สัตว์สวนป่วนบ้าน - สัตว์สวนป่วนบ้าน นิยาย สัตว์สวนป่วนบ้าน : Dek-D.com - Writer

    สัตว์สวนป่วนบ้าน

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลองแต่งเรื่องแรก เนื่องจากเป็นคนชอบสัตว์ก็เลยกะว่าน่าจะลองเขียนดูโดยในเรื่องจะเป็นการผูกเรื่องเล่าของบรรดาสัตว์ต่างๆที่มีชีวิตแบบโหดมันฮาในแบบที่คุณคาดไม่ถึง

    ผู้เข้าชมรวม

    169

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    169

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 พ.ค. 51 / 21:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      สัตว์สวน ป่วนบ้าน

      ตอนที่ ๑

      สู่โลกกว้าง

      “ไงลูก อยู่บ้านวันนี้ยังได้ยินเสียงจากใต้ฝ้าอยู่หรือเปล่า” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเปิดประตูเข้าบ้านก่อนจะวางกระเป๋าทำงานของเขาลงข้างๆประตู ลูกชายของเขาซึ่งกำลังดูทีวีอยู่ผงกหัวเร็วๆหนึ่งครั้งก่อนจะปิดทีวีแล้วเดินไปหาพ่อของเขาซึ่งกำลังถอดรองเท้าคัทชูสีดำที่เขาเพิ่งขัดให้เมื่อวาน

                      “เสียงดังมากเลยพ่อ โดยเฉพาะตอนกลางวัน อย่างกับกำลังวิ่งมาราธอนกันเลย”

                      “แย่จังแหะ นี้ก็เข้าช่วงหน้าฝนแล้วด้วย สงสัยต้องเลื่อยกิ่งทิ้งอีกแล้วซิเนี่ย เตรียมตัวให้พร้อมในวันเสาร์นี้ซะล่ะ”

                      “คร้าบ” ลูกชายของชายวัยกลางคนตอบรับอย่างเกียจคร้าน ก็แหงล่ะ วันหยุดทั้งทีใครๆก็อยากนอนเอกเขนกลงโซฟาดูทีวีหรือไม่ก็พักผ่อนบ้าง แต่สำหรับบ้านหลังนี้มันคือวันประกาศศึกระหว่างคนกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่สร้างความรำคาญให้พวกเขาอย่าง “หนู”

                      เมื่อสองเดือนก่อน มีมี่หนูเพศได้ย้ายเข้ามาอยู่ใต้หลังคานี้พร้อมๆกับหนูตัวอื่นอีกสองสามตัวซึ่งมีบริเวณหากินใกล้ๆกัน และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นางก็ตกหลุมรักกับหนูรุ่นตัวหนึ่งแบบโงหัวไม่ขึ้นจนกระทั่งท้องกันในเวลาต่อมา ขณะนี้นางท้องมาได้ประมาณสองเดือนกว่าๆแล้วและตอนนี้นางก็รู้สึกได้ว่า เจ้าตัวเล็กที่มันอุ้มท้องอยู่กำลังส่งสัญญาณบอกว่า “แม่ หนูอยากออกแล้วอ่ะ อยู่ในนี้มันเบียดเสียดกันเกินไปแล้ว” และในคืนนั้นเมื่อครอบครัวของบ้านหลังที่นางอาศัยอยู่เข้านอนกันหมดแล้ว นางก็เริ่มให้กำเนิดลูกๆทันที

                      เป็นเวลากว่าสิบนาทีที่มีมี่วิ่งพล่านไปทั่วเหมือนหนูติดจั่นซึ่งทุกๆหนึ่งนาทีจะมีลูกของนางหลุดออกมาหนึ่งตัว ที่ครั้งที่นางออกแรงเบ่งเพื่อให้กำเนิดเจ้าตัวเล็กทั้งหลายนั้นนางจะรู้สึกเหมือนกับมีค้อนขนาดมหึมาบดทับท้องของนางจนแทบจะแหลกเหลวและขณะเดียวกันนางก็รู้สึกเหมือนโดนมีดขนาดใหญ่กรีดท้องของนางอยู่ด้วยเช่นกัน เมื่อความทรมานหมดไป มีมี่ก็พบว่านางได้ให้กำเนิดลูกๆออกมาทั้งหมดสิบตัวซึ่งไม่ได้มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับนางแม้แต่นิดเดียวเพราะแต่ละตัวนอกจากไม่มีขนแล้วยังมีสีแดงเหมือนกับลูกพุทราสุกขนาดจิ๋วอีกด้วย แต่มีมี่ไม่ได้สนใจกับเรื่องเหล่านั้น นางรีบเลียลูกๆเพื่อทำความสะอาดจนครบทุกตัวก่อนจะบรรจงคาบลูกแต่ละตัวของนางมาไว้ใกล้ๆหัวนมเพื่อให้อาหารมื้อแรกของเจ้าตัวเล็กเหล่านั้น

                      “เฮ้อ เหนื่อยจริงๆ ว่าแต่แม่จะตั้งชื่อให้พวกเจ้ายังไงดีน้า” ในขณะที่มีมี่กำลังคิดถึงเรื่องตั้งชื่ออยู่นั้น นางก็ได้กลิ่นของหนูใกล้เข้ามาสองตัว ตัวหนึ่งเป็นพ่อของลูกหนูหรือแฟนของมีมี่ชื่อว่าดินส่วนอีกตัวหนึ่งดูเหมือนจะเป็นคู่ควงใหม่ของมัน

                      “ไงมีมี่ ฉันพาเพื่อนตัวใหม่มาให้เธอรู้จักนะ นี่คือข้าว เธอจะมาอยู่กับเราซักพัก….หืมม์” ดินทักพลางทำจมูกฟุดฟิดใกล้ๆกับมีมี่ หนวดของมันกระตุกเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นจากตัวลูกหนูเกิดใหม่ “โห เธอคลอดแล้วนี่ เมื่อไหร่ล่ะ”

                      “เมื่อคืนนี้เอง ไงน่ารักใช่ไหมล่ะเจ้าตัวเล็กพวกนี้น่ะ” มีมี่เลียปากของดินเพื่อแสดงความห่วงใยโดยที่ยังไม่รู้ว่าดินกับข้าวนั้นมีแผนอะไรอยู่

                      “ขอฉันดูลูกๆของเธอหน่อยได้ไหม มีมี่” ข้าวทำจมูกฟุดฟิดอยู่ครู่หนึ่งใกล้ๆกับลูกของเธอตัวหนึ่ง และก่อนที่มีมี่จะทันทำอะไรได้นั้น ข้าวก็ใช้ฟันคมๆคู่หน้าของกระชากลูกที่เพิ่งเกิดใหม่ซึ่งกำลังดูดนมมีมี่อยู่ออกไปแล้วคบหัวมันจนเลือดท่วมปากของเธอ ในเวลาต่อมาการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นเมื่อดินร่วมวงด้วย แต่สุดท้ายแล้วผู้ชนะก็คือมีมี่ซึ่งตัวผลักดันสำคัญที่ทำให้เธอมีชัยในครั้งนี้คือสัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่ต้องปกป้องลูกอย่างสุดชีวิต

                      สิ่งที่ตกค้างจากการต่อสู้คือซากลูกๆของมีมี่สามตัว ส่วนสองตัวแรกถูกดินกับข้าวซึ่งหลบหนีไปด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสสำเร็จโทษไปเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายมีมี่นั้นแม้ว่าจะชนะก็ตามแต่นางก็มีรอยแผลเต็มตัว บางแผลฉีกยาวตั้งแต่ต้นขาซ้ายหน้ายาวไปถึงกลางหลัง บางแผลนั้นแม้จะไม่ใหญ่มากนักแต่มันก็ลึกไปจนถึงชั้นไขมัน มีมี่รู้ว่าหากปล่อยให้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเช่นนี้แล้วภัยอื่นๆก็จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยจากงูเหลือมที่เล็กพอที่จะลอดเข้าช่องเล็กๆใต้ฝ้าเข้ามาได้ แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นมันเลยก็ตามแต่มีมี่ก็ไม่ได้ชะล่าใจ เธอเริ่มเลียแผลตามตัวเพื่อกลบกลิ่นก่อนจะตรงไปยังศพของลูกๆที่ยังไม่เดียงสาหรือแม้แต่จะลืมตาด้วยซ้ำ เพื่อให้เจ้าตัวเล็กที่เธอให้กำเนิดอีกสี่ตัวที่เหลือรอดแล้ว มีมี่ยอมฝืนใจกินศพลูกๆที่ถูกผู้บุกรุกฆ่าตาย นอกจากจะเป็นการลบกลิ่นคาวเลือดแล้วยังเป็นการเสริมธาตุเหล็กในตัวเธอซึ่งเสียไปจากการคลอดลูกและการต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วย ทว่าแม้จะลบกลิ่นคาวเลือดส่วนใหญ่ได้แล้วแต่ก็ใช่ว่ากลิ่นนั้นจะหมดไปซะทีเดียว กลิ่นที่หลงเหลือแม้จะเพียงน้อยนิดก็สามารถล่อสัตว์ที่อาศัยสารเคมีเป็นเครื่องมือค้นหาเหยื่ออย่างงูเข้ามาได้ ในขณะเดียวกันมีมี่ก็เหนื่อยอ่อนเต็มทีอีกทั้งการเคลื่อนย้ายลูกๆของนางในขณะที่นางกำลังบาดเจ็บก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ตัวนางเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงลูกๆของนางที่เพิ่งเกิดมาและยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ด้วย ดังนั้นมีมี่จึงตัดสินใจใช้ตัวเองเป็นปราการสุดท้ายในการคุ้มครองลูกๆที่เหลืออยู่ของนางและหวังพึ่งเพียงโชคชะตาอันริบหรี่ที่จะช่วยให้นางผ่านคืนหฤโหดและกดดันนี้ไปได้ด้วยดี

                      หลังจากที่ดวงจันทร์ลอยหายไปจากขอบฟ้าแล้ว แสงอาทิตย์ก็เริ่มสาดส่องลงมายังพื้นดิน สัตว์หากินกลางคืนส่วนใหญ่อย่างงู แมว หรือนกฮูกซึ่งต่างเป็นศัตรูตัวฉกาจของหนูล้วนหาที่สงบๆหลับนอนกันหมดแล้วซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่มีมี่จะได้ออกไปหาอาหาร หลังจากที่ออกหาอาหารตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งถึงเวลาราวสิบเอ็ดโมงเช้า เธอก็กลับมายังที่อยู่ของเธอเพื่อให้นมลูกๆต่อ เหตุการณ์ดังกล่าวดำเนินไปอย่างเป็นกิจวัตรจนกระทั่งครบหนึ่งเดือนซึ่งก็เป็นช่วงที่ลูกๆทั้งสี่ของมีมี่เริ่มจะเรียนรู้โลกรอบๆตัวของพวกมันโดยการวิ่งไปทั่วฝ้าใต้หลังคาในตอนที่มีมี่ไม่อยู่เพื่อสำรวจสิ่งต่างๆซึ่งผู้นำทีมสำรวจก็ไม่พ้นลูกหนูขนาดกลางตัวแรกสุดของครอกที่มีมี่ตั้งชื่อให้ว่า “อะจึ๋ย” เนื่องจากความที่มันขี้ตื่นตกใจต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ตนปัสสาวะ (ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของหนูทั่วไป แต่ไม่ใช่กับอะจึ๋ยแน่ๆ) หรือเวลาที่หนูๆพี่น้องของมันเอาจมูกมาดุนตามตัวและใบหน้าของมัน ครั้งหนึ่งลูกหนูตัวที่ห้าชื่อว่า “หนูนิด” วิ่งเข้ามาทักทายมันด้วยการเอาลิ้นเลียจมูก อะจึ๋ยตกใจมากจนถึงกับร้องดัง “จี๊ด” ออกมาก่อนจะรีบเอาเท้าหน้าของมันลูบตั้งแต่ใบหูลงมาถึงจมูกเพื่อทำความสะอาด สำหรับลูกหนูตัวที่ซนที่สุดในกลุ่มดูเหมือนจะเป็น “ว่อกแว่ก” ซึ่งไม่เคยให้ความสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานนัก โดยเฉพาะในเวลาที่แม่ของมันสอนสิ่งใหม่ๆให้ มันจะฟังได้เพียงสามวินาที จากนั้นก็เริ่มวิ่งไล่งับหางตัวเอง (ซึ่งสั้นกว่าหนูทั่วๆไปมาก) หรือไม่ก็แกล้งหนูนิดโดยไล่งับเท้าหลังหรือไม่ก็ใช้เท้าหลังถีบก้นหนูนิดในขณะที่หนูนิดกำลังง่วนอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง จะว่าไปแล้วว่อกแว่กก็เหมือนกับจะเป็นโรคสมาธิสั้นก็ว่าได้

      ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ว่อกแว่กดูเหมือนจะให้ความสำคัญมากที่สุดกับกะปุ๊กลุ๊กซึ่งเป็นลูกหนูตัวที่สี่ของครอกแล้วก็ยังเป็นตัวที่อ้วนที่สุดด้วย (ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากจากชื่อของมัน) เนื่องจากสิ่งที่ทั้งสองให้ความสนใจมากพอๆกันก็คืออาหาร และกะปุ๊กลุ๊กก็ขึ้นชื่อเรื่องการหากินอาหารแบบไม่เลือกประเภท (ซึ่งเกือบทำให้มันตายครั้งหนึ่งเมื่อมันกำลังจะแทะเม็ดยาเบื่อหนูแต่โชคยังดีที่แม่ของมันมาเห็นเข้าและช่วยมันได้ทัน) จนตัวอ้วนกลมเหมือนลูกบอลขนาดจิ๋วตั้งแต่อายุสองสัปดาห์ครึ่ง สุดท้ายก็มาถึงลูกหนูขี้สงสัยหัวใจตะติ้งโหน่งอย่าง “หนูนิด” ซึ่งเป็นลูกหนูตัวที่ห้าของครอกและยังเป็นตัวที่เล็กที่สุดอีกด้วย แม้ว่าจะมีขนาดเล็กแต่กลับมีนิสัยแตกต่างจากพี่ชายคนโตของมันอย่างอะจึ๋ยโดยสิ้นเชิงและด้วยความขี้สงสัยและชอบหาประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆอย่างเช่นลองวิ่งตัดหน้ารถจักรยานกลางวันแสกๆเพื่อทดสอบความเร็วของตนเองแบบที่กิ้งก่าแถวๆที่อาศัยของมัน หรือคาบกิ่งไม้ที่มีปลวกอยู่ข้างในเอาเล่นใต้หลังคาฝ้าบ้านจนเกือบทำให้ทั้งครอบครัวต้องโดนยากำจัดปลวกแบบธรรมชาติไปด้วย แม้พฤติกรรมดังกล่าวจะเป็นที่น่ารำคาญของแม่ในบางครั้งและเป็นที่ขวางหูขวางตาของว่อกแว่กกับกะปุ๊กลุ๊ก แต่สำหรับอะจึ๋ยแล้วความขี้สงสัยและอยากรู้อยากเห็นของหนูนิดเป็นสิ่งที่เขาชื่นชมมากที่สุด

      หนึ่งเดือนแห่งความสุขสนานของลูกหนูทั้งสี่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าช่วงปลายเดือนที่สองซึ่งพวกลูกหนูเริ่มโตพอที่ช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้นแล้ว แม่หนูมีมี่ก็เรียกลูกๆของตนมารวมกันในบ่ายวันหนึ่งเพื่อพาพวกมันออกไปหากินถิ่นที่ไกลออกไป

      “จำไว้นะลูกๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามพยายามอย่าอยู่ห่างแม่ ถ้าเกิดใครต้องการจะแยกย้ายออกหาอาหารกันเองให้ไปกันเป็นคู่นะเผื่อว่าเวลามีใครหายไปหรือมีปัญหาจะได้มีพี่หรือน้องเจ้าอีกตัวหนึ่งกลับมาบอกแม่ได้ทัน”

      “เฮ้อ ทำไมไปกันเองไม่ได้ล่ะคับแม่ พวกเราก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนา ดูแลตัวเองกันได้หรอกน่า น่ารำคาญจัง” วอกแวกเลียเท้าคู่หน้าก่อนจะเอามันลูบไล่ตั้งแต่หูถึงจมูกเพื่อทำความสะอาด

      “วอกแวก ลูกพูดหยั่งกับลูกรู้จักดีนักนี่ว่าสถานที่นอกสวนบ้านนี้มันปลอดภัยหรืออันตรายแค่ไหน”

      “โธ่แม่ จะที่ไหนๆก็คงเหมือนกับที่พี่วอกแวกพูดนั่นแหละ มีอาหาร มีศัตรู มีเจ้าถิ่นเหมือนๆกันนั่นแหละน่า” กะปุ๊กลุ๊กพูดพลางหาวหวอดใหญ่ “ไงๆก็รีบๆพาผมออกไปเหอะ หิวจะแย่แล้ว”

      “งั้นก็ตามใจก็แล้วกัน แม่ขี้เกียจพูดแล้ว” มีมี่กล่าวก่อนจะวิ่งนำลูกๆของเธอออกจากฝ้าใต้หลังคาบ้านแล้วตรงไปยังต้นปาล์มที่เธอจะใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทาง “เอาล่ะ” มีมี่กล่าวขึ้นพลางทำจมูกฟุดฟิดเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกๆ “เราจะกลับมารวมกันที่นี่ก่อนตะวันตกดินนะ จำเส้นทางของตัวเองไว้ให้ดีๆก็แล้วกัน” พูดจบมีมี่ก็วิ่งไปตามกิ่งปาล์มที่ยืดออกไปยังต้นปาล์มใกล้ๆกันอีกต้นหนึ่งก่อนจะหายลับไป

      “เหอะ น่ารำคาญจริงบ่นอยู่นั่นแหละแม่นี่ ไปกันเถอะกะปุ๊กลุ๊ก ไปหาอะไรกินกันดีกว่าแล้วก็ทิ้งเจ้าเอ๋อสองตัวนี้ไว้นี่แหละ” วอกแวกเอาเท้าเขี่ยกะปุ๊กลุ๊กก่อนจะพยักเพยิดไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “แล้วแกก็อย่าทำตัวชักช้ายืดยาดด้วยล่ะ”

      “พี่ก็อย่าทำตัวเป็นพวกสมาธิให้มันมากนักล่ะเวลารอฉันกินอาหารน่ะ” กะปุ๊กลุ๊กตอบก่อนจะวิ่งชนหนูนิดจนเกือบตกจากต้นปาล์ม “ไปก่อนนะพ่อจอมเอ๋อทั้งสอง แล้วไว้เจอกานนะ” ว่าแล้วกะปุ๊กลุ๊กก็ใช้ขาสั้นของมันพยุงร่างที่กลมเหมือนลูกบอลแล้ววิ่งจากไป

      “ไอ้พวกนี้นี่ไม่รู้จักเคารพรุ่นพี่รุ่นน้องกันเล้ย มันน่าจะโดนอะไรหนักๆซักครั้งบ้างจะได้เข็ดหลาบซะ” อะจึ๋ยบ่นหลังจากช่วยดึงหนูนิดซึ่งตะเกียกตะกายขึ้นมาบนต้นปาล์มอีกครั้งหลังจากที่โดนกะปุ๊กลุ๊กเดินชน

      “ช่างเหอะพี่ เอาอะไรมากกะพวกที่รู้จักแต่กินกับนอน” หนูนิดเลียเท้าหน้าของตน “ชีวิตหนูอย่างเรามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นนะ”

      “แน่นอน ชีวิตของ “เรา” ต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆและพี่ก็รู้ที่ๆจะทำให้ชีวิตเรามีอะไรๆมากขึ้นด้วย”

      “ที่ไหนเหรอพี่อะจึ๋ย”

      “นายตามมาก็แล้วกัน เร่งๆฝีเท้าหน่อยก็ดีนะเพราะว่าสถานที่ที่พี่จะพานายไปมันก็ค่อนข้างไกลน่ะ”

      อะจึ๋ยวิ่งนำหนูนิดไปคนละเส้นทางกับที่แม่และน้องของมันอีกสองตัววิ่งไป มันพาหนูนิดวิ่งผ่านทะเลสาบขุดในหมู่บ้าน ลัดเลาะไปตามพุ่มไม้และตัดผ่านถนนที่ต่อเข้าไปยังศาลากลางทะเลสาบขุดก่อนจะพาหนูนิดวิ่งขึ้นไปอยู่บนยอดต้นปาล์มที่ปลูกไว้กลางสนามหญ้าใกล้ๆกับทะเลสาบขุด บนยอดปาล์มต้นนั้นหนูนิดได้เห็นทัศนีย์ภาพที่งดงามรอบๆตัวได้อย่างเต็มตา ในทะเลสาบขุดมันมองเห็นเป็ดขาวกับลูกของมันลอยตัวอยู่ใกล้กับศาลากลางน้ำ ไกลออกไปหนูนิดก็เห็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่หลายหลังเรียงรายติดกัน แต่ละหลังล้วนมีสวนที่สวยงามเป็นของตนเอง บางหลังก็มีบ่อน้ำพุซึ่งในนั้นก็มีปลาสวยงามอย่างปลาคาร์พและปลาหางนกยูงว่ายเล่นอยู่อย่างเพลิดเพลิน

      “โอ้โห สวยจริงๆเลยพี่อะจึ๋ย สมแล้วกับที่เป็นพี่ที่หาที่แบบนี้ได้”

      “ของมันแน่อยู่แล้ว แต่ยังมีเจ๋งกว่านี้ให้ดูอีก เพียงแต่ว่าคงรอเพื่อนพี่หน่อยน่ะ ไอ้หมอนี่มันมาสายเป็นกิจวัตร คงต้องทำใจรออีกครู่หนึ่ง” อะจึ๋ยกล่าวพลางเหลียวซ้ายแลขวาพร้อมกับส่ายหางไปมาอย่างกระสับกระส่าย ครู่หนึ่งต่อมาก็มีสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งเคลื่อนที่มายังหนูนิดกับอะจึ๋ยอย่างรวดเร็ว แม้มันจะดูคล้ายหนูแต่ก็เคลื่อนที่ได้เร็วและคล่องแคล่วกว่ามากนัก ไม่นานนักมันก็มาหยุดอยู่หน้าอะจึ๋ยพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดอยู่ครู่หนึ่ง “มาเร็วกว่ากำหนดเวลาตามเคยนะ อะจึ๋ยคุง”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×