจะพบว่าเตียงของผมมันว่างเปล่าอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน.. รีบยันกายลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งเหลือบสายตามองหาเด็กหนุ่มทั่วทั้งห้อง
“อินจันทร์..” ภูผาเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะลุกออกจากเตียงเพื่อเดินตามหาร่างบางด้วยความเป็นห่วง .. ฝนซาลงไปแล้ว เหลือเพียงความเงียบสงบท่ามกลางบ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงแค่เขาและเด็กหนุ่มอยู่เท่านั้น
ดวงตาคู่คมตามหาสวิตช์ไฟก่อนจะตบมันลงไปเบาๆจนทั่วทั้งห้องสว่างโล่ .. เหลือบเห็นตู้เสื้อผ้าบานใหญ่เปิดแง้มนิดหน่อยราวกับว่ามีคนเพิ่งไปเปิดมันทิ้งเอาไว้เชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจ
ปลายเท้าก้าวช้าๆพร้อมทั้งเอื้อมดึงบานตู้เสื้อผ้าให้เปิดออก .. เกิดความสงสัยขึ้นภายในใจอีกครั้งก่อนที่ร่างสูงจะย่อกายลงมาเพื่อมองสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นให้ชัดๆ
กระเป๋าใบนั้น..
ภูผาค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปสัมผัสมันด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก มันชาหนึบกัดกินทั่วทั้งหัวใจคล้ายกับว่ากระเป๋าใบนี้ซ่อนสิ่งที่สำคัญกับความรู้สึกของเขาเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น ..นิ้วแกร่งกรีดไปตามร่องซิบปิดสนิทก่อนที่จะรู้สึกราวกับหายใจไม่ออกไปในชั่วขณะ .. สร้อยของอินจันทร์
เขาจำมันได้แม่นว่าสร้อยเส้นนี้เขาใส่ให้คนตัวเล็กเองกับมือและมันไม่ควรที่จะมาห้อยคากระเป๋าใบเก่าๆเหมือนของเก็บได้จากข้างทาง.. เสียงรูดซิบแผ่วเบาจากคนตัวใหญ่ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอเพราะกลัวว่าสิ่งที่เจอนั้น .. มันอาจจะทำให้เขากลายเป็นบ้าลงตรงนี้
เส้นผมสีอ่อนเริ่มปรากฏให้เห็น .. ผิวขาวเนียนมีรอยฟกช้ำและบาดแผลนองเลือดสีสดทั่วตัว ร่างกายไร้ซึ่งเสื้อผ้าอาภรและดวงตาเรียวรีที่ปิดสนิทบ่งบอกว่าเจ้าของชีวิตนี้ไร้ซึ่งวิญญาณไปเสียแล้ว .. อินจันทร์อยู่ในสภาพถูกยัดและคอหักพับลงให้พอดีกระเป๋า สร้อยที่ภูผาซื้อให้ยังคงสวมใส่ไว้ในลำคอหากทว่าเปื้อนคราบเลือดดูไม่น่ามองเลยสักนิด
แววตาคมคายเริ่มสั่น .. ถ้าอย่างนั้นคนที่กลับมาหาเขาในวันนี้ ..
“ไม่คิดถึงเมียเก่าบ้างหรอครับพี่ผา”
“พลับพลึง”
บางคนตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายเพื่อมาเจอฝันดี แต่ว่าผม .. มีชีวิตเพื่อตื่นขึ้นมาเจอฝันร้ายเพียงอย่างเดียว
END
TBC
ไม่เคยแต่งแนวนี้เลยคับ แต่สนุกมาก 555555 ไม่รู้ว่ามันเข้าคอนเซ็ปท์เค้ามั้ยนะเพราะมาในตรีมแฟนเก่า แต่เราก็เป็นเมียเก่าแหละเนาะ หยวนๆ ถ้าชอบอย่าลืมสกรีมแท็กใน #614Hadesz แล้วก็ #ProjectEXOBoyfriend ด้วยน้าค้าบ
ความคิดเห็น