ประชาธิปไตยในอดีตจนถึงปัจจุบันของไทย ยังไม่มียุคสมัยไหนที่จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้เลย ผมขอกล่าวตั้งแต่อดีตเลยนะครับ ตั้งแต่สมัย ร.7 เลย
ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ที่มี
แค่กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองมีความรู้มากกว่าชาวบ้าน และดูถูกบ้านเมืองของตัวเองว่าไม่มีประชาธิปไตย ขอโทษนะครับที่ผมต้องพูดตรงๆ แบบนี้ เพราะผมไม่เคยมีความรู้สึกชื่นชมพวกคณะราษฎรบ้าบออะไรนี่ แม้แต่นิดเดียว (เผลอๆ อาจจะเกลียดอีกด้วย) พวกคุณบังอาจเหลือเกินที่ไปขออำนาจอธิปไตยจากในหลวง ทั้งๆที่บ้านเมืองยังไม่พร้อมแท้ๆ คุณคิดหรือว่าแค่พวกคุณกลุ่มหนึ่งจะทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้นมาได้ ผมเรียนหนังสือ ศึกษาจากตำรามาหลายเล่ม พบว่ากลุ่มคนพวกนั้นเพียงแค่ต้องการแสดงให้เห็นว่า "พวกข้าเป็นคนเรียกร้องประชาธิปไตยให้พวกแกหนาเว้ย ขอบคุณข้าสิ" บ้านเมืองยังไม่พร้อมแท้ๆ ผมนับถือ ร.7 มากทีเดียว เพราะว่าพระองค์ท่านจะไม่ยอมก็ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าไอ้พวกบ้า ร้อนวิชา จบมาจากเมืองนอกมันจะทำอะไรที่จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายบ้าง (ผมอยากตำหนิท่านปรีดี ก็แค่ตรงนี้แหละครับ ตัวผมเองก็เคารพท่านปรีดีเหมือนกัน ขออภัยนะครับ)
พอได้ประชาธิปไตยของพวกมันมาแล้ว ผมยังไม่เห็นเลยว่ามันจะทำให้ประเทศชาติดีขึ้นตรงไหนเลย(ในตอนนั้น) ผมพอจะทราบจากอ.ที่สอนผมมาบ้างว่าพระองค์ท่านก็กำลังที่จะมอบอำนาจอธิปไตยคืนให้ประชาชน เพียงแต่ว่าในขณะนั้น คนไทยยังไม่มีความพร้อมสำหรับประชาธิปไตยเลย สงสัยคงจะร้อนวิชามากจนถึงขนาดลืมหลักการที่สำคัญที่สุดว่า "ประชาธิปไตยจะสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อประชาชนทุกคนมีความรู้และมีการศึกษา (และมีวุฒิภาวะทางการเมืองอย่างครบถ้วน)" นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกครับ (จริงๆ ก็มีคนเล่าแก้ตัวเกี่ยวกับคณะราษฎรให้ผมฟังเหมือนกันครับ ผมก็ฟังนะครับ แต่เหตุผลที่เขาให้ผมฟังทั้งหมดนั้น
ฟังไม่ขึ้นครับ
•• แต่เท่าที่ "เซี่ยงเส้าหลง" ศึกษามา
แนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรืออย่างน้อยก็คือจัดให้มี
รัฐสภา ให้มี
รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร เกิดขึ้นจากทั้ง
2 ทาง โดยเฉพาะทางด้าน
ในหลวงรัชกาลที่ 7 นั้นทรงมีพระราชปณิธานปรากฏเป็นหลักฐานต่อสาธารณะมาตั้งแต่
ปี 2474 ที่จะให้
ปีครบรอบ 150 ปีแห่งการก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ
ปี 2475 เป็น
ปีพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ก็
ไม่สำเร็จ เพราะถูกยับยั้งจาก
สภาคณะอภิรัฐมนตรี เรื่องนี้
คณะราษฎร จะ
รู้ หรือ
ไม่รู้ เชื่อว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่จะต้องนำมาอภิปรายกันยืดยาว
ท่านปรีดี พนมยงค์ เองยืนยันในข้อเขียนหลายชิ้นว่า
รู้ในภายหลัง ส่วนแนวคิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองทางด้าน
คณะราษฎร นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่
เดือนกุมภาพันธ์ 2469 ณ หอพักชื่อ
Rue du summerardใน
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กลุ่มผู้ร่วมหารือเป็นครั้งแรกประกอบไปด้วย
ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี, ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ (ต่อมาคือ
หลวงพิบูลสงคราม หรือ
จอมพลป. พิบูลสงคราม), ร.ต.ทัศนัย มิตรภักดี, นายตั้ว ลพานุกรม, หลวงศิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี), นายแนบ พหลโยธิน และ
ท่านปรีดี พนมยงค์ ที่แน่ ๆ ก็คือเมื่อเป็น
เป้าหมายร่วมกันของทั้ง 2 ทาง จึงมีผลให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไป
โดยสันติ ไม่ถึงกับ
เลือดนองท้องช้าง และยังเป็นการส่งผ่านอำนาจที่
งดงาม, อารยะ ดังที่ "เซี่ยงเส้าหลง" เคยบอกเล่ามาครั้งหนึ่งแล้ว --- ใช้มาได้ยังไงครับคำนี้
งดงาม, อารยะ ช่างไม่ละอายเลย)
ผมขอข้ามไปถึงตอนปัจจุบันเลยนะครับ ถ้าเล่ามันก็คงไม่ใช่เรื่องสั้นแล้วล่ะครับ อย่างที่ผมบอกว่าการเมืองไทยมันล้มเหลวมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะว่าฐานไม่มั่นคง เริ่มมามันก็ไม่ดีแล้ว มีการยึดอำนาจ รัฐประหาร ปฏิวัติ ยุบสภา ฯลฯ ถึงขนาดลอบสังหารนายกฯก็ยังมีมาแล้ว (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) จวบจนถึงบัดนี้
อำนาจกับความจัดเจน
ก่อนถึงอสัญกรรมไม่ถึง 3 ปี ท่านปรีดี พนมยงค์ให้สัมภาษณ์นิตยสาร Asia Week ฉบับวันที่ 28 ธันวาคม 2523 ไว้ตอนหนึ่งดังนี้
"ในปีค.ศ. 1925 เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้ว และได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี ข้าพเจ้าไม่มีความจัดเจน และโดยปราศจากความจัดเจน บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา
ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย
ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี...
"ในปีค.ศ. 1932 ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน...
"และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ"
วาจาอมตะนี้ถือได้ว่าเป็นการวิจารณ์ตนเองอย่างกล้าหาญของรัฐบุรุษอาวุโสวัย 80 ปี ณ วันนั้น แม้แต่ตัวท่านปรีดียังกล่าวเองเลยว่าท่านขาดความ "จัดเจน" จริงๆ ในยุคปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นกลาง นายกก็ทำอะไรให้ประเทศมามากพอสมควร ซึ่งถ้าฟังที่นายกกล่าวจะเห็นว่ามีมากมายจริงๆ (แต่ที่เป็นรูปเป็นร่างจริงๆ มีแค่กี่อย่างไม่รู้!) นโยบาย "ประชานิยม" ของนายก ล้วนแล้วแต่เป็นที่ถูกอกถูกใจของชนชั้นรากหญ้าทั้งนั้น (รวมถึงชนชั้นนายทุนด้วย) เช่น กองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้าน 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา โครงการเอื้ออาทร ฯลฯ ซึ่งชาวบ้านหารู้ไม่ว่า นั่นคือเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เงินของนายกหรอกครับ ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงมันก็เหมือนกับการ "ซื้อเสียง" อย่างถูกกฎหมายนั่นแหละครับ รัฐบาลกำลังส่งเสริมให้เศรษฐกิจดีขึ้น โดยมุ่งให้คนไทยใช้เงิน ดูเหมือนเศรษฐกิจจะคล่องตัวนะครับ แต่จริงๆ แล้วเพราะนายกหมุนเงินเก่งต่างหาก ถ้าหากนายกลาออกสภาพเศรษฐกิจของไทยจะ "ทรุด" ลงทันที นายกจึงต้องพยายามยื้อเก้าอี้สุดชีวิต เพราะกลัวเรื่องที่จะเข้าทำนอง น้ำลด ตอผุด นั่นแหละครับ
เรื่องกองทุนของสิงคโปร์ นี่จะเห็นได้ชัดเจนที่สุด มันตั้งใจมาครอบครองประเทศเราชัดๆ ผมกล้าพูดคำนี้เลย การกระทำมันบอก แต่เราจะโทษสิงคโปร์อย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ ถ้าคนของเราไม่ไป "ขาย" ให้เขา แล้วเขาจะซื้อได้อย่างไร ผมรับไม่ได้จริงๆ กับการกระทำเช่นนี้ แม้แต่นายกเองยังให้ความกระจ่างกับผมไม่ได้ว่า ขายให้เขาไปแล้วประเทศไทยได้อะไร และเสียอะไรไป ถ้านายกออกมาอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดๆ โดยไม่ต้องมาอ้างว่า "ผมขายแล้วไม่ต้องเสียภาษี ไม่ผิดกฎหมาย" ใช่ครับ ไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดจริยธรรมครับ
ผมไม่เข้าใจว่า กลุ่มพันธมิตรรักนายกกับสมัชชาคนจน เป็นกลุ่มเดียวกันหรือเปล่านะ เขายอมลำบากเพื่อนายกได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ น่าประทับใจนะครับ แต่ผมว่าไม่คุ้มเลย จะมาทำไมให้เสียงานเสียการล่ะครับ เหตุผลมาเพียงแค่ "มาให้กำลังใจนายก" มันจะกลายเป็นม๊อบชนม๊อบแน่นอนครับ รัฐบาลไม่รักษาคำพูดนะครับ ผมจำได้ว่าคนในรัฐบาลรักษาการณ์เคยพูดไว้ว่า "เราจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ม๊อบชนม๊อบ ถ้าเราคิดจะจัดอีกม๊อบ เราทำไปนานแล้ว" น่าน รัดคอตัวเองแล้วครับ ชาวบ้านที่มาให้กำลังใจนายกกล้าพูดรึเปล่าครับว่ามาเพื่อให้กำลังใจนายก ด้วยใจจริงจนถึงขนาดยอมตายแทนได้!!! ขอโทษที่ออกจะพูดแรงไปหน่อย แต่ประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์หรอกครับ ถ้าประชาชนไม่มีความรู้ ผมกล้าพูดเลยว่าชาวบ้านที่มาให้กำลังใจนายกนั้น แทบจะนับคนได้เลยกับคนที่จะรู้จักคำว่า "ดาวเทียม" และ "เทมาเส็ก" แม้แต่คำว่า "ซุกหุ้น" "ฟอกเงิน" "บริทิช เวอร์จิ้น" พวกเขาจะรู้จักกับคำนี้กันสักกี่คนเชียว
แต่กับกลุ่มที่จะมาไล่นายกนั้น เห็นได้ชัดว่าบางกลุ่มนั้นเป็น "ผู้ขัดผลประโยชน์" กับรัฐบาล แต่บางคนนั้น เขาก็มาเพราะปัญหาคาใจที่นายกไม่สามารถให้คำตอบได้ เขาต้องการคำตอบ ต้องการรู้ว่าที่ทำไปนั้นเพราะอะไร เรื่องส่วนตัวเหรอครับ? ถึงบอกไม่ได้.......ผมไม่ขอเล่านะครับ
ที่พูดมาเนี่ยก็แค่อยากระบายอารมณ์อ่ะครับ ขอให้ทุกฝ่ายมีเหตุผล นึกถึงประเทศชาติให้มากๆ นึกถึงในหลวงของเราให้มากๆ อย่าคิดเอาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวนะครับ ระวังกรรมจะตามทัน ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญครับ.......
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น