อุทธรณ์รัก
แค่เพียงเอพริลให้โอกาสผู้ชายคนนี้ได้แสดงความรักความจริงใจต่อเอพริล ผู้ชายคนนี้สัญญาว่าจะมีเอพริลเป็นเมียคนสุดท้าย หยุดที่เอพริลเป็นคนสุดท้ายจริง ๆ พี่สัญญา
ผู้เข้าชมรวม
402
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทนำ
"เอพริลวันนี้หนูหายไปไหนมา” หญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาในบ้านก็ต้องทำหน้าเบื่อโลกเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยทักทายที่คุ้นหู หากเป็นคนอื่นคงรู้สึกอบอุ่นและรับรู้ถึงความห่วงใยในน้ำเสียงนุ่มทุ้มนั่น ทว่าสำหรับเธอ ‘ไม่เลย’ มันกลับรู้สึกว่าน่ารำคาญเสียจริงก่อนจะหันมองตามเสียงพูดของคนเป็นพ่อ
“หนูก็ออกไปทำงานยังไงคะ ป๊าจะถามทำไม” พาฝันตอบอย่างคนหัวเสีย เบ้หน้ากลอกตามองฟ้าให้บิดาบังเกิดเกล้านิดหน่อย เธอจะไม่รู้สึกอย่างนี้และจะไม่ทำพฤติกรรมอย่างนี้หากคนเป็นพ่อทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เมื่อเกือบสิบปีก่อน ทว่าในเมื่อพ่อไม่ทำตามสัญญาเธอก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
ปิติกระตุกมุมปากยิ้มหน่อย ๆ มองมายังลูกสาวด้วยแววตาอ่อนโยน ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาและไม่โกรธที่เธอทำแบบนั้นพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ๆ
“อย่าโกหกป๊าเลย ป๊ารู้ว่าหนูไม่ได้ไปทำงานและไม่ได้ไปทำงานมาเป็นเดือน ๆ แล้ว หนูเช่าคอนโดฯ อยู่เหรอหรือว่าซื้อ” คนเป็นพ่อถามลูกสาวคล้ายว่าจับผิดแต่ไม่ใช่ เขาเป็นห่วงพาฝันต่างหาก การที่เธอทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้องในความรู้สึกของพ่ออย่างเขา “หนูเช่าทำไมลูกบ้านเราก็มี” ปิติถามหากพาฝันลดทิฐิลงจะพบความห่วงใยจากพ่อคนนี้ว่ามีให้มากมายขนาดไหน
“นี่ป๊าแอบตามหนูเหรอ! ป๊ามีสิทธิ์อะไรมาสะกดรอยตามหนู นี่ป๊าเป็นเอามากแล้วนะรู้ตัวมั้ย” พาฝันประชดพ่ออย่างเหลืออด แค่เพียงพ่อกับย่าบังคับแกมอ้อนวอนให้เธอกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ก็นับว่ามากพอแล้ว นี่พ่อของตนเองยังเล่นติดตามทุกฝีก้าวขนาดนี้มันจะเกินไปแล้ว
“ไม่ใช่ลูก! ป๊าไม่ได้สะกดรอยตามหรือติดตามเอพริล แต่ป๊าบังเอิญเห็นเอพริลแถวบางเขนพอดี สังสัยว่าหนูมาทำอะไร ป๊าก็เลย...” เขาไม่กล้าบอกว่าปานดาวซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเห็นแล้วนำมาบอกกับเขา ไม่อย่างนั้นพาฝันได้อาละวาดบ้านแตกแน่ จึงโกหกไปว่าตัวเองเป็นคนเห็นแทน และไม่อยากให้ลูกมองว่าเขาใช้อาชีพนักสืบของตนมาจับผิดตัวเอง
“แอบตาม!” พาฝันต่อให้ “ช่างมันเถอะ...แล้วหนูจะบอกว่าหนูไม่ได้อยากอยู่ที่บ้านหลังนี้นะ ป๊ากับคุณย่าบังคับให้หนูมาอยู่เอง และหนูจะทำงานหรือไม่มีงานทำก็ไม่เกี่ยวกับป๊าเช่นกัน หนูไม่ได้ขอเงินป๊าหรือใครในบ้านหลังนี้ใช้” พาฝันพูดอย่างถือดี ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่แคร์เพราะไม่ได้ขอเงินของใครใช้จริง ๆ ตอนนี้ก็กำลังเร่งหางานทำใหม่อยู่ หลังจากลาออกจากงานที่เดิมเนื่องจากโดนหัวหน้าลวนลาม
“อืม” ปิติได้ฟังก็เงียบ มองลูกสาวด้วยความรัก เขาเองก็น้อยใจในตัวลูกสาวอยู่เหมือนกันที่ลูกรักแม่มากกว่าพ่อทั้งที่เขาเป็นคนเลี้ยงมากับมือ เป็นคนเลี้ยงเธอมาตั้งแต่แยกทางกับแม่ตั้งแต่เธอยังเล็ก “ป๊ารู้ว่าลูกสาวของป๊าเก่ง เอพริลป๊ายังยืนยันนะว่า...ถึงแม้ป๊าจะแต่งงานกับผู้หญิงกี่คนมีลูกใหม่กี่คนป๊าก็ยังยืนยันว่าป๊าจะสามารถเป็นพ่อที่ดีของลูก ๆ ได้ รวมทั้งหนูด้วย” เขามองใบหน้าของลูกที่มองมุมไหนก็คล้ายผู้เป็นแม่ไปเสียหมด แม้กระทั่งกิริยาท่าทางก็ดูเหมือนจะรับแต่ของผู้เป็นแม่มาทั้งนั้น
“เหรอ! เห็นแก่ตัวดีน้อ แล้วป๊าถามหนูบ้างไหมว่าหนูอยากได้พ่อเก่ง ๆ แบบนั้นหรือเปล่า อันที่จริงก็ถามนั่นแหละแต่พอได้คำตอบแล้วป๊าก็ไม่เอา ไม่ยอมรับ ไม่ให้เรียกเห็นแก่ตัวแล้วจะเรียกอะไร”
“เอพริล!” ปิติเรียกชื่อลูกสาวเบา ๆ ด้วยความปวดร้าวที่โดนลูกสาวกระแนะกระแหนอย่างนั้น และพยายามข่มความเสียใจเอาไว้ เพราะตนผิดอย่างที่ลูกสาวว่าจึงไม่กล้าต่อว่าอะไร ได้แต่หวังว่าความดีที่ทำให้เสมอจะทำให้พาฝันใจอ่อนและยอมยกโทษให้
“หนูไม่คุยกับป๊าแล้วหนูขอตัวนะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินเลยผู้เป็นพ่อขึ้นบ้านไป เปิดประตูเข้าห้องแล้วปิดสนิทคล้ายว่ากลัวคนในบ้านจะเปิดเข้ามาได้ เธอถอนหายใจน้ำตาร่วงลงจากขอบตา เพราะเรื่องที่เพิ่งคุยกับผู้เป็นพ่อมาเมื่อสักครู่
ย้อนกลับไปเมื่อพาฝันอายุย่างสิบสองขวบผู้เป็นพ่อพาผู้หญิงคนหนึ่งมาที่บ้าน พามาแนะนำกับคุณย่าและทุกคน บอกว่าเป็นคนรักของพ่อและจะแต่งงานกัน พาฝันที่โตมากับพ่อ จำความได้ก็มีพ่อเพียงคนเดียวมาโดยตลอดเธอรู้สึกไม่ชอบใจ จากที่นาน ๆ ครั้งจะอยากถามหาแม่อยากคุยกับแม่ หลังจากวันนั้นเธอก็ติดต่อแม่ถี่ขึ้น
จากที่ไม่เคยคิดอยากไปหาแม่ไปค้างด้วยพาฝันก็งอแงไปทุก ๆ วันหยุด โดยให้พ่อขับรถไปส่งหาแม่ที่บ้าน เรื่องนี้ทุกคนในบ้านรู้และพ่อของเธอก็พยายามพูดคุยประนีประนอมเสมอมา พาฝันให้คำขาดกับผู้เป็นพ่อว่า
‘ถ้าป๊าแต่งงานและมีลูกใหม่ เอพริลจะไปอยู่กับแม่ ถ้าป๊าไม่อยากให้เอพริลไปอยู่กับแม่ ป๊าก็ต้องห้ามแต่งงานและมีลูกกับคนอื่น’
‘ป๊าไม่แต่งงานกับอาปานดาวไม่ได้ครับ เพราะอาปานดาวท้องน้องของเอพริลอยู่’
‘ถ้าอย่างนั้นเอพริลก็จะไปอยู่กับแม่ เอพริลไม่อยู่กับป๊าแล้ว เพราะป๊ากำลังจะมีลูกใหม่ ไม่ได้มีเอพริลคนเดียว’
‘เอพริลจะไปอยู่กับแม่ไม่ได้ป๊าไม่ยอม ป๊าไม่ไว้ใจสามีใหม่ของแม่ ป๊าไม่ไว้ใจลุงโน๊ต อีกอย่างเอพริลไปอยู่กับแม่ใช่ว่าแม่เขาจะมีแค่เอพริลคนเดียว แม่ก็มีลูกใหม่นี่นา ถึงป๊าจะมีลูกหลายคนป๊าก็ไม่ได้หยุดรักเอพริลนี่’
‘เอพริลไม่ได้จะไปอยู่บ้านแม่กับลุงโน๊ตสักหน่อย เอพริลจะไปอยู่บ้านของลุงพลกับป้านุช ลุงพลบอกว่าให้เอพริลไปเป็นลูกสาวคนเดียวของลุงพลกับป้านุชได้ ไม่รู้ล่ะถ้าป๊าแต่งงานเอพริลจะให้แม่มารับ’
ลุงแท้ ๆ กับป้าสะใภ้ของพาฝันแต่งงานกันนานแล้วไม่มีลูกสักทีจึงคิดอยากเอาเธอไปเลี้ยงเป็นลูก เธอรู้ว่าลุงกับป้ารักและเอ็นดูเธอจริง ๆ ไม่ได้แสร้งทำเพียงอยากได้ไปอยู่ด้วยเพื่อใช้งานอย่างที่ป๊ากับย่าพยายามบอก
สุดท้ายพาฝันก็ชนะผู้เป็นพ่อได้ไปอยู่กับลุงและป้าสมใจ เพราะผู้เป็นพ่อเลือกครอบครัวใหม่ พาฝันอยู่กับลุงและป้าได้เพียงสามปีคุณย่ากับพ่อแถมปู่ที่เลิกกับย่าไปนานแล้วพ่วงมาด้วย เพื่อมาอ้อนวอนแกมขอร้องให้เธอกลับไปอยู่ด้วยเหมือนเดิม ลำพังคุณย่าที่เข้าข้างคุณพ่อพาฝันไม่เกรงใจแต่เธอเกรงใจคุณปู่ คุณปู่ขอร้องเธอจึงยอมกลับมาแบบจำใจ หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกครั้งพาฝันก็ไม่ใช่พาฝันคนเดิม เธอเอาแต่เก็บตัวเงียบไม่คุยกับคนในบ้าน จะคุยก็เท่าที่จำเป็น เที่ยวชกลับบ้านไปหาลุงกับป้าในวันหยุด จนตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสิบปีได้ พาฝันก็ยังเป็นเหมือนเดิม
หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงน้ำตาไหลลงสองข้างแก้ม ใครจะมองว่าเธอไม่ดีเห็นแก่ตัวอย่างไรก็ตามที่ไม่อยากให้พ่อมีครอบครัวใหม่
‘ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ยอม และปฏิญาณตนว่าเธอจะแต่งงานเพียงครั้งเดียว จะไม่เป็นเมียน้อยหรือบ้านเล็กของใคร แม้เส้นทางความรักไม่ราบรื่นแม้จะต้องแยกทางกับคนรักเพื่อลูกเธอจะไม่เป็นเหมือนพ่อแน่นอน’
พาฝันมุ่งมั่นกับตนเอง จากนั้นก็เช็ดน้ำตาออกลุกไปอาบน้ำเพื่อจะกลับมาทำงานที่ตนเองชอบ นั่นคือการเขียนนิยาย เธอรักงานเขียนตอนนี้ยังทำเป็นงานประจำไม่ได้เพราะเธอเพิ่งเริ่มหัดเขียน รอให้มีฐานแฟนคลับมียอดขายเป็นที่น่าพอใจ ถึงวันนั้นเธอจะทำเป็นงานประจำเป็นนักเขียนเต็มตัว ส่วนวันพรุ่งนี้ยังคงต้องออกไปหาสมัครงานเหมือนเดิม เงินเก็บยังพออยู่ได้อีกหลายเดือนเงินขายนิยายนั่นอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ พอได้ให้เธอได้ซื้อของที่อยากซื้อ
…
พาฝันนั่งพิมพ์นิยายอย่างเพลิดเพลินลืมเรื่องที่ทะเลาะกับพ่อเมื่อตอนหัวค่ำเสียสนิท วันนี้หญิงสาวไม่ได้ลงไปทานข้าวเย็นกับทุกคนเช่นเดิม ไม่ใช่เรื่องแปลกเธอทำมันจนพ่อกับแม่เลี้ยงชินแล้ว ทว่ามีอีกคนที่ไม่เคยชินนั่นคือคุณย่า
ก็อก ๆๆๆ
เสียงเคาะประตูจากด้านนอก คนกำลังเพริศแพร้วไปกับจินตนาการชะงักมือผ่อนลมหายใจออกมาแรง ๆ และกลอกตามองเพดานนิดหน่อยเพราะรู้ว่าคนข้างนอกที่มาเคาะประตูห้องเป็นใคร หญิงสาวนั่งเงียบไม่พิมพ์ต่อและไม่ลุกไปเปิดประตูให้คนที่ขอเข้ามาด้วย นั่งมองประตูห้องว่าจะเปิดเองได้ไหมทั้งที่ล็อกอยู่
เสียงเคาะประตูดังซ้ำอีกครั้งก่อนจะมีเสียงดัง แก๊ก แล้วคนข้างนอกก็เปิดประตูเข้ามา เธอเดาได้ถูกเป๊ะว่าคนที่มาเคาะคือ ‘คุณย่า’ เอง
หญิงสูงวัยเปิดประตูเข้ามาในห้องของหลานสาวซึ่งก็คือ ‘หลานรัก’ เชียวล่ะ ยิ้มบางให้กับคนที่กำลังนั่งจ้องมองตนเองขณะเดินเข้ามาใกล้
“คุณย่าเข้ามาในห้องของหนูทำไมคะ” เจ้าของห้องถาม เธอใช้แทนคำว่า ‘หนู’ กับทุกคนในบ้าน เลิกใช้ชื่อแทนตัวเองกับคนบ้านนี้ไปนานแล้ว
“ก็ย่าเคาะเรียกแล้วเอพริลไม่ยอมเปิดนี่นา” หญิงสูงวัยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าบ่งบอกถึงความใจดีกับเธอท่วมท้น
“หนูไม่เปิดก็แปลว่าหนูไม่อนุญาตไหมคะ อ่อลืมไปว่าบ้านหลังนี้บ้านของคุณย่านี่ จะเข้าจะออกห้องไหนก็ย่อมได้” พาฝันประชดผู้เป็นย่า แม้แต่ประมุขของบ้านเธอก็ไม่เว้น ก็เพราะว่าคุณย่าเห็นดีเห็นงามไปกับผู้เป็นพ่ออย่างไรล่ะสำหรับเรื่องมีครอบครัวใหม่ พาฝันจึงตั้งแง่กับคุณย่าด้วย ทุกคนในบ้านหลังนี้เธอล้วนตั้งแง่ไปซะหมด
“เอพริล…” ผู้เป็นย่าเรียกเสียงนุ่มพร้อมมองหลานสาวด้วยแววตาห่วงใย “ก็ย่าเห็นเราไม่ลงไปทานข้าวย่าก็...คิดว่าหลานจะหิว” คุณย่าตอบพร้อมนั่งที่เตียงใกล้ ๆ กับหลานสาว “ว่าแต่หนูทำอะไรเหรอ เห็นป๊าบอกว่าหนูไม่ได้ทำงานแล้ว ทำไมลาออกเหรอลูก”
พาฝันถอนหายใจให้กับคนเป็นพ่อที่ปากสว่างนัก “ลาออกเฉย ๆ ค่ะ ไม่ค่อยถูกกับเพื่อนร่วมงาน” เธอไม่กล้าบอกว่าโดนหัวหน้าที่เป็นผู้ชายลวนลามกลัวคุณย่าเป็นห่วง เธอทราบดีว่าหัวหน้ามีใจให้เธอแต่เธอไม่ชอบเพราะหัวหน้าคนนั้นมีลูกมีเมียมีครอบครัวที่ยังรักกันดีอยู่
“อ่อ แล้วป๊าก็เล่าว่าหนูเช่าคอนโดฯ หนูเช่าทำไมลูก” คราวนี้แววตาของคนสูงอายุมองมาราวกับน้อยใจ “บ้านเราไม่น่าอยู่เหรอ ย่ารักเอพริลนะ ย่าอยากอยู่กับเอพริว ย่าแก่แล้วอดทนอีกหน่อยย่าก็ไปแล้ว” คุณย่าพูดราวกับคนน้อยใจ
“หนูก็เช่าไปอย่างนั้นแหละ ไว้พักผ่อนวันไหนขี้เกียจกลับบ้าน” อยากเดินออกไปเคาะห้องของพ่อแล้วตะโกนด่าว่าขี้ฟ้องเสียจริง
“ย่าว่าเปลืองเงินเปล่า ๆ บ้านเราก็มี บ้านหลังนี้ก็บ้านเอพริล ใช่บ้านของใครที่ไหน” พาฝันเงียบ เธอคิดว่าคุณย่ารู้ดีที่เธอทำแบบนี้ “ลาออกนานหรือยัง ตอนนี้หนูได้งานทำใหม่หรือยังล่ะ”
“ยังค่ะ กำลังหาสมัครอยู่คุณย่าไม่ต้องห่วงเรื่องหนูจะเป็นภาระหรอกนะคะ” อดประชดไม่ได้อีก ทั้งที่เธอรู้ว่าคุณย่าหรือพ่อไม่มีวันคิดแบบนี้แต่ก็อดอคติด้วยไม่ได้
“แหนะ...พูดไปเราก็ หนูเป็นหลานสาวคนเดียวของย่านะ จะเป็นภาระได้ยังไง ว่าแต่เอพริลทำอะไรเหรอ” พูดแล้วก็ชะเง้อมองมายังคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของหลานสาวตามประสาคนแก่อยากชวนหลานคุย
‘แต่ไม่ใช่หลานคนเดียวเหมือนอย่างเคย’ พาฝันตอบในใจ “หนูเขียนนิยายขายค่ะพอได้เงินนิด ๆ หน่อย ๆ”
คนเป็นย่าพอได้ฟังก็ทำตาพอง “จริงเหรอ เอพริลเก่งจัง ทำไมไม่เขียนเป็นอาชีพเลยล่ะ เอาสิย่าเห็นด้วยนะ จะได้ทำงานที่บ้าน ไม่ต้องเจอเพื่อนร่วมงานไม่ดีด้วย อีกอย่างย่าได้มีเวลาอยู่กับหนูทั้งวันด้วย” พูดแล้วคนเป็นย่าก็ยิ้มบางกับประโยคที่ว่า ‘มีเวลาอยู่กับหลานสาว’ เพราะตั้งแต่กลับมาหลานสาวก็เปลี่ยนไปมาก แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยถ้าตนไม่เข้ามาหาถึงในห้องอย่างนี้
“ไม่หรอกค่ะ หนูยังเขียนไม่เก่งพอที่จะทำเป็นอาชีพ อืม คุณย่าเข้ามาถามแค่นี้ใช่ไหมคะ หนูง่วงแล้วว่าจะนอนค่ะ” เจ้าของห้องเอ่ยปากไล่
“จ้ะ เอพริลนอนเถอะ” พูดแล้วคุณย่าก็ลุกขึ้นแล้วเดินกลับออกไปจากห้องของเธอ พาฝันถอนหายใจอีก พ่อของเธอจะเข้ามาอีกคนไหม ตอนนี้หมดอารมณ์ที่จะเขียนนิยายต่อแล้วพาฝันจึงปิดโน้ตบุ๊คและเข้านอน พรุ่งนี้เธอจะลองเดินหาสมัครงานอีก ส่วนในอินเทอร์เน็ตก็สมัครไว้เยอะเหมือนกัน ไม่นานคงจะมีบริษัทที่ไหนสักแห่งเรียกตัว ว่าแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียงแล้วข่มตาหลับไป
….
ตอนเช้าพาฝันรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปหาสมัครงานโดยไม่ลืมหยิบโน้ตบุ๊คไปด้วยเพราะช่วงบ่ายเธอจะเข้าไปที่คอนโดมิเนียมของตัวเอง เธอไม่ได้เช่าแต่เธอซื้อมันแล้วต่างหากด้วยเงินของแม่ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยขออะไรแม่เลยพอเรียนจบเธอจึงขอแม่ให้ซื้อคอนโดมิเนียมให้และแม่ก็ตกลงยอมจ่ายให้โดยง่าย ไม่คิดว่าความลับจะมาแตกเอาวันนี้ซึ่งผ่านมาหลายปีมาก
“ไปสมัครงานเหรอลูก” เสียงของพ่อเอ่ยถาม
พาฝันทำหน้านิ่ง “ค่ะ”
“ไม่ทานข้าวเช้าก่อนล่ะ คุณย่ารอทานข้าวกับหนูด้วยนะ” ปิติชวนพร้อมมองหน้าลูกสาวแกมออดอ้อนแต่สุดท้ายก็ถูกปฏิเสธเหมือนเดิม จำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดนั่งทานข้าวร่วมกันตอนไหน
“ไม่ค่ะหนูรีบ ไปแล้วนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินออกจากบ้าน รู้แบบนี้ขอรถยนต์กับแม่สักคันแทนคอนโดมิเนียมเสียก็ดี ปิติผู้เป็นพ่อจะซื้อให้แต่เธอไม่รับ จำต้องเดินมานั่งรถเมล์อย่างในตอนนี้ พาฝันบ่นตัวเอง แต่ก็นั่นแหละคนอย่างเธอไม่มีทางขออะไรกับพ่อแน่ ๆ ทุกอย่างต้องหามาด้วยตัวเองเท่านั้น
ระหว่างนึกอะไรเพลิน ๆ หญิงสาวไม่ทันมองเห็นรถยนต์ที่วิ่งมาทางด้านหลัง เธอกำลังจะข้ามถนนแต่ไม่ทันเสียแล้ว
เอี๊ยด!!!
เสียงเบรกรถดังมาแต่ไกลพร้อมร่างบางที่ลงไปนอนกองที่พื้นถนนกระเป๋าและเอกสารอีกทั้งโน้ตบุ๊คกระจายกันไปคนละทาง คนในรถรีบเปิดประตูลงมาดู
“คุณครับ! เป็นอะไรมากไหมครับ ผมขอโทษขับรถไม่ดูคุณเดินข้ามถนน” พุฒิพงษ์รีบลงมาดูคนเจ็บ เมื่อมองเห็นรูปร่างหน้าตาของคนเจ็บด้วยนิสัยชอบผู้หญิงสวยก็ทำให้เผลอมองมิวางตา แถมยังรู้สึกถูกชะตากับเธอแปลก ๆ เขาชอบผู้หญิงสวยก็จริงแต่เธอคนนี้มีอะไรพิเศษที่ทำให้เขาถูกใจซึ่งก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคืออะไร คล้าย ๆ ว่าเธอตรงสเปกของเขาที่สุดก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ...เธอเป็นผู้หญิงของใครก็ไม่รู้
“โอ๊ย!!” เสียงร้องทำให้คนที่เผลอมองได้สติและตอนนี้ผู้คนที่อยู่ละแวกนี้ต่างเดินเข้ามามุงดู
“เป็นอะไรมากไหมหนู เรียกรถพยาบาลที” เสียงคนที่มามุงดูพูด
“คุณครับทำใจดี ๆ ไว้นะครับ เดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว” พุฒิพงษ์พูดอย่างห่วงใย ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ คุยกับหญิงสาวที่โดนเขาชน
“หนูเจ็บแขนค่ะ หักหรือเปล่าก็ไม่รู้” พาฝันพูดด้วยความเจ็บปวด เธอระบมไปทั่วร่างจะว่าไม่เป็นอะไรมากก็เจ็บที่แขนนั่นล่ะ
“งั้นอยู่นิ่ง ๆ นะ ห้ามขยับนะครับ” ชายหนุ่มพูด พาขวัญพยักหน้า ไม่นานรถโรงพยาบาลก็มารับตัวของเธอไปโดยมีเขาขับตามไปด้วยเพื่อรับผิดชอบเธอ
“หมอครับเธอเป็นอะไรมากไหม” พุฒิพงษ์ปรี่เข้ามาถามเมื่อเห็นว่าหมอเปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมา
“หมอตรวจดูอย่างละเอียดแล้วคนไข้ฟกช้ำนิดหน่อยครับ แขนไม่หักแต่หมอใส่เฝือกให้ก่อน ทายาไม่เกินอาทิตย์ก็หายแล้ว” ชายหนุ่มถอนหายใจโล่ง คิดว่าเธอจะเป็นอะไรมากไปกว่านี้เสียอีก ระหว่างนั้นบุรุษพยาบาลก็เข็นพาฝันออกมาโดยให้นั่งวิวแชร์
“บ้านอยู่ไหนครับผมจะไปส่ง คุณคงกลับเองไม่ได้แน่”
“เอ่อ…” พาฝันอ้ำอึ้ง ให้กลับไปทั้งสภาพอย่างนี้หรือไม่ได้แน่ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินได้ ฉันนั่งแท็กซี่กลับเอง”
“เรื่องค่ารักษาไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจ่ายให้แล้ว แค่คุณไม่เป็นไรก็พอ ว่าแต่แน่ใจนะว่าไม่ให้ผมไปส่ง” พุฒิพงษ์ถามอีก เขาอยากไปส่งเธอเหลือเกินแม่สาวน้อยดวงตากลมใส หลังจากนี้จะได้เจอกันอีกไหม เขายิ้มกริ่มกับความบ้าคนสวยของตัวเอง ถ้าคนที่บ้านรู้เข้าจะว่าอย่างไร จะโดนบ่นหูชาขนาดไหนที่เขาตกหลุมรักกับผู้หญิงอีกคนเพียงเพราะขับรถชนเธอ แต่เธอก็สวยจริง ๆ นี่
“ค่ะ คุณกลับไปเถอะ ฉันก็จะกลับเหมือนกัน” คู่กรณีหลุบตามองอย่างกับอยากถามว่ากลับยังไง “แท็กซี่ค่ะ บ้านฉันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
“อ่อ งั้นก็โชคดีครับ ขอโทษอีกทีด้วยนะครับทีทำคุณบาดเจ็บ”
“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”
จากนั้นทั้งคู่ก็แยกจากกัน พาฝันไม่กล้ากลับบ้านไปทั้งสภาพนี้ไม่ว่าจะเป็นบ้านของคุณลุงหรือบ้านตัวเองก็ไม่กล้ากลับไปทั้งนั้น ทางเลือกเดียวคือ ‘คอนโดมิเนียมของตัวเองนั่นล่ะ’ แขนเจ็บก็แขนซ้ายไม่ใช่ข้างถนัดเพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิต
มาถึงคอนโดมิเนียมพาฝันรีบโทรฯ หาผู้เป็นย่าโกหกว่าจะกลับไปค้างที่บ้านของลุงกับป้าเพราะสองคนโทรฯ เรียกให้กลับจะพากลับบ้านที่ต่างจังหวัดด้วย ตนว่างงานพอดีจึงตกลงไปกับทั้งสองคนซึ่งคุณย่าก็รับทราบแต่โดยดี เท่านี้ก็สบายใจแล้ว
….
“เป็นอะไรคะพุฒิวันนี้ดูคุณแปลก ๆ อีกอย่างคืนนี้คุณต้องไปอยู่กับน้องพร้าวไม่ใช่หรือ แล้วมาค้างกับพราวอย่างนี้ น้องพร้าวเขาจะงอนเอานะคะ เผลอ ๆ จะงอนมาถึงพราวด้วย” พราวรดามองสามีสุดที่รักด้วยแววตาสงสัย ปกติวันนี้ประมุขของบ้านจะต้องไปอยู่กับภรรยาคนเล็กสุดไม่ใช่อยู่กับภรรยาใหญ่อย่างเธอ “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ” เซ้นส์ของเธอไม่ผิดแน่ว่าสามีต้องมีเรื่องอะไรในใจ
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่อยากอยู่กับพราวก่อนค่อยไปหาพร้าว” ชายหนุ่มบอก มองใบหน้าเรียวมนของภรรยาที่เขาเทิดทูนสุดหัวใจด้วยรอยยิ้ม ‘เทิดทูนหัวใจของผู้หญิงคนนี้ที่สุด ภรรยาคนแรกของเขา’
“แต่แววตาของคุณหลอกพราวไม่ได้นะคะ และอาการแบบนี้ของคุณที่ถึงเวลาแล้วก็ไม่ไปหาน้อง ๆ มันคล้ายว่าคุณกำลังเจอผู้หญิงที่ถูกใจอีกคน” พราวรดากล่าว มันต้องใช่แน่ ๆ
พุฒิพงษ์เดินเข้ามาโอบเอวคอดของภรรยาคนแรกที่มีโซ่ทองคล้องใจด้วยกันแล้วถึงสองคนดมแก้มเนียนของเธอเบา ๆ “คุณรู้!” สมแล้วที่เป็นภรรยาของเขา
“พราวเป็นภรรยาของคุณนะคะ รู้จักกับคุณมาครึ่งค่อนชีวิตทำไมจะไม่รู้” พราวรดาเอี้ยวตัวหันมามองสามี “ถ้ารักเธอจริง ๆ และเธอรับครอบครัวของเราได้จริง ๆ ก็พาเธอมาพบพราวกับน้อง ๆ นะคะ”
ชายหนุ่มยิ้มแค่นเสียงหัวเราะเบา ๆ “ไม่มีวันนั้นหรอกครับ เพราะผมไม่รู้จักเธอเลย แค่ปลื้มในความน่ารักของเธอเท่านั้นเอง แต่ถ้าได้เจอกับเธออีกก็คงดี” พูดแล้วเขาก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่น่าจะให้อะไรไว้ติดต่อกัน แต่เพราะเธอบาดเจ็บจึงไม่กล้าชวนพูดคุยอะไรมาก เกรงว่าจะถูกมองว่าเป็นผู้ชายหัวงูเอา
“อ้าว! ซะงั้น งั้นพุฒิก็อด อยู่กับพวกเราห้าคนไป”
“ครับ...มีพวกคุณห้าคนเท่านี้ผมก็มีความสุขแล้ว” พูดเหมือนปลงแต่ทว่าใบหน้าและแววตายังเจืออาวรณ์จนคนมองรู้ได้อีกนั่นล่ะ “พอดีผมเจอกับเธอโดยบังเอิญน่ะ ผมขับรถชนเธอ”
“ตายแล้ว แล้วเธอเป็นอะไรมากมั้ยคะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะปล่อยอ้อมกอดของตนออกจากตัวของภรรยาให้เป็นอิสระ “เธอไม่เป็นอะไรมาก เจ็บที่แขนนิดหน่อย ผมพาเธอไปส่งโรงพยาบาลพอเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายน่ะ”
“ก็เลยทำให้ต้องมานั่งคิดถึงใบหน้าสวย ๆ ของเธออยู่อย่างนี้” พราวรดาล้อสามีด้วยรอยยิ้ม
พุฒิพงษ์พยักหน้าตลก ๆ ต่างคนต่างหัวเราะให้กัน “ขอจุ๊บพราวหน่อยสิ ผมจะไปหาพร้าวแล้ว ถ้าผมเจอกับเธออีกพราวยอมให้ผมมีเพิ่มอีกไหมครับ” พุฒิพงษ์แคร์ความรู้สึกของพราวรดากว่าใคร ถ้าเธอไม่เห็นชอบเขาก็จะหักห้ามใจ ชายหนุ่มมีทุกวันนี้ได้หนึ่งในนั้นก็มีเธอคนนี้เคียงข้างกายเสมอมา
“ค่ะ...ได้สิ” พราวรดาโน้มใบหน้าให้สามีจูบหน้าผากเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปอยู่กับภรรยาคนเล็กสุดตลอดทั้งคืนนี้ “พุฒิมีความสุขพราวก็มีความสุข ขอแค่เธอจริงใจกับพุฒิจริงใจกับพราวและน้อง ๆ จริงใจกับครอบครัวของเราก็พอ”
พุฒิพงษ์หอมแก้วใสของภรรยาอีกฟอดใหญ่ ๆ “ขอบคุณครับพราว งั้นพุฒิไปหาน้องพร้าวก่อนนะ”
“พุฒิไปเถอะ ต้องมีลูกกับน้องให้ได้เร็ว ๆ นะ น้องจะร้องแล้วที่พี่พุฒิไม่เสกลูกให้เหมือนพี่ ๆ สักที” พราวรดาล้อสามีแล้วก็โดนสายตาค้อนจากชายหนุ่มกลับมา จากนั้นเขาจึงกลับออกไปจากห้องของเธอเพื่อไปอยู่กับภรรยาคนเล็กสุด
เมื่อคล้อยหลังสามีพราวรดาน้ำตาคลอจะว่าเสียใจที่สามีเจ้าชู้ก็ได้ แต่เธอก็รักเขาเกินกว่าจะปล่อยมือ อีกทั้งนอกจากเรื่องมีเมียหลายคนพุฒิพงษ์ก็ไม่เคยมีอะไรขาดตกบกพร่อง และบรรดาเมียน้อยของเขาก็เป็นคนดีไม่เห็นแก่ตัว ไม่ทะเลาะกันเพราะเธอช่วยคัดคนให้สามีด้วยนั่นเอง ทุกคนต้องใจกว้าดั่งสายน้ำเท่านั้นถึงจะเข้ามาอยู่ในครอบครัวพัฒนะเสถียรได้
จบบทนำ
ผลงานอื่นๆ ของ ชลัน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ชลัน
ความคิดเห็น