SODps หน่วยลับพิพากษาเดนคน - นิยาย SODps หน่วยลับพิพากษาเดนคน : Dek-D.com - Writer
×
NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด

    SODps หน่วยลับพิพากษาเดนคน

    หากไม่มีใครจัดการมันได้ พวกเราจะทำหน้าที่พิพากษาเอง

    ผู้เข้าชมรวม

    18

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    18

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  หักมุม
    จำนวนตอน :  0 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  15 ต.ค. 67 / 07:22 น.
    คำเตือนเนื้อหา NC

    มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ในอนาคตอันใกล้…

    ณ บาร์แห่งหนึ่ง ในประเทศทางแถบยุโรป

    “อ่า…ฝนตกอย่างกับฟ้ารั่ว” ชายหนุ่มหน้าหยกบ่นเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในร้าน เขาพับร่มเก็บแล้วพิงมันไว้ตรงทางเข้าก่อนจะปัดละอองน้ำที่เปียกกระเป๋าสะพายอย่างกับกลัวเอกสารด้านในจะเสียหาย “ในนี้อุ่นจัง” เขาเป่าไออุ่นใส่มือทั้งสองข้าง จากนั้นเขาก็ค่อยเช็ดฝ้าที่แว่นตากลมใส แล้วสวมมันกลับเข้าที่เดิมแล้วเสยผมที่เปียกชุ่มและเงาแพร่บขึ้นเพื่อจัดทรง เสร็จแล้วก็ค่อยเดินตรงมาที่บาร์มานั่งลงในมุมที่สว่างที่สุดของเลาจ์

    “วื้ด…ดดด!” หุ่นยนต์บริกรผูกหูกระต่ายเลื่อนตัวฉากด้านข้างจากลูกค้าอีกคนหนึ่งมาตอนรับเขา “จะรับอะไรดีครับ คุณสุภาพบุรุษ” รูปร่างของมันคล้ายหุ่นเหล็กสมัยก่อนที่ทรงสี่เหลี่ยม มีกระจกตาสองข้าสีเหลืองทรงรี มีจอมอนิเตอร์ตรงกลางลำตัวคอยแสดงผลการประมวลการทำงาน มันถามอย่างสุภาพราวกับถูกใส่โปรแกรมมารยาทจากสำนักราชวัง ตรงขอบบนของจอมีตัวอักษรที่คาดว่าเป็นรุ่นของหุ่นเขียนไว้ 'RB06110T’

    “ขอวิสกี้ครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนจะคลายเนกไทสีแดงลูกกวาดออก

    หุ่นบริกรประมวลผลอยู่สักพัก ดูได้จากมอนิเตอร์บนตัวที่มีตัวเลขนับถอยหลัง “5…4…3…2…1…ติ้ง!” มันยกท่ออลูมิเนียมขึ้นจ่อลงไปในแก้ว จากนั้นก็มีของเหลวสีน้ำผึ้งใสไหลออกมา

    “สามปอนดิ้งกับอีกห้าสิบเฟนนีครับ” เสียงดิจิตอลดังออกมาจากลำโพงส่วนหน้าตรงไหนสักแห่ง พร้อมกับตัวเลขราคาเครื่องดื่มที่ขึ้นแสดงในหน้าจอ

    “จ่ายเป็นเงินสดได้ไหมครับ!” เขาล้วงมือเข้าไปด้านในตรงซอกของสูทสีกรมท่าเพื่อหยิบกระเป๋าเงิน แต่หุ่นบริกรตอบปฏิเสธเสียก่อน

    “ไม่รับเงินสดครับ คุณสุภาพบุรุษ” มันกล่าวอย่างสุภาพเช่นกัน “ขออภัยด้วยครับ”

    ชายหนุ่มเข้าใจในทันที “โอเคครับ มันนี่แคชก็ได้ครับ” เขายื่นมือขวาไปประทับตรงจอเล็กๆ ที่หน้าอกเจ้าหุ่น จากนั้นมีแสงสีฟ้าสว่างค่อยสแกนลายนิ้วมือเพื่อจ่ายเงิน “ตรึ้ด!” หน้าจอแสดงรายการจ่าย ระบุชื่อเจ้าของบัญชี ‘จอน โด

    “ขอบคุณครับที่ใช่บริการครับ คุณจอน โด” พูดเสร็จมันก็เลื่อนหนีไป ปล่อยให้ชายหนุ่มเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มตามลำพัง

    แสงสีส้มนวลเคล้าครวญกับบรรยากาศที่แสนเพลิดเพลินช่วยพาให้เหล่านักดื่มหลุดจากทุกปัญหาของชีวิต รสชุ่มฉ่ำอันนุ่มนวลผสมกับกลิ่นไม้สนจางๆ อบอวลอยู่ในลำคอ มันแทบจะทำให้ผู้กล้ายามราตรีลืมเลือนความเจ็บปวดทั้งหลายมลายสิ้น ขอเพียงมีช่วงเวลาดื่มด่ำนี้ไปตลอดก็พึงพอใจแล้ว

    ทว่า...

    ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักล่าแอลกอฮอล์ก็ได้มีเสียงทีวีแทรกบรรยากาศขึ้นมา

    “มีรายงานข่าวว่า ศาลตัดสิน ‘ยกฟ้อง’ นายโจเนส ฮันเตอร์ ผู้ต้องหาในคดีข่มขืนและทำร้ายร่างกายหญิงสาวในย่านลินคอนจนสาหัส โดยศาลให้เหตุผลว่าหลักฐานไม่เพียงพอ นี่นับเป็นครั้งที่ 5 แล้วที่นายโจเนสรอดจากการเป็นผู้ต้องหาจากคดีที่เกี่ยวข้อง…” ภาพข่าวรายงานจบอย่างน่าเวทนาก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นเทปการถ่ายทอดฟุตบอลอย่างไม่ใยดี ชายหนุ่มจิบเครื่องดื่มก่อนวางแก้วลงแล้วรำพรรณถึงสิ่งที่เพิ่งรับรู้มา

    “แบบนี้มันยุติธรรมตรงไหนกัน?” ชายหนุ่มอุทาน สายตาว่างเปล่ามองลงไปในน้ำใสๆ ที่วนกลั้วในแก้ว ราวกับเขามองหาคำตอบที่อยู่ในนั้น ทว่า เสียงบ่นของเขาก็ไปเข้าหูใครบางคน

    “แล้วแบบไหนถึงเรียกว่ายุติธรรม?” เสียงฟังดูมีอายุดังอยู่ไม่ห่างสักเท่าไร

    “ครับ! ว่าไงนะครับ!?” ชายหนุ่มถามทวนเพราะไม่มั่นใจว่าคุยกับเขาหรือเปล่า เขาหันตามเสียงไปก็พบกับชายแก่ตัวเล็กๆ อายุน่าจะราวหกสิบปี มีแขนและมือซ้ายที่กำลังจับแก้วเบียร์ใหญ่เป็นโลหะเหมือนออโต้เมลของเอดเวิร์ด เอลลิค ใบหน้าแดงก่ำเพราะคงดื่มไปมากพอสมควร นั่งอยู่ห่างจากเขาไปสามเก้าอี้

    ชายมีอายุปริศนาหันหน้าที่ประดับด้วยดวงตาหยาดเยิ้มมาทางเขาด้วยท่างทางตื่นเต้น “เอ็งคิดว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่า ความยุติธรรม เอิ้ก!” ชายแก่เรอจนกลิ่นข้าวโอ๊ตเปรี้ยวลอยมาถึงชายหนุ่ม

    ชายหนุ่มนักทำงานไม่มั่นใจนักในคำตอบของเขา “ผมก็ไม่รู้ครับ” เขาเบือนหน้ากลับไป “เพราะขนาดศาลที่ว่ามีหน้าที่สร้างความยุติธรรม ยังเอาผิดคนพวกนี้ไม่ได้เลย” เหล้าที่ก้นแก้วถูกยกกระดกในคราวเดียว “แถมยังอาจจะมีคนรับเคราะห์รายต่อไปเรื่อยๆ อีก นี้มันอาชญากรรมชัดๆ” เขาให้ความเห็น “พูดแล้วก็อยากซัดไอ้หมอนั่นซักหมัดเลยจริงเชียว”

    ทันทีที่จบประโยคสุดท้าย มันเหมือนไปกระตุ้นต่อมความคิดบางอย่างของชายขี้เมาขึ้นมา “แล้วถ้ามันมีล่ะ!” เขาตอบอย่างมีเลศนัย

    “หมายความว่ายังไงครับ?!” คิ้วสองข้างผูกปมขมวดทันใด เขาหันไปถามอย่างสงสัย แต่แทนที่จะได้คำตอบที่ชัดเจน อีกฝ่ายกลับรีบขยับตัวเข้ามาประชิดเขาอย่างมีพิรุจแล้วเอียงหน้าถามด้วยเสียงกระซิบ

    “เอ็งเก็บความลับได้ไหม พ่อหนุ่ม!” ลมหายใจเหม็นเปรี้ยวพ่นรดใบหน้า สายตาที่แดงฉ่ำกวาดมองสิ่งรอบตัวอย่างลุกลน ราวกับมีความลับ “รู้แล้วอย่าพูดให้ใครฟังเด็ดขาดเลยนะเว้ย!”

    หนุ่มพนักงานได้ฟังก็ตกใจ “อะ…อะไรนะครับ!” พยายามผละตัวออกมา “งั้นไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ ผมไม่ได้อยากรู้” เขาพยายามปฏิเสธแต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ฟังเลย

    ชายแก่ยกมือข้างซ้ายป้องขึ้นเหมือนจะบังความดังของเสียง “เอ็งเคยได้ยินเรื่องหน่วยลับ S.O.D.p.s. ไหม?” เขาพยายามใช้เสียงให้เบาที่สุด

    “หน่วยลับ S.O.D.p.s.?” ชายหนุ่มพูดทวน

    “ใช่…เอิ้ก!” แม้ท่าทางของชายแก่จะดูเหมือนเมาหนัก แต่ท่าทีและน้ำเสียงกลับฟังดูจริง และน่าเชื่อถืออย่างไม่น่าเชื่อ “คงไม่เคยได้ยินใช่ไหมล่ะ”

    “ไม่ครับ” เขาปฏิเสธทันที “เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก” ชายหนุ่มยังคงงงๆ กับสิ่งที่รับรู้

    ชายแก่พูดต่อโดยไม่สนใจคำตอบของชายหนุ่ม “เอ็งไว้ใจได้ใช่ไหมล่ะ” เขามองหัวจรดเท้า “ไม่ใช่คนแถวนี้หนิ มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ?” ไม่รอคำตอบเขาหันไปสั่งเครื่องดื่มจากบริกรอย่างรีบร้อน “เห้ย บ๊อบ เอาเบียร์แก้วใหญ่” เขาชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ด่วนๆ” แถมยังเร่งอีก

    “ขอโทษนะครับ ผมงงไปหมดแล้ว” เขาถาม

    “กูน่ะ” ชายแก่ประมวลความคิดใหม่ “ข้าน่ะ ไม่ๆๆ ฉันน่ะนะ เคยเจอพวก S.O.D.p.s. มาก่อน” เขาก็ยังคงสอดส่ายสายตาระวังสิ่งรอบตัวอยู่

    “แล้ว S.O.D.p.s. มันคืออะ…!” พูดไม่ทันจบชายแก่รีบเอามือยกไปปิดปากเขา

    “จุ๊ๆๆ อย่าพูดดัง!” ชายแก่โน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้น “ถ้าข้าเล่าไปแล้ว ห้ามเอ็งไปพูดที่ไหนอีกนะ เหยียบไว้ให้มิดเลยนะ แล้วก็…” ทันใดนั้น หุ่นบริกรก็เลื่อนเอาเบียร์มาเสิร์ฟ ชายแก่คว้าแก้วแล้วกระดกมันลงคอไปอึกใหญ่ แล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจที่รอมาเนิ่นนาน “จ่ายให้ฉันแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”

    เห้ย!?” ชายหนุ่มอุทาน เขามองหน้าชายแก่ด้วยใบหน้าบึ้งตึงแล้วหันไปมองยอดเงินในหน้าจอที่มันก็ไม่ได้มากมายอะไร จึงจำใจยอมจ่ายไปอย่างจำยอม

    “สองปอนดิ้งกับอีกยี่สิบเฟนนี่ครับ คุณสุภาพบุรุษ” หุ่นบริกรแจ้งยอดซ้ำอีกครั้ง เขาสแกนจ่ายเงินก็ขึ้นชื่อคนจ่ายแสดงชัด ชายแก่ชำเลืองมองดูมันแต่ไม่พูดอะไรนอกจากขอบคุณเพียงคำเดียว

    “ไหนมีอะไรก็ว่ามาลุง!” เขารู้สึกมีน้ำโหเล็กน้อยเจืออยู่ในน้ำเสียง “ไอ้ S.O.D. อะไรน่ะ มันคืออะไร?” เขาถาม

    ชายแก่ขยับที่นั่งแล้วโน้มตัวกระซิบ “S.O.D.p.s. คือ หน่วยลับที่เอาไว้กระทืบพวกที่กฏหมายเอาผิดไม่ได้หรือพวกที่มีอำนาจแล้วใช้ไปในทางที่ค้านสายตาประชาชน” เขาบอกเสียงหนักแน่น

    “หมายถึงเป็นศาลเตี้ยเหรอ?” ชายหนุ่มถาม

    “ทั้งใช่และไม่ใช่” ชายแก่พูดจามีลับลม “มันใช่เพราะไม่มีอำนาจจัดการตามกฏหมายบ้านเมือง แต่มันไม่ใช่เพราะมันได้รับการสนับสนุนจากประชาชนคนทั่วไปแบบลับๆ”

    “ยังไง?” เป็นอีกครั้งที่เขาถาม ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกสนใจปริศนาที่ชายแก่เล่า

    “ข้าก็ไม่รู้ทั้งหมดหรอกนะ แต่ว่า” ชายขี้เมายกเบียร์ขึ้นจิบเพื่อย้อมใจ “วันนึงที่เป็นวันปกติธรรมดา ฉันกลับบ้านไปก็แทบจะค่ำอยู่แล้ว แล้วพอเปิดไฟเดินเข้าไปในห้องครัวก็ได้เจอกับของบางอย่างวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว ทีแรกฉันก็ไม่ได้สนใจหรอกเพราะมัวแต่เปิดตู้เย็นหากับแกล้มเพื่อจะไปรอกินระหว่างดูฟุตบอล แต่เหมือนมันรู้ว่าฉันยืนอยู่ตรงนั้น มันมีเสียงปี๊บเตือนให้ฉันต้องหันไปสนใจมัน แล้วฉันก็ได้เจอ…” เขายกเบียร์จิบอีกครั้ง เว้นวรรคการเล่า

    “เจออะไรคับ?” ชายหนุ่มขยับแว่นเพื่อมองแววตาอีกฝ่าย

    “การ์ด” ชายแก่ตอบสั้นๆ

    “การ์ดเหรอ?” ใบหน้าสนใจเต็มไปด้วยคำถาม “การ์ดอะไรครับ”

    “ชายแก่ตอบ “ฉันก็ไม่รู้ มันดูบางๆ แข็งๆ ไม่ใช่เหล็ก ไม่ใช่พลาสติก ขนาดเท่าฝ่ามือ เป็นสีน้ำเงินเข้ม มีร่องตัวอักษรนูนต่ำ 'SODps’ ประทับอยู่ เมื่อฉันเอื้อมมือไปจับมันก็มีเสียงดังออกมา”

    ชายหนุ่มนั่งฟังเรื่องเล่าก็รู้สึกคอแห้ง จึงสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม

    ชายแก่เล่าต่อ “มันมีแสงโฮโลฉายลอยขึ้นมา มีคำสั่งเสียงสอบถามดังออกมาจากการ์ดใบนั้น ‘คุณอยากมีส่วนร่วมในกระบวนการทางสังคมหรือไม่’? แล้วมันก็มีภาพวงกลมกับกากบาทลอยขึ้นมาให้ ฉันก็เลือกวงกลมแบบงงๆ ‘เยี่ยมมากค่ะ หากเช่นนั้นโปรดใส่การ์ดใบนี้ไว้ในกระเป๋าแล้วรอสามสิบวินาที แล้วหลับตาและสูดลมหายใจลึกๆ’ ฉันก็ทำตาม ตอนนั้นฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกของเจสซี่ เด็กข้างห้อง ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย แต่รู้ไหมฉันมารู้ตัวว่าฉันคิดผิดเมื่อฉันสูดลมหายใจเข้าครั้งแรก”

    “เกิดอะไรขึ้นครับ?” ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ

    “ทันทีที่หลับตา จู่ๆ มันก็มีมือใหญ่ของใครก็ไม่รู้มาปิดหน้าฉัน ฉันก็ดิ้นสุดแรงแต่ก็สู้ไม่ไหว สุดท้ายที่ฉันจำได้มีแค่นั้นแล้วก็หลับไป” ชายแก่ส่ายหัวเบาราวกับการกดปุ่มนั้นคือการตัดสินใจที่ผิดพลาด

    “มีโจรมาจับตัวคุณเหรอ?” ชายหนุ่มสงสัย “แล้วยังไงต่อครับ?”

    ชายแก่ขำแล้วเล่าต่อ “หึ มันไม่ใช่โจร มันก็เหมือนโจร” เขายิัมเจื่อน “รู้ไหมเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น” เขาถามกลับแต่ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป ชายหนุ่มสังเกตและตั้งใจฟัง

    ชายแก่เริ่มเล่าด้วยอาการสั่น “ฉันตื่นมาที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่ในชุดกับหมวกกันน็อคบ้าอะไรก็ไม่รู้ มันทั้งแคบและก็ขยับไม่ได้ ฉันกลัวจนฉี่ราดเต็มกางเกงแต่กางเกงฉันก็ไม่เปียก เหมือนมันไม่มีอยู่ตรงหว่างขาของฉัน มันทำให้ฉันประสาท เหมือนคนโดนขังอยู่ในซอกของโขดหินที่ไม่รู้จะตายตอนไหน” แววตาของชายขี้เมาสะท้อนความสิ้นหวัง น้ำใสๆ ซึมออกมาทาขอบแก้มเป็นทางสั้นๆ “แต่ของจริงมันเริ่มจากตรงนี้” เขาเปลี่ยนอารมณ์เร็ว “จู่ๆ ก็มีแสงแสดงการทำงานอะไรไม่รู้เต็มหน้าจอของกระจกหมวกกันน็อค แล้วก็มีเสียงแจ้งว่า ‘ขั้นตอนต่อไปนี้โปรดใช้ดุลยพินิจและพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะมันจะส่งผลกับผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น’ แล้วฟิลเตอร์ของกระจกก็เปิดออก ฉันก็ยิ่งตกใจขึ้นไปอีกเพราะว่าสิ่งที่เห็นมันแปลกและพิศดาร ฉันไม่คิดว่าจะได้เห็น” เขาหยุดเล่าไปครู่หนึ่งแล้วมองหน้าชายหนุ่ม ชายหนุ่มกรอกตามองกลับราวกับมีคำถามว่า หยุดเล่าทำไม

    “ละ แล้วยังไงต่อครับ เล่าต่อสิครับ!” เขาร้อนใจเร่งถามกลับไป ชายแก่ยิ้มแก้มปริแล้วหันหลังไปเรียกบริกรอีกที

    “บ๊อบ!” ชายแก่ตะโกนเสียงดังพร้อมยกนิ้วหนึ่งนิ้วเหมือนเดจาวู ชายหนุ่มเสียรู้ชายแก่อีกแล้ว

    “เบียร์ที่สั่งได้แล้วครับ” หุ่นยนต์บริกรทำงานได้อย่างดีเยี่ยม “ขอบคุณที่ใช้บริการครับ คุณสุภาพบุรุษ” ทว่า ก่อนเลื่อนจากไป หุ่นยนต์บ๊อบก็ทิ้งท้ายอย่างตลกๆ ไว้สำหรับชายหนุ่ม “คุณริคเขามาทุกวันล่ะครับ แต่ผมก็ได้คิดเงินเขาแค่แก้วแรกเท่านั้นล่ะครับ” แม้จะเป็นเสียงดิจิตอลแต่ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความกวนประสาทของหุ่นยนต์เหลี่ยมจัดนี้ได้ไม่ยากเย็น

    ชายหนุ่มถอดเสื้อนอกออกพาดกับพนักเก้าอี้ตัวสวย แว้บหนึ่งเหมือนจะกำหมัดด้วย “พอแล้วนะครับลุง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะงานผมกลับบ้านไปแล้วนะ!” เขาฉุนเฉียว

    “ได้ๆ เล่าต่อๆ” ชายแก่ริคไม่มีท่าทีสำนึกใดๆ “ถึงไหนแล้วนะ อ่อ เปิดฟิลเตอร์ เปิดฟิลเตอร์” เขาย้ำคำตัวเองเหมือนลืมเริ่องที่จะเล่า “ที่ฉันเห็นก็คือมีใครก็ไม่รู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางห้อง มีผ้าคลุมหัวสีดำถูกใส่กุญแจมือไขว้หลังไว้ แล้วถัดออกไปสักสองเมตรมีคนที่อยู่ในชุดเหมือนทหารในโปสเตอร์เกม HALO ที่สวมหมวกนักบินอวกาศ มันดูเป็นชุดที่เหมือนเอาไว้รบทางการทหารมากกว่าที่จะใส่ในงานคอสเพลย์ มันมีอยู่หลายคน แต่ละคนยืนล้อมรอบคนที่ถูกคลุมหัวไว้ ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่มีางรู้เลยว่าใครอยู่ใต้ชุดนั้น เราอยู่ในห้องรับแขกที่หรูหรา ดูแปลกตาสำหรับคนจนๆ อย่างฉัน และที่สำคัญคือ มันมีคนหนึ่งคนที่สวมชุดเหมือนกันแต่ชุดของมันเป็นสีแดงด้านแตกต่างจากเรา ถ้าใช่อย่างที่ฉันคิด ไอ้ตัวนี้แหล่ะที่เป็นตัวหัวหน้า” ชายแก่ค่อยละเมียดของเหลวสีเหลืองทองลงคอทีละนิด หวังให้มันค่อยๆ หมดลงให้พอดีกับเรื่องเล่า

    “ในตอนที่กำลังงุนงงสงสัยอยู่ จู่ๆ มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากในหมวก"

    คนที่อยู่ตรงหน้าคือ จูดาซิม ไวท์ ชาวยุโรป ทนายความผู้แก้ต่างให้ นายโยฮัน มอเทรส ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมอำพรางครอบครัวแอนเดอร์สัน ด้วยการหั่นชิ้นส่วนแล้วแยกไปทิ้งตามจุดต่างๆ ตามชุมชนทั่วทั้งบริเตน โดยนายไวท์ใช้ข้อแก้ต่างให้ลูกความของตนว่า นายโยฮันมีภาพระบุวันเวลาและพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจนและให้ปากคำว่าไม่เคยไปบริเตนมาก่อน อีกทั้งไม่มีลายนิ้วมือหรือรอยเท้าของผู้ต้องหาในที่เกิดเหตุเลย สุดท้ายศาลยกฟ้องเพราะหลักฐานไม่มีน้ำหนักพอและถูกปล่อยตัวเมื่อสามสัปดาห์ก่อน แม้ทางทนายโจทย์จะแย้งว่าเป็นเอกสารปลอมแต่ศาลก็ตีตกไปในที่สุด

    "ฉันฟังจบก็ได้แต่เห้ย นี้มันอะไรวะ งงไปหมดแล้ว ไอ้คนที่ถูกคลุมหัวนี้ทำไมมันเลวได้ใจจริงๆ” เขาให้ความเห็น

    “จากนั้น ฉันก็เห็นไอ้ตัวหัวหน้าชุดแดงมันเดินมาเปิดผ้าคลุมหัวออก ฉันถึงกับอุทานเลยเพราะเขายังเด็กมาก น่าจะไม่เกินสามสิบปีด้วยซ้ำ หน้าตาขาวสะอาด ท่าทางจะเรียนเก่งอยู่ในสภาพอ่อนแรง ถูกเชือกมัดปิดปากไว้” น้ำเสียงเขาฟังดูสับสน “ไอ้ตัวหัวหน้ามันเดินไปตรงด้านหน้าเก้าอี้ หยิบการ์ดคล้ายๆ กับที่ฉันเห็นที่บ้านแต่มีสองอันแต่เป็นสีเหลือง แล้วมันก็พูดด้วยเครื่องดัดเสียงว่า"

    หน่วยงานของเราเคยเตือนคุณไปแล้ว คุณไวท์’' มันโยนการ์ดสีเหลืองลงไปบนตักคนที่อยู่ตรงหน้า ‘แต่เราก็ใจดีเลือกที่จะเตือนเป็นครั้งที่สอง แต่คุณก็เพิกเฉย เราจึงต้องทำแบบนี้’ มันโยนการ์ดอีกใบลงไปที่เดิม ‘ในเมื่อคุณไม่สำนึก ทางเรา S.O.D.p.s หน่วยงานลับผู้กลืนกินสาวกแห่งบาป จะขอลงโทษคุณที่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการที่บิดเบี้ยว’ ฉันได้แต่ยืนมองโดยที่หวาดกลัว ตอนนั้นฉันนึกเสียใจเหลือเกินที่เผลอกดปุ่มตกลงไปโดยไม่คิดให้ถ้วนถี่”

    เขาเล่าต่อ “แล้วตอนนั้นฉันก็ขยับได้ มีเสียงไฮโดรลิกดังกึ้งกั้งตามข้อต่อจนตกใจ แต่ที่ตกใจกว่าคือสิ่งที่เสียงคำสั่งนั้นพูดออกมา ‘อย่างที่คุณเห็น คุณสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าบุคคลตรงหน้าสมควรที่จะถูกพิพากษาหรือไม่ โดยผ่านการโหวตของ พวกคุณ ' พวกคุณ! หมายถึงฉันเหรอ? หมายถึงมีคนอื่นอีกเหรอ? ‘หากผลการโหวตออกมาว่า สมควร พวกคุณสามารถลงโทษได้ด้วยตนเอง และหากผลโหวตออกมาว่า ไม่สมควร การดำเนินภารกิจในครั้งนี้จะถูกยกเลิกและพวกคุณจะได้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพค่ะ’ นี่มันบ้าไปแล้ว ใครมันจะไปเห็นด้วยวะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก ฉันก็เลยกดปุ่มกากบาทที่แป้นกดบนแขนซ้ายย้ำๆ ไป แต่รู้ไหม ผลคะแนนโหวตมันออกมาว่ายังไง?” ชายแก่ถามด้วยใบหน้าตระหนก “มันออกมาว่าสมควรโดนลงโทษ 15 ต่อ 6 เสียง” เขาหลับตาลงแล้วส่ายหัว

    “คุณทำยังล่ะทีนี้?” ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ

    “ฉันจะไปทำอะไรได้” เขาพูด “แต่ก็มีคนไม่เห็นด้วยเหมือนกับฉันนะ พวกนั้นออกเสียงคัดค้านอยู่นานสองนาน จนเกือบจะมีเรื่องด้วยกันเองเสียด้วย” ผู้เล่านึกย้อนไปถึงวันนั้น อันที่จริงมันเกิดเหตุการณ์การวัดกำลังระหว่างคนเหล็กปะทะคนเหล็ก แต่พวกเจากูถูกแยกออกจากกันด้วยทหารหน่วยสวาทที่กรูออกมาจากความมืด เป็นภาพที่ดูชุลมุนยิ่งนัก

    ชายแก่วางแก้วเบียร์ลงแล้วถ่มลมหายใจ “จากนั้นมันคืออาชญากรรมชัดๆ ฉันเห็นปีศาจในชุดเกราะโลหะทันสมัยรุมทึ้งฉีกคร่ามนุษย์คนหนึ่งที่ไม่สามารถต่อสู้ปัดป้องตัวเองได้ กำปั้นเหล็กแต่ละหมัด ไม้เบสบอลที่ฟาดลงไปไม่ยั้ง เลือดและเสียงกระดูกสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งพื้นที่” เขาก้มหน้ามองพื้น “แบบนี้ฉันไม่เรียกว่าความยุติธรรมหรอก ไม่มีวันใช่เลยแม้แต่น้อย” ใบหน้าของชายแก่ที่แดงก่ำย้อมความสำนึกผิดอยู่ในนั้นไม่มากก็น้อย ชายหนุ่มได้ฟังเรื่องราวก็นิ่งเงียบไป ราวกับเกิดคำถามในใจ

    “แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อครับ” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงสุภาพและถนอมน้ำใจที่สุด

    “ชายแก่สะอื้นเล็กๆ ก่อนตอบ “จากนั้นพวกมันก็บอกกับฉันว่า ‘ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ไม่เช่นนั้น…' มันก็เว้นวรรค ‘คุณก็น่าจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!’ ฉันเดาได้ไม่ยากว่าฉันรู้ แล้วจากนั้นฉันก็สลบไป ตื่นมาอีกทีคือที่บ้าน ในห้องครัวตรงหน้าตู้เย็น ฉันนึกว่าฉันฝันไป แต่มันเป็นฝันที่ดูจริงมาก มือของฉันยังสั่นอยู่เลยตอนนั้นแต่ฉันก็เลือกที่จะลืมๆ มันไป พอวันต่อมาฉันกลับไปที่ทำงาน พวกเขาก็ถามฉันว่าหายไปไหนมาตั้งสามวันไม่แจ้ง ไม่ลา” เขาดูตกใจ “สามวัน! เลยเหรอ ไม่มีทาง ฉันไม่เคยนอนหลับยาวนานขนาดนั้น ตอนนั้นเองล่ะที่ฉันคิดว่า เรื่องราวทั้งหมดอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ ไอ้หน่วยงานลับ S.O.D.p.s. มันอาจจะมีอยู่จริง และมันก็คงยังจะคอยเฝ้ามองดูฉัน หรือใครๆ จากตรงไหนสักแห่งอยู่เป็นแน่!” เขาจบเรื่องราวด้วยการยกซดเบียร์ที่เหลือก้นแก้วจนหมด แล้วเรอดังๆ ยาวๆ ปิดท้าย

    ชายหนุ่มได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็นิ่งเงียบไป เขาไม่มีคำตอบใดจากสิ่งที่ได้รับฟังมาเมื่อสักครู่นี้ “ว้าว…นี้มันสนุกสุดยอดไปเลยครับ” เขาเหมือนทำท่าจะปรบมือแต่ก็ชะงักไป เพราะมีคนในร้านเดินมาขัดจังหวะเข้าเสียก่อน

    “เฮ้ย…ยย ริค!” คนนี้อายุน่าจะราวสี่สิบปี และกำลังเมาได้ที่เลย “วันนี้มาเล่านิทานหลอกกินเหล้าฟรีอีกแล้วเหรอ เอิ้ก!” คนๆ นี้หันมายิ้มให้กับชายหนุ่มอย่างหยาดเยิ้ม “ไอ้หนุ่ม อย่าไปถือสาตาแก่นี่เลย ใครมาเขาก็เล่าแบบนี้แหล่ะ เล่าได้ทู๊ก…กกกวัน ถือว่าฟังไปขำๆ ละกันนะ ฮึ่ก!” เขาสะอึก

    ชายหนุ่มเองก็เหมือนจะไม่คิดอะไรมาก กรได้มานั่งจิบเครื่องดื่มอร่อยๆ ได้มีคนเล่าเรื่องสนุกมันส์ๆ ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี “เรื่องสนุกมากครับ งั้นผมขอเลี้ยงเบียร์คุณอีกแก้วก็แล้วกัน เฮ้! บ๊อบ! เขายกมือเรียกบริกรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับบรรลุอะไรสักอย่าง

    พวกเขาทั้งสองนั่งดื่มกินกันไปสักพักก็ต้องถึงเวลาจาก ชายหนุ่มบอกลาแต่ก็ไม่ได้ทิ้งมิตรภาพดีๆ ไว้ที่นี่แต่อย่างใด

    “งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ แล้วเจอกันใหม่นะครับ คุณริค” ชายหนุ่มเก็บข้าวของออกจากบาร์ ก่อนไปก็ตบไหล่ชายแก่รายกับเพื่อนกัน

    “ฮ่าๆๆ โชคดีๆ ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม” ชายแก่มองดูชายหนุ่มหันหลังเดินจากไปก่อนหันหลังกลับมาดื่มอีกครั้ง ทว่า…เมื่อยกแก้วเบียร์ขึ้นซด เขากลับเจอบางอย่างที่ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้าคุ้มคลั่ง!!!

    ใต้ที่รองแก้วมีการ์ดสีเหลี่ยมสีเหลืองเงาวับ มีอักษรนูนต่ำสลักไว้ว่า

    "S.O.D.p.s.”

     

    !!!

     

    @@@@@@@@@@@@@@@@@

     

    ภาคผนวก

    1.จอน โด เป็นชื่อที่นิติเวชของอเมริกา มักตั้งให้กับศพที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร ถ้าศพผู้หญิงจะใช้ชื่อว่า เจน โด

    2.ชื่อของหุ่นยนต์บริกร RB06110t โดย RBt ย่อมาจาก โรบอท (Robot) ส่วนที่เรียกว่า บ๊อบเพราะถ้าตัดเอาตัวอักษรแค่ B06 มันสามารถมองเป็นคำว่า Bob ได้

    3.การสแกนลายนิ้วมือเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน ได้ไอเดียมาจากหนัง total recall ที่ คอลิน ฟาเรลเล่นเมื่อปี 2555

    4.ค่าเงิน ปอนดิ้งก็คือเงินปอนด์ เฟนนีก็คือเพนนี

    5.ชื่อ โจเนส ฮันเตอร์ มาจากตัวละคร โจเนสในเรื่อง HxH ที่คิรัวล์ควักหัวใจตอนอยู่บนหอคอย ตอนสอบฮันเตอร์

    6.S.O.D.p.s. ย่อมาจากคำว่า The secret organize devourer of the disciples of sin แปลว่า หน่วยงานลับผู้กลืนกินสาวกแห่งบาป

    7.ชื่อทนาย จูดาซิม ไวท์ มาจาก จูดาส ในพระคัมภีร์ ผู้ที่หักหลังพระผู้เป็นเจ้า ส่วนคำว่าไวท์ เป็นคำล้อเลียนว่า คนทำอาชีพนี้ไม่ได้ ไวท์ อย่างที่คิด

    8.จริงๆแล้วตอนแรกตั้งใจจะให้การพิพากษามีการถ่ายทอดสด แล้วให้ผู้ชมร่วมโหวตลงคะแนน แต่คิดไปคิดมา ถ้าถ่ายทอดสดมันก็ไม่ลับสินะ

    9.ผู้เขียนไม่ได้บอกว่า ชายหนุ่มปริศนากับคนที่สวมชุดแบทเทิลสูทสีแดงเป็นคนเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ใช่

    10.ชายแก่ขี้เมาริค มาจากคำว่า risk ที่แปลว่าความเสี่ยง 

    11.การที่ชายหนุ่มตั้งใจจะจ่ายเงินสด เพราะเขาต้องการปกปิดตัวตนของเขาตั้งแต่แรก 

    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น