[Yaoi / BL] : กลับไปเลี้ยวที่ทางแยก (จบแล้ว) - นิยาย [Yaoi / BL] : กลับไปเลี้ยวที่ทางแยก (จบแล้ว) : Dek-D.com - Writer
×

    [Yaoi / BL] : กลับไปเลี้ยวที่ทางแยก (จบแล้ว)

    โดย Czuki

    ได้รับรางวัลเซ็งเป็ดอะวอร์ด ครั้งที่ 10 (ปี 2560) สาขานิยายสุดโศก (แต่จบแฮปปีฟินดิ้งนะคะ ^^)

    ผู้เข้าชมรวม

    11,273

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    44

    ผู้เข้าชมรวม


    11.27K

    ความคิดเห็น


    116

    คนติดตาม


    572
    จำนวนตอน : 35 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  14 เม.ย. 66 / 12:22 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ



                   ถ้าเพียงแต่กระเตื้อง นศพ.ปี2คนนนี้จะไม่ได้มีปมที่ทำให้เขาเลือกที่จะหันหลังให้กับสังคม และถ้าเพียงแต่เติมเต็ม เพื่อนร่วมคณะผู้แสนสว่างไสวและมีชีวิตที่โดดเด่นเจิดจ้าเรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของกระเตื้องจะไม่ผ่านเข้ามา เรื่องราวของย่าวก้าวแห่งชีวิตและความรักที่ค่อยๆขยับและถักทอขึ้นจากความผูกพัน กระทั่งเกี่ยวกระหวัดรัดรึงดั่งด้ายแดงแห่งรักนิรันดร์ก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน... 

                   ขอเชิญท่านผู้อ่านพบกับ นิยายวายเรื่อง กลับไปเลี้ยวที่ทางแยก โดย Czuki นิยายชายรักชายที่ไม่ได้ให้เพียงความบันเทิง แต่ยังให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตประจำวัน การันตีด้วยรางวัลเซ็งเป็ดอะวอร์ดครั้งที่ 10 ในสาขา นิยายสุดโศก ซึ่งผ่านการโหวตและได้รับเสียงสะท้อนจากผู้อ่านว่าเป็นนิยายที่ระหว่างอ่านช่างบีบหัวใจและทำให้ร้องไห้หนักมาก แต่บทจะหวานก็หวานอบอุ่นเสียจนพาลอดยิ้มกับตัวเองเสียไม่ได้และที่สำคัญคือจบดี ไม่มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นแต่อย่างใด...



    ////// ตัวอย่างในเรื่อง/////

    ประตูลิฟต์ปิดลง ผมมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองที่ขดตัวเป็นก้อนกลมๆเกาะอยู่บนหลังหมีขาว มองเห็นเงาสะท้อนของโครงหน้าหล่อเหลาเอาการ แต่นิสัยแม่ง...

    “ไอ้สัสเต็ม!”

    “เอ้า ด่ากูทำไมเนี่ย?”

    หัวเราะอีกแล้ว หัวเราะทำไม กูไม่เห็นว่ามันมีอะไรน่าหัวเราะเลย 

    “เต็ม กูเป็นอะไรกับมึง?”ผมถาม 
    งึมงำแล้วซุกจมูกลงกับเสื้อยืดสีขาว กลิ่นโคโลญจ์หรือกลิ่นน้ำหอม หรือกลิ่นกาย ไม่รู้กลิ่นอะไรกันแน่เอาเป็นว่ากลิ่นของเติมเต็มนั่นแหละฟุ้งเข้าปอดผมแล้วออกฤทธิ์คล้ายกับเป็นยากล่อมประสาทที่ทำเอาคนที่ได้ลิ้มลองเกิดอาการประสาทหลอน หลงผิด สติเลอะเลือนจนลืมไปว่าเมื่อครู่ผมเพิ่งรู้สึกหน่วงๆแปลกๆในอกอยู่

    “มึงอยากเป็นอะไรล่ะ?”

    เอ้า การตอบกูด้วยคำถามนี่คืออะไร

    ผมทุบหลังมันไปทีนึง “ไอ้เต็ม!”

    “ครับ?”

    ครับ พ่อง! อยู่ดีๆมาขานรับเสียเพราะพริ้งเล่นเอาผมไปไม่ถูกเลย ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ใส่แว่นอยู่ ผมล่ะอยากจะเอาทั้งหน้าทั้งตาทั้งจมูกไปถูๆที่หลังเช็ดขี้มูกใส่เสื้อมันไปซะเลย! เสียงติ๊งเบาๆดังขึ้น ประตูลิฟต์จึงเลื่อนเปิดออกพร้อมกับที่มนุษย์หมีกับมนุษย์เห็บหมีจะกอดกันกลมเดินออกมาด้วยความทุลักทุเลเพราะผมยกมือขึ้นขย้ำหัวไอ้เต็มดึงทึ้งไปมา 

    “เตื้องอยู่นิ่งๆดีๆ นี่กูแบกทั้งเป้ ทั้งมึงอยู่ เดี๋ยวก็โยนลงพื้นมันทั้งคู่หรอก”

    โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อยู่ๆผมก็โพล่งขึ้นมา แต่เติมเต็มก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากจะเงียบแล้วคอยรับฟังผมแบบทุกครั้งแทน

    “กูอ่ะ ตั้งแต่เด็กยันอยู่มัธยม กูเป็นเด็กเรียนของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะวันๆกูเอาแต่เรียนๆๆ เออ แต่กูก็ไม่ได้มืดมนขนาดไม่มีเพื่อนหรอก กูก็มีกลุ่มเพื่อนอยู่เหมือนกัน ก็แค่รู้จักกันแบบผิวเผิน ไปเที่ยว ไปเรียนพิเศษด้วยกันแค่นั้นจบ เออใช่ไง!กูไม่เคยมีเพื่อนสนิทมาก่อน”

    ผมเลิกขยำหัวไอ้เต็มแล้ว เหนื่อยแล้วก็เหนื่อยจนต้องเอาหน้าวางลงซบกับแผ่นหลังกว้างๆ แล้วค่อยใช้มือตะกุยแผ่นหลังใหญ่ๆนั่นไปเรื่อยๆแทน

    “กูไม่รู้ว่าขอบเขตของเพื่อนสนิทมันควรอยู่ที่ตรงไหน?!? กูไม่รู้ว่าเวลาสนิทกันแล้วต้องทำตัวยังไง? แบบไหนมากไป แบบไหนน้อยไป? หรือว่าที่กูกับมึงกำลังทำอยู่นี่มันเกินเลยไปแล้วรึเปล่า แบบมึงห่วงกูจัง แต่มึงไม่เห็นทำอย่างนั้นกับคนอื่น หรือทำกูก็ไม่รู้ ช่างแม่ง อะ เอาเป็นว่าขนาดกับคุณตฤณของกูมึงยังแทบจะตีมันอ่ะตอนมันเข้าไปกอดมึง แต่พอเป็นกูมึงกลับไม่เห็นจะตีกูเลยเอาแต่ลูบๆอย่างเดียว! แล้วก็เออ กูไม่ได้หนาวอะไรขนาดนั้น มึงยังถอดเสื้อคลุมให้กูเลยทั้งๆที่เจ๊ดาวสะดือโผล่จ้องจะขอเสื้อมึงตาเป็นมันมึงยังไม่ยอมให้ แล้วแบบตอนที่กูโวยวายที่ป้ายรถเมล์ ตอนที่มึงจะพากูไปเยาวราชอ่ะ ถ้าเป็นคนอื่นคงต่อยหน้ากูแล้วบอกว่าไอ้สัส อยากอยู่ในโลกแคบๆของมึงก็อยู่ไปนะ แล้วก็คงตบบ้องหูกูซ้ำ ไม่มานั่งเสนอเงื่อนไขที่ไม่ว่าจะมองทางไหนมึงก็เสียเปรียบมาให้แบบนี้หรอก แถมมึงอ่ะ มึง...เออ เดี๋ยวนะ นี่กูเป็นเพื่อนสนิทของมึงอยู่ใช่มั้ย?หรือกูตู่เอาเองคนเดียววะ? เอ๊ะ หรือยังไง โอ๊ย ปวดหัวคิดไม่ออก!”

    “เหนื่อยรึยังมึง?”

    “กูถามก็ตอบให้ตรงประเด็นสิ!”

    “มึงคิดว่าไง ถ้าใช่ กูก็ว่าใช่”

    “โอ๊ย มึงตอบชัดๆไม่เป็นรึไง! เออ ช่างแม่งเหอะ! สรุปกูเป็น! จบ”

    สาบานได้ว่าถ้าตอนนี้ผมเป็นเติมเต็ม ผมคงจะโยนไอ้บ้าที่เริ่มแหกปากโวยวายพร้ำเพ้อไม่รู้เรื่องบนหลังทิ้งไปกับพื้นแบบไม่
    เสียเวลาคิดสักนิด แต่พอดีมันไม่ใช่ไง เติมเต็มตัวจริงไม่ได้ทำแบบผมในจินตนาการ เขาแบกผมเดินไปเรื่อยๆท่ามกลางแสงไฟสลัวของลานจอดรถ เขาหยุดยืนเมื่อมาถึงรถของเขา เต็มค่อยๆย่อตัวลงบอกให้ผมยืนดีๆ แต่พอเท้าแตะพื้นผมก็เห็นพื้นมันโคลงเคลงก็เลยทรงตัวไม่อยู่ 

    เต็มรั้งตัวผมเข้ามาบอกให้เอนตัวพิงเขาเอาไว้ในขณะที่เขาล้วงหากุญแจรถ รอไม่นานแสงไฟสีส้มก็กะพริบขึ้นสองสามครั้ง เขาก็เอื้อมมือเปิดประตูรถแล้วพาให้ผมเข้าไปนั่ง ผมจำได้ว่านี่เป็นรถคันเดียวกับที่ผมเคยนั่งมาแล้ว ผมจำสัมผัสนุ่มๆของเบาะนี้ได้ ผมเอนหลังพิงเบาะแล้วเต็มก็ปิดประตูรถให้ก่อนจะแล้วอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับแล้วก็สตาร์ทรถเปิดแอร์แต่ก็ไม่ยอมออกรถเสียที 

    “ไปดิ รอให้กูตัดริบบิ้นก่อนรึไง?”ผมถาม เสียงชักอ้อแอ้ ไอ้เต็มส่ายหัวถอนหายใจใส่หน้าผม 

    “ก็มึงยังพูดไม่จบ กูก็ต้องรอฟังต่อก่อนดิ” 
    ดวงตาคมๆคู่นั้นดูอ่อนแสงลงจนผมรู้สึกสะท้านวาบจนต้องรีบหลุบลงไปมองเกียร์รถแล้วพึมพำขึ้นต่อเอง

    “เต็ม...กับดาวมึงยังรักเขาอยู่จริงๆเหรอ?”

    “แล้วมันสำคัญตรงไหน?”

    แหนะ เอาอีกแล้วนะมึง ใครสั่งใครสอนให้ตอบคำถามคนอื่นด้วยคำถามน่ะหา! ผมขมวดคิ้ว ยกนิ้วขึ้นดันแว่น

    “กูถามก็ตอบ!”

    “ก็ตอบแล้วไงว่ามันสำคัญตรงไหน?”

    การที่เติมเต็มพูดประโยคนั้นซ้ำๆออกมา ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่าหรือเขาจะไม่อยากพูดถึงเพราะมันเป็นความจริง...
     รู้สึกแปลกจัง อธิบายไม่ถูกแต่คิดว่าน่าจะเรียกว่าเป็นความรู้สึกหดหู่น่ะ ผมก้มหน้าลงมองหน้าตักตัวเอง มองนาฬิกาข้อมือที่เข็มเดินกระดิกติ๊กๆตามวินาทีที่ผ่านไปแล้วพาลรู้สึกอิจฉาเข็มนาฬิกาขึ้นมาเสียไม่ได้ อิจฉาเพราะมันไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย วันๆก็แค่เดินไปตามลานที่สร้างไว้และพลังถ่านที่ใส่ลงไป  แต่ไม่รู้ทำไมมนุษย์ถึงต้องผ่านแต่ละวันไปด้วยการครุ่นคิดอะไรให้มากมายเสียทุกเวลา...

    “มึงไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร งั้นถ้ากูพูดอะไรไม่ถูกใจออกไปอย่ามาโกรธกูล่ะ”
    เติมเต็มทำเสียงอืมขานรับในลำคอ ผมไม่อยากมองหน้าเพราะไม่อยากจะพิจารณาสีหน้าเขาหลังจากที่ฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมเผลอถูมือเข้าด้วยกันในขณะที่เริ่มต้นเปิดปากพูด

    “กูไม่รู้ว่าที่ผ่านมามึงดูแลกูดีมากๆเพราะอะไร แต่เมื่อกี้ในวงเหล้าพอได้ยินที่คนอื่นเขาพูด กูก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า มึงมาทำดีกับกูเนี่ยทำเพื่อแกล้งประชดดาวหรือเปล่า? เพราะถ้ามึงไม่โง่ แค่มึงหันไปมองหน้าดาว คำว่า หึงและหวงเวลากูอยู่ใกล้มึงมันเขียนแปะหน้าผากดาวไว้โคตรชัดอ่ะ”

    “กูทำเพราะกูอยากทำ ไม่ได้เกี่ยวกับดาว”
    คำตอบของเติมเต็มทำให้ผมเม้มปาก ความรู้สึกบิดเกร็งแปลกประหลาดในช่องอกทำให้ผมรู้สึกทรมาน ตอนนี้ผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างแล้วก็รู้สึกได้ว่าลึกๆแล้วผมเองก็ไม่ได้พยายามที่จะขุดคุ้ยเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์หาคำตอบแบบที่ชอบทำหรอก ก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่ไม่พยายามก็คือไม่พยายาม 

    ผมสูดลมหายใจลึกๆ ตกใจนิดนึงที่เสียงมันสั่นหน่อยๆ แอบปลอบใจตัวเองว่าเสียงแปลกๆแบบนี้เป็นเพราะผมเมา
    “งั้น...งั้นถ้ามึงบอกแบบนั้น แล้วสมมติว่าความจริงคือมึงยังรักดาวอยู่ แล้วแบบวันนึงเกิดมึงกลับไปคบกับดาวอีก แล้วกูล่ะ... มึงจะยังดูแลยังสนใจกูอยู่แบบนี้ อีกมั้ย? เอ้อ ถ้าที่กูถามอยู่มันเกินขอบเขตของเพื่อนสนิทไป มึงไม่ต้องตอบมาก็ได้แต่บอกกูหน่อยว่ากูควรจะวางตัวยังไง? เพราะกูแบบ---”

    ผมชะงักเสียงพูดเพราะอยู่ดีๆเติมเต็มก็ยื่นนิ้วมาบีบจมูกผมแล้วดึงไปมาเบาๆเชิงมันเขี้ยวก่อนที่เขาจะพูดขึ้น

    “รู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่”

    “รู้” ผมพยักหน้า ขมวดคิ้วตีหน้าบึ้งใส่เติมเต็มหลังจากที่หันไปมองหน้าเขาแล้วเห็นว่าเขากลับอมยิ้มอยู่ คุยเรื่องตลกกันอยู่รึไง? ไอ้หมีโรคจิต ไอ้ฟายเต็มจนล้น!

    “แล้วรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดงี้อ่ะทำให้กูหมดความอดทนแล้วนะ”

    “อดทนอะไร? มึงมีอะไรต้องทน หรือว่าที่ผ่านมามึงเฟคใส่กูเหรอ ที่ดูแล ที่---”

    “เพ้อเจ้อละมึง” ว่าจบเต็บก็ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมแรงๆจนผมต้องยกมือปัดให้วุ่นด้วยความขุ่นเคืองว่าทำไมมันทำท่าไม่จริงจังกับการสนทนาระหว่างเราในครั้งนี้เลย เต็มหยิบหมวกแก๊ปใบเดิมที่ผมคืนมันไปกลับมาใส่ให้ผมใหม่ พอผมจะถอดออกเขาก็ใช้อุ้งตีนตะปบกดเอาไว้ 

    ผมถลึงตา กำลังจะอ้าปากด่า แต่เติมเต็มกลับชิงพูดขึ้นมา 

    “นี่...กูให้โอกาสสุดท้ายแล้วนะเตื้อง”
    ผมเอียงคอ ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เติมเต็มผละมือออกเมื่อเห็นว่าผมยอมนั่งนิ่งๆใส่หมวกของเขาเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยถามผมว่า

    “ตอบมาตรงๆเข้าใจมั้ย? สมมติกูกลับไปคบกับดาว แต่กูก็ยังดูแลมึงเหมือนเดิม แบบนั้นน่ะมึงจะโอเคไหม?”
    ผมอยากจะหลบสายตาคมๆนั่นแต่เติมเต็มกลับรู้ทัน เขาเอื้อมมือมาจับคางผมล็อกเอาไว้แล้วบังคับให้หันไปมองหน้าเขา แต่เรื่องอะไรล่ะ! มองปลายจมูกมึงแทนก็ได้ ให้ตายกูก็ไม่มองตามึงหรอก ผมเม้มปาก ไม่ยอมปริปากพูดอะไร 

    “กูไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆนะเตื้อง!” 

    “พูดแบบนี้แปลว่ามึงยังรักดาวอยู่จริงๆใช่มั้ย?”

    “...”

    เต็มไม่ตอบอะไร ผมเองก็ไม่รู้จะง้างปากเขาอย่างไรดี ผมเลือกที่จะหลับตา ไม่กล้ามองสีหน้าเขาเพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำหน้าแบบไหน ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่อยู่ดีๆก็รู้สึกแห้งผากขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ 

    “กูรู้ว่าพระอาทิตย์มีแสงสว่างไสว แถมยังมีความอบอุ่นเจิดจ้า จึงเป็นที่ชื่นชอบของใครต่อใครไม่เว้นแม้แต่เต่าในกระดองแบบกู  กูหลบอยู่ในกระดองมืดๆ แต่แล้ววันนึงก็มีแสงอาทิตย์เล็ดลอดเข้ามาหา เวลากูได้เห็นแสงอาทิตย์ ได้รับความอ่อนโยนใจดีทีไร มันก็ทำให้กูรู้สึกอบอุ่นสบายใจ แต่แบบ กูคงจะเป็นเต่าที่เห็นแก่ตัวเกินไป เพราะว่ากู...กูไม่อยากแบ่งแสงอาทิตย์ให้ใคร...กู”

    “กูอะไร?”

    “กูพยายามคิดแล้วนะ กูว่ามันก็เร็วเกินไป แล้วก็เราแทบจะยัง    ไม่รู้จักอะไรกันเยอะแยะเลย แต่ไม่ว่ากูจะหาคำไหนมาใช้แทนที่ดู แต่สุดท้ายแล้วกูก็คิดว่าคำนี้แหละลงตัวที่สุด...”

    ผมเผลอลืมตาขึ้นมองสบกับดวงตาสีเทากระจ่างใสในขณะที่เปล่งเสียงพูดออกไป

    “กูว่ากูหวงมึงอ่ะเต็ม...”

    พอคำพูดนั้นหลุดออกจากปากไป ผมก็แทบกลั้นหายใจ กลัวไปหมดไม่รู้ว่าเติมเต็มจะคิดยังไงที่ได้ยินอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทคู่อื่นเขามีช่วงเวลาแบบนี้บางรึปล่า?แบบที่หวงเพื่อน ไม่อยากให้ใครเขาใกล้ ไม่ชอบที่ถูกแย่งเอาเสื้อฮู้ดที่ใส่อยู่ไปแบบหน้าตาเฉย ไม่ชอบที่เห็นภาพนัวเนียกอดไซ้อะไรนั่นเลย  แต่พอมาคิดดูอีกทีก็ชวนให้คิดหนักกว่าเก่าเสียอีกว่าเพื่อนสนิทเนี่ยเป็นกันง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ ผมแทบไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับเติมเต็มเลย แล้วเติมเต็มเองก็ไม่เคยรู้อะไรลึกๆเกี่ยวกับผมเหมือนกัน แล้วจะใช้คำว่าเพื่อนสนิทได้มั้ย? ถ้าไม่ได้แล้วผมควรจะใช้คำว่าอะไร? 

    “มึงพูดเองนะ เพราะงั้นผลที่ตามมาหลังจากนี้จะโทษกูไม่ได้แล้วนะ”

    จบประโยคนั้นเติมเต็มก็เปิดไฟบนเพดานรถ แล้วเขาก็เอียงตัวเข้ามาหาผมก่อนจะจัดการโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วเราก็ถ่ายรูปเซลฟีคู่กันโดยที่ผมยังนั่งทำหน้างงๆอยู่เพราะกำลังตกอยู่ในภวังค์แต่ดันถูกกระชากออกมาแบบกะทันหันก็เลยยังไม่ทันได้เก๊กอะไรเลย 

    ถ่ายรูปเสร็จมันก็ไม่ได้สนใจอะไรผมอีก เอาแต่กดสมาร์ทโฟน      ยุกยิกอยู่ในมืออยู่นาน ในระหว่างนั้นปากก็ขยับพูดไปด้วย 
    “ที่ผ่านมากูอุตส่าห์อดทนเว้นระยะห่างให้มึงได้หายใจหายคอบ้าง แต่ตอนนี้กูว่าระยะอะไรนั่นคงไม่จำเป็นแล้วล่ะมั้งเตื้อง...”
    เขาจบประโยคลงพร้อมกับการยื่นหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองมาตรงหน้าผม 

    “ถือดิ เร็วๆ” 

    คำสั่งนั้นทำให้ผมรับมือถือมาถือแต่โดยดี พร้อมกับที่เติมเต็มจะเริ่มต้นร่ายยาวโดยที่นิ้วเรียวๆนั่นก็เลื่อนจิ้มหน้าจอไปมาอย่างคล่องแคล่ว

    “รูปคู่กูกับดาว กูลบทิ้งหมดแล้ว มันแม่งก็ไม่ได้มีอะไรหลายรูปหรอก พวกนั้นก็ชอบจับเอามาเป็นประเด็น อะ เรื่องที่แท็กรูป อันเก่าๆ         กูขี้เกียจไปเลื่อนหา ปกติก็ไม่ได้เข้าไปตอบอะไรอยู่แล้วเพราะคิดว่ามันไม่ได้สำคัญอะไร แต่มึงดูรูปนี้...” 
    รูปนี้ที่ว่าคือรูปที่ดุจดาวนั่งเอียงซบแขนของเติมเต็มอยู่ซึ่งเป็นรูปเดียวกันกับที่ทำให้ผมถ่อสังขารมาแจมวงเหล้าบ้าๆบอๆอะไรนั่น 

    “มึงอ่านเมนต์กู เร็วๆ อ่านออกเสียงดังๆ!”

    “ขอบใจสำหรับรูปนะเพื่อน” 

    “เออ เน้นเสียงที่คำว่าเพื่อนหน่อยสิ กูอุตส่าห์ทำดอกจันเน้นไว้เลยนะมึง อ่ะ แล้วดูอันสุดท้าย...”

    อันสุดท้ายที่ว่าคือสเตตัสใหม่สดๆร้อนๆที่เติมเต็มเพิ่งอัพ แล้วก็แท็กผมมาด้วย...มันเป็นรูปเซลฟีธรรมดาของวัยรุ่นผู้ชายสองคนที่คนนึงกอดคอเพื่อนที่ใส่หมวกแก๊ปทำหน้าโง่ๆเหมือนกำลังตกใจเพราะโดนถ่ายแบบไม่ทันได้ตั้งตัว บนรูปนั้นมีแคปชั่นที่เขียนเอาไว้ว่า 

     If the feelings are mutual, the effort will be equal. #best-friend 

    “แปลว่าอะไรอ่ะ? ถ้าความรู้สึกมันตรงกัน ต่างฝ่ายต่างก็จะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าๆกันเอง”
    ผมรู้ว่าทักษะการแปลผมมันค่อนข้างห่วย แต่ที่ห่วยกว่าคือทักษะการตีความหมายที่แฝงอยู่ ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าคุณเติมเต็มมันจะสื่ออะไร แต่ผมว่าผมค่อนข้างจะสะดุดกับคำว่า best friend ที่มันห้อยท้ายมาให้ 

    “นี่แหละที่กูสงสัย เราสนิทกันถึงขั้น---”

    “เลิกพูดวนได้แล้วมึง กูเคยบอกว่าไงเพื่อนมันมาจากการเรียนรู้ไง เอางี้ก็คิดซะว่า นี่ก็แค่กูให้ยศมึงไปก่อนเลย แล้วเราก็ค่อยมาเริ่มต้นเรียนรู้กันไป ทีนี้กูจะทำตามใจตัวเองแล้วนะ โอเค พอเลยเลิกสงสัย คิดจังนะมึง เคยถามสมองมันบ้างมั้ยว่าทำงานในกะโหลกมึงไหวอยู่อีกรึเปล่า? คนห่าอะไรชอบคิดจุกจิกวุ่นวาย”

    ว่าจบคุณหมียักษ์แกก็เอาอุ้งตีนมาตะปบหัวผมจนหน้าคะมำเกือบกระแทกคอนโซลหน้ารถเพราะผมทรงตัวไม่ค่อยอยู่ โชคดีที่เติมเต็มคว้าไหล่ผมไว้ทัน เขาเอื้อมมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม แล้วก็ออกรถไปโดยไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายเอาไว้ให้ผมยกมือทุบหลังมันแต่พลาดไปโดนต้นแขนดัง อั้ก

    “งอแงอะไรก็ไม่รู้ คราวหลังบอกกูตรงๆก็ได้ว่าอย่าสนใจคนอื่นนอกจากมึงสิ แค่นั้นก็จบแล้วเตื้อง!”



    <<นิยายเรื่องนี้ ลงให้ทดลองอ่านฟรีจำนวน 11 ตอน ส่วนตอนที่ 12-29 จะต้องซื้อด้วยระบบ Coin ของเด็กดีค่ะ>>

    --------------------------------------------------------



                        ทั้งนี้ นิยายเรื่องกลับไปเลี้ยวที่ทางแยก ผู้เขียนได้ลงเนื้อหาเอาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบในเว็บเล้าเป็ดโดยจะทำการลบออกหลังจากวันที่ 5 เมษายน 60 เป็นต้นไป  โดยเนื้อหาที่นำไปลงนั้นเป็นเวอร์ชั่นที่ยังไม่ได้ตรวจทานคำผิดและผ่านการขัดเกลาแต่อย่างใด 

                   ส่วนเวอร์ชันที่นำมาลงขายใน MEB (ลิ้งค์วาปอยู่ด้านล่างนะคะ) และที่นำมาลงขายที่เว็บ DEKDนี้ ได้ผ่านการตรวจพิสูจน์อักษรและจัดหน้ากระดาษใหม่แล้วเรียบร้อย ทำให้สามารอ่านได้ง่ายมากขึ้น

                   นอกจากนี้หากผู้ใดสนใจ กลับไปเลี้ยวที่ทางแยก ฉบับรวมเล่ม ก็สามารถสั่งซื้อได้ด้วยการ inbox เข้ามาถามที่เพจ Czuki's Family (คลิกเพื่อไปที่หน้าเพจ) โดยฉบับรูปเล่มหนังสือ มีความพิเศษคือ จะมีเล่มตอนพิเศษซึ่งไม่เคยลงขายในเว็บไซต์ใดด้วย 
                   
                 พิ่มเติมน้า  : ตอนนี้เต็มเตื้องมาปรากฏโฉมในรูปของสติกเกอร์ไลน์กันแล้วเน่อออ ขายในราคาเพียงประมาณ 30 บาท เท่านั้นเองงง ใครสนใจ เข้าไปดูตัวอย่างกันในไลน์สโตร์ได้เลยนะคะ >///<  


    ขอให้สนุกกับการเดินทางไปบนโลกของตัวอักษรที่บอกเล่าโดยนายกระเตื้องนะคะ
    รัก 
    Czuki


    ถนัดอ่านแบบ meb จิ้มๆด้านล่างเลย


    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น