ตอนที่ 1 : 1 - ขอทานตาบอด re14/12/60
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
1 – ขอทานตาบอด
หลังจากนอนหลับแล้วหยุดหายใจไปอย่างง่ายๆ เยว่ถิงกลับรู้สึกตัวขึ้นอย่างช้าๆ อีกครั้ง
จากผู้ใหญ่เต็มตัวกลับกลายเป็นเด็กเพิ่งคลอดจากครรภ์มารดา ทำได้เพียงขดตัวคุดคู้อยู่ในอ้อมแขนใครคนหนึ่ง
กระดูกทุกข้อ เนื้อหนังมังสาที่ห่อหุ้ม นี่มิใช่ของของเขาแต่เดิมอย่างชัดเจน จะมีก็เพียงจิตวิญญาณและความทรงจำที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวตน ในทะเลความมืดเวิ้งว้างเบื้องหน้า พลันได้ยินเสียงสตรีมีอายุผู้หนึ่งดังขึ้น
“ดูสิ ร้องไห้สักคำก็ไม่มี ตายแล้วกระมัง”
เยว่ถิงจึงจำต้องส่งเสียงร้องแงดังลั่นออกไป
สตรีเหล่านั้นค่อยส่งเสียงอ้อ ก่อนนำพาเขาไปอาบน้ำล้างตัว เยว่ถิงรู้ว่าถูกจับสัมผัสส่วนไหนบ้าง แต่ไม่อาจขยับเคลื่อนไหวตามใจ โชคดีที่แขนขาและอวัยวะต่างๆ ดูเหมือนจะมีครบสมบูรณ์
มีก็แต่เพียงบริเวณกรอบดวงตาสองข้างเท่านั้น... ที่แสบร้อนและปิดมิดสนิท ให้รู้สึกสังหรณ์ใจประหลาดว่าอาจมีบางสิ่งบางอย่างไม่ปกติแม้ว่าทารกจะไม่สามารถลืมตาได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
กายเล็กถูกยกหวือขึ้นพาดบ่าแล้วตบก้นเบาๆ ชิ้นส่วนความทรงจำค่อยๆ กระจ่างขึ้นในศีรษะ
ภพที่แล้วเขาอยู่ในศตรวรรษที่ยี่สิบเอ็ดยังประเทศจีน เขาเป็นลูกชายคนเดียวในบ้านฐานะปานกลางและอยู่กันพร้อมหน้าอย่างอบอุ่น ทั้งยังมีคติประจำครอบครัวว่า ‘ง่ายๆ สบายๆ’
เขาเรียนจบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ พร้อมด้วยอนุปริญญาด้านอักษรศาสตร์และวรรณกรรมจีน แต่ตัดสินใจไปเปิดร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่งเมื่อทำงานวิศวกรมาได้สักระยะหนึ่งแทน
ร้านกาแฟสไตล์มินิมอลของเขาอยู่ข้างไร่องุ่นของครอบครัว ในร้านมีแมวอ้วนเกียจคร้านซึ่งวันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากนอนและกิน เขายังจำได้ว่ามีแฟนสาวหนึ่งคนซึ่งคบหากันมาได้สามปีแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไรในชีวิตกับเจ้าหล่อน จู่ๆ ความตายก็มาเยือนกะทันหัน นับว่าน่าเศร้าใจไม่น้อย
เสียงสตรีดูมีอายุดึงเยว่ถิงให้หลุดจากภวังค์ความทรงจำ
“หญิงที่เป็นมารดาสิ้นใจเสียแล้ว พวกเจ้าเห็นว่าควรทำเช่นไร?”
ภาษาที่พูดดูเหมือนเป็นภาษาจีนโบราณ วิธีการล้างตัวก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ในโรงพยาบาล คาดว่าเขาในชาติภพนี้อาจไม่ได้อยู่ที่แผ่นดินใหญ่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเสียแล้ว เป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อ
แม้ยังอยู่ในภาวะงงงวย กึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ แต่สิ่งที่รับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้า ทั้งลมหายใจ ไออุ่น ผิวกายที่สัมผัส หรือกระทั่งเสียงหัวใจดวงน้อยๆ ก็บังคับให้เขาทำใจยอมรับเสีย
เยว่ถิงสวดภาวนาในใจให้แม่ของเจ้าทารกน้อยนี้ได้ไปสู่สวรรค์อย่างสงบสุข อดไม่ได้ที่จะอาลัยอาวรณ์เหล่าผู้คนที่ผูกพันในชีวิตใหม่ของเขา
ขอให้ทุกคนมีความสุขและรู้สึกเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้จากลาผู้ใดแม้แต่เพียงครึ่งคำ
ระหว่างที่คิดวุ่นวาย สตรีรอบตัวของเขาก็ได้ปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว
“งั้นส่งเขาไปโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วกัน”
ถึงจะเป็นคนสบายๆ ง่ายๆ แต่เยว่ถิงก็มีสิ่งที่ไม่ชอบอยู่เหมือนกัน นั่นคือสถานที่เอะอะวุ่นวาย โรงเลี้ยงเด็กกำพร้านี่ย่อมใช่แน่ สตรีอีกคนคล้ายเห็นด้วยแม้ไม่ออกเสียง เยว่ถิงจับความรู้สึกนั้นได้อย่างประหลาด โดยที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นด้วยซ้ำ
“ดี...” ไม่ ไม่ดีเลย ขอตัดสินใจด้วยเถอะ
ทันทีที่คิด ริมฝีปากของเขาก็ขยับเอื้อนเอ่ยออกมาตามความในใจ เป็นเสียงเล็กเบาอ้อแอ้แต่พอจับความได้
“ขะ ข้าไม่ไปได้ไหม?”
สองสตรีวัยกลางคนกรีดร้องด้วยความตกใจ ผู้พูดเองพลอยรู้สึกตกใจไปกับพวกนางด้วย เด็กแรกเกิดที่ไหนจะพูดได้ ในห้องคลอดเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นไม่น้อย เยว่ถิงจึงเลือกที่จะหุบปากเงียบสนิท ไม่พูดไม่จาอีก
เยว่ถิงพยายามคิดในแง่ดี... ถึงเขาจะทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวตั้งแต่มีชีวิตใหม่ขึ้นมา แต่อย่างน้อยเวลาที่ผู้ใดจะตั้งชื่อเขา เขาจะได้สามารถบอกผู้อื่นว่าอยากชื่อเยว่ถิงเหมือนเดิม
นับตั้งแต่วันนั้น ได้มีข่าวลือประหลาดเกี่ยวกับเด็กกำพร้าตาบอดที่พูดได้ตั้งแต่แรกเกิดกระจายไปทั่วหมู่บ้านเล็กๆ นามมู่ตาน ผู้คนบ้างก็เล่าลือว่าเป็นเซียนแปลงมา บ้างก็ว่าเป็นปีศาจ
ไม่ว่าผู้คนจะเอ่ยอย่างไร หรือเยว่ถิงจะปฏิเสธเรื่องเล่าทำเป็นมึนตึงแค่ไหน สุดท้ายเขาก็จำต้องพำนักอยู่ยังโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าเก่าๆ แห่งหนึ่งอยู่ดี
โรงเลี้ยงเด็กแห่งนี้มีฐานะค่อนข้างยากจนข้นแค้น มีข้าวต้มผักให้กินสามมื้อและห้องนอนเก่าๆ ที่แออัดคับแคบให้พำนัก นี่มิใช่ในโลกเก่าของเขาอีกต่อไป กลับเป็นดั่งโลกยุคจีนโบราณที่คล้ายกับว่าเยว่ถิงหลุดเข้ามาในภาพยนตร์จีนที่สมจริงที่สุดเท่าที่เคยได้สัมผัส
จากผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีวิถีชีวิตเรื่อยๆ สบายๆ จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดได้แปรเปลี่ยนเป็นเด็กชายกำพร้าตาบอดแดนโบราณนาม ‘แคว้นอ้าย’ ลางสังหรณ์ของเขาถูกต้อง ดวงตาคู่ใหม่นี้ทำได้เพียงการขยับเปลือกตาเปิด แต่มิได้เปิดทัศนียภาพต่างๆ ให้เขาได้ชมดู
ถึงตาบอด แต่ด้วยความรู้สึกอันใดไม่ทราบ ทำให้สัมผัสรู้ได้ว่าตรงนี้เป็นทางชันหรือทางราบ ตรงนั้นมีสิ่งกีดขวางหรือเป็นทางว่าง เขาอาจไม่เห็นทิวทัศน์หรือรับรู้ลักษณะสิ่งของต่างๆ ทว่าสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งผู้อื่นหรือไม้เท้า
ทั้งร่างกายพิการนี้ยังมีสัมผัสเช่น การฟัง สัมผัส ละเอียดลออกว่าคนปกติหลายเท่าตัว ถ้าหากเขาตั้งใจเพ่งสมาธิจดจ่อหรือปล่อยใจให้ว่าง เขายังสามารถรับรู้ได้ถึงกระแสอารมณ์ของผู้คนอีกด้วย นับว่าเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเมื่อเยว่ถิงอายุย่างเข้าปีที่สิบ เกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้นเมื่อเจ้าของโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เรียกเขาไปพบ แล้วเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“เยว่ถิง ผู้คนไม่สบายใจที่เรายังชุบเลี้ยงเจ้า เพราะแม้เจ้าจะตาบอด แต่กลับรับรู้สิ่งต่างๆ แถมเดินเหินได้โดยไม่พึ่งไม้เท้า ไหนเจ้ายังฉลาดเฉลียวกว่าเด็กที่อ่านหนังสือได้ในวัยเดียวกันอีก ข้าไม่อยากทำเช่นนี้ แต่คงต้องส่งเจ้าออกไปเผชิญโลกภายนอกตามลำพัง”
ผู้คนมักกลัวสิ่งที่ไม่รู้และจับต้องไม่ได้ เยว่ถิงเป็นต้องถอนใจที่เขาคงจะผิดแปลกจากเด็กตาบอดทั่วไปจนเห็นได้ชัด
เด็กชายตาบอดต้องออกจากโรงเลี้ยงเด็กในวัยเพียงสิบปีเศษๆ เพียงลำพัง เด็กสามคนที่คอยเป็นเพื่อนเล่นกันหลายปีวิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งเข้ามาอย่างเสียอกเสียใจ ทั้งสามมอบพิณโบราณเก่าๆ ให้เขาหนึ่งอัน บอกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุด นับว่าเป็นความซาบซึ้งประสาเด็กกำพร้าที่ยากจะลืม
แผ่นดินที่เขาเหยียบย่างอยู่นี้คือ ‘แคว้นอ้าย’ มียี่สิบสามเมือง หกสิบหมู่บ้าน นับว่ากว้างใหญ่พอสมควร และด้วยความอินดี้ที่ยังติดตัวมา เยว่ถิงมิได้คิดว่าจะลงหลักปักฐานขายตนเป็นบ่าวไพร่ใคร เลยจัดการเล่นพิณไม้แลกเงินเป็นขอทานร่อนเร่อย่างอิสรเสรี
บางวันอดมื้อกินมื้อบ้างก็ทนหิวหน่อย บางวันมิมีที่พักก็หลบตามเพิงร้างหรือถ้ำหินหากจำเป็น โลกนี้ยังมีสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกอย่างอสูร มาร พลังปราณ พลังยุทธ์ แทบไม่ต่างจากหนังจีนกำลังภายใน บางครั้งก็แอบเสียดายที่มิอาจเห็นด้วยตาตนเอง
หกปีผ่านพ้นนับแต่นั้น รวดเร็วราวกับพญามังกรบินผ่านเขา
เยว่ถิงได้เรียนรู้วิธีดิ้นรนเอาตัวรอดและศาสตร์ต่างๆ ตามประสาขอทาน ทว่าก็ยังมีเรื่องน่าละเหี่ยใจประการหนึ่ง
การฝึกยุทธ์ที่ลักจำเอามิใช่แนวทางของเขา ดวงตาที่มืดบอดเป็นอุปสรรค พลังยุทธ์ในตัวของเขาเองก็อ่อนด้อยเหลือประมาณ จึงต้องใช้ไหวพริบและฝีเท้าหลบหนีหากสถานการณ์ไม่สู้ดีแทน
แคว้นอ้ายแห่งนี้นั้นยังมีสมญาว่า ‘สนามยุทธภพ’ ถือว่าเป็นสถานที่ปะทะของฝ่ายธรรมะและอธรรมอยู่บ่อยครั้ง พรรคนั้นถล่มพรรคนี้ ศิษย์สำนักนั้นไล่ฆ่าสำนักนี้ มักมีสุ้มเสียงของเรื่องเล่าลือจากผู้คนในโรงเตี๊ยมหรือตามถนน ทำให้เยว่ถิงพอรู้อยู่บ้างว่าผู้ใดเป็นผู้ใด สมญาอะไรและผู้ใดมิควรยุ่งเกี่ยวด้วย
เพียงรู้จักและไม่ไปล่วงเกินเข้า ชีวิตย่อมปกติสุข เท่านี้ใครจะก่อการใดล้วนไม่เกี่ยวกับเขา เป็นเคล็ดลับการใช้ชีวิตให้สงบสุขท่ามกลางยุทธจักรเดือดเรื่อยมา
กระทั่งวันหนึ่งในค่ำคืนของฤดูสารท อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่เป็นปกติ
เยว่ถิงกำลังสัปหงกอยู่ยังโคนต้นไม้ริมถนนชานเมืองพลันรู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าและหอบหายใจตรงเข้ามาใกล้
เสียงหอบและฝีเท้ากระแทกระรัวบอกได้อีกว่าบุรุษผู้หนึ่งกำลังหนีอะไรสักอย่างด้วยความตื่นกลัวอย่างที่สุด ขณะลังเลว่าควรทำอย่างไร คนผู้นั้นคล้ายชะงักฝีเท้าตรงหน้าเขา ก่อนจะโยนสิ่งหนึ่งให้
“เจ้าคงหนาว ข้าจะให้ยืม!”
เสียงกระโดดวูบ เจ้าของร่างคงพุ่งแหวกอากาศหายไปไม่เหลียวกลับมา เยว่ถิงใช้ปลายนิ้วลูบสัมผัสผ้าผืน น่าว่าเป็นอาภรณ์ตัดเย็บประณีตที่มิใช่ของธรรมดา เพียงคลุมบนตักก็บรรเทาความหนาวเย็นไปได้หลายส่วน ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ บนเนื้อผ้าที่ขอทานอย่างเขาห่างเหินมานาน
อากัปกิริยาของชายปริศนาผู้นั้นก็ชวนให้คิดว่าทำไมรีบร้อนนัก กล้าโยนของมีค่าเช่นนี้ให้ขอทานข้างทานเช่นเขาไม่เสียดายบ้างหรือ เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งนี้คือของล้ำค่าที่ถูกปล้นขโมยมา
จู่ๆ เสียงฝีเท้านับสิบก็ดังขึ้นจากทิศทางที่บุรุษผู้นั้นเตลิดหนีมา พร้อมเสียงตะโกนเอ็ดตะโรโวยวาย
“หาให้เจอ! ยังไงก็ต้องหาให้เจอ!!”
“หากยังไม่อยากหัวขาด แม้วิ่งตามหาจนกระดูกหลุดก็ต้องตามตัวกลับมาให้ได้!”
“ศิษย์พี่ นั่นเสื้อคลุมของมันนี่!”
มีชายร่างค่อนข้างใหญ่คนหนึ่งเข้าพุ่งเข้ามาประชิดตัวเยว่ถิงทันที การก้าวและขยับตัวรู้ได้ว่ามีวิชายุทธ์ คว้าหมับเข้ายังไหล่ด้วยมือหนาแน่นเช่นคีมเหล็ก หากจะหนีก็หนีไม่ทันเสียแล้ว
“เจ้าไปได้เสื้อคลุมนี่มาได้ยังไง!”
“ศิษย์พี่ เจ้าขอทานนี่ตาบอด!”
“แล้วเหตุใดเสื้อคลุมหยกม่วงของเจ้ากระต่ายนั่นถึงอยู่นี่” เสียงพึมพำหึ่งๆ ดังขึ้น จุดแสงวูบวาบไปมาในดวงตาคงเป็นคบไฟที่มาจากมือของเหล่าชนมุงทั้งหลาย เป็นสัญญาณว่าจะเกิดเรื่องในอีกไม่ช้า
เยว่ถิงทำใจเย็น แกล้งยกมือปัดป่ายไปมา แตะที่บ่าของบุรุษร่างยักษ์ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่เบื้องหน้า
“เมื่อครู่มีบุรุษท่านหนึ่งรีบร้อนวิ่งมา เห็นข้ากำลังหนาวตัวสั่นจึงได้โยนเสื้อคลุมนี้ให้ โอ ช่างเป็นบุญ...”
“บัดซบ!!”
น้ำลายกระเซ็นใส่หน้าเยว่ถิงจากคำสบถเกรี้ยวกราด มือที่บีบไหล่เขาแน่นขึ้นตามแรงอารมณ์จนปวดไปหมด
“มากเล่ห์นัก ทีนี้จะทำอย่างไรดี” ท่อนประโยคหลังมีความหวั่นวิตกและหวาดกลัวเจืออยู่ สำเนียงของคนเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นคนของด้านตะวันตกซึ่งเป็นเขตของพรรคมารฝ่ายอธรรม...
“ตัวมันเห็นอย่างนั้นก็มีวิชาตัวเบา หนอย ที่แท้คงเป็นคนของฝ่ายธรรมะแกล้งปลอมมา ถ้าเจอคราวหน้าต้องเอาเลือดหัวมันมาล้างเท้าพวกเราให้ได้!”
พลันเสียงสุขุมหนึ่งได้ดังขึ้นสยบเสียงกรรโชกดุดันเหล่านั้น
“กระต่ายหลบหนีออกมาเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าควรคิดหาหนทางว่าจะทำอย่างไรให้ท่านประมุขไม่กริ้ว”
อดไม่ได้ให้วาดภาพผู้พูดเป็นนักปราชญ์หนุ่มมาดดีคนหนึ่ง คำว่ากระต่ายเป็นคำใช้เรียกนายบำเรอในยุคนี้ เยว่ถิงพยายามเอ่ยขึ้นอีก
“ข้าตาบอดก็จริง แต่คิดว่าเขาน่าจะไปทางตะวันออก”
“ตามไปตอนนี้ก็มิทันแล้ว เกรงว่าจะเป็นกับดักเสียมากกว่าหากเราวู่วาม”
นักปราชญ์พูดนั้นกล่าวแล้วเงียบไปสักพัก เยว่ถิงรู้สึกครั่นร้อนครั่นหนาวขึ้นมา ก่อนที่ปลายคางจะถูกจับให้เงยหน้าขึ้นแล้วเอียงซ้ายขวา
“เจ้าขอทานนี่หน้าตาสกปรกมอมแมมก็จริง แต่ถ้าอาบน้ำอาบท่าสักหน่อย อาจพอแก้ขัดไปได้”
“คำพูดผู้อาวุโสเจิ้งประเสริฐนัก เป็นตายอย่างไรค่อยว่ากันที่หลัง พาไป!”
“เอ่อ!” เยว่ถิงไอโขลกออกมา เสียดายตอนนี้ไม่มีเสมหะ “อา แค่ก ตัวข้าเป็นแค่ขอทานชั้นต่ำสกปรก แถมยังพิการ เกรงว่าจะยิ่งทำให้คุณชายโกรธเสียมากกว่า นี่ก็มิได้อาบน้ำขัดตัว บ้วนปากหรือถูซอกเล็บมาห้าวันแล้ว”
หลายคนส่งเสียงอย่างสะอิดสะเอียน เจ้าพวกที่จับเยว่ถิงอยู่แทบปล่อยมือออก
“เจ้าดูจะมิใช่ขอทานธรรมดา ถึงตาบอดแกล้งโง่แต่ก็สงบเยือกเย็นนัก ไม่ดิ้นรนร้องน่ารำคาญให้ต้องเลือดตกยางออก ข้าคิดว่าคนอย่างเจ้าคงไม่ตายในเร็ววันแน่” ผิดคาดที่เจ้าของเสียงสุขุมกลับเจือด้วยเสียงพึงพอใจเสียอย่างนั้น
จากนั้นก็หาได้มีจังหวะเถียงอีก แม้เยว่ถิงจะพยายามทำท่าทุเรศเพียงใดก็เหมือนทำใส่อากาศ
ร่างขอทานถูกจับลงอ่างอาบน้ำอุ่นที่มีกลิ่นหอมของบุปผานานาพรรณ สตรีสามคนเข้ามาช่วยขัดถูทุกซอกทุกมุมของเขา พวกนางกระทำอย่างไม่เหนียมอายอะไร จากฝ่ามือพอเดาได้ว่าอายุรุ่นป้าไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ตาม คงยากที่จะไม่อับอายขัดขืนเพราะบางจุดกระทั่งแฟนสาวของเขายังไม่เคยได้เห็นด้วยซ้ำ
โลกนี้ช่างโหดร้ายจริงๆ !
หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาชวนวิญญาณหลุดมา เยว่ถิงก็ถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ผ้าไหมชั้นดีถึงสามชั้น ถูกจัดการแว๊กซ์ขนที่แทบจะไม่มีอยู่แล้วให้เกลี้ยงเกลาเข้าไปอีก ถูกชโลมสิ่งที่น่าจะเป็นครีมบำรุงผิวให้เรียบเนียน ซ้ำด้วยการพรมน้ำหอมบนร่าง กลิ่นหอมยั่วยวนยิ่งกว่าน้ำดิออร์ จนชวนใจหายกับจุดประสงค์ว่าใช้กระตุ้นอารมณ์อะไร
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ งดงามเย้ายวนมาก” สามสตรีเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน หลังจากพาเขาออกจากห้องน้ำ
“ดี” เจ้าของเสียงสุขุมว่า “เจ้าเงียบเรียบร้อยอย่างนี้ยิ่งดี เอาล่ะ ไปกันได้”
ถูกแบกขึ้นเกี้ยว วางไว้ด้านในอย่างระวังราวกับเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่แตกหักได้ แต่ก่อนจะปิดม่าน เด็กหนุ่มได้ยกมือขึ้นรั้งไว้
“ท่าน...เหตุใดทำไมถึงไม่ใช้สตรีแทนเล่า”
จริงๆ แล้วเขาไม่คิดว่าตัวเองจะงดงามเย้ายวนมากอย่างที่ได้ยิน ขอทานตาบอดที่ไม่รักษาสุขนามัยมาหลายเดือนนี่จะไปดูดีด้วยฝีมือป้าสามคนในไม่กี่ชั่วยามได้ยังไงกัน ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ไม่ทราบว่าอุปทานไปเองหรือไม่ เขาคิดว่าคนตรงหน้ายิ้ม ก่อนเอ่ยเสียงเจือหัวเราะว่า
“ได้ยินว่าที่มิใช้สตรีบำเรอ เพราะสตรีนั้นแตกหักได้ง่ายกว่าบุรุษ ถ้าเจ้าโชคดีก็แค่พิการแล้วถูกโยนทิ้ง แต่ถ้าโชคร้าย เจ้าจะต้องปรนเปรอเขาจนตายระหว่างเสพสังวาส”
เขาอยู่ในโลกที่ฆ่าฟันกลั้นแกล้งราวกับผักปลามาได้ถึงสิบหกปีด้วยคติ ‘ง่ายๆ สบายๆ’
แต่นี่ชักไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สบายๆ แล้วสิ
ตอนนี้รีไรต์ครั้งที่2ค่ะ เป็นการแก้สำนวนภาษาและรูปประโยค
ขอบคุณทุกความเห็นนะคะ จะพยายามรับฟังแล้วเก็บไว้ปรับปรุงแก้ไขและทำให้นิยายดีขึ้นค่ะ ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สนุก เจ้ากระต่ายตัวแทนน่าสงสาร
เพิ่งมาอ่านตอนแรกเรยยย มาตอนแรกก็ชอบแล้วว
ติดตามต่อไป
อ้าวอีเฮีย! นี่คนนะเห้ย! พูดง่ายไปมั้ย? นี่มันส่งคนไปตายเลยนะ!
น้องงงงงงง ชีวิตเรื่อยเปื่อยของน้อง ทำไมน่าสงสาร 55555