คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๖ หิมะสีดำ
บทที่ ๖
หิมะสีดำ
+++++++++++++++++++
ไม่นานหลังจากนั้น
เหล่าคนจากโทสึกิพร้อมม้าสิบตัวและนินจาโคโนฮะทั้งสามคนก็ได้เดินทางออกจากหมู่บ้าน
ม้าที่ซาสึเกะนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางขบวนพอดี นั่นทำให้ร่างเล็กรู้สึกอึดอัดมาก หยั่งกับว่าเขาเป็นนักโทษที่ต้องถูกควบคุมตัวยังไงยังงั้นแหละ!
ส่วนนารูโตะกับฮินาตะก็ดันถูกอัปเปหิให้ไปอยู่แถวหลังสุดซะนี่ เฮอะ! ใจคอจะไม่ให้ได้พูดได้คุยกันบ้างเลยรึยังไง (
- * - )
ซาสึเกะพึ่งมารู้ทีหลังว่าไอ้หน้าหล่อหัวขาวนั่นชื่อว่า
โทสึกิ ยูกิฮิโระ เป็นบุตรชายคนเล็กและผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของ โทสึกิ โชอิจิ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลโทสึกิ
'มิน่า...หมอนี่ถึงได้ดูแตกต่างจากคนอื่นๆ' ซาสึเกะคิดในใจ
แม้จะยังไม่ไว้ใจ แต่ถ้าไม่นับที่ชอบทำตัวน่ารำคาญแล้ว
หมอนี่ก็ดูไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัยเท่าไหร่...ล่ะมั้ง
ในเมื่อเรื่องราวมันลงเอยอย่างนี้แล้ว
แผนเชือดที่อุตสาห์คิดไว้คงต้องถูกพับเก็บไปอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องม้า
เรื่องที่นั่ง อ่าฮะ สรุปแล้วคือเขายอมเปลืองตัวฟรีสินะ
(=_=)
“นั่งสบายดีหรือเปล่าซาสึเกะคุง”
ร่างสูงโน้มตัวลงมากระซิบถามข้างหูซาสึเกะ ทำให้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
ก่อนซาสึเกะจะสะบัดหน้าหนีอย่างตกใจแล้วหันไปต่อว่าคนไร้มารยาทอย่างหัวเสีย
“ฉันไม่ใช่เพื่อนนาย
ช่วยเลิกเรียกแบบนั้นซะที แล้วก็...” ร่างบางเงียบไป
ก่อนจะเอ่ยต่อ “เอาหน้านายออกไปไกลๆเลย มัน อึด อัด!” ยอมรับเลยว่าตอนนี้เขาชักจะมีน้ำโหขึ้นมาหน่อยๆแล้ว คนอะไรนอกจากน่ารำคาญแล้วยังโรคจิตอีก
ให้ตายสิ! ในโลกนี้ยังมีคนแบบนารูโตะอยู่อีกงั้นเหรอเนี่ย!
“นั่นสินะ
ม้าตัวนี้คงจะเล็กไปสำหรับเราสองคน ทนอีกหน่อยเดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ” ยูกิฮิโระเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ฉันไม่ได้หมายถึงม้า แกต่างหากล่ะ (-
* -)olo
นอกจากจะน่ารำคาญ โรคจิต
แล้วยังหน้าด้านอีกเหรอ !
ซาสึเกะเลือกที่จะเงียบ ไม่ตอบโต้
ปะทะคารมกับหมอนี่มีแต่จะทำให้แย่กว่าเดิม ก็คงได้แต่ภาวนาให้ถึงเร็วๆ
หมอนี่จะได้ไปพ้นๆเขาสักที
“...”
“หึ…”
สุดท้ายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย
ยูกิฮิระจึงถอยหน้าออกไปก่อนจะยกยิ้มอย่างเจ้าเลห์ คิดในใจ
‘หมอนี่น่าแกล้งชะมัด
หึหึหึ’
เนตรสีแดงสดจ้องมองร่างขาวบางที่อยู่ในอ้อมแขนตนพลางยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี
ผิดจากไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ลิบลับ...
“ท่านพ่อว่าอย่างไรนะขอรับ ?!”
“อย่างที่เจ้าได้ยินนั่นแหละยูกิ
ข้าและเหล่าคาเงะเห็นพ้องว่าควรจะให้ ‘พวกเขา’
เข้ามาจัดการเรื่องนี้จะเป็นการดีที่สุด”
“ข้า...ไม่เข้าใจ.”
“เมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะรู้เอง”
ตอนที่ทราบจากท่านพ่อว่าจะมีนินจาจากโคโนฮะงาคุเระมาที่นี่
ชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจนัก โทสึกิเป็นตระกูลใหญ่ ทำหน้าที่อารักขาสมบัติของเซียนหกวิถีมานานนับพันปี
ทั้งยังมีเหล่านินจาฝีมือดีใต้อาณัติตั้งมากมาย เหตุใดจึงไปต้องไปพึ่งพวกมันด้วย มิใช่พวกมันหรอกเหรอที่คอยสร้างแต่ปัญหาอยู่เรื่อย
คราวก่อนก็ก่อสงครามเข้าห้ำหั่นตายกันเกลื่อน คราวนี้ก็อีกไม่รู้จักเข็ดหลาบกันบ้างเลยหรือย่างไรกัน
หึ! ปากก็บอกว่าต้องการสันติภาพ
แต่ในมือกลับถือดาบคอยฟาดฟัน เบียดเบียนผู้อื่น เช่นนี้แล้วสันติภาพมันคงจะบังเกิดแก่พวกเจ้าหรอก!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคัดค้านอย่างถึงที่สุด
ทว่าคำสั่งของท่านพ่อนั้นถือเป็นเด็ดขาดแม้แต่เขาก็ขัดไม่ได้ มิหนำซ้ำยังถูกให้มาทำหน้าที่รับแขกจากต่างเมืองพวกนี้อีก
มันน่าโมโหนัก เจ้าพวกนั้นมันจะมีดีซักแค่ไหนเชียว
ก็แค่ลูกกะจ๊อกดีๆของตาแก่คาเงะ...
...ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลย...
ทว่า...แวบแรกที่เห็นร่างนั้น
ความคิดอันท้ายสุดจำต้องถูกลบไปจากระบบอย่างสิ้นเชิง
หนุ่มน้อยรูปร่างสูงปราดเปรียว ทรวดทรงสง่าสมส่วนได้รูป
ผิวขาวลออ ทุกอย่างถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อคลุมหนามิดชิด
หากแต่มีหรือที่คนอย่างเขาจะดูไม่ออก ไหนจะดวงหน้าเรียวคมได้รูป ริมฝีปากเล็กรูปกระจับสีชมพูสด
แก้มนวลกระจ่าง เนตรสีรัตติกาลลึกลับน่าค้นหาต้องประกายแพรวพราวยามมองมา
ดุจดั่งดวงดาวสุกสกาวที่ประดับผืนนภายามราตรีเดือนดับ
ช่างน่าหลงใหล สวยงาม
ราวกับภาพความฝัน
แต่ครั้นเป็นเพียงฝัน...คงน่าเสียดายน่าดูหากถึงคราวต้องตื่นจากมันไป
น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริงๆ ‘อุจิวะ ซาสึเกะ’
สองชั่วโมงผ่านไป
ตะวันคล้อยหลังเขาลูกใหญ่
ขบวนม้าเริ่มเคลื่อนเข้าเขตชายแดนด้านทิศเหนือของแคว้นสึรุ ต้นสนสูงชะลูดทอดตัวเป็นแนวยาวตามทาง
บดบังแสงสว่าง จากที่สลัวลางเลือนกลับกลายเป็นมืดมิดจนมองทางแทบไม่เห็น อากาศรอบตัวเริ่มเย็นลงทุกขณะ
ลมยามเย็นพัดปะทะเล็ดลอดเสื้อคลุมหนาเข้ามาจนรู้สึกหนาวยะเยือก
เพราะแคว้นสึรุตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือทำให้มีอากาศหนาวเย็นและหิมะตกเกือบทั้งปี
ไม่ค่อยมีใครเข้ามาอาศัยอยู่ เนื่องจากการใช้ชีวิตที่เป็นไปอย่างขัดสน การเกษตรกรรมทำได้ยากเพราะทำได้แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น
ทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่า ‘ดินแดนนิรนาม’
เพราะทุรกันดาร
ห่างไกลความเจริญจนไม่ค่อยมีใครรู้จักนั่นเอง...รวมถึงซาสึเกะด้วย
เขาเองก็พึ่งรู้จากรายงานที่นั่งอ่านเมื่อคืนก่อนนี่แหละ
“ใกล้ถึงรึยัง” ซาสึเกะถามคนที่นั่งข้างหลัง
“คงอีกสักพัก” ทายาทคนเล็กแห่งโทสึกิตอบ
ตายังคงมองไปข้างหน้า จดจ่อกับการบังคับม้าด้วยสีหน้าจริงจัง
ครืน...ครืน...
เสียงคำรามดังมาจากเบื้องบนเรียกความสนใจของซาสึเกะให้เงยหน้าขึ้นไปมอง
กลุ่มก้อนสีดำทะมึนลอยต่ำ บดบังแสงสว่างจนมืดครึ้มดูน่ากลัว บ่งบอกถึงพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
“ฝนใกล้ตกแล้ว เร่งเดินทางหน่อยก็ดี” ซาสึเกะเร่ง
“ไม่ต้องห่วง นั่นไม่ใช่เมฆฝนหรอก ”
“หมายความว่ายังไง”
ฟิ้วว...ว
ยังไม่ทันจะได้คำตอบ
จู่ๆก็เกิดลมหอบใหญ่กรรโชกอย่างรุนแรง ต้นไม้รอบๆลู่เอนลงตามแรงอย่างน่ากลัว
แรงลมพัดพาเศษฝุ่น เศษใบไม้ปลิวว่อน อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
จนร่างเล็กต้องยกมือกอดอกด้วยความหนาว ไม่นานนัก
ปรากฏละอองเล็กๆจำนวนมากตกลงมาจากท้องฟ้า ก้อนปุกปุยที่ร่วงลงมานั้นถูกแรงลมพัดกระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง
รอบๆตัวถูกแต่งแต้มด้วยสีขาวโพลน
“ที่แท้ก็หิมะเหรอ…”
“ลองดูดีๆสิ”
“หือ? ก็หิมะนี่
อ๊ะ...” เดี๋ยวก่อนนะ...
ไม่จริงน่า นี่มัน “...สีดำ?”
“มันถูกเรียกว่า หิมะดำ” ยูกิฮิโระบอก ตามองไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพราะหิมะที่เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆจนมองทางแทบไม่เห็น
“หิมะ...สีดำ?” หิมะสีดำ...เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอนี่แหละ
“ทำไมถึงเรียกงั้นล่ะ”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เหมือนจะเป็นตำนานเกี่ยวกับคำสาปอะไรซักอย่างของคนพื้นเมืองที่นี่น่ะ มักจะเกิดบ่อยๆช่วงใกล้ค่ำ
พวกนักเดินทางมือใหม่ที่ผ่านมาถูกมันทำให้หลงทางกลับบ้านไม่ถูกมานักต่อนักแล้ว ข้าถึงได้บอกไงว่าไม่ควรเสี่ยงเดินทางมากันเอง”
“เหอะ...งั้นฉันควรขอบคุณพวกนายสินะที่ช่วยให้ไม่ต้องลำบาก” คนตัวเล็กเอ่ยแกมประชด
“ไม่เป็นไร พวข้าแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างนอบน้อมแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี
ยิ่งเพิ่มความหมั่นไส้ให้กับร่างบางเข้าไปอีก
ขอเปลี่ยนคำพูดละกัน...หมอนี่น่ะไม่เหมือนนารูโตะเลยสักนิด
เพราะมันน่าหมั่นไส้ยิ่งกว่าเจ้าหน้าหนวดนั่นร้อยเท่าเลยขอบอก!!!
อีกด้าน
แฮ่ก...แฮ่ก...
เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนดังก้องไปทั่วผืนป่าดงดิบรกร้าง
ถึงอย่างนั้นสองเท้าบอบบางยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดที่จะหยุดพัก
หญิงสาวร่างบางในเสื้อคลุมสีดำทึบ
ฮู้ดใบใหญ่ปลิวสะบัดตามแรงลมอำพรางเรือนผมสีเงินยาว ใบหน้าขาวซีด และดวงตาสีอำพันหม่นไว้ข้างใน
ผ่านมากี่ชั่วโมงแล้ว
เธอเองก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องวิ่ง วิ่ง และวิ่ง เพื่อหนีจากคนพวกนั้น
ไม่ใช่เพื่อเอาชีวิตรอด แต่เพื่อยืดอิสรภาพเอาไว้ให้นานที่สุด แม้จะรู้ดีว่าอีกไม่นานพวกมันต้องตามมาทันแน่
เพื่อมาเอาสิ่งนั้น ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วพวกมันจะไม่ได้อะไรจากเธอกลับไปเลยก็ตาม
เพราะว่าภารกิจของเธอได้สิ้นสุดลงแล้วนับตั้งแต่ที่ได้ยื่นสิ่งนั้น หยิบยื่น ความสิ้นหวัง ให้แก่เขาคนนั้น
ดั่งที่คำพยากรณ์ได้ชี้นำ...
ก่อนพฤกษาก่อกำเนิดจะตื่นขึ้นจากการหลับใหล
จงนำพา เบญจมาศสิ้นแสง ชิ้นนี้ไป
สู่มือของเด็กหนุ่มแห่งความมืดผู้ครอบครองเนตรต้องสาป
ชะตาของโลกอยู่ในมือเขา
เขาจะเป็นผู้ชี้นำทั้งความมืด
และแสงสว่าง
...เร็วเข้าเถิด...
เหล่าปีศาจจอมละโมบกำลังจะได้ฤกษ์ผงาดในไม่ช้า
เด็กน้อยเอ๋ย
จงมุ่งไป...ทำสิ่งที่เจ้าควรกระทำ
ผลลัพธ์สุดท้าย
เด็กหนุ่มแห่งคำพยากรณ์จักเป็นผู้ตัดสินเอง
เหล่าจิตวิญญาณแห่งดวงดาราทั้ง
88 ดวงบนฟากฟ้า...ขอจงนำทางเหล่านักบุญผู้หาญกล้า
หาไม่แล้ว
โลกอันสวยงามใบนี้คงถึงแก่จุดจบเป็นแน่...
“ในที่สุด...ข้าก็ทำสำเร็จ” เสียงแพบพร่าเอ่ยพลางยิ้มทั้งน้ำตา
เบญจมาศสิ้นแสง...
ความสิ้นหวังอันไร้ที่สิ้นสุด
เขาคนนั้น...
ได้รับไว้เรียบร้อยแล้ว
“ข้าทำสำเร็จแล้ว...ข้าทำได้แล้ว” เรียวปากบางซีดยกยิ้มอย่างยินดีแม้ใบหน้าจะอ่อนล้าเต็มทนอีกทั้งดวงเนตรคู่งามใสส่อยังแววเลื่อนลอย เอื้อนเอ่ยกับธาตุอากาศรอบตัวอย่างแผ่วเบาราวกับจะส่งผ่านประโยคนี้ไปถึงใครบางคน
...ที่อยู่ไกลแสนไกล
“นั่นไง มันอยู่นั่น!มาให้จับซะดีๆ!!!”
“!!”
แว่วเสียงปีศาจคืบคลานตามหลังมา
หญิงสาวหลับตาลง ชะลอฝีเท้าจนหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพื่อรอรับชะตากรรมอันแสนโหดร้ายที่กำลังจะมาถึงตนในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ต่อให้ต้องถูกพวกมันเอาตัวไป...
ต่อให้ต้องถูกเผาทั้งเป็นและตายอย่างทรมาน
เธอก็ไม่กลัว
ไม่เสียดายอีกต่อไปแล้วชีวิตนี้
ในที่สุดก็จะได้กลับคืนสู่อิสรภาพที่แท้จริงซักที
“จะได้...กลับสู่
อิสร...ภาพ แล้วสินะ...”
สองขาเริ่มอ่อนแรง
กายบางเอนเอียงไปมาเพราะเริ่มรับการทรงตัวที่เที่ยงตรงไว้ไม่ได้อีกต่อไป หญิงสาวเริ่มรู้สึกมึน สติสัมปชัญญะเลือนรางลงทุกขณะ
และแล้วทุกสิ่งที่มองเห็นก็ค่อยๆพร่ามัว...และมืดสนิทลงในที่สุด
“ลาก่อนนะ...”
ทุกอย่างต่อแต่นี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว...ฝากที่เหลือด้วยนะ อุจิวะ ซาสึเกะ
พี่ชาย...ที่ข้ารัก
ความคิดเห็น