รักภักดิ์ดี - นิยาย รักภักดิ์ดี : Dek-D.com - Writer
×

    รักภักดิ์ดี

    ภาคต่อจากเรื่องอุบัติรักกามเทพ

    ผู้เข้าชมรวม

    140

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    13

    ผู้เข้าชมรวม


    140

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    จำนวนตอน :  14 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  22 มิ.ย. 66 / 13:22 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทนำ

                จิมมี่ :  'ซินญอริน่า ทำอะไรครับ' ข้อความส่งมาจากประเทศอังกฤษ ผ่านห้องแช็ตเฟซบุ๊กของกานณดา

               กานต์ :  'กานต์กำลังอ่านหนังสือค่ะ ติวเข้มสักหน่อย กานต์จะต้องสอบเข้าจุฬาฯ ให้ได้' หล่อนพิมพ์ตอบ ยิ้มหน้าบานให้กับข้อความเนื่องจากว่ารอจิมมี่อยู่แล้ว เจ้าของข้อความเองก็ติดทำโปรเจคจบปริญญาโทเหมือนกัน ช่วงนี้ทั้งคู่จึงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าที่ควร พอชายหนุ่มทักมา กานณดาจึงอดดีใจตื่นเต้นไม่ได้ และรีบต่อกลับไปอย่างเร็ว แม้ยุ่งอยู่ก็ตาม

              จิมมี่ :  'admission?'

               กานต์ : 'ช่าย กานต์ขอตัวอ่านหนังสือก่อนได้มั้ย แล้วคุยกันนะคะพี่จิม'

                จิมมี่ : 'โอเค... พี่ไม่กวนแล้ว ขอให้สมปรารถนานะครับ ซินญอริน่าของผม'

                 กานณดาอมยิ้มให้กับข้อความของแฟนหนุ่ม หล่อนคบกับคนในอินเตอร์เน็ตมานานแล้ว บางทีความรักของตนก็ได้มาแบบไม่ต่างจากพี่ชายนัก มันดูไม่เข้าท่าหากจะคบคนในโซเชียลแบบนี้ ซึ่งอาจถูกหลอกลวงได้ ทว่าสาวเจ้าก็เผลอปล่อยใจไปแล้ว มีอะไรบางอย่างทำให้มั่นใจหนุ่มลูกครึ่งฝรั่งคนนี้
                
                  แต่หากจะผิดหวังก็คงจะไม่เสียใจมาก เพราะหล่อนกับเขารู้จักกันผ่านเพียงตัวหนังสือในห้องแช็ต  ไม่เคยโทรคุยกันเลย ต่างคนต่างอยากเก็บไว้เซอร์ไพรส์กันและกันในวันที่พวกตนประสบความสำเร็จ ทั้งเขาและหล่อนจะเจอกันเมื่อวันนั้นมาถึง 'เมื่อกานณดาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้'

                จุนเฟิง จิมมี่ สมิธ เป็นหนุ่มลูกครึ่งจีนอิตาลี ชายหนุ่มชอบเรียกเธอว่า 'ซินญอริน่า' ซึ่งภาษาอิตาลีแปลว่า 'สาวน้อย' ที่จิมมี่พิมพ์ภาษาไทยได้คล่อง เล่นมุกไทย ๆ ได้ราวกับเป็นคนไทยแท้นั้น เนื่องจากครอบครัวของชายหนุ่มได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองไทยนั่นเอง
                
                ตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่าของเขา พวกเขามาอาศัยอยู่ที่เมืองไทยทั้งครอบครัว ย้ายมาทำธุรกิจที่นี่ รักที่นี่ จึงไม่ยอมย้ายกลับประเทศของตนเอง อาศัยอยู่มานานจนได้สัญชาติไทย
              
                 พ่อของจิมมี่เกิดที่ประเทศอิตาลีแต่มาโตที่ไทย จากนั้นก็แต่งงานกับภรรยาชาวจีน และมีลูกชายเป็น จุนเฟิง จิมมี่ สมิธ นั่นเอง เขาเกิดและโตที่ประเทศไทย จะว่าไปเขาก็กลายเป็นคนไทยไปโดยสมบูรณ์แล้วล่ะ หากไม่รวมหน้าตาที่ออกฝรั่งแค่นั้น
                
                  ปัจจุบันจิมมี่เรียนปริญญาโทอยู่ที่ประเทศอังกฤษและเพื่อนสนิทอีกสองคน ชายหนุ่มมีใบหน้าละม้ายคล้ายคนไทยอยู่ไม่น้อย เพราะมีแม่เป็นคนเอเชีย

     

                กานต์ : 'พี่จิมกานต์สอบเข้าจุฬาฯ ได้แล้วค่ะ ดีใจสุด ๆ' เมื่อทางมหาวิทยาลัยประกาศผลสอบ กานณดาก็รีบฝากข้อความมาบอกแฟนหนุ่มทันทีด้วยความดีใจ หวังว่าหนุ่มลูกครึ่งจะดีใจไปกับตนด้วย และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

                 จิมมี่ : 'ดีใจด้วยซินญอริน่าของผม น้องกานต์เก่งจริง ๆ เห็นมั้ยพี่บอกแล้วว่ากานต์ทำได้ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ถ้าเราตั้งใจ และคิดว่าตนเองทำได้น่ะ แล้วยังอยากทำตามสัญญาอยู่มั้ย พี่เรียนจบแล้ว จะกลับเมืองไทยอาทิตย์หน้า' หนุ่มลูกครึ่งตอบแฟนสาวกลับมา
                
                   สัญญาที่ชายหนุ่มหมายถึง คือ 'การนัดเจอกัน' เมื่อต่างคนต่างทำภารกิจของตนสำเร็จแล้ว เขาอยากเจอเธอ สาวน้อยบ้านนานัยน์ตาคมคนนี้มีอะไรพิเศษในความรู้สึก ที่เขาก็อธิบายไม่ถูก นอกจากจะอธิบายไม่ถูกแล้ว มันยังมีผลต่อการทำให้ชายหนุ่มไม่อยากยุ่งกับผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากเธอจริง ๆ

                  กานต์ : 'อาทิตย์หน้าเหรอคะ' หญิงสาวถาม ตื่นเต้นเหลือเกิน หล่อนจะไปเจอเขาตามสัญญา เพราะอยากเจอตัวจริงเหมือนกัน ทำใจไว้แล้วว่า ไม่ว่า 'จุนเฟิง จิมมี่ สมิธ' คนนี้ตัวจริงจะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ตนเองก็ยังจะรัก เพราะว่ามันถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว นอกจากชายหนุ่มจะมีแฟนมาด้วยแค่นั้น ตนถึงจะปล่อยมือ

                จิมมี่ : 'ใช่ครับ อยากเจอกันมั้ย'

                การต์ : 'อยากค่ะ'

                จิมมี่ : 'พี่จะบินวันจันทร์ เอาเป็นว่าวันเสาร์หน้าเจอกัน เคมั้ยซินญอริน่า'

                กานต์ : 'โอเคค่ะ แล้วเจอกัน'

               กานณดาดีใจใหญ่ ยิ้มหน้าบานให้กับข้อความในโทรศัพท์ วันนี้มาถึงสักที วันที่รอคอยมานานแสนนาน หล่อนคุยกับหนุ่มลูกครึ่งที่ไม่มีเชื้อสายคนไทยเลย แต่เป็นคนไทยคนนี้มาสองปีแล้ว วันนี้จะได้เจอตัวจริงของกันและกันสักที
              
                 สาวเจ้านอนกลิ้งเกลือกอยู่บนที่นอนของตนเอง เรื่องนี้จะให้กันตภณรู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพี่ชายคงไม่ยอมอนุญาตแน่ ๆ หากรู้ว่าตนเองมีแฟน หล่อนปิดเรื่องนี้กับพี่ชายมาโดยตลอด หากกันตภณรู้ว่ากำลังจะเดินทางไปเจอผู้ชายล่ะก้อ ไม่อยากจะคิด เผลอ ๆ อาจลามไปถึงเรื่องที่ตนขอไปเรียนต่อที่กรุงเทพด้วย เขาต้องห้ามหล่อนแน่ ขืนเป็นอย่างนั้น หล่อนต้องเป็นบ้าตายแน่นอน

                 วันศุกร์หญิงสาวโกหกผู้เป็นพี่ชายได้สำเร็จ โดยมีสโรชาช่วยพูดอีกแรง ซึ่งพี่สะใภ้ก็โดนหลอกมาอีกคนเหมือนกัน พวกเขาสองคนอนุญาตให้เดินทางมากรุงเทพได้ โดยจะกลับไร่ปลายตะวันในวันอาทิตย์
                
               การไปเจอจิมมี่ในครั้งนี้ แค่เจอกันเท่านั้น! จะไม่มีการไปที่ไหนต่อ กานณดาจะไม่ทำอะไรให้ตัวเองเสียหายแน่นอน และขอโทษพี่ชายกับพี่สะใภ้ที่ต้องโกหกแบบนี้ หล่อนไม่มีทางเลือก เพราะความรักมันมาเหนือทุกอย่าง มันจำเป็นต้องทำแบบนี้ กันตภณขับรถมาส่งที่สนามบิน

                "กานต์เสร็จธุระแล้วรีบกลับมานะ อย่าเถลไถล เข้าใจมั้ย" กันตภณย้ำกับน้องสาว กานณดาบอกเขาว่าจะไปทำเรื่องเกี่ยวกับการเรียนต่อ ต้องไปเองที่มหาวิทยาลัย นายตำรวจหนุ่มก็อนุญาต ทีแรกเขาไม่ค่อยเชื่อ ทว่าพอภรรยาช่วยยืนยัน จึงจำใจอนุญาตและไม่เซ้าซี้ให้มากความ

                 "ค่ะ... กานต์สัญญา พี่กันต์กับพี่บัวไม่ต้องห่วง" หญิงสาวรับคำ

                 "พี่บอกแม่ไว้แล้วว่ากานต์จะไปพักที่บ้าน ถึงตอนไหนกานต์ก็โทรบอกแม่เอาเองนะ" พี่สะใภ้บอกกับเธอ นอกจากพี่ชายที่นับถือมารดาของภรรยาเป็นแม่คนหนึ่งแล้ว หล่อนเองก็นับถือมารดาของพี่สะใภ้ราวกับเป็นแม่อีกคนด้วยเหมือนกัน

                   "ค่ะ พี่บัวไม่ต้องห่วง"

                  "งั้นพี่กลับแล้วนะ" กันตภณสั่งลาน้องสาว

                  "อือ..." กานณดาพูดเสียงในลำคอตอบพี่ชาย จากนั้นทั้งสองคนก็เดินจากไป

     

                 ภายในร้านอาหารอิตาลี ชายหนุ่มมารอก่อนเวลานัดครึ่งชั่งโมง จิมมี่นัดหญิงสาวเอาไว้ให้มาเจอกันที่นี่ แต่ว่าเขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว พ่วงเพื่อนสนิทมาด้วย เพราะทนความรบเร้าของทั้งสองที่อยากมาเจอแฟนของตนไม่ได้ จึงยอมให้ทั้งคู่ตามมาด้วยความจำใจ

                   "จิมโดนหลอกหรือเปล่าเนี่ย" นาราภัทรเอ่ย ขณะนั่งทานอาหารรอจนอิ่มแล้ว สาวน้อยของเพื่อนก็ยังไม่มา "จนป่านนี้แม่ยอดขมองอิ่มของจิมยังมาไม่ถึงเลย" สาวเจ้าพูดพร้อมมองนาฬิกาที่แขน

                 "นั่นสิจิม... แกโดนแม่ซินญอริน่าบ้านป่าหลอกให้มารอเก้อแหง ๆ" พสุธรพูดบ้าง "ลองโทรตามหน่อยก็ดีนะเพื่อน พวกเราไม่ได้มีเวลามานั่งรอทั้งวันนะ อย่าลืมว่ายังมีอะไรให้ต้องจัดการอีกมากมาย" พสุธรพูดถึงเรื่องบริษัทโฆษณา ที่พวกตนทั้งสามกำลังจะร่วมกันก่อตั้ง โดยมีนาราภัทรเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ และเป็นเจ้าของบริษัท ส่วนตนกับจิมมี่เป็นหุ้นส่วนรองลงมา

                   "ไม่กล้าว่ะ" หนุ่มลูกครึ่งตอบพร้อมยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับทั้งคู่ แม้จะขัดใจที่เพื่อนพูดอย่างนั้นอยู่ก็ตาม ทว่ามันก็จริงอย่างพวกเขาว่า "ไม่เคยโทรคุยกันเลย" เขาสารภาพความจริงออกมา ทั้งเขาและเธอไม่เคยได้ยินเสียงของกันและกันเลยสักครั้ง คุยกันผ่านแช็ตเท่านั้น

                   "นี่! อย่าบอกนะว่าคบกันมาสองปี จิมไม่เคยโทรคุยกันเลย วิดีโอคอลสักครั้งก็ไม่ พิมพ์แช็ตคุยกันอย่างเดียว" นาราภัทรถามเพื่อนแบบทึ่ง ไม่น่าจะเป็นไปได้ จิมมี่พยักหน้าเป็นคำตอบ

                  'จิมมี่!!!!' ทั้งพสุธรและนาราภัทรอุทานออกมาพร้อมกัน ไม่อยากเชื่อกับความจริงที่ได้รับ หล่อนยอมหัวใจของเพื่อนคนนี้จริง ๆ เก่งทุกอย่าง แต่มาอ่อนหัดเรื่องความรัก ซึ่งไม่ใช่รักแรกด้วยซ้ำ จุนเฟิง จิมมี่ สมิธ คนนี้ผ่านผู้หญิงสวยมาตั้งหลายคน ทั้งไทยและต่างประเทศ บทจะกลัวดันมากลัวแค่เด็กสาวต่างจังหวัดหน้าซื่อคนนี้ หล่อนมีอะไรต้องกลัว ตนเคยเห็นรูปถ่ายของสาวเจ้ามาแล้ว จิมมี่เคยเอาให้ดู

                 "ก็จิมเขินนี่นา รู้สึกเขาไม่เหมือนผู้หญิงที่ผ่านมา" จิมมี่แก้ตัว

                  "ไม่เหมือนยังไง?" พสุธรถาม จ้องหน้ามองเพื่อนอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน

                  "แต่ก็ช่างเถอะ! ถ้าสาวน้อยของจิมไม่มา ยังมีนาราอยู่ทั้งคนนะ" นาราภัทรไม่พูดเฉย ขยับไปชิด ๆ ตัวของจิมมี่ จากนั้นก็แกล้งยั่วโดยการคล้องแขนและเอาใบหน้าของตนไปซบที่อกกว้างของเพื่อน ซึ่งหล่อนชอบแกล้งเล่นแบบนี้ประจำตั้งแต่ไหนแต่ไร จนสาว ๆ หลายคนของจิมมี่หนีหายกันหมด ทว่าเจ้าตัวก็ยอมให้หล่อนทำได้ตามสบายอย่างตอนนี้

                 ขณะเดียวกันกานณดาเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าที่จิมมี่บอก และมองหาร้านอาหารอิตาลีที่ชายหนุ่มนัดเอาไว้ เมื่อมองเห็นร้านแล้วจึงรีบสาวเท้าเดินไปยังร้านที่ว่านั่น กานณดาตื่นเต้นไม่น้อยกับการมาเจอกันครั้งแรก หล่อนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อข่มความตื่นเต้นเอาไว้ ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในร้าน
                
                 เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาในร้านอาหารก็กวาดสายตามองหาเขา แม้ไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง หล่อนก็จำใบหน้า รูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มได้ อีกทั้งเขายังได้บอกสีเสื้อและการแต่งตัวไว้ด้วย กำลังจะกดเบอร์โทรหาเพราะมองหาจนทั่วแล้วไม่เจอ พลันสายตาก็ไปปะทะเข้ากลับโต๊ะ ๆ หนึ่งที่อยู่ติด ๆ มุมหลังร้าน
                
                 พวกเขาไม่ทันเห็น ทว่าหล่อนมองเห็นเข้าเต็มสองตา ว่ากำลังมีผู้หญิงซบอกของจิมมี่อยู่ คลอเคลียกันราวกับเป็นแฟนกันมานาน กานณดาตัวชาขึ้นมาดื้อ ๆ แขนขาอ่อนแรง รู้สึกใจหวิว ๆ ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่า จิมมี่อาจจะมีแฟนแล้ว พอมาเจอเข้าจะ ๆ แบบนี้ ก็ทำใจเกือบไม่ได้เหมือนกัน
                
                 'มีแฟนแล้วก็ไม่ยอมบอกกัน' แต่ถึงจะมีแฟนแล้วยังไง นัดเจอกันแบบนี้ ก็น่าจะมาคนเดียวบ้าง แต่ว่าแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ ชัดเจนดี ต่อไปจะได้ไม่ต้องคิดไปเอง สองปีที่ถูกหลอกก็มากพอแล้ว หญิงสาวบอกกับตนเองเมื่อมองเห็นภาพตรงหน้า
                
                 พอคิดอะไรไม่ออกสมองก็ได้สั่งการว่าต้องกลับ จากที่จะเดินเข้าไปพบ กานณดาก็เดินกลับออกมาจากร้าน ตัดสินใจเดินทางกลับไร่ปลายตะวันภายในวันนี้เลย

                    "นี่นาราปล่อยเลย... ปล่อยจิมเดี๋ยวนี้เลย จิมไม่เป๊กครับ จิมไม่เป๊ก" จิมมี่พูดและดันเพื่อนสาวออกจากแผงอกเบา ๆ
                    
                   พสุธรหัวเราะกับการแหย่เล่นของเพื่อนสาว ไม่ใช่แค่จิมมี่ที่โดนหล่อนทำแบบนี้ด้วย เขาเองก็โดนจนเกือบเสียพริมาแฟนสาวไป ดีที่ว่าเข้าใจกัน พริมาเองก็เข้าใจเพื่อนสาวของเขาคนนี้ด้วย และพวกเขาสองคนก็ไม่เคยโกรธนาราภัทรที่ทำแบบนี้สักครั้ง ด้วยเข้าใจในตัวของหญิงสาวดี และคบกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ

                "ให้คิดใหม่นะ ว่านารากับน้องกานต์จิมจะเลือกใคร" สาวเจ้าทำหน้ายียวนขำ ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

                 "สยิวกิ้วที่สุด" จิมมี่ทำท่าขนลุกขนพอง

                 "นี่ไอ้คุณฝรั่งเดี๋ยวเถอะ มันจะมากเกินไปแล้วนะยะ ทำแบบนี้กับนาราได้ไง นาราภัทรออกจะสวย" นาราภัทรโยนค้อนวงใหญ่ให้เพื่อน "เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะจ๊ะ"

                 "ไม่! จิมมี่เลือกน้องกานต์คนเดียวคร้าบ"

                  "เช๊อะ!" สาวเจ้าค้อนขวับ บรรยากาศเป็นไปด้วยรอยยิ้มของทั้งสามคน

                 จิมมี่ดูนาฬิกาที่ข้อมือ มันเลยเวลานัดมานานมากแล้ว กานณดาก็ยังมาไม่ถึงสักที หรือเธอจะหลอกเขาอย่างที่เพื่อนทั้งสองคนว่าไว้จริง ๆ เขาเชื่อใจคนในโลกออนไลน์มากไปจริง ๆ สินะ ทว่าลางสังหรณ์บางอย่างมันบอกให้เขามั่นใจว่าเธอจะมาตามนัด ถึงได้มานั่งรอ แต่นี่... เลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงแล้ว หญิงสาวก็ยังไม่มา เขาจึงชวนเพื่อนทั้งสองคนกลับ โดยที่ไม่คิดจะโทรตามเลยแม้แต่น้อย

     

                   หญิงสาวกลับมาถึงไร่ปลายตะวัน ก็ปรี่เข้าห้องนอนของตนเลย ไม่ยอมพูดจากับใคร แม้กระทั่งหลานชายวัยเตาะแตะ สาวเจ้าก็ไม่ยอมสนใจ ซึ่งผิดวิสัยของหล่อนมาก กันตภณกับสโรชามองหน้ากัน คนเป็นพี่รับรู้ถึงความผิดปกติของน้องสาว จึงตามไปดูที่ห้อง

                   "กานต์ไปมหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง ไหนบอกจะกลับวันเมื่อรืนไง ไหงมาวันนี้ล่ะ" กันตภณร้องถามทั้งเคาะประตูห้องด้วย "เปิดให้พี่เข้าไปหน่อย" ไม่นานคนข้างในก็เปิดประตูให้

                 "ก็ไม่มีอะไรค่ะ" หญิงสาวตอบเมื่อพี่ชายเข้ามาในห้องและนั่งลงที่ขอบเตียง "เสร็จธุระแล้วกานต์ก็มาเลย ขี้เกียจนอนค้าง" หล่อนแก้ตัว

                   คนเป็นพี่ชายไม่เชื่อ อย่างน้อยถ้าเสร็จธุระเร็ว สาวเจ้าก็ต้องอยู่เที่ยวบ้างล่ะ มีโอกาสออกไปข้างนอกแบบนั้นทั้งที กานณดาก็ใช่จะหัวอ่อนเสียที่ไหน เขารู้จักน้องสาวตัวเองดี แต่นี่... มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวน้องสาวแน่ ๆ
                   
                 "พี่อยากจะบอกว่าพี่เลี้ยงกานต์มาน่ะนะ ทำไมพี่จะไม่รับรู้ถึงความผิดปกติในตัวน้องสาวของพี่ล่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า" นายตำรวจถาม เขาคิดว่าน้องสาวต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มดูออก แต่จะเป็นเรื่องอะไรแค่นั้น และเขาก็ต้องการอยากจะรับรู้ปัญหานั้นด้วย ที่มันแปลกก็คือกานณดาบอกจะไปกรุงเทพสามวัน แต่เล่นไปกลับแบบนี้จะไม่ให้แปลกใจได้ยังไง
                   
                   "เรามีกันแค่สองคนพี่น้องนะกานต์ มีเรื่องไม่สบายใจอะไร บอกพี่ได้มั้ย"
                   
                    พอพี่ชายพูดแบบนั้น กานณดาก็เข้าสวมกอดแต่ไม่ได้ร้องไห้ อยากบอกความอัดอั้นที่มีทั้งหมดกับพี่ชาย เพียงแต่ว่าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

                 "พี่กันต์กานต์ไม่ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แล้วได้มั้ย" หล่อนขอ

                  กันตภณกอดน้องสาวแน่น กานณดายังเป็นเด็กในสายตาของเขาเสมอ "ได้! แต่กานต์ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ ถึงอยากเปลี่ยนใจแบบนี้"

                  สุดท้ายหญิงสาวก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเองให้พี่ชายฟัง ยอมปริปากพูดเรื่องของจิมมี่ลูกครึ่งจีนอิตาลี แฟนหนุ่มที่แอบคบกันผ่านอินเตอร์เน็ตให้ฟัง และที่ไปกรุงเทพฯ วันนี้ ก็เพราะต้องการจะไปพบกับเขา แต่ดันเจอภาพบาดตาบาดใจเสียก่อน และที่พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ให้ได้ก็เพราะเขานั่นเอง

                   "ที่เปลี่ยนใจไม่ไปก็เพราะอกหัก" กันตภณถาม ทั้งโกรธที่น้องสาวทำแบบนั้นได้ยังไง โดยไม่คำนึงถึงอันตรายหรือความเสียหายที่จะได้รับ เพราะไม่มีอะไรเป็นหลักประกันในความไว้วางใจได้เลย ข่าวก็มีให้เห็นอยู่ทุกวัน สำหรับเรื่องคบคนผ่านโลกออนไลน์ อีกทั้งสงสารที่อุตส่าห์มีรักครั้งแรกกลับต้องผิดหวังแบบนี้

                 "อือ" กานณดาตอบเบา ๆ คราวนี้น้ำตาคลอหน่วย สุดท้ายก็ร้องไห้ออกมา เพราะทนเก็บความเสียใจเอาไว้ไม่ไหว

                    "ไม่เป็นไร... ไม่ไปก็ดีเหมือนกัน พี่เองก็ไม่อยากให้กานต์ไป" กันตภณกอดน้องสาวเอาไว้และปลอบใจ ถึงจะโกรธแค่ไหนชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่ต่อว่าและซ้ำเติม เพราะรู้ดีว่าตอนนี่น้องสาวเจ็บปวดใจแค่ไหน "ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ มีอะไรบอกพี่ เรามีกันแค่นี้ จะรักจะชอบใครบอกพี่ให้รู้ด้วย พี่ไม่ห้ามถ้าจะมีแฟน กานต์โตแล้ว แต่พี่ก็อยากรับรู้ด้วย เพราะพี่มีกานต์แค่คนเดียวเข้าใจมั้ย" เขาพูดและกอดน้องสาวเอาไว้อย่างนั้น

                สองทุ่มกานณดานั่งจ้องหน้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค กดเข้าดูโพรไฟล์ของจิมมี่ หล่อนกำลังนั่งตัดสินใจว่าจะบล็อกปิดกั้นการติดต่อเขาดีไหม เพราะถึงคุยกันต่อไปก็ไม่มีความหมาย 'จิมมี่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว' แล้วหล่อนจะคุยต่อไปทำไม ไม่ต้องการจะเป็นเพื่อน พี่ น้อง หรือแม้แต่คนรู้จัก หล่อนก็ไม่ต้องการจะเป็นอะไรทั้งนั้น ระหว่างที่ใจเม่อลอยนั่งมองโพรไฟล์ของเขาอยู่นั้น ข้อความแช็ตของเจ้าตัวก็เด้งขึ้นมา

                   จิมมี่ : 'ซินญอริน่า ทำไมวันนี้ผิดนัดกับผม'

                   กานต์ : ........

                   จิมมี่ : 'น้องกานต์... พี่จิมรอน้องกานต์ทั้งวันเลย ทำไมกานต์ถึงโกหกพี่ล่ะ ไม่มาก็น่าจะบอกพี่ดี ๆ ก็ได้ พี่ไม่ว่าหรอกถ้าไม่พร้อมจะเจอกัน แต่นี่... ปล่อยให้พี่รอทั้งวัน ไม่น่ารักเลยรู้มั้ย'

                   กานต์ : ........

                  จิมมี่ : โอเคซินญอริน่า ผมเข้าใจ...

                   จากนั้นก็ไม่มีข้อความของ จุนเฟิง จิมมี่ สมิธ เด้งขึ้นมาอีก รอจนถึงสี่ทุ่มก็ไร้วี่แววของเขา ทว่าหล่อนก็ไม่พิมพ์อะไรตอบกลับไปเช่นกัน แม้จะอยากฟังเขาอธิบาย อยากฟังเขาเล่าเรื่องเมื่อตอนกลางวันมากแค่ไหน แต่ก็เลือกที่เงียบ จิมมี่คงตัดสินใจแล้วเหมือนกัน ภาพที่หล่อนเห็นคงเป็นเรื่องจริง
                   
                  นี่เป็นครั้งที่สองที่หล่อนร้องไห้ให้กับตัวหนังสือที่อ่าน กับคนในโลกออนไลน์ ครั้งแรกเขาทำให้เธอร้องไห้เพราะหายไปเป็นอาทิตย์ โดยไม่บอกล่วงหน้าอะไรเลย สุดท้ายเขากลับมาพร้อมกับคำอธิบายและหลักฐานว่าไม่ได้โกหก
                   
                 ส่วนรอบนี้... ไม่มี! และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่สาวเจ้าจะร้องไห้ให้กับเขา หล่อนจะไม่ร้องไห้ให้กับตัวหนังสือของจิมมี่อีก เพราะเขาจะไม่อยู่ในจำนวนบุคคลที่สำคัญของตนอีกต่อไป พอนึกได้อย่างนั้นก็กดบล็อกเฟซบุ๊กของจิมมี่ไปทันที...

    จบบทนำ

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น