จดหมาย จากเด็กชายหลังกำแพง - จดหมาย จากเด็กชายหลังกำแพง นิยาย จดหมาย จากเด็กชายหลังกำแพง : Dek-D.com - Writer

    จดหมาย จากเด็กชายหลังกำแพง

    เรื่องจริงที่อยากให้อ่านเพียงสั้นๆแต่ทำผมน้ำตาไหลทุกครั้งที่อ่าน

    ผู้เข้าชมรวม

    919

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    919

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 พ.ย. 50 / 20:44 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      คุณอาจสัมพัสได้ถึงความรักหรืออะไรบางอย่างจากบทความนี้

      เรื่องที่แมวบ้ากล้าเอาหัวรับประกันเลยว่าจริง

      เพราะผู้หญิงคนที่เล่าเป็นครูสอนภาษาไทยของแมวบ้าเอง

      จดหมายจากอาธน...เด็กชายหลังกำแพง

      ในกองจดหมายของบรรดาเด็กๆสถานพินิจฯที่ฉันเคยไปสอนศิลปะ(เพื่อการพัฒนาตน)
      มีทั้งจดหมายจากเด็กผู้หญิงบ้านปราณี เด็กๆจากสถานพินิจบ้านสิรินธร
      และที่มากที่สุดคงไม่พ้นเด็กๆจากสถานพินิจสงขลาฯ ซึ่งฉันไปทำงานด้วยบ่อยที่สุด และผูกพันมากที่สุด

      หนึ่งในนั้นมีจดหมายของอาธนรวมอยู่ด้วยหลายฉบับ
      .........................................................
      เมื่อปลายปี 47 ฉันกับเพื่อนสนิท(ผู้ชาย)อีกคน
      ไปจัดอบรมศิลปะเพื่อการพัฒนาตนให้เด็กๆที่สถานพินิจสงขลา

      ฉันเจออาธนที่นั่น
      เขาเป็นเด็กหนุ่มวัย 18 ปี
      หน้าตากวนๆ
      รอยสักทั้งที่แขน ข้อเท้าและขอบตา
      ยิ่งทำให้เขาดูเป็นเด็กเกเรมากขึ้น
      แฟชั่นสุดฮิตของที่นี่คือการสักขอบตาล่าง
      คล้ายๆกับการทาอายไลเนอร์ของผู้หญิง
      แต่นี่ใช้วิธีการเอาเข็มหรือของแหลมเท่าที่จะหาได้..สักลงไป

      แรกที่เดียวอาธนยังแสดงอาการเฉยๆ
      ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนไม่อยากทำกิจกรรม
      แต่พอผ่านไปได้ครึ่งวันเขาก็ดูร่าเริงขึ้นเพราะผ่านกิจกรรมละลายพฤติกรรม
      ทำให้เขารู้สึกเป็นกันเอง
      เริ่มเป็นมิตรและหยอกเย้าฉันมากขึ้น

      และตลอดเวลาที่ฉันอยู่ที่นั่นดูเหมือนเขาจะคอยจับตามองฉันไม่ห่าง
      คอยหยอก คอยแซว
      และพยายามใกล้ชิดสนิทสนม


      วันก่อนจะเสร็จสิ้นการอบรม....
      เขาเอ่ยปากขอกำไลเงินวงใหญ่ที่ข้อมือฉัน
      "ผมอยากได้ ให้ผมเหอะนะ"
      "ให้ไม่ได้หรอก มันเป็นของที่ระลึกจากยะลา พี่ชอบมากและอยากเก็บไว้"
      ฉันบอกไปอย่างนั้น..แต่เขาก็เพียรพยายามอ้อนวอนขอตลอดทั้งวัน

      ฉันก็ยังคงยืนยันคำเดิม
      เขาแสดงอาการน้อยใจไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรม
      ไม่พูดด้วย
      ไม่มองหน้า
      ไม่ทักทาย

      ฉันรู้..เขาไม่ได้อยากได้กำไลเงินวงนั้น
      แต่เขาอยากเอาชนะฉัน
      อยากให้ใครๆเห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญของฉัน
      กำไลวงนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ของอำนาจ
      ที่เขาอยากครอบครองมันไว้เท่านั้นเอง

      "ธนอยากเอาชนะพี่ก็แค่นั้นเอง ถ้าธนคิดว่าได้กำไลวงนี้ไปแล้ว
      จะทำให้ธนชนะก็เอาไป เพราะถึงยังไงธนก็ได้แต่ของๆพี่ไป
      แต่ไม่ได้ความรู้สึกของพี่ไปด้วย พี่ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้กับใคร
      ถ้าธนอยากชนะ พี่ก็จะให้ธนชนะสมใจ"

      ฉันถอดกำไลวงนั้นวางไว้ให้เขา.....
      แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยินดีเสียแล้ว
      แววตานั้นดูหม่นหมองและเสียใจ

      วันสุดท้ายก่อนที่ฉันจะเดินทางกลับ
      เด็กๆหน้าตาเศร้าหมอง
      เราให้ที่อยู่กับพวกเขาไว้
      ฉันถามว่า..มีใครอยากกอดพี่มั่ง
      เด็กๆเดินมากอดทีละคน
      ท่าทางประดักประเดิด..เขินอาย
      ไม่ใช่เพราะฉันเป็นผู้หญิง
      แต่เพราะไม่ชินกับการสัมผัส
      การโอบกอด....
      บางทีพวกเขาอาจไม่เคยถูกกอดเลยด้วยซ้ำไป

      เด็กหนุ่มหน้าตาโหด
      เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสัก
      ขอบตาคล้ำเพราะรอยเข็ม
      มีคดีติดตัวตั้งแต่คดีเล็กไปจนถึงคดีใหญ๋
      ..ฆ่าคนตาย พรากผู้เยาว์ กระทำชำเรา
      ปล้น ลักทรัพย์ วิ่งราว....

      ทุกคนอยากได้รับการกอดจากใครซักคนที่อบอุ่นใจ
      ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกฉันท์ชู้สาว..ฉันยืนยัน
      มันเป็นอ้อมกอดพร้อมรอยน้ำตา
      น้ำตาที่รื้นขอบรอยสักใต้ตานั้นทำให้ฉันเกือบกลั้นน้ำตาไม่อยู่

      แต่ไม่มีอาธนอยู่ที่นั่น......

      เขาฝากกำไลมาคืน.......
      แต่เขาไม่อยู่ตรงนั้น

      พวกเราร่ำลาเด็กหนุ่มเหล่านั้น
      ฉันเดินผ่านอาธนที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่ใกล้ทางออก
      "ถ้าอยากจะจากกันแบบนี้ก็ตามใจ ยังไงพี่ก็ขอให้ธนได้ออกไปจากที่นี่เร็วๆ"
      นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันบอกอาธน
      เขาไม่ตอบอะไรนอกจากแววตาที่มีน้ำตารื้น

      กลุ่มเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยสัก
      ยืนโบกมือและตะโกนลาจนพวกฉันพ้นออกจากกำแพงรั้ว

      รั้วที่เป็นกำแพงสูงใหญ่ด้านบนมีลวดหนามหนาดูน่ากลัว
      แยกเราไว้จากกัน
      สิ่งที่พวกเขาทำ...มันผิดบาป
      และต้องได้รับโทษ
      ฉันเข้าใจถึงความเป็นจริงเหล่านั้น
      แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้นอกเหนือไปจากนั้นคือ
      ความรักความเมตตาทำลายกำแพงทุกอย่างลงได้
      ความรักจะเปิดดวงตา
      ความเมตตาจะเปิดดวงใจให้เราเจอกัน
      ระหว่างคนนอกกำแพงกับคนหลังกำแพง
      ......................................................................

      ฉันจากที่นั่นมาไม่นานก็ได้รับจดหมายมากมายส่งความคิดถึงมาจากหลังกำแพง
      ฉันตอบทุกฉบับ...เนื้อความยาวเหยียด
      บางครั้งก็ส่งเรื่องราวดีๆไปให้อ่าน
      แต่โดยมากเด็กๆที่นั่นจะขอสมุดบันทึก
      (มีเจ้าหน้าที่เจอสมุดบันทึกที่เด็กๆเขียนถึงฉันมากมาย
      ตอนที่เกิดเหตุจลาจลแล้วมีการทำลายข้าวของในนั้นพังยับเยิน)

      แล้วจดหมายที่ฉันรอคอยก็มาถึง.......
      อาธน......เด็กหนุ่มคนนั้นที่พยายามครอบครองหัวใจของฉัน
      ..............................................................
      เขาเขียนมาขอโทษ...
      "ผมเข้าใจแล้วว่าถ้าได้แต่ของ
      แต่ไม่ได้หัวใจพี่มาก็ไม่มีความหมายอะไร"

      เขาส่งผ้าเช็ดหน้าแทนใจมาให้
      ฉันรู้...เขากำลังตกหลุมรักฉัน
      ผู้หญิงที่แก่กว่าเขากว่า 10 ปี......
      ผู้หญิงที่ทำให้เขารู้ว่าความรักคือการแลกเปลี่ยน
      ไม่ใช่การครอบครอง........

      เขาเขียนจดหมายมาอีกหลายฉบับ
      เราเขียนตอบกันไปมา
      ฉันรู้ว่ามีบางอย่างที่เขาอยากบอกแต่เขียนในจดหมายไม่ได้
      เพราะจดหมายทุกฉบับจะต้องถูกเจ้าหน้าที่ตรวจก่อนทุกครั้ง

      ผ่านไปเกือบเดือน...อาธนโทรศัพท์หาฉัน
      เขาแอบใช้มือถือของขาใหญ่
      (เด็กที่อยู่นานหรือมีคดีเข้าออกสถานพินิจฯหลายครั้งจนคุมคนอื่นได้)โทรมา

      โทรมาเพื่อสารภาพรัก....
      เขาบอกว่าเขาทนเก็บไว้ไม่ไหว
      ฉันบอก..ฉันรู้อยู่ก่อนแล้ว
      และบอกให้เขาเข้าใจว่าความรักเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นใคร
      และเมื่อไหร่

      "รักพี่ได้ในแบบที่ธนอยากจะรักเถอะ
      แต่พี่ก็ยังรักธนในแบบที่พี่รักเหมือนเดิม"
      เขาเข้าใจและไม่เรียกร้องอะไร
      เขาว่า..ขอแค่ฉันไม่โกรธ..ไม่รังเกียจความรักของเขา
      เขาก็รู้สึกดีที่สุดแล้ว
      เขาได้เรียนรู้แล้วว่าความรักที่แท้ต้องไม่เรียกร้อง
      ไม่ครอบครอง
      ไม่เอาชนะ
      แต่ต้องสุขใจที่ได้รัก
      และต้องรักตัวเองเพื่อให้ตัวเองมีพลังพอจะรักใครคนนั้นต่อไป
      ..........................................................................
      หลังจากนั้นไม่กี่เดือนอาธนถูกปล่อยตัวออกมาเพื่อรอตัดสินคดี
      เขาโทรมาอีกหลายครั้ง
      ทุกครั้งก็จะขอรูปฉันที่เขาเคยถ่ายไว้
      เขาขอยืมกล้องของฉันเพื่อถ่ายรูปฉัน
      เขาอยากได้มันไว้เป็นที่ระลึก

      ฉันยังไม่ทันได้ส่งรูปนั้นไป
      เขาก็โทรมาบอกว่า..ต้องหนีไปอยู่ที่อื่นเพราะคู่คดีมาตามล่า
      เขาพยายามโทรมาอีกหลายครั้ง
      แต่ฉันมีเหตุจำเป็นต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์
      และติดต่อเขาไม่ได้อีก.......
      ....................................................................
      ฉันยังไม่ได้ส่งรูปนั้นให้อาธน
      เด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักรักตัวเอง
      และเพิ่งรู้จักการรักโดยไม่ต้องครอบครอง
      ฉันหวังว่าเขาคงอยู่ที่ไหนซักแห่งอย่างมีความสุข
      ไม่ใช่หลังกำแพงคุกเล็ก
      หรือคุกใหญ่

      เด็กหนุ่มคนนั้น....ที่ถึงวันนี้ฉันก็ไม่อาจรัก
      แต่ไม่เคยลืมเลือน.........



      เครดิต    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=mrs-post-man&date=14-09-2007&group=14&gblog=7

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×