ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ NaruSasu ] ลำนำบุปผา...พฤกษาผลิบาน

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๖ หิมะสีดำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 919
      42
      20 ต.ค. 61

    บทที่ ๖

    หิมะสีดำ

    +++++++++++++++++++

     

    ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าคนจากโทสึกิพร้อมม้าสิบตัวและนินจาโคโนฮะทั้งสามคนก็ได้เดินทางออกจากหมู่บ้าน ม้าที่ซาสึเกะนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางขบวนพอดี นั่นทำให้ร่างเล็กรู้สึกอึดอัดมาก หยั่งกับว่าเขาเป็นนักโทษที่ต้องถูกควบคุมตัวยังไงยังงั้นแหละ! ส่วนนารูโตะกับฮินาตะก็ดันถูกอัปเปหิให้ไปอยู่แถวหลังสุดซะนี่ เฮอะใจคอจะไม่ให้ได้พูดได้คุยกันบ้างเลยรึยังไง  ( - * - )

    ซาสึเกะพึ่งมารู้ทีหลังว่าไอ้หน้าหล่อหัวขาวนั่นชื่อว่า โทสึกิ ยูกิฮิโระ เป็นบุตรชายคนเล็กและผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของ โทสึกิ  โชอิจิ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลโทสึกิ

    'มิน่า...หมอนี่ถึงได้ดูแตกต่างจากคนอื่นๆซาสึเกะคิดในใจ

    แม้จะยังไม่ไว้ใจ แต่ถ้าไม่นับที่ชอบทำตัวน่ารำคาญแล้ว หมอนี่ก็ดูไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัยเท่าไหร่...ล่ะมั้ง

     

    ในเมื่อเรื่องราวมันลงเอยอย่างนี้แล้ว แผนเชือดที่อุตสาห์คิดไว้คงต้องถูกพับเก็บไปอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องม้า เรื่องที่นั่ง อ่าฮะ สรุปแล้วคือเขายอมเปลืองตัวฟรีสินะ (=_=)

     

    นั่งสบายดีหรือเปล่าซาสึเกะคุง”  ร่างสูงโน้มตัวลงมากระซิบถามข้างหูซาสึเกะ ทำให้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ก่อนซาสึเกะจะสะบัดหน้าหนีอย่างตกใจแล้วหันไปต่อว่าคนไร้มารยาทอย่างหัวเสีย

    ฉันไม่ใช่เพื่อนนาย ช่วยเลิกเรียกแบบนั้นซะที แล้วก็...” ร่างบางเงียบไป ก่อนจะเอ่ยต่อ “เอาหน้านายออกไปไกลๆเลย มัน อึด อัด!” ยอมรับเลยว่าตอนนี้เขาชักจะมีน้ำโหขึ้นมาหน่อยๆแล้ว คนอะไรนอกจากน่ารำคาญแล้วยังโรคจิตอีก ให้ตายสิในโลกนี้ยังมีคนแบบนารูโตะอยู่อีกงั้นเหรอเนี่ย!

    นั่นสินะ ม้าตัวนี้คงจะเล็กไปสำหรับเราสองคน ทนอีกหน่อยเดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ” ยูกิฮิโระเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

    ฉันไม่ได้หมายถึงม้า แกต่างหากล่ะ (- * -)olo

    นอกจากจะน่ารำคาญ โรคจิต แล้วยังหน้าด้านอีกเหรอ !

     

    ซาสึเกะเลือกที่จะเงียบ ไม่ตอบโต้ ปะทะคารมกับหมอนี่มีแต่จะทำให้แย่กว่าเดิม ก็คงได้แต่ภาวนาให้ถึงเร็วๆ หมอนี่จะได้ไปพ้นๆเขาสักที

    “...”

    หึ…” 

    สุดท้ายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย ยูกิฮิระจึงถอยหน้าออกไปก่อนจะยกยิ้มอย่างเจ้าเลห์ คิดในใจ

    หมอนี่น่าแกล้งชะมัด หึหึหึ

    เนตรสีแดงสดจ้องมองร่างขาวบางที่อยู่ในอ้อมแขนตนพลางยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี

    ผิดจากไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ลิบลับ...

     

    “ท่านพ่อว่าอย่างไรนะขอรับ ?!

    “อย่างที่เจ้าได้ยินนั่นแหละยูกิ ข้าและเหล่าคาเงะเห็นพ้องว่าควรจะให้ พวกเขาเข้ามาจัดการเรื่องนี้จะเป็นการดีที่สุด”

    “ข้า...ไม่เข้าใจ.”

    “เมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะรู้เอง”

     

    ตอนที่ทราบจากท่านพ่อว่าจะมีนินจาจากโคโนฮะงาคุเระมาที่นี่ ชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจนัก โทสึกิเป็นตระกูลใหญ่ ทำหน้าที่อารักขาสมบัติของเซียนหกวิถีมานานนับพันปี ทั้งยังมีเหล่านินจาฝีมือดีใต้อาณัติตั้งมากมาย เหตุใดจึงไปต้องไปพึ่งพวกมันด้วย มิใช่พวกมันหรอกเหรอที่คอยสร้างแต่ปัญหาอยู่เรื่อย คราวก่อนก็ก่อสงครามเข้าห้ำหั่นตายกันเกลื่อน คราวนี้ก็อีกไม่รู้จักเข็ดหลาบกันบ้างเลยหรือย่างไรกัน 

    หึ! ปากก็บอกว่าต้องการสันติภาพ แต่ในมือกลับถือดาบคอยฟาดฟัน เบียดเบียนผู้อื่น เช่นนี้แล้วสันติภาพมันคงจะบังเกิดแก่พวกเจ้าหรอก!

    ด้วยเหตุนี้เขาจึงคัดค้านอย่างถึงที่สุด ทว่าคำสั่งของท่านพ่อนั้นถือเป็นเด็ดขาดแม้แต่เขาก็ขัดไม่ได้ มิหนำซ้ำยังถูกให้มาทำหน้าที่รับแขกจากต่างเมืองพวกนี้อีก มันน่าโมโหนัก เจ้าพวกนั้นมันจะมีดีซักแค่ไหนเชียว

     

    ก็แค่ลูกกะจ๊อกดีๆของตาแก่คาเงะ...

     

    ...ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลย...

     

     

    ทว่า...แวบแรกที่เห็นร่างนั้น ความคิดอันท้ายสุดจำต้องถูกลบไปจากระบบอย่างสิ้นเชิง หนุ่มน้อยรูปร่างสูงปราดเปรียว  ทรวดทรงสง่าสมส่วนได้รูป ผิวขาวลออ ทุกอย่างถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อคลุมหนามิดชิด หากแต่มีหรือที่คนอย่างเขาจะดูไม่ออก ไหนจะดวงหน้าเรียวคมได้รูป ริมฝีปากเล็กรูปกระจับสีชมพูสด แก้มนวลกระจ่าง เนตรสีรัตติกาลลึกลับน่าค้นหาต้องประกายแพรวพราวยามมองมา ดุจดั่งดวงดาวสุกสกาวที่ประดับผืนนภายามราตรีเดือนดับ 

     ช่างน่าหลงใหล สวยงาม ราวกับภาพความฝัน

    แต่ครั้นเป็นเพียงฝัน...คงน่าเสียดายน่าดูหากถึงคราวต้องตื่นจากมันไป

     

    น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริงๆ  ‘อุจิวะ ซาสึเกะ

     

     

     

    สองชั่วโมงผ่านไป ตะวันคล้อยหลังเขาลูกใหญ่ ขบวนม้าเริ่มเคลื่อนเข้าเขตชายแดนด้านทิศเหนือของแคว้นสึรุ ต้นสนสูงชะลูดทอดตัวเป็นแนวยาวตามทาง บดบังแสงสว่าง จากที่สลัวลางเลือนกลับกลายเป็นมืดมิดจนมองทางแทบไม่เห็น อากาศรอบตัวเริ่มเย็นลงทุกขณะ ลมยามเย็นพัดปะทะเล็ดลอดเสื้อคลุมหนาเข้ามาจนรู้สึกหนาวยะเยือก  

    เพราะแคว้นสึรุตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือทำให้มีอากาศหนาวเย็นและหิมะตกเกือบทั้งปี ไม่ค่อยมีใครเข้ามาอาศัยอยู่ เนื่องจากการใช้ชีวิตที่เป็นไปอย่างขัดสน การเกษตรกรรมทำได้ยากเพราะทำได้แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น ทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่า ดินแดนนิรนาม  เพราะทุรกันดาร ห่างไกลความเจริญจนไม่ค่อยมีใครรู้จักนั่นเอง...รวมถึงซาสึเกะด้วย เขาเองก็พึ่งรู้จากรายงานที่นั่งอ่านเมื่อคืนก่อนนี่แหละ

    ใกล้ถึงรึยัง” ซาสึเกะถามคนที่นั่งข้างหลัง

    คงอีกสักพัก ทายาทคนเล็กแห่งโทสึกิตอบ ตายังคงมองไปข้างหน้า จดจ่อกับการบังคับม้าด้วยสีหน้าจริงจัง

    ครืน...ครืน...

    เสียงคำรามดังมาจากเบื้องบนเรียกความสนใจของซาสึเกะให้เงยหน้าขึ้นไปมอง กลุ่มก้อนสีดำทะมึนลอยต่ำ บดบังแสงสว่างจนมืดครึ้มดูน่ากลัว บ่งบอกถึงพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า

    ฝนใกล้ตกแล้ว เร่งเดินทางหน่อยก็ดี” ซาสึเกะเร่ง

    ไม่ต้องห่วง นั่นไม่ใช่เมฆฝนหรอก ” 

    หมายความว่ายังไง”

    ฟิ้วว...ว

    ยังไม่ทันจะได้คำตอบ จู่ๆก็เกิดลมหอบใหญ่กรรโชกอย่างรุนแรง ต้นไม้รอบๆลู่เอนลงตามแรงอย่างน่ากลัว แรงลมพัดพาเศษฝุ่น เศษใบไม้ปลิวว่อน อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว จนร่างเล็กต้องยกมือกอดอกด้วยความหนาว ไม่นานนัก ปรากฏละอองเล็กๆจำนวนมากตกลงมาจากท้องฟ้า ก้อนปุกปุยที่ร่วงลงมานั้นถูกแรงลมพัดกระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง รอบๆตัวถูกแต่งแต้มด้วยสีขาวโพลน

    ที่แท้ก็หิมะเหรอ…”

    “ลองดูดีๆสิ”

    “หือ? ก็หิมะนี่ อ๊ะ...” เดี๋ยวก่อนนะ...

    ไม่จริงน่า นี่มัน  “...สีดำ?

    มันถูกเรียกว่า หิมะดำ” ยูกิฮิโระบอก ตามองไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพราะหิมะที่เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆจนมองทางแทบไม่เห็น

    หิมะ...สีดำ?”  หิมะสีดำ...เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอนี่แหละ

    “ทำไมถึงเรียกงั้นล่ะ”

    ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนจะเป็นตำนานเกี่ยวกับคำสาปอะไรซักอย่างของคนพื้นเมืองที่นี่น่ะ มักจะเกิดบ่อยๆช่วงใกล้ค่ำ พวกนักเดินทางมือใหม่ที่ผ่านมาถูกมันทำให้หลงทางกลับบ้านไม่ถูกมานักต่อนักแล้ว ข้าถึงได้บอกไงว่าไม่ควรเสี่ยงเดินทางมากันเอง

    เหอะ...งั้นฉันควรขอบคุณพวกนายสินะที่ช่วยให้ไม่ต้องลำบาก” คนตัวเล็กเอ่ยแกมประชด

    ไม่เป็นไร พวข้าแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างนอบน้อมแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี  ยิ่งเพิ่มความหมั่นไส้ให้กับร่างบางเข้าไปอีก

    ขอเปลี่ยนคำพูดละกัน...หมอนี่น่ะไม่เหมือนนารูโตะเลยสักนิด

    เพราะมันน่าหมั่นไส้ยิ่งกว่าเจ้าหน้าหนวดนั่นร้อยเท่าเลยขอบอก!!!

     

     

     

    อีกด้าน

     

    แฮ่ก...แฮ่ก...

     

    เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนดังก้องไปทั่วผืนป่าดงดิบรกร้าง  ถึงอย่างนั้นสองเท้าบอบบางยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดที่จะหยุดพัก หญิงสาวร่างบางในเสื้อคลุมสีดำทึบ ฮู้ดใบใหญ่ปลิวสะบัดตามแรงลมอำพรางเรือนผมสีเงินยาว  ใบหน้าขาวซีด และดวงตาสีอำพันหม่นไว้ข้างใน

    ผ่านมากี่ชั่วโมงแล้ว เธอเองก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องวิ่ง วิ่ง และวิ่ง เพื่อหนีจากคนพวกนั้น ไม่ใช่เพื่อเอาชีวิตรอด แต่เพื่อยืดอิสรภาพเอาไว้ให้นานที่สุด แม้จะรู้ดีว่าอีกไม่นานพวกมันต้องตามมาทันแน่ เพื่อมาเอาสิ่งนั้น  ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วพวกมันจะไม่ได้อะไรจากเธอกลับไปเลยก็ตาม เพราะว่าภารกิจของเธอได้สิ้นสุดลงแล้วนับตั้งแต่ที่ได้ยื่นสิ่งนั้น หยิบยื่น ความสิ้นหวัง ให้แก่เขาคนนั้น ดั่งที่คำพยากรณ์ได้ชี้นำ...

     

    ก่อนพฤกษาก่อกำเนิดจะตื่นขึ้นจากการหลับใหล

    จงนำพา เบญจมาศสิ้นแสง ชิ้นนี้ไป

    สู่มือของเด็กหนุ่มแห่งความมืดผู้ครอบครองเนตรต้องสาป

    ชะตาของโลกอยู่ในมือเขา

    เขาจะเป็นผู้ชี้นำทั้งความมืด และแสงสว่าง

    ...เร็วเข้าเถิด...

    เหล่าปีศาจจอมละโมบกำลังจะได้ฤกษ์ผงาดในไม่ช้า

    เด็กน้อยเอ๋ย

    จงมุ่งไป...ทำสิ่งที่เจ้าควรกระทำ

    ผลลัพธ์สุดท้าย เด็กหนุ่มแห่งคำพยากรณ์จักเป็นผู้ตัดสินเอง

    เหล่าจิตวิญญาณแห่งดวงดาราทั้ง 88 ดวงบนฟากฟ้า...ขอจงนำทางเหล่านักบุญผู้หาญกล้า

    หาไม่แล้ว โลกอันสวยงามใบนี้คงถึงแก่จุดจบเป็นแน่...

     

     

     

    ในที่สุด...ข้าก็ทำสำเร็จ” เสียงแพบพร่าเอ่ยพลางยิ้มทั้งน้ำตา

     

    เบญจมาศสิ้นแสง...

    ความสิ้นหวังอันไร้ที่สิ้นสุด

    เขาคนนั้น...

    ได้รับไว้เรียบร้อยแล้ว

     

    ข้าทำสำเร็จแล้ว...ข้าทำได้แล้ว” เรียวปากบางซีดยกยิ้มอย่างยินดีแม้ใบหน้าจะอ่อนล้าเต็มทนอีกทั้งดวงเนตรคู่งามใสส่อยังแววเลื่อนลอย  เอื้อนเอ่ยกับธาตุอากาศรอบตัวอย่างแผ่วเบาราวกับจะส่งผ่านประโยคนี้ไปถึงใครบางคน

    ...ที่อยู่ไกลแสนไกล

     

    นั่นไง มันอยู่นั่น!มาให้จับซะดีๆ!!!

    !!

    แว่วเสียงปีศาจคืบคลานตามหลังมา หญิงสาวหลับตาลง ชะลอฝีเท้าจนหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพื่อรอรับชะตากรรมอันแสนโหดร้ายที่กำลังจะมาถึงตนในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

     

    ต่อให้ต้องถูกพวกมันเอาตัวไป...

    ต่อให้ต้องถูกเผาทั้งเป็นและตายอย่างทรมาน

    เธอก็ไม่กลัว

    ไม่เสียดายอีกต่อไปแล้วชีวิตนี้

    ในที่สุดก็จะได้กลับคืนสู่อิสรภาพที่แท้จริงซักที

     

    “จะได้...กลับสู่ อิสร...ภาพ แล้วสินะ...”

    สองขาเริ่มอ่อนแรง กายบางเอนเอียงไปมาเพราะเริ่มรับการทรงตัวที่เที่ยงตรงไว้ไม่ได้อีกต่อไป  หญิงสาวเริ่มรู้สึกมึน สติสัมปชัญญะเลือนรางลงทุกขณะ และแล้วทุกสิ่งที่มองเห็นก็ค่อยๆพร่ามัว...และมืดสนิทลงในที่สุด

     

    “ลาก่อนนะ...”

     

    ทุกอย่างต่อแต่นี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว...ฝากที่เหลือด้วยนะ  อุจิวะ ซาสึเกะ

     

     

    พี่ชาย...ที่ข้ารัก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×