ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #13 : อาร์กัส ( Argus )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 119
      1
      30 พ.ค. 65

                  ข้าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวเหล่านี้จากตรงไหนดี  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา มันเนิ่นนานจนข้าเองยังรู้สึกว่าหลายๆเรื่องนั้นเลือนรางจากความทรงจำ  แต่ที่ยังจดจำได้เสมอคือเรื่องราวในวันนั้น   วันที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของข้าต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

     

    ย้อนกลับไปพันกว่าปีก่อน  ในตอนนั้นข้ายังอาศัยอยู่กับครอบครัวพรานป่าเล็กๆ  ในหมู่บ้านแถบชายแดนเชลหากจะกางแผนที่ในสมัยปัจจุบันนี้   บ้านเกิดของข้าก็เป็นเพียงแผ่นดินรกร้างภายในทวีปต้องสาป    พวกเราใช้ชีวิตเรียบง่าย อยู่กันอย่างสงบสุขมาช้านาน  ใช่แล้วทุกอย่างควรเป็นเช่นนั้น  

    “อาร์กัส! ถอยห่างจากถนนนั่น  เร็วเข้า!”

    มีเสียงตะโกนไล่ข้าอย่างเอาเป็นเอาตายจากผู้คนในหมู่บ้าน  พวกเขาต่างวิ่งกันอลหม่านโกลาหล  นอกนั้นที่ถนนนั่นข้ายังเห็นฝูงชนจำนวนมาก   ต่างวิ่งหน้าตาตื่นราวกับหนีสิ่งใดมา  มีเสียงร้องลั่นก้องระงม  ดังแว่วมาแต่ไกล  และรู้สึกว่ามันจะได้ยินใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

    “เกิดสงครามขึ้นเหรอขอรับ!”

    ข้าร้องถามพ่อข้าที่กำลังจูงมือข้าแล้วออกวิ่งสุดชีวิต

    “ใช่  แต่มันแย่กว่านั้น      อาร์กัสบางทีทั้งเจ้าและข้า พร้อมคนทั้งหมดนี้  อาจจะไม่มีใครรอดชีวิตจากพวกที่กำลังมานั่น!    นี่ไม่ใช่สงครามธรรมดาแต่พวกนั้น มันกำลังมาล่ามนุษย์”

    สิ่งเลวร้ายที่เข้ามาทำลายชีวิตในวัยเด็กของข้าจนป่นปี้นั้น  พวกมันมีประมาณยี่สิบตน  สวมเสื้อคลุมดำสนิท ภายใต้ฮูดคลุมศีรษะนั้น มีเพียงความมืดกับแสงเรืองๆแดงฉานที่น่าจะมาจากดวงตาทั้งสองข้าง    พวกมันต่างขี่ม้าสีดำปลอดตัวใหญ่กว่าม้าใดๆที่ข้าเคยเห็นมา  ท่าทางแต่ละตนดูสูงใหญ่และพกดาบยาวคมกริบเหมือนนักรบ  พวกมันแค่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน   แต่ด้วยการทดลองเวทย์ต้องห้าม ทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบปีศาจที่ไม่มีวันตาย

                  ดินแดนเชลถูกโจมตีโดยกองกำลังแปลกๆเหล่านี้  ว่ากันว่าผู้ครอบครองดินแดนทางเหนือต้องการจะแผ่อำนาจปกครองทุกแว่นแคว้น เขาฝ่าฝืนข้อห้าม  แล้วสร้างมนุษย์ดัดแปลงร่วมกับเจตภูตขึ้นมา  กองทัพของดินแดนเชลไม่มีทางเอาชนะพวกมันได้หรอกขอรับ   มนุษย์ต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็ไม่อาจรับมือกับปีศาจไหว   ทำให้บริเวณชายแดนทั้งหมดกำลังถูกยึดครอง    แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของฝ่ายนั้นคือซากศพมนุษย์  วัตถุดิบสุดสำคัญในการสร้างกองทัพเจตภูต และที่สำคัญมีเจ็ดขุนพลปีศาจอยู่เบื้องหลัง

                    “วิ่ง!”

    ยังไม่ทันไรนักรบเจตภูตก็ควบม้าฟาดฟันผู้คนตลอดทางจนมาถึงที่นี่พวกมันลงดาบฟาดฟันกระหน่ำไม่ยั้ง พร้อมใช้ม้าเหยียบย่ำผู้คนจนร่างแหลกเหลว   ข้าได้ยินเสียงร้องโหยหวนจนหูอื้อไปหมด และตัวข้าเองก็ถูกดาบของนักรบนั่นแทงเข้าที่กลางอกจนล้มลงกับพื้นจมกองเลือด 

                    “อาร์กัส!”

    ข้าได้ยินเสียงพ่อข้าร้องลั่น  แต่เขาช่วยอะไรข้าไม่ได้  เพราะดาบคมกริบนั้นกำลังจะถูกเหวียงฟันซ้ำเพื่อคร่าชีวิตแล้ว  ข้าได้แต่หลับตาลงเมื่อไม่อาจจะทำอะไรได้  หลับตาอยู่อย่างนั้น    และเริ่มรู้สึกว่ามันเนิ่นนานเกินไปสำหรับการรอคมดาบปั่นศีรษะจากนักรบปีศาจตรงหน้า   จึงตัดสินใจลืมตาขึ้น  

    “ถ้าอยากสู้อย่างสมน้ำสมเนื้อ  จงมาดวนดาบกับข้าไม่ดีกว่าเหรอ”

    ข้าเห็นคนผู้หนึ่งใช้มือเปล่ารับคมดาบนั้นไว้   บุรุษปริศนาในชุดนักพรตสีน้ำตาลเข้ม  ในตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร  เหตุใดจึงเก่งกาจขนาดนั้น

    ไม่มีใครเอาชนะเจตภูตได้  แม้ใช้ทั้งดาบทั้งธนูเข้าสู้  แม้จะแทงถูกจุดสังหาร หรือต่อให้ยิงลูกดอกใส่จนพรุน  แม้จะจุดไฟเผา  ก็ไม่อาจสังหารมันได้    นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กองกำลังแห่งดินแดนเชลต้องแพ้พ่าย  แต่เพราะสาเหตุใดกันแน่  เหตุใดชายคนนั้นจึงทำลายนักรบเจตภูตได้อย่างง่ายดายนัก  เพียงแค่คมดาบเชือดเฉือน ร่างดัดแปลงนั้นก็ระเบิดเป็นเถ้าถ่านไปในทันที   เพียงไม่กี่อดใจเดียว นักรบเจตภูตก็เหลือเพียงห้าหกตน และกำลังควบม้าหนีออกไป

                    “พลธนู!”

     แม้ม้าสีดำฝีเท้าไวจะพานักรบเจตภูตหนีออกไปไกลแล้ว  แต่ยังมีนักพรตอีกเจ็ดคนง้างธนูเตรียมพร้อมที่หน้าถนน ดักซุ่มรอจังหวะสังหารล่วงหน้าแล้ว

                    “ยิง!”

    ลูกดอกพุ่งเสียบทะลุยังร่างเป้าหมายได้อย่างแม่นย่ำเด็ดขาด แล้วพริบตาเดียวร่างกายที่เกิดจากการดัดแปลงด้วยเวทย์ต้องห้าม  ก็กลายเป็นตุ่มปูดโปน เริ่มแตกละเอียดเป็นฝุ่นผงไป  นักรบเจตภูตที่ทำลายผู้คนมาหลายเมืองแล้วนั้นถูกกำจัดสิ้นซาก   ด้วยฝีมือของนักพรตในชุดสีน้ำตาลเข้มจำนวน 8 คนเท่านั้น พวกเขาสวมฮูดปิดบังใบหน้ามีอาวุธครบมือ

    “พวกนั้นเป็นใครกัน”

    ข้าได้ยินคนที่ยังรอดชีวิตอยู่พูดคุยกันลั่น  ที่แน่ๆกลุ่มคนที่จัดการปีศาจไปนั้นไม่ใช่นักรบในดินแดนเชล  ไม่ใช่อัศวิน  แต่เป็นนักบวชที่แต่งกายผิดแผกจากนักบวชในเชล  ทั้งทักษะการต่อสู้ยังชำนาญร้ายกาจนัก

                    “นั่นเป็นนักพรต จากอารามลึกลับในหุบเขาทางใต้ใช่หรือไม่”

    คนเริ่มคุยกันเสียงจอแจ  เสียงพูดคุยกันนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ  ต่างคนต่างลงความเห็นไปต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าเป็นมือสังหาร แล้วนักพรตที่ได้ช่วยชีวิตข้าไว้ก็ไม่ได้พูดอะไร ข้ารู้ในภายหลังว่าพวกเขาเป็นนักพรตสายพิฆาตความมืด จากคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ ในสมัยนั้นชื่อเสียงของพวกเขาเป็นที่ลือลั่นไปทั่ว เป็นกองกำลังต่อต้านความมืดไร้เทียมทานที่สุดซึ่งได้ถูกส่งมาในดินแดนเชล   หลังจากนั้นก็มีนักพรตจากคณะนี้มาประจำอยู่บริเวณชายแดนเชล  ความปลอดภัยและความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง  แต่นั่นมันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่สิบปี  ก่อนที่สงครามในตำนานจะอุบัติขึ้น 

                    “หัวหน้า ! มีเด็กยังไม่ตาย”

    หนึ่งในนักพรตคนหนึ่งร้องลั่นแล้วชี้มาทางข้าที่นอนจมกองเลือดอยู่แถวๆนั้น  สายตาของคนทั้งหมดจับจ้องมายังข้า   ใช่แล้วพวกเขาต้องดีใจที่ยังมีเพื่อนมนุษย์รอดชีวิตมาได้  ต้องดีใจที่ข้ายังไม่ตาย   แล้วต้องรีบรักษาช่วยชีวิตไว้แน่ๆ  แต่สิ่งที่ข้าเห็นคือสายตาของพวกเขาเหล่านั้น ไม่มีความเอื้ออาทรหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ทั้งหมดเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก   ทั้งหวาดกลัว  และเกลียดชังเหลือแสน  พวกเขาเริ่มถอยหนีออกจากข้า และอีกหลายคนต่างถือขอนไม้หรืออะไรก็ตามที่พอจะหยิบจับหามาได้แถวๆนั้น  ต่างตรงดิ่งมาที่ข้าซึ่งยังนอนนิ่งอยู่กับพื้นทันที    ไม่มีแววตาปราณีใดๆ ไม่มีท่าทีว่าพวกนั้นจะเมตตาสงสาร     บิดาข้าเอาแต่ร้องให้เสียใจ  แต่เขาไม่ได้ห้ามคนพวกนั้นที่กำลังจะลงมือสังหารข้า

                    “อ้าว ! ไม่ใช่ตายแล้วหรอกเหรอ!”

    วาจาของนักพรตผู้ช่วยข้าไว้เองก็ช่างเชือดเฉือนใจข้านัก   เขาร้องลั่นอย่างตกใจเช่นกัน ด้วยคิดว่าเด็กที่ถูกแทงนอนจมกองเลือดนั่นน่าจะตายไปแล้วจึงเข้ามารับดาบนั่นไว้ แต่เขากลับคิดผิด และทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่

                    “ยังขอรับ นี่เป็นความรับผิดชอบของท่าน ท่านต้องจัดการให้เรียบร้อย......”

                    “เออ  เออ  รู้แล้ว!ให้ตายสิ!  ซวยเป็นบ้า ” 

    พรตผู้นั่นเริ่มบ่นออกมาแล้วเดินมาหาข้า ฝูงชนที่รายล้อมต่างหลีกทางให้เขาอย่างรวดเร็ว ด้วยนึกหวาดกลัวบรรยากาศวังเวงกดดันที่แผ่ออกมารอบๆกายนั้น  ถึงจะเป็นนักพรตแต่ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวกว่าปีศาจมากมายหลายเท่า  ดวงตาสีฟ้าที่จ้องลงมามองข้าที่กำลังจะถูกเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์เข่นฆ่านั้น ไม่ต่างอะไรกับกำลังมองหนอนแมลงตัวหนึ่ง   เขายิ้มเหยียดหยามแล้วจ่อคมดาบมาที่ศีรษะข้า

                    “แกมีทางเลือกอยู่สองทาง  อย่างแรกคือตายในฐานะมนุษย์  อย่างที่สองคือกลายเป็นเจตภูตแล้วค่อยถูกฆ่า”

    ทางเลือกไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ความตายอยู่ตรงหน้า   ตายในขณะที่ยังเป็นมนุษย์  หรือรอให้กลายเป็นปีศาจแล้วค่อยถูกฆ่า  บางทีข้าสามารถเลือกได้อีกทางหนึ่งคือถูกชาวเมืองรุมทุบตีจนตายไปเองก็ได้  ดาบของพวกนักรบเจตภูตนั้นหากไม่ถูกใช้สังหารให้ถึงแก่ชีวิต  มันก็จะมอบชีวิตใหม่ให้ผู้ที่ได้รับบาดแผลแม้เพียงปลายเล็บ  แต่เป็นชีวิตในฐานะนักรบเจตภูต ข้าทาสของปีศาจร้าย

                    คนทั้งหมู่บ้านต่างหวาดกลัวสิ่งนี้เอง พวกเขาจำเป็นต้องฆ่าข้าให้ตาย ก่อนที่จะกลายเป็นนักรบเจตภูตออกมาเข่นฆ่าพวกเขาเสียเอง  ตอนนั้นข้ามีแต่ความสิ้นหวัง  ไม่มีทางเลือกอื่นใดได้นอกจากถูกปลิดชีพ

                    “จงเลือกมาว่าจะเลือกตายในฐานะมนุษย์  หรือรอคอยให้กลายเป็นปีศาจแล้วถูกข้าสังหาร”

    เขาถามอีกครั้ง แต่ข้าไม่อาจเลือกทางใด เพราะตอนนั้นแม้แต่ลมหายใจก็เริ่มรวยรินติดขัด  โลหิตที่ยังไหลไม่หยุดนั้นทำให้ดวงตาข้าเริ่มฝ้าฟางมองสิ่งใดไม่ชัดเจนแล้ว  ต้องรีบบอกออกไป  ต้องรีบพูดในขณะที่เป็นมนุษย์  บอกเขาว่า “รีบๆข้าฆ่าซะ ก่อนที่ข้าจะเป็นเจตภูต  อย่างน้อยๆเกิดเป็นมนุษย์ก็ขอตายในฐานะมนุษย์”  แต่ข้านั้นขี้ขลาดนัก  ในเสี้ยววินาทีที่ต้องตายไปจริงๆนั้น กลับใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายที่มี  ยื่นมือไปข้างหน้า  ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับปากได้  แต่เอ่ยเพียงในจิตใจออกไปว่า

                      “ข้ายังไม่อยากตาย”

    เขาไม่ได้ยินเสียงภายในใจข้าหรอก  ดวงตาสีฟ้าสีเดียวกับข้ายังคงจ้องมองลงมาด้วยสายตาเหยียดหยามเช่นเคย แล้วดาบที่อยู่ในมือของเขานั้นก็ถูกยกขึ้นเสียบทะลุร่างของข้าอย่างไร้ปราณี  ทุกอย่างหลังจากผ่านความเจ็บปวดรุนแรงนั้นเงียบสงบอย่างประหลาด  ข้าไม่แน่ใจว่านี่เป็นความรู้สึกหลังความตายไปแล้วหรือไม่  เพราะข้ายังคงได้ยินเสียงแว่วๆจากเขา

                    “ภารกิจเสร็จสิ้น”

    พวกนักพรตทั้งหมดจากเมืองนั้นไป  และอีกไม่นานนัก  ก็มีพรตสายพิฆาตความมืดกลุ่มอื่นๆมาประจำการร่วมกันกับนักรบปกป้องชายแดน  ทุกอย่างกำลังกลับสู่ปกติสุข  แต่ที่ไม่ปกติ คือข้ายังได้ยินเสียงแว่วๆเถียงกันไปมาอย่างชัดเจน

                    “หัวหน้าพาเด็กนั่น กลับไปด้วยจะดีเหรอ”

                    “นั่นสิ ถ้าเกิดกลายเป็นเจตภูตขึ้นมา”

                    “เงียบๆเถอะ น่ารำคาญ!”

    พรตผู้นั้นตอบตัดบทไปว่าน่ารำคาญ    เขาทำเป็นสังหารข้าต่อหน้าชาวบ้าน  ก่อนจะพาข้าที่ยังไม่ได้สติใส่ในโลงไม้ไว้ท้ายรถม้า แล้วแอบพากลับอารามนักพรตเมืองซางตานีโอ  หรือก็คือที่นี่เอง บริเวณที่ข้ากำลังกล่าวถึงนี้  เคยเป็นอารามนักพรตเมื่อพันปีก่อน

                    “ข้าสังหารแต่ปีศาจเท่านั้น  แต่นี่ยังเป็นคนอยู่แถมยังเด็กแบบนั้น ข้าลงมือไม่ไหวหรอก  เหรอว่าพวกเจ้าจะเป็น คนลงมือเสียเอง”

    พวกนักพรตคนอื่นๆไม่มีใครตอบอะไรอีกนับตั้งแต่นั้น  ทั้งหมดพาข้ากลับไปที่ซางตานีโอ  และทุกอย่างเหมือนความฝันที่เลือนราง  ข้าถูกพาไปที่ไหนสักแห่ง   มีเสียงโวยวายของคนอีกคนที่แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง  เขาร้องโวยวายอย่างไม่พอใจจริงๆ

                    “แกไอ้เวร! ไอ้ตัวน่ารำคาญ  ตัวหางาน  เฮ็งซวย”

    ข้าได้ยินเสียงแข็งกร้าวของบุรุษอีกคนร้องด่าอยู่อย่างนั้น

                    “เออ เออ  ข้ารู้แล้ว  จะเอาอะไรเป็นค่ารักษาก็ได้  แต่รีบช่วยเด็กนั่นเสียที”

                    “นั่นแกพูดเองนะ”ชายคนนั้นถามอีกครั้งเป็นการยืนยัน

                    “เออน่า”

                    “ช่วยไม่ได้  ถูกดาบเจตภูตมาใช่มั้ย”

    ข้ารู้สึกว่าคนคนนั้นกำลังเอาข้าออกจากโลงไม้

                    “ใช่  จากทางเหนือของดินแดนเชล”

                    “ยุ่งยากเป็นบ้า  เจ้าพวกนั้นคิดยังไงถึงโง่ให้ปีศาจมาครองบ้านครองเมืองตัวเอง”

                   “ไม่รู้สิ   แต่ข้าได้ยินข่าววงใน  ดูเหมือนว่าสองขั้วอำนาจจะทะเลาะกันเอง ดังนั้นจะเป็นปีศาจหรืออะไรก็ช่าง ขอแค่ชนะก็พอ  ผลมันเลยซวยมาถึงเมืองข้างๆเช่นนี้   ดีไม่ดี.....”

    พรตผู้นั้นยังพูดไม่จบ  ก็ถูกอีกคนพูดแทรกขึ้น

                    “ไม่ต้องคาดการอะไรแล้ว  เรื่องซวยๆถึงพวกเราแน่  เจ้าพวกบ้าจากนรกคงตามมาเล่นงานพวกเราอีกแหง แกเตรียมตัวแกไว้เลย”

                    “เออ เตรียมไว้แล้ว”

                    “ได้ตายอีกแล้วสิ  น่าอิจฉา”

    ชายคนนั้นหัวเราะเยาะอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนข้าที่ฟังอยู่นั้นก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันอยู่

                    “ที่ช่วยเด็กนี่มา  ฉันรู้หรอกว่าแกเกิดนึกสงสารและคิดถึงอดีตตัวเองขึ้นมา แต่ขอบอกอีกครั้ง  ว่าต่อให้ช่วยมันได้ยังไง มันก็ไม่เหมือนกับแก  เจ้าเด็กนี่แม้จะหายจากคำสาป  แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะใช้ชีวิตแบบปกติได้

                    “ยังไงบ้างละ”

    พรตที่ช่วยข้าไว้ถามเสียงราบเรียบเหมือนไม่ใส่ใจ

                    “ก็ประมาณว่าต่อให้เป็นมนุษย์ก็เป็นได้ไม่สมบูรณ์ ผลกระทบจากคมมีดเจตภูต ทำให้ร่างกายไวต่อคำสาปทุกชนิด เรียกว่าภูมิต้านทานต่อคำสาปแช่งแทบไม่มี  และที่อันตรายที่สุดนั้น ส่วนใหญ่พวกที่รอดมาได้ มักมีจิตด้านลบสูง  อาจเป็นฆาตกร  จอมมารหรืออะไรเลวๆ ได้ยินอย่างนี้แล้วแกจะปล่อยให้รอดอีกเหรอ”

    ชายคนนั้นถามย้ำอีกครั้ง

                    “เอาไว้ถ้าเป็นแบบนั้นเมื่อไหร่ ข้าจะฆ่ามันเอง”

                    “เข้าใจแล้ว   แต่จากคำทำนายโบราณบอกไว้เลยว่า  ผู้ถูกดาบเจตภูตสังหารแล้วไม่ตาย   บุคคลผู้นั้นจะเป็นได้สองอย่าง  คือผู้ปกป้อง หรือ ผู้ทำลายล้างมวลมนุษย์  และถ้าหากในอนาคตไอ้เด็กนี่เป็นต้นเหตุทำให้โลกนี้ล่มสลาย ถ้าหากจะเป็นอย่างนั้นจริง แกควรรีบสังหารมันตั้งแต่ตอนนี้ จะดีกว่ามั้ย ดาร์ค  บริสตั้น”

    ข้าค่อนข้างจะตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน และนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินนามดาร์ค บริสตั้น  พรตพิฆาตความมืดผู้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้

                    “คนอย่างนายเชื่อคำทำนายด้วยเหรอ งี่เง่าสิ้นดี”

    หลังจากนั้นข้าก็จำอะไรไม่ได้ทุกอย่างมืดมิดไปหมด  ก่อนที่ข้าจะมารู้สึกตัวอีกครั้ง ในคณะนักบวชเมืองซาตานีโอแล้ว และเส้นทางการเป็นนักบวชของข้าก็เริ่มต้นขึ้นจากวันนั้น
     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

         พรตอาร์กัสหยุดเล่าชั่วคราว เขาถอนหายใจแล้วเอนตัวพิงต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง    ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังยืนต้นอยู่มานานนม  นับตั้งแต่เขามาถึงที่นี่ในวันนั้น    ต้นคูนใหญ่ยักษ์แต่ก็ไม่ใช่ต้นไม้สวรรค์เหมือนต้นอื่นๆในป่า  มันยืนต้นอยู่ด้านหลังอาราม   จากต้นนี้ไปหากเขาเดินไปทางทิศเหนือประมาณสี่ห้าร้อยเมตรก็จะไปถึงอารามแห่งคณะนักบวชซาตานีโอ   ที่เมื่อพันปีก่อนดาร์ค บริสตั้นเคยพาเขามา  เพียงแต่บัดนี้มันก็เป็นแค่ซากปรักหักพังของโบราณสถานในประวัติศาสตร์ เหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำของเหล่าเพื่อนพ้องที่จากไปแล้วตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนโน้น   

                    “จากที่ฟังมา  ฉันว่านายโชคดีมาก  เพราะถ้าหากดาร์ค บริสตั้นคนนั้นเป็นฉัน  นายจะถูกฆ่าโดยไม่ลังเล”

    ดาร์ค บริสตั้น คนปัจจุบันเอ่ยขึ้นห้วนๆ  เธอนั่งฟังอาร์กัสอย่างตั้งใจอยู่นานที่ต้นไม้ต้นตรงข้ามกับเขา  หญิงสาวผมดำผู้มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายคลึงกับดาร์คบริสตั้นรุ่นที่แล้ว แต่ที่ต่างกันเห็นชัดๆ  คือความเด็ดขาดเมื่อต้องปะทะกับศัตรู และจะไม่ปราณีต่อสิ่งชั่วร้ายใดๆถ้าหากว่ามันจะเป็นภัยต่อมนุษย์ในภายหลัง  เขาอาจถูกหล่อนปล่อยไว้เช่นนั้นจนกลายเป็นเจตภูตแล้วค่อยลงมือสังหาร หรือถ้าหล่อนเมตตาเขาจริงๆก็คงจะให้เขาตายในขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่

                    “นั่นสิถ้าหากยังเมตตาอยู่ก็ควรฆ่าข้าซะ”อาร์กัสยอมรับง่ายๆ

                    “ใช่เขาควรทำอย่างนั้น  ฉันคิดว่าดาร์ค รุ่นก่อนเองก็รู้  แต่เพราะอะไรกันละ  ทำไมเขาจึงตัดสินใจช่วยนาย   เสแสร้งหลอกลวงชาวบ้านว่าได้ฆ่านายไปแล้วอีกตั้งหาก  ทั้งยังแอบพาไปรักษากับวาเลเรียส ทำไมเขาต้องยอมทำขนาดนั้น”

    เคนิสว่าเสียงดังแล้วชี้ไปที่เขาอย่างเอาเรื่อง 

    “ฉันเองก็เหมือนกัน ตอนที่หัวของนายร่วงลงมา อีกใจหนึ่งฉันอยากจะกำจัดนายทิ้งไปซะตรงนั้น  มนุษย์ต้องสาปต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับปีศาจไม่ทางตรงก็ทางอ้อม  ต้องรีบกำจัดไปก่อนที่จะเกิดภัยร้ายแรง แต่ฉันก็เลือกอย่างเดียวกับรุ่นก่อน”

    อาร์กัสมองดูเธอพูดอยู่เงียบๆ พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เพราะเหตุใดดาร์คบริสตั้นทั้งสองจึงได้ไว้ชีวิตเขา  แม้แต่หมอปีศาจไลท์ วาเลเรียส ที่ว่ากันว่าเกลียดมนุษย์นักหนา ก็ยังยอมมารักษาให้ถึงสองครั้งสองครา     ทำไมพวกบริสตั้นถึงยังช่วยเหลือ ผู้ที่อาจเป็นภัยอย่างเขาไว้

    “ที่ฉันยอมช่วยไม่ใช่เพราะสงสารนายที่ตัวขาดเป็นชิ้นๆอย่างเดียวหรอก  แต่ว่าเพราะฉันคาดหวังเอาไว้”

    คำพูดนั้นทำให้อาร์กัสเบิกตากว้างออกมา คนอย่างเขาจะมาคาดหวังอะไรได้

                    “เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายไม่ใช่แค่ฟลุคหรือบังเอิญ นายคิดว่าจะมีคนสักกี่คนกัน ที่ถูกดาบนักรบเจตภูตแทงในดาบเดียวแล้วไม่ตาย”

                 นักรบเจตภูตที่เคนิสรู้จัก คือเจตภูตที่แข็งแกร่งร้ายกาจอีกทั้งยังมีร่างกายที่อึดอย่างเหลือเชื่อ  ดาบของพวกมันไม่ต่างอะไรกับดาบอาบยาพิษร้ายแรง  ที่ไม่เคยมีใครรอดจากมันไปได้ในดาบเดียว และยิ่งเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆเจตภูตไม่มีทางลงดาบพลาด   นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ  หรือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่าโชคชะตา แต่เขาต้องมีภาระหน้าที่บางอย่างที่ต้องทำในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน  จะทำให้โลกล่มสลาย หรือจะเป็นผู้ปกป้อง   พวกเธอแค่คาดหวังเอาไว้และคอยเฝ้ามอง
     

                    “และฉันคิดว่าดาร์ค บริสตั้น คนนั้น คิดถูก เพราะในที่สุดแล้วนายก็เลือกที่จะปกป้องทุกสิ่งไว้  ถ้าหากตอนนั้นเขาฆ่านายทิ้งซะ บางทีคงจะไม่มีมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดอย่างในตอนนี้แล้วก็ได้  ไม่มีเฮฟเว่นพาส  ไม่มีป่านี้  ฉันกับเวเลเรียสจึงช่วยนายไว้ยังไงเล่า”
     

                  เคนิสเงยหน้ามองขึ้นไป  เธอเห็นต้นไม้สวรรค์ขนาดใหญ่ยักษ์สูงชะลูดขึ้นเบียดเสียดกัน  ดอกสีเหลืองทองทั้งป่านั้นเปล่งประกายงดงาม ผิดกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน  ที่มันร่วงโรยไปหมดกลายเป็นต้นไม้โสโครกสีดำปล่อยพิษร้าย จนพอจะเดาได้เลยว่า มนุษย์จะต้องเจอกับอะไรบ้างหากว่าไม่มีป่าเดียวดายกำบังอยู่

                    “เฮฟเว่นพาสที่ทรงพลังขนาดนี้ฉันไม่เคยเห็นที่ไหน ทั้งหมดคือความศรัทธาของนายยังไงละ อาร์กัส...!”
     

                 เคนิสต้องหยุดพูดเพียงเท่านั้น  เมื่อมีสิ่งหนึ่งพุ่งเข้าหาเธอด้วยความเร็วระดับมัจจุราช   มันเป็นอะไรสักอย่างที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่ากระสุนปืนมากมายนัก  จนเธอยกมือขึ้นรับสิ่งนั้นไว้ได้แทบไม่ทัน  แล้วพริบตานั้นดวงตาสีดำก็เห็นลูกดอกที่เธอจำได้สนิทใจว่าเป็นของที่ฟีเดอาโก้ทำขึ้น    ใครคนนั้นหมายจะฆ่าเธอแน่ๆ  เพราะเป้าหมายของลูกดอกนั่นคือกลางศีรษะหมายปลิดชีพ!

                    “อาร์กัส !”

    เธอพบสิ่งผิดปกติจากบุรุษตรงหน้า  สิ่งที่เธอเห็นนั้นคือชายผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะเสียสติไป ดวงตาสีฟ้าสดใส เปลี่ยนเป็นหมองหม่น และพริบตานั้นมันก็เปลี่ยนเป็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเรี้ยวกราดและชิงชัง  เขามองหน้าเธอแล้วยิ้มบิดเบี้ยว พลางถือกางเขนหน้าไม้เอาไว้

                    “ข้าฟังเจ้าพล่ามมานานแล้ว ดาร์ค เคนิส บริสตั้น  ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร!  ศรัทธางั้นเหรอ มันอะไรเล่า ไร้สาระสิ้นดี”

    เคนิสไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน เมื่อพรตผมสีทองค่อยๆยืนโงนเงน ท่าทางเหมือนพวกที่เจอเรื่องเลวร้ายอย่างหนักแล้วสติวิปลาสไป

                    “ถ้าอย่างนั้นก็ถอดเสื้อคลุมนั่นออกมา!  หากไม่มีความศรัทธาแล้วนายมาเป็นนักพรตหาพระแสงทำไม”

    เคนิสตะคอกพร้อมกับยืนขึ้นขว้างลูกดอกกลับไปหาบุรุษตรงหน้า  ปลายลูกดอกพุ่งเฉียดหน้าของเขาออกไปปักกับต้นไม้ด้านหลัง  แต่อาร์กัสก็ยังได้แผลถากๆที่ใบหน้า  เขาปล่อยให้เลือดสีแดงเข้มไหลรินอาบแก้มลงมา  ดวงตาสีฟ้ายังดูคุกรุ่นเหมือนเคียดแค้นสิ่งใดมามากมายนัก

                    “เจ้านั้นจะรู้อะไรเคนิส  เจ้ารู้อะไรบ้างเหรอ!  พวกเจ้าทำอะไร  พวกเจ้าทำอะไรกับข้า พวกเจ้าควรฆ่าข้าตั้งแต่ตอนนั้นซะก็ดี  หลังจากเหตุการณ์นั้นข้าก็กลับไปบ้านเกิดอีกไม่ได้แล้ว”
     

               เขาเคยกลับไปทีบ้านเกิดหลังจากนั้น  ทุกอย่างกลับมาเกือบเป็นปกติยกเว้นเขา  เด็กหนุ่มสวมเสื้อคลุมมิดชิดทั้งตัวกลับมาบ้านเกิด เห็นคนรู้จักรุ่นราวคราวเดียวกันมากมายเติบโตขึ้น  จนอดไม่ได้ที่จะเข้าไปทักทาย  แต่สิ่งที่ได้รับคือสายตาอันตื่นตระหนกของคนรู้จัก   สำหรับคนเหล่านี้แล้ว  อาร์กัสคือเด็กที่ถูกเจตภูตทำร้ายและถูกฆ่าตายไปแล้ว หากเขากลับมาได้อีกครั้งก็หมายความว่าเขาไม่ใช่คนแต่เป็นเจตภูต  เด็กหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆแล้วบอกไปว่าเขาไม่ใช่อาร์กัส แล้วออกจากหมู่บ้านไป
     

                    “เจ้ารู้อะไรเหรอเคนิส ! เจ้าได้แต่พูดเรื่องศรัทธาสวยหรู แต่เจ้ารู้อะไรบ้าง ข้ามีทางเดินสุดท้ายคือต้องเป็นนักพรตสายพิฆาตความมืดให้ได้  คนที่ข้าไว้ใจที่สุดคือดาร์ค บริสตั้นคนนั้น  แต่สุดท้ายก็ทรยศข้า  พวกเขาทั้งหมดทิ้งข้าไว้ที่นี่ ขังข้าเอาไว้  แล้วจากไปในสงครามเมื่อพันปีก่อน  พวกเขาไม่มีใครกลับมาได้สักคน   ป่าเดียวดายงั้นหรือ  เฮฟเว่นพาสงั้นหรือ อย่าพูดอะไรให้มันดูดีนักแม่หญิง  ทุกอย่างที่เจ้าเห็นมันคือคุกที่ขังข้าเอาไว้  หลังจากเหตุการณ์นั้นข้าต้องเอาหมุดลงอาคม ตอกตรึงตัวเองไว้ถึงสองร้อยปีเต็ม ทั้งเจ็บทั้งทรมาน แต่ข้าก็อดทนไม่เอามันออกเพราะข้าอยากรักษาที่นี่เอาไว้  เผื่อว่าสักวันจะมีใครสักคนกลับมาหาข้า  แต่หลังจากนั้นอีกสองร้อยปี  ผู้ที่มาหาข้ากลับเป็นความมืดที่ไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่อีกแล้ว   ศรัทธาต่อพระเจ้าหรืออะไรนั่น มันไม่มีหรอก! ป่าเดียวดาย  เฮฟเว่นพาส ก็แค่คุกที่ขังข้านับพันปีเท่านั้น ”

                      อาร์กัสพูดสิ่งเหล่านี้ออกจากใจทั้งหมด เขากำไม้กางเขนหน้าไม้ไว้แน่นแล้วขว้างมันทิ้งไปที่พื้น  สิ่งนี้คือสิ่งที่เขาแบกรับมานานนับพันปี  ในที่สุดมันก็ถึงคราวระเบิดออกมา  เคนิสยืนมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ป่าเดียวดายเริ่มมีลมพัดกราดเกรี้ยวตามอารมของเจ้าของ แต่ที่น่าตกใจคือ กลีบดอกสีเหลืองนั้นเริ่มร่วงโรยอีกครั้งแม้มันไม่ร่วงหนักเหมือนตอนถูกเจตภูตไฟล์กัดกิน แต่เธอรู้สึกว่าพวกมันทั้งป่ากำลังร้องให้

                    “ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดกับนักบวชที่ทิ้งศรัทธา”

                    “ที่จริงข้าก็ไม่มีหรอก ตั้งแต่ไหนแต่ไร”

                    “ชัดถ้อยชัดคำดีนี่ ! ถ้าไม่ศรัทธาแล้วมาทนบ้าเป็นพรตอยู่ถึงพันปีทำไมกัน เสแสร้งได้นานโขเสียจนน่านับถือ  นายนะถอดชุดนักพรตออกแล้วไสหัวไปซะก็ได้  บอกมาสิ! อาร์กัส นายมาทนทรมานเป็นผีสิงป่าอยู่ทำไม ยื่นใบลาออกกับอาร์คบิชอปกาเบรียลก็ได้”
     

    อาร์กัสยืนค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น     ใช่แล้วที่จริงเขาก็สามารถละทิ้งภาระหน้าที่แล้วออกไปใช้ชีวิตปกติก็ได้  คนที่รู้ว่าเขาเป็นเจตภูตในหมู่บ้านนั้นก็ตายกันไปจนหมดแล้ว   ป่าเดียวดายมันก็ยังยืนต้นได้อยู่แม้จะไม่มีเขา  มอบเฮฟเว่นพาสให้คนอื่นรับหน้าที่แทนแล้วออกไป   นั่นสิ  แล้วทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น  ทำไมถึงต้องทนมาช้านาน จนเป็นได้อย่างมากก็แค่ผีสิงป่า

                    “เรื่องนั้น................”

    อาร์กัสเอ่ยเสียงเบา แล้วทรุดลงไปกับพื้น เคนิสเห็นไหล่ของเขาสั่นไหวเหมือนคนกำลังก้มหน้าร้องให้

                    “เรื่องนั้น......ข้าก็แค่............อยากปกป้องไว้เท่านั้น”

    จากเสียงเบาๆกลายเป็นสั่นเครือ เขากำลังปกป้องสิ่งใดกัน กาลเวลาเนิ่นนานทำให้ทุกสิ่งเลือนรางไป ตลอดเวลาจนถึงบัดนี้  เขารู้แค่ว่าเขาต้องสร้างป่านี้เอาไว้เพื่อปกป้องบางอย่างเท่านั้น  นั่นสิ! เขากำลังปกป้องอะไรกันแน่  

                    “ไร้ศรัทธาในพระเจ้า  แต่ยังคงเป็นนักพรตเพื่อปกป้องอะไรสักอย่าง    เข้าใจยากจริง  งั้นบอกทีสิ ว่านายกำลังปกป้องอะไรอยู่  อาร์กัส   อย่างน้อยๆเหตุผลของนายน่าจะฟังขึ้น   ไม่เช่นนั้นดาร์ค บริสตั้นที่ช่วยนายไว้อาจจะลุกขึ้นจากหลุมศพมาหักคอนายเสียก็ได้นะ”

                ความรู้สึกที่ถึงขนาดทำให้เฮฟเว่นพาสตอบคำอธิฐานได้ น่าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา  เคนิสเห็นเขาเอามือกุมศีรษะ ดูเหมือนว่ากำลังพยายามนึกถึงต้นตอให้ออก

                    “เรื่องนั้น........”

                    “เอาละ  ถ้าจำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ”

    เคนิสว่าแล้วถอนหายใจ    

    “แต่ที่แน่ๆฉันควรจะพานายไปพบจิตแพทย์”

                    “จิตแพทย์?”

     อาร์กัสสะดุ้งแล้วแหงนหน้ามองคนพูดที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยความงุนงง เขาที่กำลังเครียดจนแทบบ้า   ไม่สิเขาบ้าไปแล้วตั้งหาก  บ้าจนถึงกับง้างหน้าไม้ยิงไปโดยขาดสติ เพราะความทรงจำเก่าแก่กำลังเล่นงานเขาจนหัวแทบระเบิด 

                    “ไม่ได้หมายความว่านายเป็นคนบ้าหรอกนะ  แต่เพราะนายมีความเครียดสะสมมากเกินไป  ถึงขนาดยิงลูกดอกใส่คนทั่วไปได้   หากปล่อยเอาไว้ทั้งอย่างนั้น  ถูกคนสะกิดต่อมหน่อยรับรองได้เป็นฆาตกรแน่ๆ   จากนั้นนัวร์ เจ้าเมืองซางตานีโอก็จะเอานายไปแขวนคอที่หน้าเมือง  แล้วพวกที่ตายไม่ได้ก็จะถูกห้อยโตงเตงอยู่อย่างนั้นเป็นแสนๆปี”
     

                   ได้ยินดังนั้นคนที่กำลังเครียดแทบหัวระเบิดก็ได้แต่อึ้งทำอะไรไม่ถูก  สมองเขาจูนความคิดที่พยายามค้นหาความทรงจำของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วอยู่ๆ  ก็ถูกดึงเข้าสู่เรื่องงจิตแพทย์แทบไม่ทัน  จนได้แต่นั่งอ๋อไปหลายนาที    ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะออกมาดังลั่น   เคนิสที่มองดูอยู่ก็ได้แต่ส่ายหัว เมื่อพรตบ้านั่น  เมื่อครู่ก็โกรธจัดจนง้างลูกดอกยิงใส่  สักพักก็ร้องให้  แล้วสักพักก็นั่งหัวเราะ

    “นั่นสิข้ามันบ้าชัดๆ”  เขายอมรับแล้วนั่งหัวเราะต่อ  

    พอสมองปลอดโปร่งสติปัญญาก็แล่น  เขาเงยหน้ามองต้นไม้ก่อนที่จะสูดหายใจลึกๆ  เสียงสายสมที่พัดรุนแรงนั้นเหมือนได้ยินเสียงแว่วบางอย่าง ใช่แล้วเขาจำได้แล้ว   เรื่องสิ่งที่เขากำลังปกป้องอยู่

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     End /อาร์กัส (Argus)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×