คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ป่าเดียวดาย (Lonely Forest)
ท่ามกลางความมืดมิดที่เต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน ทั้งความเคียดแค้นชิงชังจากจิตด้านลบมหาศาล ทั้งหมดนั้นกำลังถาโถมเข้าหาเขา
“วิญญาณ........ เอาวิญญาณของแกมาให้ข้า”
เสียงร่ำร้องเลื่อนลั่นไม่รู้กี่พันล้านเสียง ต่างเรียกหาวิญญาณของเขาด้วยความหิวโหยจากเจตภูตนับล้านตนภายในหลุมนรก
“ข้าไม่ใช่อาหารของพวกแก!”
พรตหนุ่มตวาดกลับขณะถูกเจตภูตห้อมล้อมเอาไว้ นี่คือสภาพสุดท้ายของวิญญาณในนรก เพราะจิตใจอันชั่วร้าย ได้กระทำชั่วซ้ำแล้วซ้ำเล่าในครั้งยังมีชีวิต จนวิญญาณกลายเป็นสีดำเน่าสนิท หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้ที่ดำรงอยู่ในนรก จิตชั่วร้ายนั้นต้องการเพียงทำให้วิญญาณมนุษย์ดวงอื่นๆพินาศย่อยยับไปดุจเดียวกับพวกมัน
“ต้องรีบออกไปจากที่นี่”
พรตหนุ่มตะเกียกตะกายอยู่ในหลุมลึก เขาเริ่มสำลักเจตภูตเข้าไปในร่างกายราวกับคนกำลังจมน้ำ จิตชั่วร้ายอัดแน่นจนมืดทมิฬราวกับน้ำโสโครกเน่าเสีย เขาพยายามไล่พวกมันทุกวิถีทางแล้ว ทั้งพยายามสวดบทสวดใดก็ตามที่พอจำได้ แต่ก็ไร้ผล ซ้ำยังยิ่งสำลักแล้วจมดิ่งลงไปเรื่อยๆอีกตั้งหาก ประสาทสัมผัสทั้งหมดเริ่มถูกยึดครอง ร่างกายของเขาไม่สามารถขยับได้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่มองเห็นคือมือสีดำมากมายกำลังดึงเขาลงไปเบื้องล่างสู่หลุมนรกลึกสุดหยั่ง
“อย่าเพิ่งถอดใจ”
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเบาๆราบเรียบจากบุรุษผู้หนึ่งราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกลอย่างชัดเจน มันเป็นเสียงเดียวที่เล็ดลอดเข้ามาท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของเจตภูต
“ท่านเป็นใคร”
“ฉันเป็นคำสวดภาวนาเมื่อครู่นี้ไง”
อาร์กัสมองไม่เห็นผู้ใด แต่แน่ใจว่ามีเสียงตอบกลับจากใครสักคนออกมาอย่างแน่นอน เขาค่อยๆเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน ตามหาต้นเสียงนั้น แต่ก็ไม่เห็นใครอื่นอีก นอกเสียจากกองทัพเจตภูตที่อัดแน่นจนมืดสนิท แต่เมื่อจ้องดีๆแล้ว เขากลับเห็นอะไรบางอย่างกำลังเรืองแสงนวลๆอยู่ใกล้ๆ อาร์กัสพยายามเพ่งมองฝ่าเงาของเจตภูต จนพบบางอย่างมัดติดกับข้อมือของเขาเอาไว้เสียแน่นหนา สิ่งนั้นเองฉุดรั้งตัวเขาไว้ไม่ให้หล่นไปเบื้องล่างลึกกว่านี้
“นั่นมัน โซ่ !อะไรกัน ”
โซ่แขวนเต้ากำยานสีทองปริศนา อยู่ๆก็มาปรากฏถึงก้นหลุมนรก สิ่งนั้นพันรอบข้อมือของพรตหนุ่มเอาไว้ เขาห้อยโตงเตงอยู่อย่างนั้นได้แต่เงยหน้ามองสายโซ่ยาวเหยียดทอดยาวขึ้นไปไกลลิบจนสุดสายตา
“ท่านเป็นใครกันแน่”
แม้ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆมา แต่โซ่สีทองนั้นก็ขยับเองแทนคำตอบ มันลากพรตหนุ่มทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพาเขาพุ่งออกจากหลุมนรก ลอยละลิ่วขึ้นมาแล้วหล่นกระแทกพื้นดินชื้นๆเยือกเย็นที่คุ้นเคยดี พร้อมๆกับอากาศบริสุทธิ์จากป่าเดียวดายเข้ามาปะทะเต็มใบหน้า บัดนี้เขาถูกดึงขึ้นมาสู่พื้นดินที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ร่วงโรยของป่าเดียวดายอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เขาพบหลังออกจากหลุมนรกได้หมาดๆ คือชายผมสีฟางดวงตาสีเขียวซีดๆ ข้างกายนั้นมีเต้ากำยานที่แขวนติดกับโซ่สีทองเอาไว้
“ฉันเป็นคำสวดภาวนา เมื่อครู่ฉันก็บอกไปอย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ พรตปีศาจอาร์กัส”
พรตปีศาจได้แต่กระพริบตาปริบๆ ไม่อาจเข้าใจคำพูดแนะนำตนเองของบุรุษตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย แต่คำพูดนั้นก็ทำให้แน่ใจว่า เสียงที่ได้ยินในหลุมนรกไม่ใช่เพราะคิดไปเอง ชายผมสีฟางท่าทางเคร่งขรึมผู้นี้ คือผู้ที่ใช้เต้ากำยานพาเขาขึ้นมาจากหลุมนรก
“ซีลเทียล!”
มีเสียงตะโกนลั่นจากบุรุษอีกคนเรียกชายผมสีฟางคนนั้น อาร์กัสรู้สึกเหมือนเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหนมาก่อน และตอนนั้นเองชายผมสีเงินสวมเสื้อคลุมเก่าๆสีเขียวเข้ม ถือไม้เท้าดูราวกับนักเดินทาง กำลังวิ่งหอบหน้าตาตื่นมาที่พวกเขา อาร์กัสจำชายคนนั้นได้อย่างขึ้นใจ นักพเนจรผู้นั้นนานๆทีจะเเวะเวียนมาเยี่ยมเขา และตระเวนรักษาผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆป่าเดียวดายนานทีปีหน
“ท่านหมออาซาเรีย”
ชายผมสั้นสีเงินดวงตาสีเขียวสดใสขยับยิ้มรับ เมื่อได้ยินชื่อของตนออกจากปากพรตหนุ่ม ที่กำลังถูกเจตภูตกัดกินร่างกาย สิ่งที่ดูราวกับกลุ่มควันสีดำมีชีวิตยังคงแพร่กระจายออกมาจากตัวเขาอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ถูกเจตภูตเข้าสิงขนาดนี้ไม่มีผู้ใดหลงเหลือสติสัมปชัญญะจนพอจะพูดได้แล้วแท้ๆ
ชายผู้นี้อึดกว่าที่คิด
“เขาเป็นยังไงบ้าง” ชายผมสีฟางเอ่ยถามอาซาเรีย
“รอดตัวไป เจตภูตยังยึดครองร่างไม่ได้ แต่ดูท่าเจ้านั่น.......จะรู้ว่าหมอนี่ยังไงก็ฆ่าไม่ตาย เลยกะจะลากลงนรกทั้งเป็นๆนะสิ โชคยังดีที่เฮฟเว่นพาสของนายลงไปช่วยถึงก้นหลุมนรกนั่นได้”อาซาเรียว่า
“เพราะเขาสวดภาวนา เฮฟเว่นพาสนี้จึงลงไปถึง”
ซีลเทียลเอ่ยเสียงเรียบพลางเก็บเต้ากำยานลงในถุงย่าม ชายผมสีฟางที่ดูเยือกเย็นคนนี้ดูเผินๆก็เหมือนกับพ่อค้าขายเครื่องหอม แต่ความสามารถเมื่อครู่ รวมถึงร่างซ้อนทับจางๆราวกับทูตสวรรค์ ที่ทำเอาต้องขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก สิ่งเหล่านี้ทำให้อาร์กัสรู้สึกว่าชายที่ชื่อซีลเทียลไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว และที่สำคัญ เฮฟเว่นพาสคืออะไรกันแน่ !
“ถึงเจตภูตจะยังยึดร่างเขาไม่ได้ แต่ก็ยังอันตรายอยู่ดี”
อาซาเรียว่า พลางมองพรตอาร์กัสด้วยความกังวล เจตภูตเข้าสิงร่างเขามากจนถึงกับแพร่กระจายออกจากผิวหนังแล้ว แม้ว่าจะถูกสาปแช่งไม่ให้ตาย แต่ร่างกายที่ถูกเจตภูตกัดกินมากมายขนาดนี้อาจจะไม่สามารถดำรงสภาพร่างกายมนุษย์ได้ หากปล่อยเอาไว้อีกไม่นานนัก เขาจะต้องกลายเป็นเจตภูตไปอย่างแน่นอน
“เลือดกลายเป็นสีดำ!”
ชายผมสีฟางเอ่ยขึ้นเสียงเครียด เมื่อเห็นหมอผมเงินใช้เข็มเจาะเลือดอาร์กัสมาตรวจดู เลือดที่ควรเป็นสีแดงเข้มกลับกลายเป็นสีดำสนิท เจตภูตแทรกซึมเข้าไปจนถึงกระแสเลือดแล้ว ! แต่ว่าพรตผู้นี้กลับยังมีสติสัมปชัญญะเยี่ยม จิตใจยังไม่แกว่ง อีกทั้งยังพอขยับร่างกายได้แม้เลือดทั้งกายจะถูกเจตภูตแทรกซึมไปหมดแล้ว
“อย่าห่วงเลยซีลเทียล เขาอึดกว่าที่นายคิดไว้เยอะ”
หมออาซาเรียขยับยิ้มออกมา เขาถอดถุงมือหนังสัตว์เก่าๆนั้นออกแล้ววางฝ่ามือนาบลงไปที่แผ่นอกของพรตหนุ่ม แล้วทันใดนั้นแสงสว่างเจิดจ้าก็ปรากกฎขึ้น มันขับไล่เจตภูตภายในร่างกายออกไปจนหมดสิ้น พวกมันสูญสลายไปทันทีเมื่อต้องแสงนั้น
“นายทำให้ฉันประหลาดใจอยู่เรื่อยนะ อาร์กัส พรตแห่งป่าเดียวดาย เอาละเรียบร้อยแล้ว”
หมออาซาเรียเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย
“ต้องเป็นภาระท่านอยู่เรื่อย ขอบคุณขอรับท่านหมออาซาเรีย”
“เอาเถอะไม่ต้องมาขอบคุณอะไรฉันหรอก ที่จริงฉันเองก็ว่าจะมาเยี่ยมตั้งแต่ได้ข่าวว่านายถูกสับเป็นชิ้นๆนั่นแล้ว เพราะว่านายนะมันตายไม่ได้ใช่มั้ยละ”
หมออาซาเรียพูดพร้อมกับทำตาเหลือกตัวสั่นด้วยความสยดสยอง เขากำลังจินตนาการถึงคนที่เละเป็นชิ้นแต่ยังไม่ตาย ก่อนจะทำท่าขนลุก
“จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ฉันก็ได้ข่าวจากอาร์คบิชอปแห่งเมืองซางตานีโอว่านายเข้าไปในเมือง แบบตัวเป็นๆ แม้จะเหลือเชื่อก็เถอะแต่ค่อยโล่งใจหน่อย แล้ววาเลเรียส คนที่รักษาให้เป็นยังไงบ้างละ?”
ทำไมหมอพเนจรผู้นี้จึงรู้ว่าวาเลเรียสเป็นคนรักษาเขา อาร์กัสกำลังอ้าปากจะพูด แต่คนเป็นหมอยกมือปรามก่อนจะควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋ายา แล้วคว้าขวดยาใสๆมาให้พรตหนุ่มสองสามขวด ที่แท้หมออาซาเรียก็เกี่ยวข้องกับไลท์ วาเลเรียส บริสตั้นด้วยอย่างนั้นเหรอ!
“ฉันพอจะเดาได้อยู่หรอกเรื่องของเขา แต่ตอนนี้นายต้องเอายาไปกินสักสองสามขวดด้วย ฉันอยากแน่ใจว่าจะมีไม่เจตภูตหลงเหลืออยู่ในร่างกายจริงๆ แล้วทำยังไงวาเลเรียสถึงยอมช่วยนาย”
หมอพเนจรถามด้วยความแปลกใจ เขารู้จักหมอปีศาจวาเลเรียสเป็นอย่างดี ชายผู้นั้นเกลียดมนุษย์ยิ่งกว่าสิ่งใด
“เรื่องนั้น..... เคนิสเป็นคนพาข้าไปที่สุสารโบราณ แล้วเกิดอะไรขึ้นข้าก็จำไม่ได้”
“อ้า !งั้นหรอกเหรอ ก็ไม่ต้องแปลกใจไป ท่าทางเขาจะเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างในตัวเจ้าด้วย ว่าแล้วทำไมถึงได้อึดนัก”
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ”
“ก็หมายความว่า วาเลเรียสเอาหลายๆอย่างในตัวนายออกไปไง แล้วเอาอย่างอื่นยัดใส่ไปแทน”
ได้ยินดังนั้นพรตหนุ่มถึงกับขนลุกเกรียวทั่วร่าง
“นิสัยแย่ๆของเขาเลยละ แม้จะไม่เก็บค่ารักษา แต่ผู้ป่วยทุกรายจะถูกควักอะไรก็ตามที่เจ้าตัวชอบออกไปจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นปอด ตับ หัวใจ หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น นายเองน่าจะโดนเอาออกไปเยอะ”
แม้หมออาซาเรียจะพูดพลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่อาร์กัสไม่สนุกด้วย หมายความว่าหมอปีศาจนั่น อาจจะเอาปอดตับ หรืออะไรสักอย่างออกจากตัวเขาไปโดยไม่ได้รับอนุญาต พรตหนุ่มลูบอกตัวเอง นี่เขายังมีปอดครบหรือไม่นะ!
ทันใดนั้นกลีบดอกไม้สีขาวก็ปลิวว่อนราวกับพายุ มันเป็นกลีบดอกไม้ที่ผิดไปจากดอกไม้สีเหลืองอื่นๆในป่าเดียวดาย อาร์กัสมองพายุสีขาวนั่นอย่างตกตะลึง กลีบกุหลาบสีขาวปลิวผ่านเขาไปยังปากหลุมนรก ก่อนที่ในไม่กี่อึดใจเดียว หลุมมรณะจะถูกปิดและหายสาปสูญไปอย่างกับเรื่องโกหก
“ฉันเข้าใจหรอกว่านายเป็นหมอ แต่ไอ้อยู่ๆทิ้งศัตรูไว้ข้างหลังแบบนี้ ระวังครั้งหน้าจะซวยเอานะ ราฟาเอล”
พายุกลีบกุหลาบพุ่งตรงกลับมาหาผู้พูด แต่ละกลีบรวมตัวกันกลายเป็นช่อกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ ในมือของบุรุษผมสีม่วงเข้ม อาร์กัสเห็นเขาสะพายกระเป๋าใบใหญ่ที่บรรจุเมล็ดพืชหายากจนกระเป๋าตุง ชายผิวสีคนนี้ดูเผินๆแล้วน่าจะเป็นพวกพ่อค้าเมล็ดพืช ข้างๆนั้นมีชายหนุ่มผมสั้นสีดำอีกคนอยู่ใกล้ๆ แม้ดูจากการแต่งตัวแล้วคงเป็นนักเรียนจากเมืองซางตานีโอ แต่ชายคนนั้นกำลังใช้แซ่เพลิง พันธนาการนายแห่งเจตภูตเอาไว้ หน้าตาเฉย คนที่มีความสามารถปิดปากหลุมนรกได้ และอีกคนยังมัดขุนพลปีศาจได้อยู่หมด ยังไงก็คนพวกนี้ก็ไม่น่าใช่คนธรรมดาเสียแล้ว และที่สำคัญท่าทางยังสนิทสนมกับหมอพเนจรอาซาเรียอย่างมาก
“พวกเขาเป็นใครกันแน่ขอรับ แล้วราฟาเอล..... ?”
อาร์กัสตัดสินใจถามหมออาซาเรียไปในที่สุด
“อ้อ ! นั่นเป็นอีกชื่อของฉันเอง สองคนนั่นแม้จะอันตรายอยู่บ้างแต่ก็ไว้ใจได้เลย คนผิวสีที่ถือดอกไม้นั่นชื่อบาราเคิลจากซอร์ เป็นคนขายเมล็ดพืช ”
หมออาซาเรียตอบอายๆก่อนจะขยับยิ้มออกมา แล้วผายมือไปที่บุรุษผู้ถือดอกกุหลาบขาว
“ส่วนไอ้หนุ่มที่ทำหน้าบึ้งตึงตลอดเวลานั่น ชื่ออูริเอล เจ้านั่นเป็นชาวรีแบร์แต่มาศึกษาวรรณกรรมในซางตานีโอ ถึงจะดูกวนโอ้ยบ้างเถอะนะ แต่ยังไงก็ยังเป็นเด็กเรียนอยู่ เหวอ !”
ราฟาเอลพูดยังไม่ทันจบ ไอ้หนุ่มหน้าบึ้งที่ถูกพูดถึงนั้น ก็ถลึงตาสีม่วงโหดเหี้ยมตอบกลับมา พร้อมกับที่อยู่ๆ เสื้อคลุมของเขามันดันติดไฟขึ้นมาเองเฉยๆ จนต้องเอาน้ำดื่มในกระเป๋าออกมารดแทบไม่ทัน
“ถ้านายยังไม่เลิกกวนโมโหฉัน บอกไว้เลยว่าวันนี้นายได้เห็นดีแน่ ราฟาเอล!”ชายผมดำเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ก็อย่างที่เห็น แม้ไอ้หนุ่มหน้าบึ้งนั่นจะนิสัยดุร้ายยังไง ก็ยังเป็นคนดีอยู่ละนะอาร์กัส รับรองได้ว่าอยู่คนละฝ่ายกับผู้มาเยือนคนนั้นชัวร์ๆ”
ราฟาเอลว่าอย่างขำๆแล้วชี้ไปที่ผู้มาเยือนคนนั้น บุรุษผู้หนึ่งสวมชุดคลุมมิดชิดจนมองไม่ออกว่ารูปลักษณ์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร กำลังถูกยูริเอลใช้แส้ไฟร้อนแรงพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา พริบตาเดียวแส้เพลิงก็ลุกพริบ ไฟโหมโพยพุ่งออกมาแผดเผาขุนพลปีศาจตนนั้นจนดูราวกับกำลังถูกไฟครอกทั้งเป็น มีเพียงแววตาสีแดงโชนแสงจ้องกลับมาด้วยความเกลียดชังจากในเปลวเพลิง พร้อมๆกับส่งเจตภูตออกมาโต้กลับ แต่พวกมันก็มอดไหม้ราวฟางแห้งถูกเผา ก่อนจะถึงตัวอูริเอลด้วยซ้ำ ไม่มีจิตชั่วร้ายใดๆสามารถสร้างความเสียหายแก่ผู้ใช้แส้เพลิงผู้นี้ได้แม้แต่น้อย
อาร์กัสได้แต่มองอูริเอลตาค้าง คนคนนั้นควบคุมไฟเผาจิตชั่วร้ายได้อย่างไร ทั้งที่ไฟบนโลกนี้ไม่อาจทำแบบนั้นได้
“นั่นคือไฟชำระ”
ซีลเทียลตอบอาร์กัสด้วยเสียงราบเรียบเช่นเคย แต่คำตอบนั้นทำให้พรตหนุ่มสะดุ้ง ถ้าหากนั่นเป็นไฟชำระจริง มันก็คือไฟที่มาจากอีกภพภูมิหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ชำระวิญญาณให้สะอาดไร้มลทิน มนุษย์ธรรมดาทำแบบนั้นได้ซะเมื่อไหร่
“พวกท่านเป็นใครกันแน่ขอรับ”
อาร์กัสตัดสินใจถามคำถามนี้อีกครั้ง แต่คนถูกถามไม่ยอมให้คำตอบใดๆยังคงจ้องไปข้างหน้า มีบางอย่างผิดปกติ เมื่อไฟชำระของอูริเอลที่โหมกระหน่ำเผาขุนพลปีศาจตนนั้นอย่างรุนแรงแล้ว แต่ปีศาจร้ายกลับไม่มอดไหม้เป็นเถ้าทุลีอย่างที่ควรเป็น ซ้ำยังส่งเจตภูตออกมาโจมตีและทำลายต้นไม้ในป่าได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีจิตชั่วร้ายอ่อนๆแต่แข็งแกร่งมากมาจากที่ไกลแสนไกล
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งขุนพลปีศาจมาร์ติน สมกับที่ได้ฉายาว่าเป็น ราชาแห่งเจตภูต”
บาราเชียลกล่าวทักทายขุนพลปีศาจที่ยังอยู่ในเปลวไฟ
“ก็ดีใจอยู่หรอกที่ยังจำกันได้ แต่มาเอาตอนนี้นั้นมันสายไปแล้ว...........”
ฉัวะ!
ยังไม่ทันพูดจบ คมมีดปริศนาอยู่ๆก็เสียบทะลุอกขุนพลปีศาจที่กำลังจะยิ้มแสยะออกมา ปลายมีดเงาวาววับเสียบแทงมาจากข้างหลัง โดยที่เขาจับจิตสังหารไม่ได้ มาร์ตินค่อยๆก้มลงมอง ก็เห็นคมมีดเสียบทะลุออกมา มันเป็นมีดลงอาคมสำหรับกำจัดเจตภูตโดยเฉพาะ มีใครบางคนกะจะเล่นงานเขาให้ถึงตาย
“ลอกกัดเก่งนักนะ พวกนายเนี่ย”
ยังไม่ทันที่มาร์ตินจะหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยซ้ำ ร่างของเขาก็ระเบิดกระจุย มีดสั้นปลุกแสกเล่มนั้นมีปฏิกิริยารุนแรงต่อเจตภูตสุดร้ายกาจ แต่ชายตรงหน้านั้นก็หาใช่ขุนพลปีศาจตัวจริง
“อะไรกัน !”
ผู้โจมตีร้องลั่น เมื่อศัตรูที่เห็นเมื่อครู่ ไม่ได้มีกายเนื้อ
“ตายง่ายแบบนั้นไม่ใช่ขุนพลปีศาจหรอก ดาร์ค เคนิส บริสตั้น”
บาราเคิลว่าแล้วมองไปที่ผู้มาเยือนอีกคน หญิงสาวผมดำปรากฏตัวขึ้น เธอยืนค้างนิ่งด้วยความตกใจ
“นี่มัน! หมายความว่ายังไง”
แม้ทั้งจิตที่สัมผัสได้จะเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่ขุนพลปีศาจตัวจริงแน่นอน ร่างนั้นกลวงโบ๋แม้ภายนอกจะดูเหมือนมีชีวิต แต่ภายในเป็นเพียงเจตภูตที่ถูกอัดแน่นไว้เท่านั้น ไฟชำระของยูริเอลเผามันจนหมดสิ้นแต่สิ่งที่เหลืออยู่กลับเป็นเพียงวัตถุสี่เหลี่ยมชิ้นเล็กๆ ร่วงหล่นใส่มือเคนิส แล้วมอดไหม้ไป
“! อะไรเนี่ย”เคนิสร้องออกมา
“น่าจะเป็นแค่ไฟล์” บาราเคิลว่า
ชายคนนั้นไม่ใช่ขุนพลปีศาจแต่เป็นเพียงไฟล์ที่บรรจุเจตภูตเอาไว้ แล้วมีใครสักคนบงการไฟล์จากที่ไหนสักแห่ง
“ซีลเทียล นายจับพิกัดเจ้านั่นได้มั้ย”
อูริเอลถามชายผมสีฟางที่ได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ จิตของเขาถูกบางอย่างขวางกั้นจนจับต้นตอของผู้ใช้เจตภูตไฟล์ไม่ได้
“เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง เราต้องรีบทำอะไรสักอย่างกับป่าที่กำลังจะพินาศนี่ก่อน”
ราฟาเอลรีบร้องบอกทุกคน เมื่อตอนนี้เริ่มมีอากาศพิษจางๆเข้ามาปะปนกับอากาศบริสุทธิ์ ทั้งกลีบดอก ทั้งใบ ต่างบิดพลิ้วร่วงหล่น ออกจากลำต้นจนแทบจะโกร๋นทั้งป่าแล้ว เมื่อสิ่งที่เป็นตัวกรองสารพิษเริ่มหลุดร่วงไป บรรยากาศเลวร้ายจากทวีต้องสาปจึงค่อยๆทะลักเข้ามาเรื่อยๆ อีกไม่ช้าเจ็ดนครสุดท้ายจะต้องถึงกาลวิบัติ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป๊าะ!
ตุ๊กตาตัวจิ๋วในมือของบุรุษผู้หนึ่งอยู่ๆหัวก็ขาดกระจุยออกมาจากลำตัว หัวของมันร่วงลงพื้นต่อหน้าต่อตาผู้เป็นเจ้าของ ที่มีรูปลักษณ์ละไม้คล้ายคลึงกันกับตุ๊กตาที่เพิ่งหัวขาดไป
“หว๋า ! น่าสงสาร ท่านหัวขาดเสียแล้วนะ มาร์ติน”
เสียงหญิงสาวใบหน้างดงามผู้หนึ่งหัวเราะเยาะเย้ยออกมา หล่อนกำลังแต่งหน้าด้วยชุดเครื่องสำอางสุดหรูไม่ห่างจากราชาแห่งเจตภูตมาร์ตินเท่าไหร่นัก
“อย่ามาซ้ำเติมนะ เฮลเลน่า หัวฉันขาดซะเมื่อไหร่”
บุรุษในชุดขุนนางชั้นสูงมีผมเป็นประกายเงางาม กำลังกัดฟันกรอดด้วยความโมโห เมื่อเจตภูตไฟล์ของเขาถูกพวกทูตสวรรค์ กับคนตระกูลบริสตั้นทำลายลงอย่างง่ายดาย แผนการทำลายป่าเดียวดายที่เตรียมการมานาน ตั้งแต่การสร้างเจตภูตให้ได้จำนวนมากๆ จนถึงหาผู้สมรู้ร่มคิด มันจะจบลงแค่ไม่กี่นาที
“เสียใจด้วยนะมาร์ติน”
เฮลเลน่าเสแสร้งทำหน้าเศร้าแทนการเยาะเย้ยเมื่อครู่ เจ้าหล่อนปิดตลับแป้ง แล้วลอยละลิ่วไปหามาร์ติน เธอโอบคอเขาจากข้างหลังไว้ ก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างหูขุนพลปีศาจผู้นั้น
“ถึงท่านจะ พลาดพลั้งเรื่องพรตอาร์กัสตามคำสั่งของท่านซามาเอล แต่เจตภูตทั้งหมดนั่นยังคงเชื่อฟังท่าน แต่ละตนทำหน้าที่ของมันอย่างดีเชียว”
“อา......... นั่นสิ อีกไม่นานป่าเดียวดายนั่นจะไม่มีอีกต่อไป”
ทั้งสองมองไปที่หน้าต่าง เมื่อไอพิษบางๆเริ่มพัดเข้ามา เฮลเลน่าขยับยิ้มกว้าง อีกไม่นานภาระกิจที่ยาวนานนี้จะสิ้นสุดลง เมื่อไม่เหลือมนุษย์แม้แต่คนเดียวหลงเหลืออยู่บนโลก เธอขยับ ริมฝีปากแดงเรื่องดงามนั้น รีบเก็บเครื่องสำอางทั้งหมด ก่อนจะไปยืนรับลมที่พัดจากทวีปต้องสาปอย่างยินดี ชุดกระโปรงสีขาวแบบสตรีชั้นสูง สะบัดปลิวไปมาเมื่อต้องแรงลม
“เธอจะไปไหนเฮลเลน่า”
มาร์ตินร้องถาม
“ไปสร้างเจตภูตให้เยอะกว่าท่านไงละมาร์ติน”
บุรุษผมดำขยับยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น
“หึ แล้วจะคอยดู ว่าเธอจะทำให้มนุษย์เป็นเจตภูต ได้เร็วเท่ารูปแบบไฟล์ของฉันได้มั้ย เฮลเลน่า”
“ดูถูกกันจังนะ แค่ฉันต้องใช้เวลาพัฒนาของเล่นใหม่สักหน่อย แม้จะเริ่มช้ากว่าท่านนะมาร์ติน แต่เชื้อไวรัสที่ฉันพัฒนาขึ้นใหม่เนี่ย ดีกว่าแบบไฟล์ของท่านเยอะ”
ว่าแล้วหล่อนก็ก้าวเท้าออกจากขอบหน้าต่าง ทิ้งตัวเองลงจากห้องที่อยู่บนชั้นสูงสุดของปราสาท ลงไปเบื้องล่าง จากความสูงหลายร้อยเมตร แต่กระนั้นเธอก็ยังร่อนลงสู่พื้นอย่างนิ่มนวล พร้อมกับมีองครักษ์คอยรอรับหลายสิบคน มาร์ตินก้มมองดูเธอค่อยๆเดินยกกระโปรงขึ้นรถม้าของราชสำนักจากไป
“ท่าทางนางจะไม่ใช่ขุนนางธรรมดาเสียแล้ว”
เพียงไม่กี่สิบปีเจ้าหล่อนก็มีตำแหน่งในแผ่นดินมนุษย์เสียสูงลิ่ว จนเขายังตามไม่ทัน มาร์ตินยิ้มเหยียดมองดู เจตภูตหลายตนที่ออกมาบินว่อนรอบตัวเขา บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงของปีศาจแผ่ซ่านออกไปทั่วปราสาท ทันใดนั้นกองทัพเจตภูตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทำให้บริเวณรอบๆปราสาทมืดสนิทราวกับเป็นเวลากลางคืน แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอกับแผนการใหญ่ของเขา
“จงไปหามาเพิ่มอีก”
ทันดันนั้นเจตภูตทั้งหมดก็พุ่งออกจากปราสาทไป พวกมันนำไฟล์ไปปลูกถ่ายในร่างกายมนุษย์อื่นๆโดยที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ท้องฟ้าที่มืดมิดจากไป กลายเป็นแสงแดดสดใสสุดท้ายที่เขาจะยังได้เห็นในอีกไม่นาน
น่าอิจฉาจังนะ ท่านให้ที่งดงามแบบนี้แก่พวกมัน แต่ในขณะที่พวกข้าต้องถูกทรมานในนรก ท่านอย่าได้ห่วงไปเพราะไม่ว่าที่นี่หรือนรก ต่อไปนี้มันก็จะเป็นเฉกเช่นเดียวกัน
บุรุษในชุดขุนนางยิ้มโหดเหี้ยมออกมา อีกไม่นานกำแพงกั้นทวีปต้องสาปก็จะหายไป แต่จะให้เขารออีกนานเท่าไหร่กันละ
“ฉันอยากให้มันจบเร็วๆ”
ไม่รอช้า ราชาเจตภูตก็เริ่มบังคับเจตภูตในป่าเดียวดายจากระยะไกล เขากรีดข้อมือ ปล่อยให้เลือดสีดำไหลนองพื้นดิน สิ่งนั้นทำให้เจตภูตคุ้มคลั่งหิวจัดอย่างรุนแรง จนทำลายทุกอย่างที่ขวางทางพวกมันกับโลหิตของผู้เป็นนายนั้น
“เอาไปสิ ถ้าอยากได้เลือดของข้า ก็จงกลืนกินป่านั้นโดยเร็วไว คราวนี้ จะรับมือยังไงละ พวกนาย”
ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีทั้งดอกและใบเหลืองอร่าม มันคือต้นคูนยักษ์ ที่ออกดอกบางสะพรั่งจนเป็นสีเหลืองทองไปทั้งป่าอายุนับพันปี แต่ละต้นทอแสงประกายสีทองจางๆขับไล่สิ่งชั่วร้าย รากของมันนั้นดูดซับสารพิษในพื้นดินและในแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านมาจากดินแดนเชลในทวีปต้องสาป ป่าเดียวดายคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกชีวิตยังอยู่รอดมาได้ แต่ในขณะนี้ทั้งป่ากำลังพินาศย่อยยับ ใบและดอกร่วงโรยจนหมดเหลือเพียงก้านสาขาบิดงอกลายเป็นสีดำเพราะพิษร้าย ไม่ต่างจากในสุสารโบราณ ไอพิษเริ่มทะลักเข้ามา หมอกหนาสีดำแผ่ปกคลุมไปทั้งป่า แสงสีดำแสบร้อนเข้ามาแทนที่ แสงอาทิตย์ พืชพันธุ์ต่างๆเริ่มไหม้เกรียม เจตภูตที่เคยกัดกินอย่างช้าๆ แต่ยามนี้มันกลับกลืนกินทุกสิ่งอย่างรวดเร็วกว่าเมื่อครู่นี้มากนัก ซ้ำยังทำให้ต้นไม้แต่ละต้นที่เคยคายน้ำกับอากาศบริสุทธิ์กลายเป็นคายกรดกับไอพิษรุนแรงออกมา ประกายสีทองจากป่าศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นป่าต้องสาปที่ปล่อยอำนาจช่วยร้ายจากนรก จนดำมืดไปทั้งป่า
“หายนะมาเร็วกว่าที่คิดไว้จริงๆให้ตายสิ!”
บาราเชียลมองไปรอบๆก็เห็นไอพิษเริ่มทะลักออกไปจากป่าเดียวดายแล้ว เขาจึงตัดสินใจดักไอพิษร้ายถ่วงเวลาไว้ก่อน หากเป็นเช่นนี้ในไม่กี่นาที เมืองใกล้เคียงอย่าง ซางตานีโอกับเกาะซอร์คงไม่เหลือซาก
“พริบตาเดียวก็ทำได้ขนาดนี้เชียวนะ ราชาเจตภูตมาติน”
อูริเอลเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ครับ เป็นเกียรติ์ที่ได้รับคำชมจากท่านเช่นกัน อูริเอลผู้เป็นเปลวเพลิงของพระเจ้า”
“หุบปาก!”
อูริเอลร้องลั่น ดวงตาสีม่วงคมกริบบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างรุนแรง พร้อมๆกับที่ไฟชำระถูกเรียกออกมาแฝดเผาเจตภูตทั้งป่าในทันที พริบตาเดียวเท่านั้นไฟก็โหมรุนแรงแผ่วงกว้าง ไฟชำระที่สามารถแผดเผาสิ่งชั่วร้ายได้ทุกสิ่ง กำลังชำระล้างต้นไม้ทุกต้นในป่าเดียวดาย เพียงแต่นั่นเป็นการกระทำที่ผิดพลาดใหญ่หลวง
“อูริเอล อย่าใช้ไฟนั่นนะ!”
เขาได้ยินราฟาเอลร้องโวยวายลั่นจากด้านหลัง เพราะขณะนี้ทั้งเจตภูตทั้งต้นไม้กำลังมอดไหม้ไปพร้อมๆกัน เกิดสิ่งที่ซวยซ้ำซวยซ้อนกว่าเก่า เพราะ ไฟชำระที่ปล่อยออกไปนั้นมันไม่ได้เผาเพียงเจตภูต แต่มันยังเผาต้นไม้ทั้งป่า ทั้งที่ไฟชำระจะแผดเผาเฉพาะสิ่งช่วยร้ายด้วยไฟให้บริสุทธิ์ไปเท่านั้น แต่ที่เห็นอยู่นี้ต้นไม้ทั้งป่ากำลังลุกเป็นไฟ !
“อะไรกัน!”
ชายหนุ่มผมดำทำหน้าซีด เมื่อเห็นต้นไม้ทั้งป่านั้นกำลังลุกไหม้โดยมีเจตภูตเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี เขาทำอะไรไม่ถูกจนทรุดลงไปกับพื้น และทันใดนั้นหมัดแรงๆของราฟาเอลซัดเปรี้ยงไปเต็มหน้า
“นายกำลังจะฆ่าพวกมนุษย์ทั้งหมดนั่นเหรอ เรียกไฟกลับมาสิ! เดี๋ยวนี้เลยได้ยินมั้ย!”
อูริเอลสะดุ้ง แม้จะถูกต่อยที่หน้าไปเต็มแรงจนล้มกลิ้งไป แต่นั่นก็ทำให้เขาได้สติ แล้วเรียกไฟเข้ามืออีกครั้ง
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ราฟาเอล”
“นี่ยังจะถามอีกเหรอ !”
ราฟาเอลหักกิ่งต้นไม้ที่เป็นสีดำเรียบร้อยแล้วยื่นให้อูริเอล
“เจตภูตนี่ไม่ใช่เจตภูตธรรมดา แต่มันสามารถซึมลึกไปจนถึงเซลล์ แล้วทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพืชชนิดนี้ใหม่กลายเป็นต้นไม้แดนนรกไป อธิบายง่ายๆก็คือตอนนี้เราโดนยึดกำแพงไปเป็นของฝั่งนั้นแล้ว ไฟชำระของนายทำได้แค่เผามันให้มอดไหม้ไปเท่านั้น”
อูริเอลมองหมอพเนจรตาปริบๆ ในเมื่อไฟชำระตอนนี้ทำได้ดีที่สุดก็คือการเผาป่า! แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจะให้พวกเขาทำอย่างไร จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ทั้งเวลาที่จะคิดหาวิธีก็แทบไม่มีแล้ว พวกเขาต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่7นครสุดท้ายจะถูกทำลายย่อยยับเพราะพิษร้ายจากทวีปต้องสาปในไม่ช้านี้ ทางเดียวที่จะหยุดทุกอย่างเอาไว้ได้อย่างเด็ดขาดมีเพียงทางเดียวเท่านั้น แม้มันจะเป็นทางที่อาจจะมอบความตายให้กับใครบางคน แต่พวกเขาไม่มีเวลาให้เสียแล้ว
“เคนิส”
ราฟาเอลเรียกหญิงสาวผมดำที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ฉันอยากจะขอร้องเธออีกครั้ง”
เคนิสสะดุ้งกับคำว่า อีกครั้ง ของราฟาเอล มันฟังดูแปลกๆเหมือนกับคำขอที่รู้สึกว่า กำลังจะให้ไปตายอีกครั้ง หรือไม่ก็อาจเป็นคำขอที่ท่าทางจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ใบหน้ายิ้มๆของราฟาเอลนั้นหายไปราวกับคนละคน ดวงตาสีเขียวสดใสนั้นดูจริงจังขึ้นมาอย่างผิดปกติ เจ้าตัวท่าทางเครียด บีบไม้เท้าเสียแน่นจนมือสั่นระริก
“อีกครั้ง?...........”เคนิสถามอย่างกังวล
“ใช่!”
“ถ้าเช่นนั้นจะให้ฉันทำอะไร”
“เธอช่วยดูดกลืนเจตภูตและสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดที่นี่ เดี๋ยวนี้เลย!”
คำขอสุดจะเหลือเชื่อนั้นหลุดออกจากปากของหมอพเนจร เคนิสได้แต่ยืนอึ้งด้วยความตกใจ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากระเบิดจะหัวเราะออกมา แต่ก็หัวเราะไม่ออก เพราะคนทั้งหมดยกเว้นอาร์กัสต่างจ้องมองมาด้วยใบหน้าจริงจังเอาเรื่อง เพราะจากคำขอเมื่อครู่นี้ฟังยังไงก็น่าจะเกิดจากความเครียดหนักจนสติแตกไปแล้ว
“ฉันทำแบบนั้นได้เมื่อไหร่กัน !”
“ดาร์ค เคนิส บริสตั้น อย่าลืมสิ ว่าเจ้าคือกล่องดาร์ค อีทูลัส !”
มันเป็นคำพูดประโยคเดียวที่ทำเอาหญิงสาวผมดำแทบเซล้มตึงไปด้วยความเครียดจัด ทำไมพวกอาร์คบิชอปมักจะบอกเธอบ่อยๆว่า ดาร์ค บริสตั้น ทำนั่นทำนี่ได้ ตั้งแต่สามารถท่องเที่ยวไปในแดนนรก ควบคุมพลังมืด เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้กับผู้มาจากความมืด จนกระทั่งผนึกอำนาจทำลายล้างดำมืดของลูซิเฟอร์ ซึ่งพอเอาเข้าจริงกลับไม่แน่ใจว่าเธอจะทำได้มั้ย นอกเสียจากเรื่องของลูซิเฟอร์และความสามารถด้านพิฆาตความมืดเท่านั้น เคนิสไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับตนเองทุกอย่างดำมืดไปหมด แต่ในความมืดอันธกาลนั้น ก็เคยมีใครสักคนพูดกับเธอ เหตุการณ์อันคุ้นเคยนี้เหมือนกับเกิดขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว นานแสนนานนับตั้งแต่จำความได้
“ดาร์ค บริสตั้น คือความมืดมิดที่จะทำลายทุกความมืดมิด วิญญาณดวงนี้ถูกสร้างมาให้ดำสนิท เพื่อกลืนกินสิ่งเลวร้ายทั้งปวงได้”
มันเป็นเสียงของใครสักคนที่คุ้นเคยอย่างประหลาดแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ใครสักคนที่น่าจะรู้จักมานานแสนนาน
“แม้เจ้าจะเป็นผู้ล่มสลายอำนาจมืดทั้งมวล แต่จงระวังอย่าลุ่มหลงในอำนาจนั้น หาไม่แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนเขา”
เคนิสเห็นบุรุษผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ครั้งแรกในวันนั้นเอง ความทรงจำอันเนิ่นนานนี้ไม่ใช่ของเธอโดยแท้ แต่เป็นความทรงจำของ “ดาร์ค” รุ่นแรกๆที่สืบทอดต่อกันมา
“ความมืดเป็นสิ่งที่ลบล้างทุกอย่าง มันกลืนกินทุกแสงสว่าง ทำลายทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี จงพึงระวังเอาไว้ เพราะมีเส้นแบ่งบางๆระหว่างเจ้ากับปีศาจร้ายเท่านั้น “ดาร์ค” เจ้าอยู่ในสภาพมนุษย์แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์แท้ จงระวังอีกคนในวิญญาณของเจ้าให้จงหนัก รวมถึงอย่าแบกรับความชั่วร้ายและอำนาจมืดไว้มากจนเกินไป เพราะวันใดที่เจ้ารั้งมันไม่ไหว .......................”
“เขาคนนั้นก็จะตื่นขึ้น”
น้ำเสียงเยือกเย็นของบุรุษผมสีฟางดังขึ้น ทำให้หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ด้วยคำพูดต่อเนื่องนั้นทำให้เธอเชื่อแน่ๆว่าซีลเทียลอัครเทวดาที่เนียนทำตัวเป็นคนขายเครื่องหอมต้องรู้อะไรอยู่แน่ๆ และที่สำคัญเขาอ่านใจเธอได้ เคนิสขยับยิ้มบางๆออกมา เมื่อพอจะเดาได้แล้วว่าใครคนนั้นที่พูดถึงคือใคร
“ช่วยไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นช่วยยืนยันคำสั่งนี้อีกครั้ง ”
เคนิสว่า พร้อมกับถอนหายใจ ความรู้สึกบางอย่างที่สุดจะคุ้นเคย เหมือนกับว่าเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาก่อน เหตุการณ์ที่ต้องรับเอาความมืดรุนแรงจากนรกมาไว้ในร่างกาย ดาร์ค บริสตั้นคนนั้น ตายเพราะสาเหตุนี้เองงั้นเหรอ
“ย...........”
ยังไม่ทันที่ราฟาเอลจะออกคำสั่งไป ชายผมสีฟางก็ห้ามเอาไว้ทันทีก่อนที่จะพูดขัดว่า
“วิธีเสี่ยงๆนั่นไว้เป็นวิธีสุดท้ายเถอะ เมื่อพันปีก่อนก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าดาร์ครุ่นก่อนเสียสภาพอย่างไร”
“อา...... มันก็ใช่หรอก แต่จะให้ทำยังไงละซีลเทียล ดอกกุหลาบของฉันก็กำลังจะต้านไม่ไหวแล้วด้วย”
บาราเชียลหันมาบอกเพื่อน แต่เขาก็ดีใจถ้าหากว่าผู้ใช้กำยานจะมีหนทางอื่น
“อย่าลืมว่าเขายังอยู่ที่นี่”
ซีลเทียลชี้ไปที่อาร์กัส พรตปีศาจผมทองได้แต่ทำหน้าเอ๋อ มองผู้มาเยือนทั้งห้าพูดเรื่องที่เขาพยายามจะเข้าใจอยู่นานสองนาน ร่างกายของเขาหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว จึงลุกค่อยๆลุกขึ้นยืนอยู่ข้างๆซีลเทียล
“ป่าเดียวดายถูกสร้างมาอย่างไร มันก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งอย่างนั้น”
ทั้งหมดหันมาที่พรตอาร์กัส นักบวชที่ไม่ได้ความอะไรตั้งแต่เข้าคณะนักบวช ทั้งความรู้ทางด้านวิชาการ หรือแม้แต่การพิฆาตความมืด ก็ด้อยกว่าใครๆในยุคนั้น ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ในขณะที่พวกแนวหน้าเข้าปะทะกับเหล่าผู้มาจากความมืดในสงครามเมื่อพันปีก่อน ทั้งหมดต่างสละชีพอย่างสมเกียรติ์ แต่เขากลับถูกขังไว้ในอาราม ไม่ต่างอะไรกับพวกขี้ขลาดไม่เอาไหน คนอย่างเขาจะไปทำอะไรได้ ตามเพื่อนพ้องไปก็มีแต่จะเกะกะคนอื่นเขา เป็นพรตเกะกะ นักบวชห่วยๆไร้ความสามารถ แต่กลับเป็นผู้สร้างปาฏิหาริย์อันใหญ่หลวง สร้างกำแพงขวางกั้นการทำลายล้างจากมหากองทัพแดนนรก คำสาปแช่งที่ทำให้โลกไร้ซึ่งทุกชีวิต เป็นแผ่นดินที่มีแต่ความตายและพิษร้าย แต่ทั้งหมดถูกหยุดยั้งโดยพรตห่วยๆ ที่ถูกดูถูกว่าไม่เอาไหนคนนั้น
“ข้าจะทำอะไรได้ ขอรับ”
อาร์กัสมองต้นไม้ทุกต้นอย่างปวดร้าว เขาพยายามแล้ว แต่ก็ช่วยอะไรไว้ไม่ได้ แต่พวกซีลเทียลทำเป็นไม่ได้ยิน และคุยเรื่องอื่นๆแทน
“พวกนายไม่สังเกตเหรอ ต้นไม้พวกนี้ถึงจะดูเหมือนต้นคูนยังไง แต่มันก็ไม่ใช่ต้นไม้ในโลกนี้ หรอก”
ซีลเทียลเอ่ยขึ้น พร้อมกับเก็บกิ่งไม้ที่แห้งตายอยู่ใกล้ๆขึ้นมา
“นั่นสิ ตอนแรกฉันก็รู้สึกคุ้นๆอยู่เหมือนกัน แต่ขอถามผู้ทำงานพิทักษ์สวนสวรรค์ด้วยว่าเป็นอย่างที่ซีลเทียลบอกเหรอเปล่า”
ราฟาเอลหันไปถามชายผมดำผู้ทำงานพิทักษ์สวนสวรรค์ อูริเอลพยักหน้ายอมรับ ก่อนที่จะยิ้มน้อยๆออกมา
“ใช่”เขาตอบ
“น่าแปลกจริงๆ ทำไมต้นไม้สวรรค์ถึงมายืนต้น เป็นป่าสงวนนับพันปีอยู่ในโลกนี้ได้นะ แปลกประหลาดแท้ๆ”
บาราเชียลเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจพร้อมกับหมุนตัวมองต้นไม้สูงชะลูดในป่าเดียวดาย หรือป่าต้นไม้สวรรค์ขนาดใหญ่ ที่ไม่น่าจะมายืนต้นอยู่บนโลกนี้ได้แท้ๆ มันเป็นเรื่องแปลกนักจนทั้งหมดต้องหันมาจ้องพรตอาร์กัส เป็นตาเดียวเพื่อเคียดเค้นหาคำตอบ
“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบขอรับ ” อาร์กัสตอบ
“หมายความว่า แม้แต่นายที่เป็นคนสร้างป่านี้ขึ้นมาเอง ก็ไม่รู้ว่าพวกมันมายืนต้นบนโลกนี้ได้ยังไงใช่มั้ย?”บาราเชียลถาม
“ขอรับ”
“งี่เง่าเป็นบ้า” เคนิสที่เงียบมานาน ร้องด่าเข้าให้
“ถ้าอย่างนั้น ฉันเปลี่ยนเป็นถามว่า นายทำยังไงจึงเรียกป่านี้ขึ้นมาได้”
อูริเอลถามด้วยใบหน้าจริงจัง อาร์กัสค่อยๆครุ่นคิด ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าใช้ไม้เท้าของข้าเรียกป่านี้ขึ้นมา”
“ไม้เท้า ?”
พวกเขาได้ยินคำว่า ไม้เท้า แล้วเริ่มพากันขยับยิ้มออกมา เพราะดูเหมือนว่าจะเจอสาเหตุสำคัญที่ทำให้ป่าต้นไม้สวรรค์มาปรากฏบนโลกนี้ได้แล้ว
“มันเป็นไม้อะไร เจ้าได้มาจากไหน”อูริเอลเอ่ยถามรายละเอียด
“ไม้ชนิดใดข้าก็ไม่ทราบขอรับ มันเป็นกิ่งไม้ยาวๆที่อยู่เกลื่อนใต้ต้นคูนหลังอาราม แล้วดาร์ค บริสตั้น รุ่นก่อน ได้เก็บมันมาผูกกับเชือกคาดเอวเพื่อทำเป็นไม้เท้า ให้ข้าใช้สอบเมื่อพันปีก่อนขอรับ”
ได้ยินดังนั้นแต่ละคนก็เริ่มหัวเราะลั่น ยกเว้นเคนิสที่ยืนอึ้งไปแล้ว บางทีที่พรตอาร์กัสสอบตกแล้วสอบตกอีก น่าจะไม่ใช่เป็นเพราะห่วยอย่างเดียว แต่เพราะดันไปใช้ไม้เท้า ที่ความจริงแล้วเป็นแค่กิ่งไม้ยาวๆสองกิ่งผูกติดกันเท่านั้น ไม่ได้มีการเสกอะไร ไม่ได้มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์อะไร แต่ใครจะไปรู้ ว่าของแบบนั้นจะไปเรียกต้นไม้สวรรค์ขึ้นมาได้
“สิ่งนั้นคือเฮฟเว่นพาสอย่างแน่นอน”
ซีลเทียลเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบๆ แต่อาร์กัสเห็นเขาแอบยิ้มอย่างขบขำออกมาจนได้ ก่อนที่มันจะหายไปเมื่อเจ้าตัวรีบตีหน้าเรียบๆ ตามนิสัยของเขา
“เฮฟเว่นพาส?”
อาร์กัสได้ยินแล้วทำตาเหลือก เฮฟเว่นพาสอีกแล้วเหรอ มันคือตั๋วผ่านไปสวรรค์ เหรออะไรทำนองนั้น เหมือนหนังสือเดินทางเข้าหัวเมืองทั้งเจ็ดใช่มั้ย พรตหนุ่มได้แต่ทำหน้างง หันหลอกแหลกมองบุคคลทั้งห้าเผื่อจะมีใครตอบเขาบ้าง แต่พวกนั้นแค่ยิ้มและ เงียบ!
“ถ้างั้นอย่ารอช้าเลย นายรีบเอาคทานี่ไป แล้วจัดการให้มันจบๆ”
เคนิสเอ่ยขึ้นพลางยื่นกล่องคทาที่ปรับปรุงใหม่แล้วให้อาร์กัส ด้วยกล่องใส่ที่สั้นกว่าจะบรรจุคทาอันเดิมของเขาลงไปได้ทำให้พรตปีศาจมองเคนิสอย่างตื่นตระหนก แล้วค่อยๆนำคทากางเขนอันเก่าในคราบใหม่ออกมาจากกล่อง
“ขอบใจนะเคนิส แต่...........นี่ใช่คทาข้าอันเดิมจริงๆใช่มั้ย”
ด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ทำให้เจ้าของคทาต้องถามตามที่หญิงสาวคิดไว้ล่วงหน้าแล้วจนได้
“อันเดิม แต่ดัดแปลงนิดหน่อย พวกฉันกับฟีเดอาโก้คิดว่า กางเขนหน้าไม้ รูปลักษณ์แบบนี้เหมาะกับนายที่สุด อย่าเพิ่งสนใจ ช่วยหยุดเรื่องบ้านี่สักทีเถอะ ฉันหายใจจะไม่ออกแล้ว”
เคนิสเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะไอพิษเริ่มก่อตัวหนาขึ้นหนาขึ้น จนหายใจได้อย่างยากลำบากขึ้นทุกที
“เข้าใจแล้ว”
อาร์กัสสูดลมหายใจลึกๆ แต่นั่นก็ทำให้เขาสำลักไอพิษ จนต้องรีบเอาแขนเสื้อยาวๆมาปิดจมูกไว้ เขาต้องรีบทำลายไอพิษ และเจตภูตให้เร็วที่สุด ไม้กางเขนอันใหม่นั้นขานรับความคิดผู้เป็นเจ้าของทันทีเมื่อมันได้ไปอยู่ในมือของเขา ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองนวลๆเริ่มทอแสงประกาย ก่อนที่พรตหนุ่มจะส่งมันไปทำลายหมู่เจตภูต อำนาจศักดิ์สิทธิ์แผ่กว้างออกไป จิตชั่วร้ายรอบๆสูญสลายไป แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำอะไรกับเจตภูตทั้งป่าที่ยังกัดกินสิงเนื้อไม้อยู่นั้นได้ เขาพยายามสู้กับพวกมันด้วยคทานั่นอย่างเต็มที่ จนเริ่มหอบและหมดแรง
“แบบนี้ไม่ไหวหรอก”
อูริเอลว่า พลางมองไปที่พรตปีศาจซึ่งกำลังจะสิ้นเรี่ยวแรงอยู่แล้วนั่น
“เจ็ด นครไม่รอดแน่ๆ หากยังชักช้า เคนิสเธอลงมือเดี๋ยวนี้เลยเร็วเข้า!”
ราฟาเอลสั่งลั่น เมื่อไอพิษทำลายกำแพงพายุกุหลาบของบาราเคิลมาได้แล้ว กลีบดอกสีขาวทั้งหมดร่วงโรยลงสู่พื้นก่อนที่ผู้ถือช่อกุหลาบไร้กลีบดอกจะล้มลงที่พื้นหมดสติไป
“เคนิส !”
ราฟาเอลตะโกนลั่น แต่ก่อนที่ดาร์ค บริสตั้น จะทำตามคำสั่งนั้น ซีลเทียลก็ห้ามไว้อีกครั้ง
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ว่าป่าเดียวดายเกิดขึ้นมายังไง ก็ต้องถูกสร้างขึ้นมาอย่างนั้น”
“ซีลเทียล เรารอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วนะ!”อูริเอลตะคอกตอบกลับ
แต่ชายผมสีฟางทำเป็นไม่ได้ยิน เขาหันไปพูดกับพรตปีศาจ ที่เริ่มจะหมดแรงล้มตึงไปอีกคน
“เจ้าใช้ไม้กางเขนผิดวิธี อาร์กัส สิ่งนั้นไม่ได้เอาไว้ใช้ทำลายสิ่งได จงอย่าคิดจะใช้มันพิฆาตความมืด”
“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร”
“กางเขนมีไว้เพื่อสวดภาวนาและอวยพร”
แม้จะได้ยินดังนั้นแต่สมองของเขาว่างเปล่าไปหมด เขาไม่รู้ว่าซีลเทียลจะพูดอะไรกับเขากันแน่ ในเวลาแบบนี้เขาจะไปทำอะไรได้ ดีไม่ดีอาจเป็นตัวการที่จะทำให้เจ็ดนครสุดท้ายล่มสลายในอีกไม่ช้านี้
“เจ้าใช้ความรู้สึกอย่างไรตอนสร้างป่าเดียวดาย จงใช้ความรู้สึกนั้นกับเฮฟเว่นพาส”
พรตหนุ่มสะดุ้ง! กับคำพูดนั้น เขาเริ่มจะรู้สึกว่าตนเองได้หลงลืมบางสิ่งบางอย่างไป ในตอนนั้นเมื่อพันปีก่อน เวลาที่ยาวนานทำให้เขาลืมเลือนสิ่งสำคัญเหล่านั้นไปเกือบหมดสิ้น
“เฮฟเว่นพาส?”
อาร์กัสไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ชายผมสีฟางคนนั้นพูดคืออะไรกันแน่
“สิ่งนั้นคือสิ่งที่อยู่ในมือเจ้า”
อาร์กัสเหลือบมองที่มือของเขา ไม้กางเขนหน้าไม้ที่ถูกดัดแปลงยังคงเปล่งแสงประกายนวนๆออกมาอย่างนั้น ราวกับต้องการสื่ออะไรบางอย่าง
“มันเรียกเจ้ามาตลอดตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว เฮฟเว่นพาสนี้ไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง มันไม่ได้มีไว้พิฆาตสิ่งใด แต่ว่ามันจะเชื่อมโยงคำอธิฐานของเจ้าผ่านไปจนถึงสวรรค์ และพระพรศักดิ์สิทธิ์จะขานรับเจ้ากลับมา กางเขนนั่นคือสิ่งเชื่อมโยงคำภาวนาของเจ้าถึงสวรรค์ยังไงละอาร์กัส นี่แหละคือเฮฟเว่นพาส”
สิ้นคำพูดของซีลเทียล พรตหนุ่มก็ขยับยิ้มกว้างออกมา ตลอดพันปีเขามัวแต่เคียดแค้นอิสเบลล่า ได้แต่โทษว่ามันเป็นคำสาปแช่ง ที่เกิดจากความไม่เอาไหนของตนเอง ได้แต่เสียใจเรื่องการตายของดาร์ค บริสตั้น จนลืมสิ่งสำคัญที่ได้ช่วยเหลือตัวเขากับโลกนี้ไว้ เขาจำได้แล้วเรื่องในวันนั้น วันที่เขาออกมา
ท้าทายกับความมืดเพียงลำพัง ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกที่อยากทำลายล้าง แต่แค่อยากจะปกป้องเขาไว้
“ขอให้ปลอดภัย”
คำอธิฐานสั้นๆที่ดังออกมานั้น ทำให้เฮฟเว่นพาสขานรับโดยฉับพลัน ประกายแสงสีทองเจิดจ้าปรากฏขึ้นทรงพลังกว่าครั้งใดๆ อำนาจศักดิ์สิทธิ์เรืองรองจนตาพร่าไปหมด พร้อมๆกับไอพิษและจิตชั่วร้ายถูกชำระล้างหมดสิ้น เจตภูตทั้งป่าแหลกสลายไป แสงสีทองสาดส่องอาบไล้ผืนแผ่นดินแทนที่แสงสีดำแสบร้อนรุนแรงจากทวีปต้องสาป ต้นไม้แดนนรกถูกแปลเปลี่ยนเป็นต้นไม้สวรรค์ ดอกใบที่เคยร่วงโรยเป็นต้นโกร๋น เหลือเพียงกิ่งก้านบิดงอ ตอนนี้นั้นต่างแข่งกับออกดอกผลิตใบ จนเป็นสีทองอร่ามไปทั้งป่า พิษร้ายถาโถมราวกับคลื่นยักษ์จากทวีปต้องสาปถูกหยุดยั้งโดนฉับพลัน ต้นไม้ที่น่าจะแห้งตายไร้พิษสงไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยต้นใหม่ ซึ่งงอกทะลุพื้นดินขึ้นมาเป็นกำแพงตั้งตระหง่าน บัดนี้ป้อมปราการป่าเดียวดายคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้มาเยือนทั้งห้าพากันยืนอึ้งกับสิ่งที่เห็น เมื่อแสงเจิดจ้านั้นหายไป ก็เห็นต้นไม้สวรรค์ต่างโผล่พรวดๆออกมาจากพื้นดินต้นแล้วต้นเล่าแทนต้นที่ตายไป ลำต้นขนาดใหญ่ยักษ์แข็งแกร่งนั้นขยายอาณาเขตเข้าไปในทวีปต้องสาปอีกหลายร้อยกิโลเมตร ประกายสีทองศักดิ์สิทธิ์รุนแรงเรืองรองออกจากป่าราวกับข่มขวัญเหล่าผู้อยู่ในความมืดมิด
“อย่าบอกนะว่าป่าทั้งหมดนี่ คือเฮฟเว่นพาส!”
เคนิสอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น พรตอาร์กัสไม่ใด้เป็นไอ้พรตห่วยอย่างที่เธอคิดอีกต่อไปเสียแล้ว
“ใช่แล้ว ฉันเองก็ไม่เคยเห็นมนุษย์คนใด ครอบครองเฮฟเว่นพาสที่ทรงพลังขนาดนี้มาก่อน”
บาราเชียลมองป่าเดียวดายที่กลับมางดงามนั้นอีกครั้งแล้วถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก
“อืม......เขาไม่ธรรมดา”
อูริเอลขยับยิ้มออกมาแล้วเริ่มบันทึกสิ่งที่เห็นในสมุดบันทึก เมื่อเจอเรื่องราวที่ตนถูกใจ เขาปิดสมุดบันทึกแล้วยิ้มออกมาอย่างยินดี
“ยังจะพูดดี ทำเก็กอีกนะอูริเอล นายเกือบเผาบ้านเขาวอดวายเลยนะเฮ้ย อย่าปล่อยไฟแรงๆนั่นมั่วซั่วสิ”
ราฟาเอลแอบเหน็บสหายผมดำที่กลับมาทำหน้าบึ้งตึงใส่ พวกเขาเริ่มมีปากเสียงกันสักพักก่อนที่มันจะกลายเป็นเสียงหัวเราะด้วยความยินดีจากเจ้าของเฮฟเว่นพาสทรงพลัง
ป่าเดียวดายที่เงียบเหงาจนเขานึกเกลียดมาตลอดเกือบทั้งชีวิต กลับเป็นสิ่งที่ปกป้องเขาและทุกสิ่งเอาไว้ และที่สำคัญมันไม่เงียบเหงาอีกต่อไป แต่มันยังมีผองเพื่อนร่วมรบมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสายอยู่เสมอ
“นี่แหละ พลังแห่งคำสวดภาวนา อาร์กัสเจ้าอย่าได้ละเลยมัน”
บุรุษผมสีฟางซีลเทียลยิ้มบางๆออกมา ก่อนที่จะไปรวมตัวกับเพื่อนๆอีกสามคนเพื่อเตรียมตัวกลับ
อาร์กัสค่อยๆโค้งคำนับให้พวกเขาแต่เจ้าตัวหันมาต่อว่า
“อย่ามาก้มหัวคำนับให้พวกเรา แต่จงค้อมศีรษะให้กับ ผู้ที่ตอบรับคำภาวนาของเจ้าเมื่อครู่ พวกเราจะไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่มีคำสั่งจากเขา”
“ขอรับ” อาร์กัสตอบ
ทั้งสี่คนหันมาร่ำลา หมอราฟาเอลฉีกยิ้มกว้างใส่เขาแวปหนึ่งก่อนที่ผู้มาเยือนเหล่านั้นจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา เหลือเพียงหญิงสาวผมดำอีกคนที่ยังไม่ได้จากไปไหน เธอทำหน้าหงิดหงิดใส่พรตปีศาจ แล้วนั่งพิงต้นไม้อย่างเซ็งๆ ที่ข้างตัวนั้นมีถุงใส่เสื้อผ้าของเขาจากร้านสังฆภัณฑ์เมืองซางตานีโอ
“เจ้าเป็นอะไรเหรอเปล่า!” อาร์กัสรีบถามทันทีเมื่อเห็นเคนิสท่าทางหงุดหงิด
“มันน่าโมโหเรื่องความทึ่มของนายนั่นแหละ ถ้าช้ากว่านี้ ฉันอาจต้องตายจริงๆก็ได้!”
เธอว่า แล้วโยนถุงใส่เสื้อผ้า พร้อมลูกดอกอีก 60 ลูกไปให้
“กางเขนหน้าไม้ ค่าซ่อม สามแสนเหรียญ ค่าดัดแปลง 6 แสนเหรียญ แล้วก็ลูกดอกนั่นรวมกับลูกดอกทมิฬแล้วราวๆ 45ล้านเหรียญ”
ได้ยินดังนั้นพรตอาร์กัสก็เริ่มหน้าซีด
“ค่าซ่อมเครื่องแบบ ค่าเครื่องแบบอีกสองชุด รวมเป็น ห้าสิบล้านเหรียญ”
“ขออภัยขอรับ เหตุใดค่าชุดมันจึงแพงบรรลัยขนาดนั้นขอรับ”
“ผ้าฝ้ายแห่งเชล จากผู้กล้าในตำนาน ดาร์ค อ. บริสตั้น ถ้าฉันเอาไปประมูลขายรับรองได้เยอะกว่านี้”
อาร์กัสเงียบแล้วมองตาปริบๆ หมายความว่าเธอไปได้ชุดของเขาคนนั้นมาอีกชุดหนึ่งอย่างนั้นหรือ
“รวมค่ารักษาจาก ดร.ไลท์วาเลเรียส ทั้งหมดฉันคิดแค่ 500ล้านเหรียญ”
อาร์กัสได้แต่ยืนมองอยู่อย่างนั้น เงินจำนวนที่ว่าต่อให้อีกล้านปีเขาก็คงหามาใช้หนี้ไม่ได้
“ทั้งหมดคือหนี้ที่นายต้องจ่ายให้มหาวิหารซางตานีโอ และพวกเราบริสตั้น แต่ถ้าหาจ่ายไม่ได้ ก็จงเป็นนักพรตอยู่อย่างนี้ต่อไป อย่าได้คิดถอดใจกับการเป็นนักบวชเห็นทำหน้าซังกะตายทุกครั้งที่เห็นแล้วมันทุเรศลูกตา”
ไม่รู้วันนี้เจ้าหล่อนเป็นอะไร แต่ที่แน่ๆคำพูดเหล่านี้เหมือนกับใครบางคน
“ขอรับ เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว ที่จริงข้าต้องขอขอบใจพวกเจ้าด้วย”
อาร์กัสไม่พูดอะไรต่อ เขาเดินไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ที่สุดตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าไม่ไกลจากพวกเขามากนัก ก่อนที่จะวิ่งกลับมา แล้วนำบางอย่างมายัดใส่มือของเคนิส มันคือเมล็ดต้นไม้ของป่าเดียวดายที่พันปีจะมีเมล็ดออกมาสักครั้ง เมล็ดต้นไม้สวรรค์ เฮฟเว่นพาสของเขา
“เมล็ดต้นไม้สวรรค์?”
“ใช่แล้ว แทนคำขอบคุณ”
เขาว่าก่อนที่จะผิวปากเรียกนกฮูกสีขาวกับดำมาคู่หนึ่ง แล้วผูกเมล็ดนั้นที่ขาของนกทั้งสอง
“ต้องส่งไปให้เจ้าหนูนั่น แล้วก็หมอวาเลเรียสด้วย”
นกฮูกทั้งสองบินจากป่าเดียวดายไป พวกมันน้ำเมล็ดต้นไม้สวรรค์ไปให้บริสตั้นอีกสองคน ก่อนที่เขาจะ ค้อมหัวให้เคนิส แล้วผลตอบกลับที่ได้มาก็ไม่ต่างจากบุรุษผมสีฟางเมื่อครู่
“อย่ามาทำแบบนั้น ! ถ้าจะค้อมหัวให้ละก็ ค้อมหัวให้พระเจ้าโน่น”
นั่นสินะ..................
พรตหนุ่มเอ่ยขอบคุณในใจ และเฮฟเว่นพาสในมือก็ส่องประกายเรืองรองขานรับ ตลอดเวลา เขาได้แต่เลียนแบบการต่อสู้ของคนอื่น พยายามทุกวิธีทางที่จะให้คนคนนั้นยอมรับแต่ก็เหมือนกับว่าทั้งฝีมือ ทั้งปณิธานจะยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่สิ่งสำคัญอยู่ในมือเขามาตลอด แต่ก็ถูกตัวเขาเองมองข้ามไป
“เฮฟเว่นพาสนั่นนายได้มายังไง ป่าเดียวดายเกิดขึ้นมาได้ยังไงกันแน่ รวมทั้งสาเหตุการตายของ ดาร์ค อ.บริสตั้น”
เคนิสยิงคำถามใส่เขาเป็นชุด พร้อมกับชี้หน้า
“ข้าคิดว่าข้าได้บอกพวกเจ้าไปจนหมดแล้ว” อาร์กัสตอบ
“โกหก ! ”
เคนิสเริ่มร้องโวยวาย พร้อมกับที่พลังมืดสีดำทมิฬกำลังแผ่ซ่านออกมาจากรอบๆกายเรื่อยๆ
“เคนิสเจ้าใจเย็นๆก่อน”
“หุบปาก! ถ้านายยังไม่บอกความจริงทั้งหมด ฉันจะให้เกรย์ บริสตั้น สั่งนายให้พูดเอง”
“เข้าใจแล้ว..... ข้าจะเล่าเท่าที่ข้ารู้ทั้งหมด ถ้างั้นเริ่มจากเรื่องไหนก่อนดี”
นักพรตเริ่มรู้ตัวว่าอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
อาร์กัสมองดูเธออยู่อย่างนั้นแวปหนึ่ง ความมืดเริ่มแผ่ออกมาจากร่างนั้นเรื่อยๆ ท่าทางคงจะทำหน้าที่เป็นกล่องอีทูลัสได้อีกไม่นาน เกิดความปวดร้าวบางอย่างเริ่มกรีดจิตใจเขา หากต้องเล่าอีกก็เหมือนถูกมีดกรีดแผลเก่าซ้ำ เขายกมือสัมผัสที่อกตนเอง มันเริ่มเจ็บปวดอย่างรุนแรงเมื่อคิดถึงเรื่องราวพวกนั้นขึ้นมา แผลใหญ่ที่กลางอกเริ่มปวดแสบร้อนทรมานทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องราวพวกนั้น แต่คนตรงหน้าดูท่าทางจะทรมานยิ่งกว่า
“อะไรก็ได้”
เคนิสเห็นอาร์กัสนั่งลงพิงต้นไม้ตรงข้ามกับเธอ เขาให้นางเงือกในสระน้ำใกล้ๆนำพิณมาให้ ก่อนจะบรรเลงเพลงขับลำนำ
“เงามืด กลืนกิน ทุกชีวิต ดวงจิต เคียดแค้น เป็นหนักหนา
สาปแช่ง ทุกสิ่ง สิ้นชีวา ทุกวิญญา ร่วงสู่ อเวจี
แต่ว่ามี ผู้มา จากสวรรค์ อีกหนึ่งนั้น ตระกูลกล้า เลิศราศี
ผนึกมาร ซาตาน มากฤทธี กักขังที่ อีทูลัส กล่อง........”
“ข้ามไอ้เพลงบ้านี่ไปเลยได้มั้ย ”
เคนิสร้องด่า ดวงตาสีดำเริ่มมีประกายเดือดพล่าน ส่อแววไม่พอใจ
“ขอรับ ขอรับ”
อาร์กัสยิ้มแห้งๆออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“ข้าขอเล่าเรื่องราวเมื่อพันปีก่อน ทั้งเรื่องตัวข้าเอง ป่าเดียวดาย เฮฟเว่นพาส และ ดาร์ค บริสตั้นในครั้งนั้น จงฟัง”
เสียงพิณบรรเลงต่อไป ชาวเงือกร้องประสาน เพียงแต่การเปิดตัวตำนานเรื่องนี้ถูกปิดลงในทันที เมื่อผู้รอฟังกระหายข้อมูลจัด เงือกสาวนักขับร้องถูกหล่อนตวาดไล่ลงสระไป ซ้ำยังโยนพิณตามไล่หลัง การขับลำนำเรื่องราวเมื่อพันปีก่อนจึงเริ่มต้นขึ้นทันทีนับจากนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
End / Lonely forest
ความคิดเห็น