ถ้าเพียงแต่กระเตื้อง นศพ.ปี2คนนนี้จะไม่ได้มีปมที่ทำให้เขาเลือกที่จะหันหลังให้กับสังคม และถ้าเพียงแต่เติมเต็ม เพื่อนร่วมคณะผู้แสนสว่างไสวและมีชีวิตที่โดดเด่นเจิดจ้าเรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของกระเตื้องจะไม่ผ่านเข้ามา เรื่องราวของย่าวก้าวแห่งชีวิตและความรักที่ค่อยๆขยับและถักทอขึ้นจากความผูกพัน กระทั่งเกี่ยวกระหวัดรัดรึงดั่งด้ายแดงแห่งรักนิรันดร์ก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน...
ขอเชิญท่านผู้อ่านพบกับ นิยายวายเรื่อง กลับไปเลี้ยวที่ทางแยก โดย Czuki นิยายชายรักชายที่ไม่ได้ให้เพียงความบันเทิง แต่ยังให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตประจำวัน การันตีด้วยรางวัลเซ็งเป็ดอะวอร์ดครั้งที่ 10 ในสาขา นิยายสุดโศก ซึ่งผ่านการโหวตและได้รับเสียงสะท้อนจากผู้อ่านว่าเป็นนิยายที่ระหว่างอ่านช่างบีบหัวใจและทำให้ร้องไห้หนักมาก แต่บทจะหวานก็หวานอบอุ่นเสียจนพาลอดยิ้มกับตัวเองเสียไม่ได้และที่สำคัญคือจบดี ไม่มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นแต่อย่างใด...
“ไอ้สัสเต็ม!”
“เอ้า ด่ากูทำไมเนี่ย?”
หัวเราะอีกแล้ว หัวเราะทำไม กูไม่เห็นว่ามันมีอะไรน่าหัวเราะเลย
“เต็ม กูเป็นอะไรกับมึง?”ผมถาม งึมงำแล้วซุกจมูกลงกับเสื้อยืดสีขาว กลิ่นโคโลญจ์หรือกลิ่นน้ำหอม หรือกลิ่นกาย ไม่รู้กลิ่นอะไรกันแน่เอาเป็นว่ากลิ่นของเติมเต็มนั่นแหละฟุ้งเข้าปอดผมแล้วออกฤทธิ์คล้ายกับเป็นยากล่อมประสาทที่ทำเอาคนที่ได้ลิ้มลองเกิดอาการประสาทหลอน หลงผิด สติเลอะเลือนจนลืมไปว่าเมื่อครู่ผมเพิ่งรู้สึกหน่วงๆแปลกๆในอกอยู่
“มึงอยากเป็นอะไรล่ะ?”
เอ้า การตอบกูด้วยคำถามนี่คืออะไร
ผมทุบหลังมันไปทีนึง “ไอ้เต็ม!”
“ครับ?”
ครับ พ่อง! อยู่ดีๆมาขานรับเสียเพราะพริ้งเล่นเอาผมไปไม่ถูกเลย ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ใส่แว่นอยู่ ผมล่ะอยากจะเอาทั้งหน้าทั้งตาทั้งจมูกไปถูๆที่หลังเช็ดขี้มูกใส่เสื้อมันไปซะเลย! เสียงติ๊งเบาๆดังขึ้น ประตูลิฟต์จึงเลื่อนเปิดออกพร้อมกับที่มนุษย์หมีกับมนุษย์เห็บหมีจะกอดกันกลมเดินออกมาด้วยความทุลักทุเลเพราะผมยกมือขึ้นขย้ำหัวไอ้เต็มดึงทึ้งไปมา
“เตื้องอยู่นิ่งๆดีๆ นี่กูแบกทั้งเป้ ทั้งมึงอยู่ เดี๋ยวก็โยนลงพื้นมันทั้งคู่หรอก”
โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อยู่ๆผมก็โพล่งขึ้นมา แต่เติมเต็มก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากจะเงียบแล้วคอยรับฟังผมแบบทุกครั้งแทน
“กูอ่ะ ตั้งแต่เด็กยันอยู่มัธยม กูเป็นเด็กเรียนของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะวันๆกูเอาแต่เรียนๆๆ เออ แต่กูก็ไม่ได้มืดมนขนาดไม่มีเพื่อนหรอก กูก็มีกลุ่มเพื่อนอยู่เหมือนกัน ก็แค่รู้จักกันแบบผิวเผิน ไปเที่ยว ไปเรียนพิเศษด้วยกันแค่นั้นจบ เออใช่ไง!กูไม่เคยมีเพื่อนสนิทมาก่อน”
ผมเลิกขยำหัวไอ้เต็มแล้ว เหนื่อยแล้วก็เหนื่อยจนต้องเอาหน้าวางลงซบกับแผ่นหลังกว้างๆ แล้วค่อยใช้มือตะกุยแผ่นหลังใหญ่ๆนั่นไปเรื่อยๆแทน
“กูไม่รู้ว่าขอบเขตของเพื่อนสนิทมันควรอยู่ที่ตรงไหน?!? กูไม่รู้ว่าเวลาสนิทกันแล้วต้องทำตัวยังไง? แบบไหนมากไป แบบไหนน้อยไป? หรือว่าที่กูกับมึงกำลังทำอยู่นี่มันเกินเลยไปแล้วรึเปล่า แบบมึงห่วงกูจัง แต่มึงไม่เห็นทำอย่างนั้นกับคนอื่น หรือทำกูก็ไม่รู้ ช่างแม่ง อะ เอาเป็นว่าขนาดกับคุณตฤณของกูมึงยังแทบจะตีมันอ่ะตอนมันเข้าไปกอดมึง แต่พอเป็นกูมึงกลับไม่เห็นจะตีกูเลยเอาแต่ลูบๆอย่างเดียว! แล้วก็เออ กูไม่ได้หนาวอะไรขนาดนั้น มึงยังถอดเสื้อคลุมให้กูเลยทั้งๆที่เจ๊ดาวสะดือโผล่จ้องจะขอเสื้อมึงตาเป็นมันมึงยังไม่ยอมให้ แล้วแบบตอนที่กูโวยวายที่ป้ายรถเมล์ ตอนที่มึงจะพากูไปเยาวราชอ่ะ ถ้าเป็นคนอื่นคงต่อยหน้ากูแล้วบอกว่าไอ้สัส อยากอยู่ในโลกแคบๆของมึงก็อยู่ไปนะ แล้วก็คงตบบ้องหูกูซ้ำ ไม่มานั่งเสนอเงื่อนไขที่ไม่ว่าจะมองทางไหนมึงก็เสียเปรียบมาให้แบบนี้หรอก แถมมึงอ่ะ มึง...เออ เดี๋ยวนะ นี่กูเป็นเพื่อนสนิทของมึงอยู่ใช่มั้ย?หรือกูตู่เอาเองคนเดียววะ? เอ๊ะ หรือยังไง โอ๊ย ปวดหัวคิดไม่ออก!”
“เหนื่อยรึยังมึง?”
“กูถามก็ตอบให้ตรงประเด็นสิ!”
“มึงคิดว่าไง ถ้าใช่ กูก็ว่าใช่”
“โอ๊ย มึงตอบชัดๆไม่เป็นรึไง! เออ ช่างแม่งเหอะ! สรุปกูเป็น! จบ”
สาบานได้ว่าถ้าตอนนี้ผมเป็นเติมเต็ม ผมคงจะโยนไอ้บ้าที่เริ่มแหกปากโวยวายพร้ำเพ้อไม่รู้เรื่องบนหลังทิ้งไปกับพื้นแบบไม่เสียเวลาคิดสักนิด แต่พอดีมันไม่ใช่ไง เติมเต็มตัวจริงไม่ได้ทำแบบผมในจินตนาการ เขาแบกผมเดินไปเรื่อยๆท่ามกลางแสงไฟสลัวของลานจอดรถ เขาหยุดยืนเมื่อมาถึงรถของเขา เต็มค่อยๆย่อตัวลงบอกให้ผมยืนดีๆ แต่พอเท้าแตะพื้นผมก็เห็นพื้นมันโคลงเคลงก็เลยทรงตัวไม่อยู่
เต็มรั้งตัวผมเข้ามาบอกให้เอนตัวพิงเขาเอาไว้ในขณะที่เขาล้วงหากุญแจรถ รอไม่นานแสงไฟสีส้มก็กะพริบขึ้นสองสามครั้ง เขาก็เอื้อมมือเปิดประตูรถแล้วพาให้ผมเข้าไปนั่ง ผมจำได้ว่านี่เป็นรถคันเดียวกับที่ผมเคยนั่งมาแล้ว ผมจำสัมผัสนุ่มๆของเบาะนี้ได้ ผมเอนหลังพิงเบาะแล้วเต็มก็ปิดประตูรถให้ก่อนจะแล้วอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับแล้วก็สตาร์ทรถเปิดแอร์แต่ก็ไม่ยอมออกรถเสียที
“ไปดิ รอให้กูตัดริบบิ้นก่อนรึไง?”ผมถาม เสียงชักอ้อแอ้ ไอ้เต็มส่ายหัวถอนหายใจใส่หน้าผม
“ก็มึงยังพูดไม่จบ กูก็ต้องรอฟังต่อก่อนดิ” ดวงตาคมๆคู่นั้นดูอ่อนแสงลงจนผมรู้สึกสะท้านวาบจนต้องรีบหลุบลงไปมองเกียร์รถแล้วพึมพำขึ้นต่อเอง
“เต็ม...กับดาวมึงยังรักเขาอยู่จริงๆเหรอ?”
“แล้วมันสำคัญตรงไหน?”
แหนะ เอาอีกแล้วนะมึง ใครสั่งใครสอนให้ตอบคำถามคนอื่นด้วยคำถามน่ะหา! ผมขมวดคิ้ว ยกนิ้วขึ้นดันแว่น
“กูถามก็ตอบ!”
“ก็ตอบแล้วไงว่ามันสำคัญตรงไหน?”
การที่เติมเต็มพูดประโยคนั้นซ้ำๆออกมา ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่าหรือเขาจะไม่อยากพูดถึงเพราะมันเป็นความจริง...
รู้สึกแปลกจัง อธิบายไม่ถูกแต่คิดว่าน่าจะเรียกว่าเป็นความรู้สึกหดหู่น่ะ ผมก้มหน้าลงมองหน้าตักตัวเอง มองนาฬิกาข้อมือที่เข็มเดินกระดิกติ๊กๆตามวินาทีที่ผ่านไปแล้วพาลรู้สึกอิจฉาเข็มนาฬิกาขึ้นมาเสียไม่ได้ อิจฉาเพราะมันไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย วันๆก็แค่เดินไปตามลานที่สร้างไว้และพลังถ่านที่ใส่ลงไป แต่ไม่รู้ทำไมมนุษย์ถึงต้องผ่านแต่ละวันไปด้วยการครุ่นคิดอะไรให้มากมายเสียทุกเวลา...
“มึงไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร งั้นถ้ากูพูดอะไรไม่ถูกใจออกไปอย่ามาโกรธกูล่ะ”
เติมเต็มทำเสียงอืมขานรับในลำคอ ผมไม่อยากมองหน้าเพราะไม่อยากจะพิจารณาสีหน้าเขาหลังจากที่ฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมเผลอถูมือเข้าด้วยกันในขณะที่เริ่มต้นเปิดปากพูด
“กูไม่รู้ว่าที่ผ่านมามึงดูแลกูดีมากๆเพราะอะไร แต่เมื่อกี้ในวงเหล้าพอได้ยินที่คนอื่นเขาพูด กูก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า มึงมาทำดีกับกูเนี่ยทำเพื่อแกล้งประชดดาวหรือเปล่า? เพราะถ้ามึงไม่โง่ แค่มึงหันไปมองหน้าดาว คำว่า หึงและหวงเวลากูอยู่ใกล้มึงมันเขียนแปะหน้าผากดาวไว้โคตรชัดอ่ะ”
“กูทำเพราะกูอยากทำ ไม่ได้เกี่ยวกับดาว”
คำตอบของเติมเต็มทำให้ผมเม้มปาก ความรู้สึกบิดเกร็งแปลกประหลาดในช่องอกทำให้ผมรู้สึกทรมาน ตอนนี้ผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างแล้วก็รู้สึกได้ว่าลึกๆแล้วผมเองก็ไม่ได้พยายามที่จะขุดคุ้ยเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์หาคำตอบแบบที่ชอบทำหรอก ก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่ไม่พยายามก็คือไม่พยายาม
ผมสูดลมหายใจลึกๆ ตกใจนิดนึงที่เสียงมันสั่นหน่อยๆ แอบปลอบใจตัวเองว่าเสียงแปลกๆแบบนี้เป็นเพราะผมเมา
“งั้น...งั้นถ้ามึงบอกแบบนั้น แล้วสมมติว่าความจริงคือมึงยังรักดาวอยู่ แล้วแบบวันนึงเกิดมึงกลับไปคบกับดาวอีก แล้วกูล่ะ... มึงจะยังดูแลยังสนใจกูอยู่แบบนี้ อีกมั้ย? เอ้อ ถ้าที่กูถามอยู่มันเกินขอบเขตของเพื่อนสนิทไป มึงไม่ต้องตอบมาก็ได้แต่บอกกูหน่อยว่ากูควรจะวางตัวยังไง? เพราะกูแบบ---”
ผมชะงักเสียงพูดเพราะอยู่ดีๆเติมเต็มก็ยื่นนิ้วมาบีบจมูกผมแล้วดึงไปมาเบาๆเชิงมันเขี้ยวก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“รู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่”
“รู้” ผมพยักหน้า ขมวดคิ้วตีหน้าบึ้งใส่เติมเต็มหลังจากที่หันไปมองหน้าเขาแล้วเห็นว่าเขากลับอมยิ้มอยู่ คุยเรื่องตลกกันอยู่รึไง? ไอ้หมีโรคจิต ไอ้ฟายเต็มจนล้น!
“แล้วรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดงี้อ่ะทำให้กูหมดความอดทนแล้วนะ”
“อดทนอะไร? มึงมีอะไรต้องทน หรือว่าที่ผ่านมามึงเฟคใส่กูเหรอ ที่ดูแล ที่---”
“เพ้อเจ้อละมึง” ว่าจบเต็บก็ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมแรงๆจนผมต้องยกมือปัดให้วุ่นด้วยความขุ่นเคืองว่าทำไมมันทำท่าไม่จริงจังกับการสนทนาระหว่างเราในครั้งนี้เลย เต็มหยิบหมวกแก๊ปใบเดิมที่ผมคืนมันไปกลับมาใส่ให้ผมใหม่ พอผมจะถอดออกเขาก็ใช้อุ้งตีนตะปบกดเอาไว้
ผมถลึงตา กำลังจะอ้าปากด่า แต่เติมเต็มกลับชิงพูดขึ้นมา
“นี่...กูให้โอกาสสุดท้ายแล้วนะเตื้อง”
ผมเอียงคอ ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เติมเต็มผละมือออกเมื่อเห็นว่าผมยอมนั่งนิ่งๆใส่หมวกของเขาเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยถามผมว่า
“ตอบมาตรงๆเข้าใจมั้ย? สมมติกูกลับไปคบกับดาว แต่กูก็ยังดูแลมึงเหมือนเดิม แบบนั้นน่ะมึงจะโอเคไหม?”
ผมอยากจะหลบสายตาคมๆนั่นแต่เติมเต็มกลับรู้ทัน เขาเอื้อมมือมาจับคางผมล็อกเอาไว้แล้วบังคับให้หันไปมองหน้าเขา แต่เรื่องอะไรล่ะ! มองปลายจมูกมึงแทนก็ได้ ให้ตายกูก็ไม่มองตามึงหรอก ผมเม้มปาก ไม่ยอมปริปากพูดอะไร
“กูไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆนะเตื้อง!”
“พูดแบบนี้แปลว่ามึงยังรักดาวอยู่จริงๆใช่มั้ย?”
“...”
เต็มไม่ตอบอะไร ผมเองก็ไม่รู้จะง้างปากเขาอย่างไรดี ผมเลือกที่จะหลับตา ไม่กล้ามองสีหน้าเขาเพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำหน้าแบบไหน ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่อยู่ดีๆก็รู้สึกแห้งผากขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“กูรู้ว่าพระอาทิตย์มีแสงสว่างไสว แถมยังมีความอบอุ่นเจิดจ้า จึงเป็นที่ชื่นชอบของใครต่อใครไม่เว้นแม้แต่เต่าในกระดองแบบกู กูหลบอยู่ในกระดองมืดๆ แต่แล้ววันนึงก็มีแสงอาทิตย์เล็ดลอดเข้ามาหา เวลากูได้เห็นแสงอาทิตย์ ได้รับความอ่อนโยนใจดีทีไร มันก็ทำให้กูรู้สึกอบอุ่นสบายใจ แต่แบบ กูคงจะเป็นเต่าที่เห็นแก่ตัวเกินไป เพราะว่ากู...กูไม่อยากแบ่งแสงอาทิตย์ให้ใคร...กู”
“กูอะไร?”
“กูพยายามคิดแล้วนะ กูว่ามันก็เร็วเกินไป แล้วก็เราแทบจะยัง ไม่รู้จักอะไรกันเยอะแยะเลย แต่ไม่ว่ากูจะหาคำไหนมาใช้แทนที่ดู แต่สุดท้ายแล้วกูก็คิดว่าคำนี้แหละลงตัวที่สุด...”
ผมเผลอลืมตาขึ้นมองสบกับดวงตาสีเทากระจ่างใสในขณะที่เปล่งเสียงพูดออกไป
“กูว่ากูหวงมึงอ่ะเต็ม...”
พอคำพูดนั้นหลุดออกจากปากไป ผมก็แทบกลั้นหายใจ กลัวไปหมดไม่รู้ว่าเติมเต็มจะคิดยังไงที่ได้ยินอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทคู่อื่นเขามีช่วงเวลาแบบนี้บางรึปล่า?แบบที่หวงเพื่อน ไม่อยากให้ใครเขาใกล้ ไม่ชอบที่ถูกแย่งเอาเสื้อฮู้ดที่ใส่อยู่ไปแบบหน้าตาเฉย ไม่ชอบที่เห็นภาพนัวเนียกอดไซ้อะไรนั่นเลย แต่พอมาคิดดูอีกทีก็ชวนให้คิดหนักกว่าเก่าเสียอีกว่าเพื่อนสนิทเนี่ยเป็นกันง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ ผมแทบไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับเติมเต็มเลย แล้วเติมเต็มเองก็ไม่เคยรู้อะไรลึกๆเกี่ยวกับผมเหมือนกัน แล้วจะใช้คำว่าเพื่อนสนิทได้มั้ย? ถ้าไม่ได้แล้วผมควรจะใช้คำว่าอะไร?
“มึงพูดเองนะ เพราะงั้นผลที่ตามมาหลังจากนี้จะโทษกูไม่ได้แล้วนะ”
จบประโยคนั้นเติมเต็มก็เปิดไฟบนเพดานรถ แล้วเขาก็เอียงตัวเข้ามาหาผมก่อนจะจัดการโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วเราก็ถ่ายรูปเซลฟีคู่กันโดยที่ผมยังนั่งทำหน้างงๆอยู่เพราะกำลังตกอยู่ในภวังค์แต่ดันถูกกระชากออกมาแบบกะทันหันก็เลยยังไม่ทันได้เก๊กอะไรเลย
ถ่ายรูปเสร็จมันก็ไม่ได้สนใจอะไรผมอีก เอาแต่กดสมาร์ทโฟน ยุกยิกอยู่ในมืออยู่นาน ในระหว่างนั้นปากก็ขยับพูดไปด้วย
“ที่ผ่านมากูอุตส่าห์อดทนเว้นระยะห่างให้มึงได้หายใจหายคอบ้าง แต่ตอนนี้กูว่าระยะอะไรนั่นคงไม่จำเป็นแล้วล่ะมั้งเตื้อง...”
เขาจบประโยคลงพร้อมกับการยื่นหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองมาตรงหน้าผม
“ถือดิ เร็วๆ”
คำสั่งนั้นทำให้ผมรับมือถือมาถือแต่โดยดี พร้อมกับที่เติมเต็มจะเริ่มต้นร่ายยาวโดยที่นิ้วเรียวๆนั่นก็เลื่อนจิ้มหน้าจอไปมาอย่างคล่องแคล่ว
“รูปคู่กูกับดาว กูลบทิ้งหมดแล้ว มันแม่งก็ไม่ได้มีอะไรหลายรูปหรอก พวกนั้นก็ชอบจับเอามาเป็นประเด็น อะ เรื่องที่แท็กรูป อันเก่าๆ กูขี้เกียจไปเลื่อนหา ปกติก็ไม่ได้เข้าไปตอบอะไรอยู่แล้วเพราะคิดว่ามันไม่ได้สำคัญอะไร แต่มึงดูรูปนี้...”
รูปนี้ที่ว่าคือรูปที่ดุจดาวนั่งเอียงซบแขนของเติมเต็มอยู่ซึ่งเป็นรูปเดียวกันกับที่ทำให้ผมถ่อสังขารมาแจมวงเหล้าบ้าๆบอๆอะไรนั่น
“มึงอ่านเมนต์กู เร็วๆ อ่านออกเสียงดังๆ!”
“ขอบใจสำหรับรูปนะเพื่อน”
“เออ เน้นเสียงที่คำว่าเพื่อนหน่อยสิ กูอุตส่าห์ทำดอกจันเน้นไว้เลยนะมึง อ่ะ แล้วดูอันสุดท้าย...”
อันสุดท้ายที่ว่าคือสเตตัสใหม่สดๆร้อนๆที่เติมเต็มเพิ่งอัพ แล้วก็แท็กผมมาด้วย...มันเป็นรูปเซลฟีธรรมดาของวัยรุ่นผู้ชายสองคนที่คนนึงกอดคอเพื่อนที่ใส่หมวกแก๊ปทำหน้าโง่ๆเหมือนกำลังตกใจเพราะโดนถ่ายแบบไม่ทันได้ตั้งตัว บนรูปนั้นมีแคปชั่นที่เขียนเอาไว้ว่า
If the feelings are mutual, the effort will be equal. #best-friend
“แปลว่าอะไรอ่ะ? ถ้าความรู้สึกมันตรงกัน ต่างฝ่ายต่างก็จะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าๆกันเอง”
ผมรู้ว่าทักษะการแปลผมมันค่อนข้างห่วย แต่ที่ห่วยกว่าคือทักษะการตีความหมายที่แฝงอยู่ ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าคุณเติมเต็มมันจะสื่ออะไร แต่ผมว่าผมค่อนข้างจะสะดุดกับคำว่า best friend ที่มันห้อยท้ายมาให้
“นี่แหละที่กูสงสัย เราสนิทกันถึงขั้น---”
“เลิกพูดวนได้แล้วมึง กูเคยบอกว่าไงเพื่อนมันมาจากการเรียนรู้ไง เอางี้ก็คิดซะว่า นี่ก็แค่กูให้ยศมึงไปก่อนเลย แล้วเราก็ค่อยมาเริ่มต้นเรียนรู้กันไป ทีนี้กูจะทำตามใจตัวเองแล้วนะ โอเค พอเลยเลิกสงสัย คิดจังนะมึง เคยถามสมองมันบ้างมั้ยว่าทำงานในกะโหลกมึงไหวอยู่อีกรึเปล่า? คนห่าอะไรชอบคิดจุกจิกวุ่นวาย”
ว่าจบคุณหมียักษ์แกก็เอาอุ้งตีนมาตะปบหัวผมจนหน้าคะมำเกือบกระแทกคอนโซลหน้ารถเพราะผมทรงตัวไม่ค่อยอยู่ โชคดีที่เติมเต็มคว้าไหล่ผมไว้ทัน เขาเอื้อมมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม แล้วก็ออกรถไปโดยไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายเอาไว้ให้ผมยกมือทุบหลังมันแต่พลาดไปโดนต้นแขนดัง อั้ก
“งอแงอะไรก็ไม่รู้ คราวหลังบอกกูตรงๆก็ได้ว่าอย่าสนใจคนอื่นนอกจากมึงสิ แค่นั้นก็จบแล้วเตื้อง!”
ความคิดเห็น