ณ ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง แคว้นอสรพิษที่ซึ่งมีนินจาและนักดาบฝีมือดีอาศัยอยู่มาก วันหนึ่งมีเด็กเกิดใหม่ในหมู่บ้านที่อยู่ทางฝั่งตะวันออก นั่นคือหมู่บ้าน“Takamori” เด็กคนนั้นมีชื่อว่า “Batsukuza Nitabana” น่าเสียดายที่เด็กคนนี้ตาบอด2ข้างมาตั้งแต่เกิดแล้ว แม้จะเป็นเด็กพิการแต่พ่อแม่ก็ดูแลเอาใจใส่นิตะเป็นอย่างดี พยายามสอนการสื่อสารแบบคนตาบอด ใช้วิธีต่างๆนานาเพื่อส่งให้เข้าเรียนสูงๆ จนกระทั่งนิตะเรียนจบเขาจำเป็นต้องเข้าการสอบคัดเลือกประจำปีครั้งที่99 (สำหรับผู้ที่มีอายุ18ปีขึ้นไป) ที่จะคัดนักเรียนเพียง6คนเพื่อไปฝึกวิชาดาบและทักษะนินจา มีผู้คนมากมายที่มาร่วมการสอบครั้งนี้ คนส่วนใหญ่มักจะค่อนข้างมีฐานะดี พวกเขาแค่เหลือบตามองดูนิตะเพียงเพราะสงสารเท่านั้น ส่วนตัวเขานั้นไม่สนใจคนรอบข้างแล้วมั่นใจในตัวเองเนื่องจากนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้สอบผ่านเพื่อไปฝึกวิชาดาบนั่นเอง
เมื่อการสอบเริ่มขึ้น ทุกคนจะต้องเข้าไปในมิติที่สร้างขึ้นมา แต่ละคนจะถูกสุ่มไปลงในที่ๆแตกต่างกันแล้วแข่งกันอยู่ให้รอดเป็น6คนสุดท้ายในมิตินั้น(คนที่ตายในนั้นจะไม่ได้ตายจริงๆแต่จะถูกวาร์ปออกมานอกมิตินี้ทันที นั่นแปลว่าสอบไม่ผ่าน) นิตะได้เจอผู้คนมากมายแต่ด้วยประสบการณ์ของเขาทำให้เขาจัดการไปได้หลายคนจนเหลือเพียง7คนที่ยังเหลือรอด เขาในตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยมากจึงได้นั่งพัก แต่จู่ๆชายคนนึงพุ่งเข้ามาแล้วพยายามใช้กระจกปักไปที่หัวของนิตะ เขาที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบถีบตัวออกมาแล้วได้สู้กันอย่างดุเดือดแต่สุดท้ายนิตะก็พลาดท่าแล้วโดนสังหารไปในที่สุด นั่นทำให้เขาถูกวาร์ปออกมาด้านนอก
เมื่อการสอบได้จบลง นิตะเสียใจเป็นอย่างมากแต่ก็พยายามเก็บอารมณ์เอาไว้ ทันใดนั้นเองคนที่สอบผ่านคนนึงได้เข้ามาหานิตะ เขามีชื่อว่า “Imanari Kururuki” ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับคนที่ฆ่านิตะในตอนที่การสอบเหลือเพียง7คน เขารู้สึกปลื้มใจนิตะในเรื่องการต่อสู้เป็นอย่างมาก จึงได้ขอช่องทางติดต่อเอาไว้ด้วย
เมื่อนิตะกลับไปถึงบ้าน เขาก็รีบโผเข้าไปกอดพ่อแม่กับน้องๆ ทั้ง2แล้วบอกว่า “ผมรักทุกคนนะครับ” จากนั้นเขาก็รีบพุ่งตัวออกจากบ้านและหนีเข้าป่าไป
“Batsukumo Akibito” คือชื่อน้องคนกลางของนิตะที่มีอายุห่างกันเพียงปีเดียว จึงมีฝีมือดาบดีไม่แพ้ตัวพี่ชาย อะคิโตะรู้สึกเบื่อมากๆ ที่ไม่มีพี่มาเล่นฟันดาบด้วยกัน เล่นกับน้องคนเล็กก็ไม่ได้เพราะเด็กเกินไป (“Batsukuni Tarazagi” น้องคนเล็กของนิตะ อายุ11ขวบ) เนื่องจากไม่มีอะไรทำจึงได้แค่นอนเล่นคิดเรื่อยเปื่อยไปเท่านั้น
วันต่อมา อะคิโตะหายตัวไปจากบ้านโดยที่ได้ทิ้งข้อความฝากเอาไว้ว่า “ลาก่อนนะ” เมื่อพ่อแม่ได้เห็นก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แม้จะหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จึงทำได้แค่อวยพรให้ทั้ง2ไม่เป็นอะไรเท่านั้น
สาเหตุที่อะคิโตะออกไปคือต้องการไปตามหาตัวพี่ชายเพราะเขารักพี่ชายตัวเองมากแต่การแค่ตามหาคงไม่ทำให้เจอได้ง่ายๆ เขาจึงปลอมตัวและเข้าไปอาละวาดในหมู่บ้านที่อยู่ในระแวกนั้นเพื่อหวังเล็กๆน้อยๆแค่ว่าบางทีพี่ที่แสนดีจะมาจัดการตัวเขาได้แน่ แต่ความพยายามของเขาก็ไม่เป็นผลเท่าไหร่นักเนื่องจากทุกครั้งที่เขาออกมาอาละวาดก็มักจะมีนักดาบเข้ามาจัดการเสมอแต่เขาก็หนีไปได้ตลอดเช่นกันจนได้ฉายาว่า "ผู้หลบหนี"ผ่านไปนานวันเข้า อะคิโตะก็รู้สึกหมดหวังกับวิธีนี้แล้ว สุดท้ายเขาก็ล้มเลิกวิธีนี้และกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
วันหนึ่งอะคิโตะได้ไปเดินตลาด ระหว่างที่เขากำลังเดินซื้อของอยู่จู่ๆเขาก็เดินไปชนกับใครสักคนจนล้มลง คนคนนั้นได้ใช้ด้ามดาบทุบหัวของเขาจนสลบไปแล้วลักพาตัวเขาไป
ต่อมา เมื่ออะคิโตะรู้สึกตัวและฟื้นขึ้นมาได้ เขาก็ได้พบกับนิตะ เขาดีใจมากและพยายามที่จะพุ่งเข้าไปกอดแต่นิตะก็ถีบออกแล้วบอกไปว่า"พี่ผิดหวังในตัวแกเสียจริง ไปอาละวาดหมู่บ้านเขาทำไมล่ะ"เขาจึงถามพี่ชายไปว่า “แล้วทำไมพี่ถึงหนีออกมาจากบ้านกันล่ะ” นิตะจึงตอบกลับไปว่า “พี่ไม่จำเป็นต้องบอกแกหรอก อะคิโตะ” แต่เขาก็พยายามรบเร้าจนสุดท้ายนิตะก็ใจอ่อนและยอมบอกไปว่า “ฉันก็แค่อยากมาฝึกวิชาดาบในที่เงียบสงบก็เท่านั้นเพื่อจะได้สอบผ่านในปีหน้าไงล่ะ"ด้วยคำพูดนี้ทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจและพร้อมสำหรับการสอบของตัวเองในปีหน้าด้วย
ทั้งคู่ได้ฝึกซ้อมด้วยกันจนเหลือ1วันก่อนถึงการสอบคัดเลือกประจำปีครั้งที่100 นิตะได้บอกอะไรบางอย่างให้อะคิโตะ นั่นคือเขาโดนคนที่ชื่อ"Imanari Kururuki"หมายหัวอยู่ อะคิโตะที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรตอบไป
เมื่อถึงวันสอบคัดเลือก คนที่สอบผ่านไปแล้วก็สามารถมาเข้าการสอบได้อีกเพื่อเก็บดาว ผู้ใดมีดาวเยอะผู้นั้นยิ่งมีชื่อเสียงมาก หนึ่งในนั้นก็มีคุรุรุกิและอีก5คนที่สอบผ่านปีที่แล้วมาสอบอีกครั้งด้วย นิตะที่เห็นเพื่อนมาด้วยจึงได้เข้าไปทักแล้วกอดกัน คุรุรุกิได้ใช้จังหวะนี้ชวนนิตะกับเพื่อนอีก5คนไปในที่ที่ไม่มีคนอยู่แล้วพูดว่า “ขอโทษนะ แต่ฉันต้องทำมันจริงๆ” นิตะที่รู้อยู่แล้วก็เข้าใจเพื่อน ทั้งสองจึงได้ต่อสู้กันด้วยเหตุผลของตัวเอง
การต่อสู้ระหว่างสองคนนั้น ดูเหมือนว่าฝ่ายคุรุรุกิจะได้เปรียบมากกว่าเพราะพลังกระจกของเขาที่สามารถพลิกแพลงได้ต่างๆนานาและยังรวดเร็วอีกด้วย ทางฝั่งนิตะเริ่มจะสู้ไม่ไหวทำได้แต่ตั้งรับอย่างเดียวเพราะไม่อยากทำร้ายเพื่อน ทันใดนั้นก็มีชายปริศนาพุ่งเข้ามาหาคุรุรุกิอย่างรวดเร็วและปักดาบเข้ากลางหัวของเขาอย่างรุนแรง ทำให้คุรุรุกิ นักดาบปี1แห่งตระกูลอิมานาริเสียชีวิตในทันที
ชายปริศนาคนนั้นได้ถอดผ้าคลุมออกแล้วพบว่านั่นคืออะคิโตะ นิตะเสียใจที่คุรุรุกิตายไปแต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะถ้าอะคิโตะไม่มานิตะก็คงต้องตายเอง แต่ตอนนี้ยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นเนื่องจากยังเหลืออีก5คนที่ต้องจัดการเพื่อไม่ให้เอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศ ทั้งสองจึงได้ร่วมต่อสู้กัน
หลังจากพวกเขาจัดการคนพวกนั้นจนครบแล้ว พวกเขาก็รีบเก็บกวาดศพพวกนั้นโดยการนำไปฝังและกลบดินให้เรียบแล้วพวกเขาก็รีบเดินทางกลับไปยังการสอบคัดเลือกอีกครั้ง ในการสอบนั้นทั้งสองคนได้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายในการสอบจนในที่สุดพวกเขาก็สอบผ่านและได้เข้ารับการฝึกเป็นนินจากับวิชาดาบทำให้ตระกูลบาสึคุมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ย้อนกลับไปในระหว่างที่นิตะกับอะคิโตะกำลังเก็บกวาดศพอยู่ มี1ใน5คนที่ยังไม่ตายแต่สาหัสมากๆ คนนั้นได้พิมพ์ข้อความบอกไปว่า “คุรุรุกิโดนฆ่าตายแล้วนะ คนที่ฆ่าน่าจะเป็นคนในตระกูลบาสึคุ “จากนั้นก็ได้สิ้นใจไปเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
เวลาผ่านไปไม่นาน ทั้งสองที่ได้ฝึกวิชาดาบด้วยกันสามารถใช้ดาบได้อย่างชำนาญและคล่องแคล่ว (อะคิโตะใช้ดาบเล่มเดียวส่วนนิตะใช้ดาบคู่) เมื่อถึงวันที่ต้องกำหนดชุดที่อยากใส่เพื่อจะได้ให้ร้านไปตัดเย็บให้ (การไปทำภารกิจจำเป็นต้องใส่ชุดที่ตัดเย็บให้เท่านั้น) ทุกคนก็เลือกชุดในแบบของตัวเองและวันนั้นก็ผ่านไปตามปกติ
เมื่อชุดมาส่ง แต่ละคนก็ใส่ชุดของตัวเองพร้อมกับรับภารกิจด้วย (การรับภารกิจสามารถรับภารกิจเดี่ยว คู่ หรือทีมก็ได้) นิตะและอะคิโตะจึงรับภารกิจด้วยกัน ภารกิจนั้นก็คือการไปจัดการแก๊งค้ายาและสิ่งผิดกฎหมายที่หมู่บ้าน “Kisoma” นั่นเอง
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจัดการพวกแก๊งค้ายาอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังมาจากแถวๆ หมู่บ้านที่พวกเขาอยู่ เมื่อทั้งคู่ได้ยินก็รู้สึกใจหายวูบขึ้นมาทันทีพร้อมกับหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่ามีโดมกระจกบางอย่างกำลังครอบหมู่บ้านอยู่ ในเมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วจะนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ พวกเขาจึงรีบพุ่งตัวกลับไปหาบ้าน ทำลายโดมกระจกให้เป็นรูแล้วเข้าไปแต่ก็พบว่าหมู่บ้านนั้นพังราบเป็นหน้ากลองเสียแล้ว ผู้คนมากมายโดนฆ่าตายรวมถึงพ่อแม่ของนิตะด้วย นิตะรู้สึกโกรธแค้นคนฆ่ามากๆ ระหว่างที่เขากำลังจะพุ่งตัวไปเพื่อใช้พลังนั้น อะคิโตะก็เข้ามาห้ามไว้ซะก่อนแล้วบอกว่า “เดี๋ยวผมจัดการเองนะพี่ ผมรู้จักมันดี พี่หนีไปก่อนเถอะ” นิตะรู้ว่าอะคิโตะจะทำอะไรจึงฟังคำพูดน้องแล้วหนีไป
อะคิโตะพูดไปว่า “เจอกันอีกแล้วสินะ Shizantakabina Hananika” (ฮากะเป็นหัวหน้าตระกูลชิซังทากะบินะซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจมาก) ฮากะถามไปว่า “แกรู้ไหมว่าแกทำอะไรลงไป” อะคิโตะจึงตอบไปว่า “ไม่รู้สิแต่ผมคิดว่าผมทำถูกแล้ว” ฮากะได้ตอบไปว่า “แกฆ่าลูกเขยของฉันไงล่ะ อภัยให้ไม่ได้” จากนั้นฮากะก็เร่งพลังให้แรงขึ้น อะคิโตะที่เห็นแบบนั้นจึงถอยออกมาแล้วเปิดใช้พลังจากดาบของเขานั่นคือดาบ “จตุรงค์ทวารบาศก์” มีความสามารถในการควบคุมธาตุทั้ง4 (ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ) ได้ดั่งใจ การต่อสู้ของทั้งสองคนเป็นไปอย่างยากลำบาก (ท่าไม้ตายของฮากะคือกระจกย้อนแย้ง สามารถบิดเบือนความเป็นจริงของพื้นที่ในโดมได้โดยการสะท้อนรูปร่างของวัตถุภายในนั้น) อะคิโตะพยายามใช้พลังเพื่อทำลายโดมจากข้างในแล้วพุ่งเข้าไปตัดคอ ทันใดนั้นจู่ๆ นิตะก็พุ่งเข้าไปฟันฮากะทำให้ฮากะต้องสละพลังส่วนหนึ่งเพื่อใช้กระจกสะท้อนการโจมตีนั้นออกไป ส่งผลให้โดมกระจกย้อนแย้งอ่อนพลังลง อะคิโตะจึงสามารถระเบิดโดมได้สำเร็จแล้วทั้งสองก็รวมพลังเพื่อนำดาบของตนฟันฮากะพร้อมกัน ฮากะที่หมดพลังไปกับกระจกย้อนแย้งแล้วจึงได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายในการสร้างกระจกมาคลุมรอบตัว หากมีอะไรมาสัมผัสสิ่งนั้นจะถูกดูดไปอยู่ในกระจกและถ้ากระจกนั้นถูกทำลาย สิ่งที่อยู่ในนั้นจะหายไปด้วย นิตะที่เห็นกระจกแปลกๆ จึงสั่งห้ามอะคิโตะไม่ให้เข้าใกล้ อะคิโตะจึงใช้ดาวกระจายปาใส่ดูรอบๆตัว จู่ๆกระจกที่ครอบตัวฮากะก็ระเบิดออกเป็นโดมขนาดยักษ์แล้วดูดเข้าจุดศูนย์กลางจนหายไป สุดท้ายฮากะก็ได้ตายลงในที่สุด
หลังการต่อสู้ครั้งนี้จบลง แม้พ่อแม่ของนิตะจะจากไปแล้วแต่เมื่อพวกเขาได้ไปหาตัวผู้รอดชีวิตก็ดันพบกับทาซากิ (น้องคนเล็ก อายุ12ขวบที่เพิ่งเริ่มจับดาบ) ทั้งคู่จึงช่วยดึงน้องออกมาและทั้งสามก็ต้องออกเดินทางไปหาหมู่บ้านใหม่เพราะที่นี่ไม่เหลืออะไรแล้วนั่นเอง
หลังจากทั้ง3เดินกันไปได้สักพักก็เจอกับหมู่บ้านที่ชื่อ “Shinsoto” เมื่อเข้าไปก็ได้เจอกับญาติของครอบครัวตัวเองที่ชื่อ “Kurosawa Azabata” อาซะตะได้รับอุปการะทั้ง3คนนี้และทั้งหมดนั้นได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
6ปีต่อมา ทาซากิเรียบจบและอายุครบ18ปีแล้ว พร้อมที่จะเข้ารับการสอบคัดเลือกในอีก1เดือนข้างหน้า พี่ๆทั้งสองก็ช่วยทาซากิฝึกซ้อมการใช้ดาบมาเรื่อยๆ จนอยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนอยู่ ทันใดนั้นเองลมก็เริ่มพัดแรงและมีเสียงระเบิดดังออกมา ทั้งสามที่ได้ยินจึงรีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ พบว่ามีกองทัพขนาดมหึมากำลังใกล้เข้ามาหาหมู่บ้านทั่วทุกทิศทาง นิตะที่เห็นแบบนั้นจึงบอกทุกคนว่า “ถอยไป ถอยไปเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวพี่จะใช้พลังนั้นเอง” น้องๆ สองคนก็ไม่ยอมให้เขาใช้เพราะถ้าใช้พลังนี้นิตะจะตายแต่เขาก็บอกว่า “พี่อยากบอกน้องๆ ว่าพี่ ไม่เคยเสียใจเลยนะที่ได้เกิดมา ขอให้โชคดีล่ะ” จากนั้นเขาก็ใช้ดาบแห่งแสงและดาบแห่งเงาของเขาตัดคอตัวเอง เมื่อนิตะได้เสียชีวิตลง แสงจากฟากฟ้าและเงาจากทั่วปฐพีได้มารวมกันที่ร่างของเขาและระเบิดออกไปทั่วทั้งดาวเคราะห์จนกองทัพพวกนั้นสูญสลายมลายหายไปจนหมดสิ้น
อะคิโตะและทาซากิที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกขอบคุณนิตะมากๆ ที่อุตส่าห์ปกป้องดาวเคราะห์แม้จะต้องแลกกับชีวิตตนเองก็ตาม (ทุกคนก็ต่างร้องไห้ที่เสียนิตะไป)
หลังจากเหตุการณ์นั้นมีผู้เสียชีวิตเยอะมากเนื่องจากการมาบุกรุกของใครสักคน ทั้งอะคิโตะและทาซากิรวมถึงคนอื่นๆ ได้ช่วยกันเก็บกวาดและดูแลความเสียหายรอบๆ แคว้น (การใช้พลังของนิตะที่เป็นการปลิดชีพตัวเองมีชื่อว่า “Eclipse of Oblivion” ไม่ส่งผลต่อผู้คนปกติ มันจะส่งผลเฉพาะสิ่งที่นิตะอยากให้โดนเท่านั้น)
การตายของนิตะเป็นสิ่งที่ผู้คนในดาวเคราะห์นั้นจะไม่มีวันลืมเลือน "จากความมืดมิดแห่งโชคชะตา สู่แสงสว่างแห่งความหวัง เด็กผู้ไร้การมองเห็นได้กลายเป็นผู้ที่สามารถนำพาดาวดวงนี้ให้รอดพ้นจากหายนะได้ในที่สุด" เรื่องราวการเดินทางของ “บาสึคุสะ นิตะบานะ” ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้…
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น