ประวัติถุงยางอนามัย.......!!! - ประวัติถุงยางอนามัย.......!!! นิยาย ประวัติถุงยางอนามัย.......!!! : Dek-D.com - Writer

    ประวัติถุงยางอนามัย.......!!!

    มารู้จักถุงยางอนามัยให้ลึกซึ้งด้วยการอ่านประวัติของมันจ้า......

    ผู้เข้าชมรวม

    2,803

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    2.8K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 เม.ย. 50 / 03:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ประวัติถุงยางอนามัย



      ถุงยางอนามัยมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมาก ซึ่งจะขอสรุปสั้นๆดังนี้นะครับ


           1000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์ได้ใช้ถุงผ้าลินิน แต่ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าใช้โดยจุดประสงค์เหมือนกับถุงยางอนามัยในปัจจุบัน หรือเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา


           คริสต์ศักราช 100-200 ได้มีหลักฐานปรากฏว่าได้เริ่มมีการใช้ถุงยางอนามัยกันแล้วในแถบยุโรป โดยพบภาพเขียนผนังถ้ำที่ Cambarelles ประเทศฝรั่งเศส


           คริสต์ศักราช 1500 ประเทศอิตาลีได้มีการวิจัยโดย Gabrielle Fallopius พบว่าการใช้ถุงผ้าลินินนั้นใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค และต่อมาได้พบว่าใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ด้วย


            คริสต์ศักราช 1700 ได้มีการพูดถึงที่มาของชื่อ Condom ว่ามีที่มาอย่างไร บางความเชื่อคิดว่ามาจากชื่อของ Dr.Condom ซึ่งได้ผลิตถุงทิชชูใช้สำหรับสัตว์ถวายพระเจ้า Charles ที่ 2 แห่งอังกฤษ สำหรับความเชื่ออื่นเชื่อว่ามาจากชื่อ Dr.Condon หรือ Colonel Cundum ซึ่งมาจากภาษาลาตินคำว่า Condom ซึ่งแปลว่าภาชนะที่รองรับ


            คริสต์ศักราช 1844 Goodyear and Hancock ได้เริ่มผลิตถุงยางอนามัยโดยทำจากยางที่มีส่วนผสมของกำมะถัน ซึ่งมีทั้งความแข็งแรงและความยืดหยุ่น


            คริสต์ศักราช 1861 ได้มีโฆษณาเกี่ยวกับถุงยางอนามัยเกิดขึ้นครั้งแรกโดยหนังสือพิมพ์ The New York Time ในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยข้อความว่า "Dr. Power's French Preventatives."  


            คริสต์ศักราช 1873 The Comstock Law ได้ห้ามมิให้โฆษณาอุปกรณ์ในการคุมกำเนิดทุกชนิด รวมทั้งอนุญาติให้ไปรษณีย์สามารถริบถุงยางอนามัยที่จำหน่ายทางพัสดุได้


            คริสต์ศักราช 1880 ได้มีการผลิตถุงยางอนามัยแบบ Latex ขึ้นมาครั้งแรก แต่เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายในปี 1930


            คริสต์ศักราช 1900 Social hygienists ได้พยายามต่อสู้เพื่อยกเลิกข้อห้ามการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นผลจากการที่ทหารอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการติดเชื้อจากโรคทางเพศสัมพันธ์ที่ค่อนข้างสูง ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารอเมริกามากกว่า 70% ก็ได้ติดโรคทางเพศสัมพันธ์เช่นกัน ดังนั้นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจึงได้เริ่มรณรงค์ให้มีการใช้ถุงยางอนามัยตั่งแต่นั้นมา


           
      คริสต์ศักราช 1960 ได้มีการปฏิวัติในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งผลให้ความนิยมในการใช้ถุงยางอนามัยลดน้อยลง และพบว่าเยาวชนนิยมมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย


           คริสต์ศักราช 1980 ได้พบการระบาดของเชื้อ HIV หรือเรียกกันว่าโรค AIDS ซึ่งเป็นผลให้ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เริ่มตระหนักและหันมานิยมใช้ถุงยางอนามัยอีกครั้งหนึ่ง


           คริสต์ศักราช 1990 ได้มีการผลิตถุงยางอนามัยออกสู่ตลาดจำนวนมาก และมีหลายแบบให้เลือก ทั้งที่มีสีสันแปลกๆ ผิวเรียบและไม่เรียบ มีกลิ่นและรสผลไม้ รวมทั้งมีรูปทรงที่แปลกๆมากขึ้น  









       ปัจจุบัน ถุงยางอนามัยได้มีการพัฒนาให้มีรูปร่าง สีสัน และกลิ่นต่างๆออกมาให้เลือกใช้กันหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบได้เน้นวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่ต่างกัน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นอารมณ์รักให้เร้าใจยิ่งขึ้น โดยขึ้นอยู่กับสรนิยมของแต่ละท่านว่าจะเลือกใช้แบบไหน


           ถุงยางอนามัยที่จำหน่ายในประเทศไทยจะมีทั้งแบบผิวเรียบและไม่เรียบ มีสารหล่อลื่น ผสมสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีหลายสี รวมทั้งยังมีกลิ่นและรสผลไม้ให้เลือกตามความพอใจ แต่สำหรับต่างประเทศถุงยางอนามัยที่จำหน่ายจะมีแบบแปลกๆให้เลือกหลายชนิด เช่นแบบเรืองแสงในที่มืด แบบริวไม่เรียบที่มีลักษณะรูปร่างที่แปลกๆ เพื่อเน้นการกระตุ้นจุดสัมผัสรักให้ฝ่ายหญิงโดยเฉพาะ




           ขนาดถุงยางอนามัยโดยทั่วไป จะมีขนาดตั้งแต่ 44-56 mm ความหนา 0.05-0.08 mm โดยมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 200 mm (ตามข้อกำหนดต้องยาวไม่ต่ำกว่า 160 mm) แต่ที่วางจำหน่ายสำหรับคนไทย ส่วนใหญ่จะมี 2 ขนาดคือ 49 mm และ 52 mm (ขนาดใหญ่และใหญ่พิเศษ แอบเข้าข้างคนไทยนิดหน่อย) 
           

           การวัดขนาดของถุงยางอนามัย จะใช้วิธีการวางถุงยางให้แบนราบกับพื้นและวัด หรืออีกความหมายหนึ่งนั่นคือการวัดเส้นรอบวงและหารด้วยสองนั่นเอง  


           ดังนั้นคุณสามารถวัดขนาดเส้นรอบวงของอวัยวะเพศคุณและหารด้วยสอง ก็จะได้ขนาดอ้างอิงในการเลือกซื้อถุงยางอนามัย เช่นเส้นรอบวงของคุณคือ 152 mm (ประมาณ 6 นิ้ว) หารด้วยสอง เท่ากับ 76 mm เมื่อซื้อถุงยางอนามัย คุณก็สามารถเลือกซื้อแบบ 52 mm ได้เพราะถุงยางอนามัยจะมีการขยายตัวอีก ทำให้คุณสามารถใช้ขนาดนี้ได้โดยไม่อึดอัด




           การใช้ถุงยางอนามัยจุดประสงค์หลักคือ การคุมกำเนิดและการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันที่เชื่อถือได้

           การเลือกใช้ถุงยางอนามัยมีขั้นตอนดังนี้
           1. วัดขนาดของตนเองก่อนว่าเหมาะกับถุงยางอนามัยขนาดไหน
           2. เลือกชนิดที่ต้องการ เช่นผิวเรียบ ผิวไม่เรียบ สีและกลิ่นที่ชอบ
           3. ดูวันที่ผลิตและวันหมดอายุ รวมทั้งลักษณะการจัดเก็บของร้านว่าจะมีส่วนทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมหรือไม่
           4. เมื่อได้ถุงยางอนามัยแล้วก่อนใช้งานควรเก็บไว้ในที่ที่เหมาะสมไม่โดนความร้อน เช่นเก็บในรถที่จอดตากแดด

           ขั้นตอนการใช้งาน
           1. การใส่ถุงยางที่ถูกต้องคือต้องใส่ในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวอย่างเต็มที่
           2. การฉีกซองต้องระวังอย่าให้ถูกขีดข่วนจากเล็บ ขอบซองบรรจุ รวมทั้งเครื่องประดับเช่นแหวนและนาฬิกา
           3. คลี่ถุงยางออกโดยประมาณ 2 ซม. ระวังอย่าคลี่ถุงยางออกผิดด้าน
           4. บีบที่ปลายกระเปาะเพื่อไล่อากาศออก ป้องกันถุงยางแตกในขณะร่วมเพศ
           5. ก่อนใส่ให้รูดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้เปิดเต็มที่และนำถุงยางอนามัยมาครอบที่ส่วนหัว โดยยังบีบที่ปลายกระเปาะอยู่
           6. ค่อยๆรูดถุงยางอนามัยให้สุดโคน โดยสังเกตุว่าที่ปลายกระเปาะจะต้องแบนไม่มีอากาศ
           7. หลังจากนั้นก็ xxx
           8. เมื่อเสร็จกิจแล้ว ให้รีบถอนอวัยวะเพศก่อนที่จะอ่อนตัว เพราะจะทำให้อสุจิรั่วออกมาและอาจไหลไปที่ปากช่องคลอดได้ (ถ้าบังเอิญมีตัวที่เก่งสามารถวิ่งมาราธอนได้อะไรจะเกิดขึ้นล่ะ) โดยให้จับที่ขอบถุงยางอนามัยไว้ด้วยเพราะอาจจะถูกหนีบจนหลุดได้ในขณะที่ถอนอวัยวะเพศออก โดยระวังอย่าให้น้ำหล่อลื่นจากฝ่ายหญิงถูกที่อวัยวะเพศและมือ เพราะอาจจะทำให้ติดโรคติดต่อได้
           9. ห่อด้วยกระดาษทิชชูและทิ้งลงถังขยะ อย่าทิ้งลงในชักโครกเพราะจะทำให้ชักโครกตันได้



      คุณสมบัติ
      1. เป็นเยื่อบางๆ คลุมอวัยวะเพศชายที่แข็งตัว เพื่อเก็บน้ำอสุจิไว้ไม่ให้ผ่านเข้าช่องคลอด
      2. บางชนิดมียาซ่าเชื้ออสุจิ เชื้อเอดส์ หรือมีสารหล่อลื่นเคลือบอยู่ด่วย

      ข้อดี
      1. หาซื้อง่าย หากปฏิบัติถูกต้องจะมีประสิทธิภาพสูง
      2. ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      3. ให้โอกาสฝ่ายชายเป็นผู้คุมกำเนิด
      4. ไม่รบกวนภาวะการเจริญพันธ์ หรือประจำเดือน
      5. อาจช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูก

      ข้อเสียและข้อควรระวัง
      1. อาจเกิดอาการแพ้ ลื่นหลุด หรือฉีกขาดโดยเฉพาะหากฉีกซองถุงยางอนามัยโดยไม่ระวัง หรือถุงยางหมดอายุ
      2. ทำให้ขั้นตอนการมีเพศสัมพันธ์ไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นธรรมชาติ
      3. เมื่อเสร็จกิจฝ่ายชายต้องรีบถอนอวัยวะเพศออกและต้องถอดถุงยางด้วยความระมัดระวัง มิฉนั้นน้ำอสุจิอาจเปรอะเปลื้อน

      ผู้ที่ควรใช้และห้ามใช้
      1. คู่หญิง-ชาย ที่มีเพศสัมพันธ์นานๆครั้ง
      2. วัยรุ่น หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      3. กรณีที่ไม่แน่ใจว่าตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ หรือรอเพื่อเริ่มต้นคุมกำเนิดวิธีอื่น

      ความสะดวก
      1. ราคาถูกสามารถหาซื้อง่ายตามร้านทั่วไป โดยไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์
      2. แพทย์และเภสัชกรสามารถให้คำปรึกษาได้

      ผลการคุมกำเนิด
      1. ผู้ปฏิบัติถูกต้อง 98%
      2. ผู้ใช้โดยเฉลี่ย 88%




      ปล. หวังว่าเพื่อน ๆ เมื่อได้อ่านบทความนี้แล้วคงจะมีความรู้เพิ่มมากขึ้นไม่มากก็น้อยนะคะ ขอขอบคุณ(WWW.thaisexyclub.com)ค่ะ

      อย่าลืมเม้นท์ให้กันด้วยนะคะ เพื่อเป็นกำลังใจแก่ลูกหมูตาดำ ๆ ขอบคุณล่วงหน้าเลยเจ้าค่ะ บ๊าย บาย...............อิ อิ











      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×