ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #14 : สิ่งที่มองเห็นผ่านดวงตาดวงเดียวกัน

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 65


     

               ทั่วทั้งดินแดนเชลมีการเล่าขานถึงคณะนักบวชแห่งซางตานีโอมาช้านาน  ต่างรู้จักกันดีว่ามีอารามของคณะนักบวชอันเก่าแก่ตั้งอยู่ในป่าลึกทางตอนเหนือของเมืองซางตานีโอ ผู้คนต่างกล่าวขวัญถึงนักพรตชุดสีน้ำตาลเข้ม ผู้เป็นกองกำลังสำคัญในการสู้รบกับผู้มาจากนรก  เป็นกองกำลังพิฆาตความมืดชั้นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดพอๆกับนักพรตชุดดำจาก เมืองซิลเทียเรส 
     

                    “อะไรกัน ไอ้หนู   แกเคยอยู่ที่นี่มาก่อนแล้ว ยังจะมาทำเป็นปอดแหกไปได้”

    ผู้ คุมประตูทางเข้าอารามนักพรตซางตานีโอเอ่ยขึ้นทันที  เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง  กำลังยืนนิ่งมองอารามสูงใหญ่ด้วยท่าทีตื่นตระหนก   อารามที่ทำจากหินแข็งแกร่งทนทาน ตั้งมั่นอยู่คงกระพันมานับพันพันปีได้โดยไม่พังทลายเหมือนสิ่งก่อสร้างอื่นๆ   อาคารที่มองดูคล้ายปราสาทห้อมล้อมด้วยกำแพงสูง  มีบรรยากาศกดดันวังเวงน่ากลัวทุกครั้งที่เขาได้มาเยือน    จนทำให้เด็กหนุ่มถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอแล้วเริ่มตัวสั่นเทาอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้

                    “รีบๆเข้าไปซะถ้าแกมีธุระที่นี่ไอ้หนู”

    ผู้ คุมประตูร้องไล่เด็กหนุ่มผู้สวมเสื้อผ้าเก่าๆมอมแมม   เด็กนั่นแบกถุงผ้าผุเปื่อยจวนจะขาดเต็มที แล้วยังเดินมาอารามด้วยเท้าเปล่า  เนื้อตัวของเขาดำสกปรกไม่ต่างจากคนเร่ร่อน  ซ้ำยังเอาแต่ยืนค้างนิ่งทำตาเหลือกมองอารามสูงใหญ่อยู่อย่างนั้นไม่ยอมก้าว เท้าขยับไปใหนสักที   
     

    “นั่นแกจะไปสมัครเป็นนักพรตใช่มั้ยอาร์กัส”

    ชายชราผู้คุมประตูถามด้วยความแปลกใจ   เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่ตนคุ้นหน้าดี ถือคทากางเขนทองเหลืองที่ดูหมองหมดแล้วมาด้วย

                    “ขะ ขอรับ”

    เด็ก หนุ่มตอบกลับอย่างตะกุกกะกัก  ถึงเขาจะเคยอยู่อารามแห่งนี้ได้เพียงปีเดียวในฐานะเด็กรับใช้ ก่อนที่จะถูกส่งไปสถานสงเคราะห์ผู้ลี้ภัยสงครามในตัวเมืองซางตานีโอ แต่กระนั้นทุกครั้งที่เขามาเยือนอารามแห่งนี้ เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้
     

                    “ฉันได้ข่าวว่าแกออกจากศูนย์ลี้ภัยกลับไปบ้านเกิดแล้วไม่ใช่หรือ”

    ชาย ชราถามด้วยความแปลกใจ เมื่อเจ้าหนูที่ออกจากอารามไปหลายปีก่อนอยู่ๆก็กลับมาอีกครั้ง   ซ้ำยังกลับมาเพื่อที่จะสมัครเป็นนักพรตผู้พิฆาตความมืด! 
     

                    “ขอรับข้ากลับไปแล้ว ทุกอย่างสงบสุขเหมือนเดิมแล้วขอรับ ”
     

    อาร์กัสตอบพลางยิ้มแห้งๆ แต่ชายชรากลับเป็นกังวล เมื่อเห็นสารรูปที่ดูราวกับคนเร่ร่อนของเด็กชายตรงหน้า  
     

                    “น่า ยินดีที่ชายแดนเชลกลับเป็นปกติ ฉันได้ข่าวสงครามมาตลอดหลายปีนี้  เรื่องกองทัพผีร้ายอะไรนั่น  แต่ถ้ามันเป็นปกติจริง  แกจะกลับมาที่นี่อีกทำไม ไอ้เด็กขัดพื้น!” 
     

    ชาย ชราเอ่ยถามอย่างสงสัย  แต่ดวงตาสีฟ้าของเด็กหนุ่มก็ไหววูบแค่ครู่เดียวก่อนที่มันจะกลับมาสดใสดัง เดิมอีกครั้ง เมื่อเด็กหนุ่มชาวเชลรีบเสเสร้งปั้นหน้ายิ้มกลบเกลื่อนทันที    เพราะเรื่องเลวร้ายสำหรับเขาไม่ได้จบลงไปพร้อมกับสงคราม  เขาจะกลับไปบ้านเกิดได้อย่างไร  ในเมื่อคนทั้งเมืองรู้ดีว่า เขาคือปีศาจที่ถูกปลิดชีพไปแล้ว  ต่อให้กลับไปประกาศบอกผู้คนทั้งเมืองว่าเขายังไม่ตาย  และไม่ใช่นักรบเจตภูต ก็คงจะเป็นการรนหาที่ตายเสียมากกว่าจะได้รับการเชื่อถือ   เพราะเขาคือเด็กที่ถูกแทงด้วยดาบของเจตภูต  เด็กที่ทุกคนเห็นว่าควรฆ่าเสียให้ตายก่อนที่จะคืนชีพมาเป็นปีศาจร้าย   เด็กที่พวกเขาเห็นว่าถูกสังหารไปแล้วเมื่อห้าปีก่อน  ถ้าหากเด็กนั่นยังมีชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง สำหรับชาวเชลแล้ว  อาร์กัสไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นนักรบผีร้ายที่ต้องฆ่าให้ตาย  เพราะไม่มีใครเคยรอดพ้นจากคำสาปของเจตภูต!

                    “ที่จริงข้าก็อยากอยู่ที่นั่นขอรับแต่...............”

    อาร์ กัสตอบแล้วเริ่มคิดหนัก  เพราะตัวเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกันว่าเขารอดจากคำสาปมาได้อย่าง ไร  หลังจากเหตุการณ์นั้นพอลืมตาตื่นขึ้นมา เขาก็นอนอยู่ในอารามแห่งนี้แล้ว  คำสาปเจตภูตถูกลบหายไป เหลือเพียงบาดแผลธรรมดาๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้   และที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้น เมื่อนักพรตในอารามนี้ทุกคนล้วนแต่รู้แค่ว่า เขาถูกทำร้ายในสงครามด้วยอาวุธธรรมดา ! เรื่องราวของเขาถูกปกปิด  โดยใครบางคนที่อยากให้เขามีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์
     

                   “นั่นสิ! ฉันจะถามไปทำไมกัน แกมาสมัครเป็นพรตที่นี่ใช่มั้ย เอ้า!รีบๆไปต่อแถวสิ”

    ผู้คุมประตูเปลี่ยนเรื่องพูดแล้วรีบไล่เขาเข้าไปในอาราม
     

                    “ตะ ต่อแถว?”

    อาร์ กัสถามอย่างสงสัย พลางหันไปมองยังบริเวณลานกว้างด้านหน้าอารามนักพรต ก็เห็นผู้คนมากมายกำลังยืนเบียดเสียดต่อแถวจนแน่นขนัด  อารามนักพรตแห่งซางตานีโอที่เขารู้จักนั้น เงียบสงบไม่เคยมีคนนอกเข้ามามากมายขนาดนี้

                    “ไอ้เด็กสมองทึบ! เจ้าพวกนั้นก็มาสมัครเป็นนักพรตแบบแกนั่นแหละ”

    ชายชราผู้เฝ้าประตูร้องด่าด้วยความหงุดหงิด   แต่เด็กหนุ่มได้ยินถึงกับหน้าถอดสี แล้วรีบแหวกฝูงชนเข้าไปในอารามด้วยความยากเย็น  นี่คืออารามที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่หนึ่งปีเต็มหลังจากดาร์ค บริสตั้นพาเขากลับมายังซางตานีโอ  เขาเคยอยู่ที่นี่ในฐานะเด็กรับใช้  แต่ถ้าหากจะกลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อเป็นนักพรต  มันคงจะเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับเขาเสียแล้ว

                    “ปีนี้คนมาสมัครเยอะเวอร์ว่ะ ลอเรนโซ  เห็นงี้แล้วจะสอบผ่านเป็นพรตฝึกหัดได้มั้ยเนี่ย  ดูสิ ! รับไม่กี่สิบคน!”

    อาร์ กัสได้ยินเสียงบ่นด้วยสำนียงแปลกๆ จากเด็กหนุ่มผมดำสนิทที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก  เด็กนั่นตัวสูงบึกบึนกว่าเด็กอื่นๆ เขามีผิวสีเข้มกร้านแดด ผิดจากเพื่อนอีกคนที่มีผิวขาวซีด และยังมีเส้นผมสีเงินแปลกตา 
     

         “ช่วยไม่ได้ คณะนักบวชชื่อดังใครๆก็แห่กันมาอยู่แล้วนี่ คาอินแห่งซิลเทียเรส  ”

    อาร์ กัสได้ยินเด็กผมเงินคนนั้นตอบ ก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มร่างล่ำคนนั้นมาจากซิลเทียเรสเมืองทางใต้ของซาง ตานีโอ ผู้คนมาจากเมืองต่างๆแห่กันมาจากทั่วสารทิศ  แล้วเขาจะสอบแข่งขันกับคนตั้งมากมายนี้ไหวหรือ  พวกที่อยู่แต่ในศูนย์ลี้ภัยสงครามอย่างเขา  แค่อ่านออกเขียนได้ก็ยังยากลำบากอยู่แล้ว   
     

         อาร์กัสประเมินความรู้ตนเองในใจก็รู้ว่าสอบยังไงก็คงไม่ผ่าน  ด้วยความหมดหวังทำให้เด็กหนุ่มค่อยๆถอยออกห่างจากกองทัพผู้สมัคร    เขาหมดโอกาสเป็นนักพรตแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะเข้ามาในอารามแห่งนี้ได้อีกต่อไปแล้ว  ถ้าเช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรต่อดี 
     

                    “อย่าเหยียบข้าสิ!  เจ้าซื่อบื้อ!”

    ระหว่าง ที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น  ก็มีเสียงร้องด่าดังลั่น มาจากเด็กชายตัวจ้อยร่างเล็ก ที่กำลังถูกเขาหยียบเท้าไว้    เด็กชายมีผมสีทองอ่อนๆ ดวงตาสีฟ้า   
     

                    “! ข้าขอโทษ”

    อาร์ กัสรีบยกเท้าขึ้นทันที   เจ้าหนูไม่พูดพล่ามทำเพลง  รีบวิ่งออกจากลานกว้างหน้าอารามอย่างรวดเร็ว  จนอาร์กัสรู้สึกแปลกใจ
     

                    “อะไรของเจ้าเด็กคนนั้นนะ”

      ยังไม่ทันขาดคำ   ความรู้สึกกดดันรุนแรงอย่างประหลาด  กำลังทำให้เขาร่างสั่นเทาอย่างไม่มีที่มาที่ไป   ความรู้สึกอันคุ้นเคยนี้เขารู้จักดี  มันคือจิตชั่วร้ายของพวกปีศาจจากนรก! 
     

                   "เป็นไปไม่ได้"!
     

                      อาร์กัสเบิกตากว้างด้วยความตกใจ   เมื่ออยู่ๆตาของเขาก็เริ่มมองเห็นจิตชั่วร้ายดำมืด กำลังแพร่กระจายไปทั่วลานกว้าง     เลือดในกายของเขาร้องเตือนถึงอันตรายจนร่างสั่นสะท้าน  แต่กลับกลายเป็นว่า คนทั้งลานกว้างไม่มีใครมองไม่เห็น!
     

              "หนีไป!"
     

    อาร์ กัสตะโกนลั่น  คนทั้งหมดหันมามองเขา ไม่มีใครวิ่งหนี  ไม่มีใครตื่นกลัว   แต่เป็นเขาเองที่ถูกคนทั้งลานจ้องกลับมาด้วยความสงสัย      และที่เลวร้ายกว่านั้นจิตชั่วร้ายกลับมุ่งความสนใจมาที่เขา  
     

             "เจ้านั่นเป็นอะไรของมัน" 
     

    เด็กหนุ่มผมดำร่างใหญ่จากซิลเทียเรส  มองตาบริบๆ เมื่อเห็นเด็กผมทอง แต่งตัวมอซอราวกับขอทานคนนั้น    อยู่ๆก็วิ่งจากลานกว้างไปยังด้านหลังอาราม    
     

          "ไปต่อแถวเถอะ คาอิน"
     

       เด็กหนุ่มผมขาวอีกคนไล่เพื่อน   แม้ในใจจะเริ่มสงสัยพฤติกรรมแปลกๆของเด็กหนุ่มผมทองที่เพิ่งวิ่งจากไป

         
     


     

           อาร์กัสทิ้งการสมัครนักพรตเอาไว้ข้างหลัง  ตอนนี้เขากำลังถูกจิตชั่วร้ายไล่ล่า   มันไม่ใช่แค่เขา  แต่เด็กน้อยอีกคนเมื่อครู่ กำลังถูกจิตชั่วร้ายมหึมาไล่ตามเช่นกัน    ทำไมนะ  ทำไมเขาจึงเริ่มมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น มองเห็นจิตชั่วร้าย  มองเห็นคนของความมืด   ตาของเขาเป็นอะไรไปแล้วกันแน่ 
     

              " ! "
     

      อาร์กัสตกใจแทบสิ้นสติ     เมื่อเขาเห็นผู้มาจากนรกเป็นครั้งแรก  จิตชั่วร้ายสีดำนั้น ได้รวมตัวกันกลายเป็นอสูรกายน่าสยดสยอง  มันพุ่งเข้าทำร้ายเด็กชายตัวจ้อยที่พยายามวิ่งหนี  เด็กน้อยได้แต่วิ่งหลบล้มกลิ้ง  พยายามพาร่างเล็กๆนั้นวิ่งเอาตัวรอด      

     

                    “ไอ้ปีศาจ  ออกไป !”

    อาร์ กัสร้องลั่น  เขาเก็บหินแถวๆนั้นขว้างปาอสูรกายไม่ยั้ง     เขาไม่รู้วิธีจัดการกับความมืด   แต่ก็จะพยายามช่วยชีวิตเจ้าเด็กตัวจ้อยคนนั้นให้ได้  
     

                    “แก ! มาทางข้านี่ !”

    อาร์กัสหลอกล่ออสูรกายด้วยวิธีงี่เง่าอย่างการปาหินไส่  เป็นการกระทำโง่ๆแต่ผู้มาจากความมืดก็หันมาสนใจตัวเขาและเปิดโอกาสให้เด็กน้อยหนีไปซ่อนตัวได้สำเร็จ

                   แล้วข้าจะทำยังไงดี ! 
     

      อาร์กัสกัดฟันกรอด บัดนี้เหลือเพียงเขากับปีศาจร้ายยืนเผชิญหน้ากัน    อาร์กัสเริ่มหายใจหอบ  เขาหมดแรงปาหินหรือวิ่งหนีแล้ว     ซ้ำร้ายยังถูกต้อนจนจนมุม  ตัวเขาเริ่มสั่นสะท้าน  แต่ก็ยังคว้ากิ่งไม้แถวๆนั้นขึ้นมาสู้

                   "อาร์...กัส...."

    เด็กหนุ่มตาเบิกค้าง    เขาได้ยินไม่ผิดแน่ๆ    ปีศาจตรงหน้ากำลังเรียกชื่อเขา
     

                    “ทำไมแกถึงรู้จักชื่อข้า!”
     

    อาร์ กัสร้องลั่นด้วยความตกใจ  !
     

                    “อาร์กัส..... พวกเดียวกัน..... อาร์กัส.... แก..เป็นพวกเดียวกัน.....กับเรา...”

                    “ใครเป็นพวกเดียวกับแก!”

    เขายกไม้ฟาดเปรี้ยงไปที่อสูรกายตนนั้น     ร่างชาวนรกค่อยๆจางหายไป  มันจงใจจากไปเอง  ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว ในตอนนั้นอาร์กัสไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา   เขาหอบแฮกๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น พิงร่างตนเองกับต้นไม้ขนาดใหญ่หลังอาราม  
     

                  "เจ้าหนู ออกมาเถอะ" อาร์กัสเรียก

    เด็กน้อยค่อยๆเดินออกมา   
     

                    “แย่ จริง! ทำไมคนในอารามจึงปล่อยให้ปีศาจเข้ามาป้วนเปี้ยนในอารามได้กันนะ  ”

    เด็กหนุ่มว่าพลางส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ  
     

                    “ ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะ อาร์กัส”

    เด็กน้อยเอ่ยขึ้น  และพริบตานั้นก็หายไปเสียเฉยๆต่อหน้าต่อตาเขา     อาร์กัสหน้าถอดสีทันที  !   ตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ในอารามนักพรตแห่งซางตานีโอ  เขาก็ไม่เคยพบเห็นเด็กคนนี้  และที่สำคัญอารามแห่งนี้ไม่เคยรับอุปถัมภ์เด็กอายุราวขวบกว่าๆแบบนั้น      
     

                   นี่มัน ! เกิดอะไรขึ้นกับเขา!
     

    ตลอดทั้งวัน อาร์กัสนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยความตกใจ    ปีศาจตนนั้นทำไมมันจึงเรียกเขาว่าพวกเดียวกัน   แล้วเด็กคนนั้นเป็นใคร ! นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เด็กหนุ่มนั่งนิ่งโดยไม่ได้แม้แต่เข้าแถวรอสมัครเป็นนักพรต  และไม่ทันไรเสียงระฆังปิดประตูอารามก็ดังขึ้น 
     

              นี่เย็นมากจนถึงเวลาปิดทำการแล้วหรือ ! 
     

    อาร์ กัสได้ยินเสียงระฆังแล้วถึงกับคอตกอย่างสิ้นหวังจริงๆ   เขาต้องรีบออกไปก่อนประตูอารามจะปิด  เพราะมีกฎเกณฑ์บังคับเอาไว้สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ภายใน อาราม จะต้องออกจากอาณาเขตอารามก่อนประตูปิด 

             อาร์กัสเก็บคทาและห่อผ้าเก่าๆของเขา ก่อนจะเงยหน้ามองอารามที่เขาเคยอยู่มาถึงหนึ่งปีเต็ม  เด็กหนุ่มค้อมศีรษะลง  เขายังจำได้ดีว่านักพรตในนั้นใจดีกับเขามากมายนัก  และที่สำคัญยังมีนักพรตอีกคนที่ไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกเลยนับตั้งแต่วันที่ เขาถูกพามาจากทางเหนือ   อารามนี้มีความทรงจำดีๆสำหรับเขามากมายนัก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ที่ของเขาอีกต่อไปแล้ว

                 
     

                    “อ้าว! เจ้าอย่าทำบ้า   เดินเอ้อระเหยอยู่ได้อาร์กัส   ประตูจะปิดแล้วนะ”

    ทัน ใดนั้นนักพรตผู้หนึ่งก็ถือคบเพลิงวิ่งตรงมาหาเขาพร้อมกับร้องลั่น   อาร์กัสจำพรตผู้นี้ได้ดี นี่คือหนึ่งในแปดนักพรตที่ช่วยชีวิตเขากลับมาจากดินแดนเชล

                    “ขออภัยขอรับ ข้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ ขออภัยที่ต้องให้ท่านลำบาก”

    อาร์กัสรีบขอโทษนักพรตคนนั้น  ในที่สุดแล้วเขายังต้องถูกคนในอารามออกมาไล่จนได้

                    “ออกไป? เจ้าพูดอะไรของเจ้า”

    พรตผู้นั้นถามกลับพลางทำหน้างง

                    “ก็ถึงเวลาปิดประตูอารามแล้วไม่ใช่หรือขอรับ”อาร์กัสถามกลับ

                    “ใช่ เพราะฉะนั้นรีบกลับไปสิ”

    เมื่อโดนนักพรตคนนั้นไล่ซ้ำสอง เขาจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินจากไปทันที แต่ไม่ทันไรเขาก็ได้ยินเสียงตะหวาดไล่หลัง  นักพรตผู้นั้นเริ่มบ่นอย่างไม่พอใจ แล้ววิ่งมาขวางทางเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง

                    “ไอ้เด็กจอมวุ่น  น่ารำคาญ  นั่นเจ้าจะไปไหน”

                    “ออกจากอารามขอรับ”อาร์กัสตอบเสียงเบา

                    “ให้ ตายสิ   เจ้ามาสมัครเป็นนักพรตไม่ใช่เหรอ รีบๆกลับไปอารามสิ ให้ตาย! รู้มั้ยข้าต้องโดนอาร์คบิชอปด่าไม่รู้กี่ครั้ง  เจ้ามีรายชื่อเป็นลำดับสุดท้าย ทุกคนเขารอกันอยู่ในห้องโถงกันนานโขแล้ว  เสียเวลาจริง รีบๆกลับไปสิ”

                    อาร์กัสได้แต่มองคนพูดตาปริบๆ เขากำลังถูกไล่กลับอาราม  ทั้งๆที่ไม่ได้เข้าไปสมัครเป็นนักพรตเสียด้วยซ้ำ  
     

                    “แต่ข้ายังไม่ได้สมัครเลยนะขอรับ”

    อาร์กัสหยุดเดิน แล้วหันกลับมาตอบด้วยสีหน้าเครียด
     

                    “อย่ามาล้อเล่นนะ ในใบสมัครเจ้าก็กรอกข้อมูลมาหมดแล้วไม่ใช่เหรอไง”

    พรต นั้นว่าพลางยื่นใบสมัครมาให้เป็นหลักฐาน   แต่มันทำให้อาร์กัสถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น เมื่อใบสมัครในมือของนักพรตผู้นั้น คือใบสมัครเป็นนักพรตที่ถูกเขียนด้วยลายมือที่เหมือนกับเขาเขียนเองอย่าง เหลือเชื่อ  ในนั้นมีชื่อเขากรอกไว้อย่างเด่นชัด

                    “เหตุใดนับวันเจ้าจะยิ่งเหลวไหล ไร้สาระ คนอื่นเขาต่อแถวสัมภาษณ์ แต่เจ้ากลับมัวเล่นบ้าอะไรอยู่หลังอาราม!”  พรตผู้นั้นเริ่มขึ้นเสียงตำหนิอย่างโมโหสุดขีด

                    “ข้าพบเด็กคนหนึ่งขอรับ  แล้วเด็กคนนั้น.....”

    เด็กหนุ่มเริ่มแก้ต่างให้ตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าพรตผู้นั้นจะไม่ยอมฟัง  เพราะมันเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น
     

                    “นอก จากจะเหลวไหล แล้วยังปั้นน้ำเป็นตัว   ข้ามองเจ้าอยู่นาน  ก็ไม่เห็นว่าจะมีเด็กอื่นอยู่เลย  มีแต่เจ้าที่ร้องโวยวาย  วิ่งไปมาอยู่คนเดียวด้านหลังอาราม เจ้าเด็กบ้า!”

    คำพูดของพรตนั้นทำให้อาร์กัสตื่นตระหนก เขาเริ่มตกใจ และหวาดกลัวกับบางสิ่งบางอย่าง    เพราะพรตผู้นี้มองไม่เห็นเด็กน้อยคนนั้น

                    “ท่านไม่เห็นเด็กเล็กๆคนนั้นจริงๆหรือขอรับ!”

    อาร์กัสถามอย่างเสียขวัญ
     

                    “เด็ก! เปล่านี่  เด็กอะไรของเจ้า”

    พรตนั้นถามต่อด้วยความสงสัย
     

                    “เด็กผู้ชายตัวเล็กๆน่าจะเพิ่งหัดเดิน ”

    สิ้นคำอธิบายนั้นของอาร์กัส  นอกจากจะไม่น่าเชื่อถือแล้ว คนพูดยังถูกด่ากลับในทันที

                    “เป็นบ้าอะไรของแก! ที่อารามไม่มีเด็กวัยขนาดนั้น วิ่งไปมาหรอก  เอ้า!เร็วสิ กลับไปได้แล้ว”

    นัก พรตผู้นั้นร้องด่าด้วยความโมโห   แต่ก็แสดงว่าไม่มีใครเห็นเด็กชายตัวจ้อยคนนั้นเลยสักคน  
     

                อยู่ๆความหวาดกลัวก็เกิดขึ้นในใจลึกๆ  ความรู้สึกหวาดระแวงถึงบางสิ่งบางอย่างที่คนทั่วไปมองไม่เห็น  สัญชาตญาณในใจลึกๆร้องเตือนตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่า  เด็กชายคนนั้นไม่ใช่มนุษย์  แต่เป็นอะไรสักอย่างที่แม้แต่นักพรตผู้พิฆาตความมืดทั้งอารามยังมองไม่เห็น  อาร์ กัสเริ่มตัวสั่น นึกสงสัยว่าเด็กที่เขาเห็นเมื่อครู่เป็นใครกันแน่ หรือว่าเขาเพียงแค่ฝันไป 
     

                   อาร์กัสหน้าซีดตัวสั่น เหงื่อแตกผลักๆด้วยความหวาดกลัว  แต่กระนั้น  เท้าที่สั่นเทาของเขา ก็ยังคงวิ่งตามนักพรตรุ่นพี่คนนั้นกลับอารามไปโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงอะไร ได้  
     

    *************************************************************************************

      ในสถานที่เดียวกันแต่คนละช่วงเวลา  หญิงสาวผมดำกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่

    “เด็กที่แม้แต่นักพรตชั้นแนวหน้ายังมองไม่เห็น.......”

    ดาร์ค  เคนิส บริสตั้น เอามือเท้าคางแล้วเดินไปมาหลายรอบ  จนพรตหนุ่มเริ่มปวดหัว

                    “บางทีข้าน่าจะบังเอิญเห็น”

    เขาเอ่ยขึ้นเพื่อพยายามให้หล่อนหยุดคิดไปเดินไปแบบนั้น

                    “ไม่น่าใช่ ! มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก”

    ใบสมัครเป็นนักพรตมีใครบางคนเขียนแทนส่งแทนให้เรียบร้อย  เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมากสำหรับเคนิส

    ใครคนนั้น ต้องรู้ว่าอาร์กัสไม่สามารถกลับไปอาศัยอยู่ในบ้านเกิดได้  รู้แค่ว่ามีเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นให้เขาก้าวเดินต่อ

                    “ดาร์ค บริสตั้น!  ต้องใช่เขาแน่ๆ” เคนิสหันมาบอกอาร์กัส 

                    “เจ้านั่นเป็นคนเขียนใบสมัครให้นาย  เผลอๆยังอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กในวันนั้นด้วย”

     

    ข้อ เท็จจริงที่อาร์กัสได้ยินหลังจากเหตุการณ์นั้นถึงพันปี เล่นเอาพรตหนุ่มถึงกับอ้าปากค้างออกมา 
     

                    “เด็กคนนั้นเป็นใคร เจ้ารู้หรือไม่  เคนิส”

                    “ไม่รู้หรอก   แต่ที่ฉันรู้........”

     หญิงสาวตอบห้วนๆแล้วหยุดพูดครู่หนึ่ง ดวงตาสีดำหรี่ลงอย่างน่ากลัวก่อนจะชี้มายังเขา

                    “นายอย่า คิดว่า ดาบของเจตภูตนั่น พอล้างคำสาปได้แล้วอะไรๆมันจะจบลงง่ายๆ  แม้ร่างกายจะยังเป็นมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเป็นเจตภูต  แต่เรื่องที่นายเคยถูกแทงด้วยดาบนั่นยังไงๆก็ไม่มีอะไรลบล้างได้หรอก   มันย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายและวิญญาณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ "

    เค นิสได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาจากวาเลเรียส  แน่นอนว่าเขาเคยแอบทดลองวิจัยเรื่องนอกรีตนี้ภายในสุสารโบราณ หมอปีศาจที่เคยได้ตัวอย่างทดลองชั้นดี มาจากโลงศพที่เพิ่งถูกชาวเมืองซิลเทียเรสเอามาทิ้งไว้นอกเมือง ศพที่ยังไม่ตายดี แต่กำลังเปลี่ยนแปลงเป็นเจตภูต

                    “เคนิส! เจ้าหมายความว่ายังไง!”

    อาร์กัสร้องลั่นด้วยความตกใจ   แต่หญิงสาวตรงหน้านั้นกลับเพียงแค่หัวเราะออกมา

                    “เริ่มแรกก็คือตาของนาย  อาร์กัส”

    เคนิสว่าแล้วชี้ไปที่ดวงตาสีฟ้าสดใสของเขา

                    “แม้ ร่างกายจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ความเป็นเจตภูตนั้นยังจะถูกถ่ายทอดมาถึงอยู่ดี  สิ่งที่พวกมันเห็น ก็คือสิ่งที่นายเห็น  นายไม่ได้มีญาณมองเห็นปีศาจหรือเหล่าผู้อยู่ในความมืดเหมือนนักพรตอื่นๆ  แต่สิ่งที่นายเห็นคือสิ่งที่พวกเจตภูตมองเห็น  พูดง่ายๆก็คือ ผีย่อมเห็นผี!”

    ดวง ตาที่ไม่ได้มองมุมมองเดียวกันกับที่มนุษย์มองสิ่งต่างๆ  แต่เป็นดวงตาที่เจตภูตใช้มองทุกสิ่ง  เป็นดวงตาของปีศาจ มุมมองของปีศาจ  อาร์กัสเริ่มหน้าซีดเผือกเมื่อเริ่มรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเองเป็นครั้ง แรก   ตลอดมาเขาไม่รู้อะไรเลย  ทั้งสับสนทั้งทรมาน ไม่รู้ถึงวิถีทางที่จะรับมือการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่ยิ่งรุกคืบเข้ามาทำลาย ชีวิตของเขาเรื่อยๆ

                    “ดวงตาของนายเป็นดวงตาที่มองเห็นสิ่งต่างๆได้เช่นเดียวกับที่เจตภูตมองเห็น  อาร์กัส
    .....  นายจะเห็นเจตภูตในมุมมองของพวกเดียวกัน   เห็นทั้งปีศาจ ทั้งทูตสวรรค์ และที่สำคัญ     จะมองเห็นอะไรบางอย่างที่พวกมันมองเห็นด้วย”

     ตลอด มาในใจลึกๆแล้วสิ่งที่เขามองเห็นในความมืด คือดวงตาสีแดงฉานของเจตภูตตนที่แทงเขาในวันนั้นอยู่เสมอ  นายเหนือของเจตภูตตนนั้นคือปีศาจ                เป็นปีศาจที่แม้จะถูกส่งกลับลงนรกไปแล้ว   แต่มันก็ไม่ได้หายไปไหน พวกมันมีเบื้องต้นแต่.....ไร้เบื้องปลาย

                    “อะไรบางอย่าง?.......” 
     

                    “อืม ...... ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่นายของเจตภูต หรือปีศาจในนรกนั่นเท่านั้น   แต่ยังจะมองเห็นเจ้านายสูงสุดของพวกนั้นที่มนุษย์ไม่มีปัญญามองเห็นด้วย  ดังนั้นสิ่งที่ฉันจะบอก   คือเรื่องของเด็กคนนั้น.............”

     

                            พรตสายพิฆาตความมืดระดับท็อปหนึ่งในแปดแห่งยุคก่อน  ยังไม่อาจมองเห็น  บางสิ่งที่มนุษย์ต่อให้มีญาณแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่อาจข้ามขอบเขตมองเห็น  คงจะมีเพียงผู้ที่มีดวงตาดุจเดียวกันกับพวกเขาเท่านั้นที่มองเห็นได้

                    “ถ้าอย่างนั้นเด็กที่ข้าเห็นในตอนนั้น.......”อาร์กัสเบิกตากว้างมองเคนิสอย่างตกใจ

                    “ถ้า หากพรตทั้งอารามพิฆาตความมืดยังมองไม่เห็น คงจะไม่ใช่ทั้งปีศาจ หรือเจตภูตธรรมดาเสียแล้ว   ฉันเองก็พอจะบอกได้แค่ว่า เขาเป็นบางอย่างที่มีเพียงเจตภูตหรือปีศาจ สามารถมองเห็นได้เท่านั้น”

                “ถ้างั้นเด็กนั่นเป็นใคร......................”

                    “ไม่รู้สิ”

    เค นิสบอกได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะเดินวนไปวนมาอีกรอบ คนที่ร้อนใจเรื่องคำตอบเมื่อเห็นเธอเริ่มคิดอะไรบางอย่างก็เริ่มจะใจคอไม่ ดี  เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาที่เพิ่งคลี่คลายทีละเล็กละน้อย จะยังมีอะไรซุกซ่อนไว้อีกนะ

                    “เข้าใจแล้ว”

    อยู่ๆเธอก็พูดออกมาลอยๆ  แต่คนได้ยินนั้นแทบจะช็อกตายไปตรงนั้น  หล่อนรู้อะไร หล่อนรู้อะไรอีก

                    “เข้าใจอะไรของเจ้า เคนิส”อาร์กัสร้องถามออกไปอย่างร้อนรน

                    “เรื่องในคำทำนายโบราณ  เกี่ยวกับผู้ที่ถูกดาบเจตภูตคร่าชีวิตแล้วแต่กลับไม่ตาย”

    เค นิสตอบเสียงเบาพร้อมเดินไปเดินมาพลางครุ่นคิด  มีตำราเก่าแก่ในหอสมุดซิลเทียเรสที่ยังเก็บ จดหมายเหตุ   วิทยานิพนธ์  และคำทำนายยุคโบราณเอาไว้ได้  ในนั้นมีเขียนอย่างเด่นชัด ถึงผู้ที่ถูกคร่าชีวิต ด้วยอาวุธต้องสาปแต่รอดชีวิตกลับมา  ทั้งชีวประวัติของผู้คนเหล่านั้น หรือแม้แต่ผลกระทบที่โลกได้รับ

                    “คำทำนาย ?”

    อาร์ กัสมองเธออย่างสงสัย ใช่แล้วเขาสงสัยมาตลอดตั้งแต่ที่พวกนั้นคุยกัน   เรื่องที่พรตดาร์ค บริสตั้น กับวาเลเรียสคุยกันไว้ก่อนจะรักษาเขา  คำทำนายที่ว่า เขาอาจเป็นตัวต้นเหตุที่จะทำให้โลกต้องล่มสลายลงในอนาคต

                    “ที่จริงไม่ใช่คำทำนายหรอก แต่เป็นสิ่งที่นายต้องทำในอนาคตตั้งหาก”เคนิสว่า

                    “อะไรนะ!”

      อาร์กัสร้องลั่นด้วยความตกใจ  นี่เขายังต้องเจออะไรอีก พอทีเถอะ แค่นี้ แค่นี้เขา   เขาก็จะไม่ไหวแล้ว

                    “เรื่อง บางอย่างนั้น พอก้าวเท้าเข้าไปแล้ว ก็จะกลับออกมาอีกไม่ได้   พวกเราบริสตั้นได้เดิมพันไว้กับนายแล้ว ตั้งแต่ตัดสินใจช่วยชีวิตในวันนั้น”

    เค นิสเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่ง ส่วนอาร์กัสพยายามสูดลมหายใจลึกๆ เขาต้องรับรู้อะไรอีก  ดาร์ค บริสตั้น กับ ไลท์ วาเลเรียส กำลังเดิมพันอะไรกับเขาอยู่

                    “อย่างที่ฉันบอกไว้  ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่ถูกดาบเจตภูตแล้วจะรอดมาได้  นายมีชะตากรรม ไม่สิ หน้าที่ที่ต้องทำตั้งหาก  ”

                    “หน้าที่! อะไรเล่า นี่ข้ายังต้องทำอะไรอีก”

                    “สิ่งที่ตาของนายเห็น มุมมองของปีศาจที่มองมนุษย์   มุมมองของผู้อยู่ในความมืดที่ได้เห็นพวกเดียวกันเป็นแบบไหนละ”

    อาร์กัสไม่เข้าใจเคนิส  เธอพูดเรื่องอะไร  ตาของเขาเห็นอะไร  เขาไม่เห็นอะไรในความมืดเลยตั้งหาก

                    “ไม่ หรอก  นายมองเห็นแน่ๆ  ผู้ที่ถูกดาบมารคร่าชีวิตแม้จะยังไม่ตาย แต่จิตใจจะเริ่มโน้มเอียงไปหาผู้อยู่ในความมืดทีละเล็กทีละน้อย   จะยอมจำนนเป็นทาสไปชั่วนิรันดร์  หรือจะฮึดสู้ต่อต้านจนพ้นออกจากคำสาปร้าย  มันไม่ใช่แค่อิสซาเบลล่าปีศาจที่สาปนายตนนั้นหรอก  แต่เป็นใครอีกคนที่สูงส่งกว่าหล่อนมากมายนัก ”

                    เขามีหน้าที่ต้องโค่นล้มบางสิ่งบางอย่าง ไม่เช่นนั้นก็ต้องกลายเป็นทาสของปีศาจร้ายทั้งๆที่ยังเป็นมนุษย์อยู่  ทั้งทำสาปที่ทำให้ไม่ตาย  ทั้งยังจะต้องเป็นทาสในสภาพมนุษย์  ต้องทำตามคำสั่งของมันผู้นั้น  นี่เองคือสิ่งที่ดาร์ค บริสตั้นเห็นในวันที่จะลงดาบสังหารเขา  นี่จะเป็นยุคที่ปีศาจจะต้องผ่ายไป หรือจะมีชัยเหนือมนุษย์   พรตผู้นั้นมีทางเลือกอยู่สองทาง คือปล่อยให้โลกยังเป็นเช่นนี้ต่อไป  หรือเลือกที่จะเสี่ยงดวงกับเด็กที่ใกล้จะตายตรงหน้า  เขาจะเป็นผู้ทำลายล้างมวลมนุษย์ หรือเป็นผู้นำความผ่ายแพ้มาสู่ฝ่ายตรงข้าม

                    “และเมื่อเร็วๆนี้  ฉันได้ยินข่าวแว่วๆจากซิลเทียเรส”

    เคนิสเล่าต่อ  ข่าวแว่วๆที่ว่านั่น ไม่ใช่ว่าได้ยินจากใครที่ไหน แต่เป็นอาร์คบิชอปมิคาเอลแห่งซิลเทียเรส 

                    “มีข่าวว่าพวกที่ควรตายไปแล้ว มาเดินเพ่นพ่านกลางดึก แถมยังไล่ล่ามนุษย์”

    ศพ ที่วาเลเรียสได้นำมาวิจัยเขาก็ได้มาจากซิลเทียเรส   มันคือโลงกักปีศาจที่ลงอาคมอย่างแน่นหนา แต่ภายในนั้นมีมนุษย์ที่กำลังกลายสภาพเป็นเจตภูตอยู่ภายใน  อาร์คบิชอปมิคาเอลเองก็ได้ยุติเรื่องคนตายเดินเพ่นพ่านในเมืองซิลเทียเรสไป ไม่ไม่นานมานี้  แต่ก็ยังคงจับตัวต้นเหตุไม่ได้

                    “ไม่จริงใช่มั้ย พวกมัน............”

                    “เออ......นายเตรียมล้างคอรอได้เลย สงครามแบบเมื่อพันปีก่อนน่าจะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้า”

    อาร์ กัสตกใจกับข่าวนั้น  แต่ก็ไม่หวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อน  ตอนที่เห็นชาวเมืองถูกไล่ล่าในวัยเด็กที่ดินแดนเชล  คงเพราะตอนนี้เขาเจออะไรมามากแล้ว

    “เด็กนั่น  นายยังเจอเขาอีกมั้ย?”เคนิสถามต่อ

    “อืม  ตั้งแต่สร้างป่าเดียวดายนี้ขึ้นมา ข้าก็ไม่เห็นเจ้าหนูนั่นอีกเลย   แต่เมื่อก่อนเจอบ่อยๆ ในอารามนั่นแหละ วิ่งเล่นตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างด้วย”

    อาร์กัสบอกแล้วชี้ไปตรงสระน้ำใกล้ๆ  เขาไม่รู้สึกถึงจิตชั่วร้ายใดๆจากเด็กคนนั้น แต่ก็ยังน่าหวาดกลัวอยู่ดี

                    “แปลกเด็กจริงๆ ใครกันนะ”เคนิสหันมาถามอาร์กัส

                    “ไม่รู้สิ  แต่นั่นแหละเป็นเพื่อนคนสำคัญของข้าในอารามตอนนั้นเลย   ที่ข้าสร้างป่านี้ขึ้นมาก็คงจะเพราะเด็กคนนั้น”

    พรต หนุ่มค่อยๆลุกขึ้นเดินไปหยิบกางเขนหน้าไม้ที่เขาขว้างไปเมื่อครู่  ก่อนที่จะปฏิญาณภายในใจว่าจะไม่มีวันโยนสิ่งนี้ทิ้งอีกเป็นครั้งที่สอง  สำหรับเขาแล้ว  เด็กคนนั้นไม่ใช่ปีศาจ  แต่เป็นเพื่อนอีกคน เพื่อนที่เขาอยากให้หยุดร้องให้

                    “ช่วยเล่าต่อด้วย !”เคนิสว่า

                    “ขอรับ ขอรับ  ถ้างั้นจงมองไปที่อารามข้างหน้า จินตนาการว่ามันเป็นอารามสูงใหญ่ น่าสะพรึงกลัว”

    เค นิสมองตามไปก็ไม่ได้เห็นสิ่งก่อสร้างที่ว่านั้น เธอเห็นเพียงซากปรักหักพัง และอาคารหินเก่าๆที่พังทลายเสียส่วนใหญ่แล้ว  ทั้งหมดถูกต้นไม้ยืนต้นบดบังจนเกือบมิด

                    “แล้วไงอีก”

    เคนิสหันมาถามคนเล่าต่อ
     

                    “พวกเราต้องไปยังสถานที่จริง เรื่องเล่านี้จึงจะสมบูรณ์  ไปกันเถอะ”

    ว่า แล้วพรตหนุ่มก็วิ่งพรวดเร็วจี๋ไปในป่าข้างหน้า  แล้วหายไปในหมู่เมฆไม้อย่างรวดเร็ว เคนิสเพิ่งรู้ว่าเขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมากเมื่ออยู่ในป่าเดียวดาย  ปลิว แล้วหายไป เหมือนกับสายลม!  แม้เคนิสจะวิ่งตามเขาเข้าไปในซากอารามแล้ว  แต่ก็ยังไม่เห็นพรตอาร์กัสที่เพิ่งนำหน้ามาเมื่อครู่ 

                    “มาทางนี้ เร็วๆเข้า”

    เค นิสตามเสียงของอาร์กัสเข้าไปยังบานประตูหินใหญ่บางหนึ่งที่เปิดแหงมๆเอาไว้  ในนั้นมืดสนิท แต่ในความมืดนั้นมีพรตผู้หนึ่งถือตะเกียงรออยู่ข้างหน้า

                    “เรื่องราวต่อจากนี้ไป เริ่มขึ้นที่ตรงนี้  จงฟัง!”

    ทัน ใดนั้นแสงเพียงหนึ่งเดียวจากตะเกียงอันน้อยๆก็ดับวูปลง ความเงียบสงัดวังเวงเข้ามาแทนที่ เงียบจนรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง  ภายในห้องนั้นไม่ได้มีแค่เธอกับอาร์กัส  แต่ยังมีวิญญาณของผู้ล่วงลับนับร้อยดวงมาร่วมฟังเรื่องราวนี้อยู่ในนั้นด้วย

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    END  / สิ่งที่มองเห็นผ่านดวงตาดวงเดียวกัน

      
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×