ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #23 : - เด็กใหม่ในโรงเรียน - "ข้าน่ะหรือจะแพ้คนอย่างเจ้า"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.42K
      3
      10 พ.ย. 53

    - เด็กใหม่ในโรงเรียน -

    “ข้าน่ะหรือจะแพ้คนอย่างเจ้า”

     

                ไลนัสเกิดมาพร้อมความบกพร่องอย่างหนึ่ง หมอบอกว่า เขาอาจจะเป็นโรคทางพันธุกรรม ด้วยม่านตาสีแดง และผมสีขาวที่เขามีนั้นเป็นลักษณะของคนเผือก ยังดีที่ผิวของเขายังเป็นสีเนื้ออยู่ มิได้ซีดลงเกินไป ทว่าไลนัสก็ยังเติบโตขึ้นมาท่านกลางการดูแลอย่างพิถีพิถันของครอบครัว ทั้งท่านพ่อท่านแม่และเหล่าบริวารผู้รับใช้ก็ต่างคิดว่าเขาอ่อนแอ เปราะบาง และอาจจะเป็นอะไรไปได้ง่ายหากปล่อยให้ออกไปเล่นข้างนอกเหมือนเด็กชายคนอื่น

                พอไลนัสเห็นเด็กคนอื่นได้วิ่งเล่นข้างนอกอย่างสนุกสนานแล้ว เขาก็สงสัยว่าทำไมเขาจึงออกไปทำอะไรอย่างนั้นไม่ได้บ้าง ทำไมเขาถึงต้องอุดอู้อยู่ในแต่บ้านอย่างเดียว

                เด็กชายเพียรร้องขอต่อผู้เป็นบิดาให้เขาได้ออกไปเล่นข้างนอกบ้าง หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ท่านพ่อก็เห็นใจ จึงเรียกหมอมาตรวจ เพื่อยืนยันอีกครั้งว่า เด็กชายแข็งแรงพอจะออกไปเล่นอย่างเด็กทั่วไปได้

                หมอบอกว่าเขาไม่เป็นไร สุขภาพร่างกายเป็นปรกติดี

                ไลนัสจึงได้ออกไปข้างนอกเป็นครั้งแรก...

                เด็กชายดีใจอย่างยิ่ง เขารีบวิ่งออกไปหาเพื่อนใหม่ ทว่าแทนที่จะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นอย่างที่คาดหวัง เด็กคนอื่นกลับมองเขาด้วยสายตาสงสัย ไม่ไว้วางใจ

                ไลนัสตระหนักได้ในตอนนั้นนั่นเองว่า ถึงร่างกายของเขาจะไม่ได้เป็นโรคอะไร แต่สีผมและสีตาของเขาก็ยังนำพาซึ่งความแปลกแยกอยู่ดี

                ตอนอยู่ในบ้าน ไม่มีใครมองเขาอย่างนั้นเพราะท่านพ่อท่านแม่สั่งคนรับใช้ทุกคนเอาไว้แล้ว ว่าให้มองเขาอย่างคนปรกติ ห้ามทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ หรือรู้สึกว่าตัวเองแตกต่าง

                ตอนที่ไลนัสรบเร้าท่านพ่อ พ่อของเขาเองก็ลืมคำนึงถึงข้อนี้ไป ห่วงแต่สุขภาพของลูกชายอย่างเดียว เขาเห็นลูกตนเป็นเช่นนี้จนชิน จนไม่คิดว่าสีผมหรือสีตาที่เขามีนั้นเป็นอย่างไร

                ในวันแรกนั้น พี่เลี้ยงของเขารีบพาเขากลับก่อนที่เขาจะได้เล่นหรือทำความรู้จักกับคนอื่น เนื่องจากเห็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยเข้าเค้านัก

                ไลนัสยังไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจโดยง่าย เขาขอพ่อออกไปอีก และคราวนี้มุ่งมั่นจะผูกมิตรกับใครให้ได้สักคน

                ท่านพ่ออนุญาต แต่ก็ตามออกไปดูด้วยในครั้งนี้

                ไลนัสพยายามยิ้มให้เด็กคนอื่น มีหลายคนที่เขาจำได้ว่าวันก่อนก็อยู่ด้วย ทว่ายังไม่ทันเริ่มต้นทำอะไร เด็กคนหนึ่งก็มองหน้าเขาแล้วพูดขึ้นว่า ตนไปถามแม่มาแล้ว คนที่มีผมสีขาว ตาสีแดงนั้นเป็นพวกเผือก พวกขี้โรคอ่อนแอ แพ้แสงแดด

                เด็กชายอยากเถียงกลับ อยากบอกไปว่า เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงเขากลับพูดไม่ออกสักคำ ได้แต่ฟังเด็กพวกนั้นหัวเราะ ล้อเลียนเขาต่อไป ไม่มีใครช่วยปกป้อง ไม่มีใครอยากเข้ามาผูกมิตรกับเขาสักคน

                ผ่านไปสักพักไลนัสก็ติดสินใจเดินกลับมาหาท่านพ่อที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ เขาได้บทเรียนของเขาแล้ว

                ตั้งแต่นั้น ไลนัสก็สอบถามท่านพ่อให้ทราบแน่ชัดถึงโรคที่เขาเป็น ซึ่งทั้งท่านพ่อทั้งหมอผู้เชี่ยวชาญก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาเป็นโรคจริง หรือแค่มีสีผมสีตาที่ผิดปรกติเท่านั้น

                เด็กชายเปลี่ยนความคิดใหม่ เขาไม่อยากออกไปวิ่งเล่น หรืออยากเป็นเพื่อนกับเด็กพวกนั้นแล้ว เขาอยากเก่ง อยากแข็งแรงจนไม่มีใครกล้าล้อเลียนเมื่อเห็นเขาอีก

                ไลนัสเริ่มต้นเรียนวิชาอาวุธทั้งหลายในตอนนั้น และพออายุถึงเกณฑ์ เขาก็เข้าไปเรียนในโรงเรียนทหาร

                ที่โรงเรียนนั้น ถึงจะมีคนมองเขาด้วยความเคลือบแคลงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครกล้าล้อเลียนเขาต่อหน้า เนื่องจากทุกคนทราบถึงตำแหน่งใหญ่โตของพ่อเขา เด็กที่นั่นไม่ใช่ลูกชาวบ้านทั่วไป จึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะแกล้งได้ง่าย

                ไลนัสเรียนรู้ความเจ็บปวดที่ผ่านมา เขาทราบว่า วาจามนุษย์สามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธที่คมกริบยิ่งกว่าอาวุธใดๆ หากนำมาใช้อย่างถูกวิธี และเขาก็เคยเจ็บเพราะสิ่งนี้มาแล้ว เด็กชายจึงเลือกที่จะทำร้ายผู้อื่นก่อนเพื่อปกป้องตนเอง สำหรับไลนัส การรุกก็คือการรับที่ดีที่สุด ถึงจะมีคนออกอาวุธกลับมาบ้าง แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ต้องเจ็บด้วยถ้อยคำของเขาไปก่อนแล้ว

                ไลนัสโดดเด่นขึ้นมาในโรงเรียน เพราะเขามีพื้นฐานดี และตั้งใจฝึกฝน ด้วยความเก่งและฐานะของเขานี้เองทำให้พวกเด็กอื่นๆ อยากเข้ามาผูกมิตรกับเขา ไลนัสก็พอใจที่เป็นเช่นนั้น พวกเพื่อนธรรมดาสามัญ...เขาไม่อยากได้อีกแล้ว

     

                ไลนัสพบกับวิลเลียมครั้งแรกในชั้นเรียนวิชาดาบ เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับ ลูกลับๆของเจ้าชายอาเธอร์คนนี้มาบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดใส่ใจอะไร หากจะให้จินตนาการแล้ว ไลนัสคิดว่าเด็กที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นจะต้องดูเศร้าๆ ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าคน เป็นคนที่ตกเป็นเครื่องมือของพวกผู้ใหญ่ และก็คงไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเท่าใดนัก หรือเป็นพวกขี้แพ้ที่เขาไม่จำเป็นต้องสนใจนั่นเอง

                ทว่าวิลเลียมไม่ใช่อย่างที่เขาคิดไว้เลยสักนิด เด็กชายผมน้ำตาล ตาสีน้ำเงินนั่นมักจะพกพารอยยิ้มติดตัวมาด้วยเสมอ เด็กนั่นยิ้มได้กับทุกเรื่อง เสมือนไม่นำพาเรื่องราว ไม่คิดใส่ใจกับปัญหาใดๆ ราวกับว่าเพียงแค่ตนยังมีชีวิตยืนยิ้มได้อยู่ในตอนนั้นก็ดีเหลือเกินแล้ว

                ไลนัสมองดูแล้วก็ไม่เข้าใจ และยิ่งชังท่าจับดาบเหมือนเด็กเล่น...เหมือนคนไม่เคยจับดาบจริงๆ มาก่อนของหมอนั่น วิลเลียมยังทำท่าเหมือนตั้งใจจะเรียน แต่ที่จริงแล้วกลับทำอะไรไม่ได้ความสักอย่าง ขนาดโดนอาจารย์ว่าแล้วก็ยังแค่นยิ้ม พูดแก้ตัวไหลลื่นไปได้เรื่อย แล้วก็ทำให้คนหลุดหัวเราะตามไปด้วยอีก

                ไลนัสอยากทดสอบเด็กใหม่ อยากรู้ว่าหมอนั่นเป็นคนอย่างไรกันแน่ จึงวางแผนกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม หาทางแกล้งวิลเลียมสารพัดวิธี ทีแรกหลายคนก็ยังเกรงๆ เพราะเป็นว่า เหยื่อเป็นถึงลูกของเจ้าชายอาเธอร์ แต่พอมีคนเริ่มแล้วเห็นว่า วิลเลียมไม่เห็นจะโต้ตอบอะไรกลับมา แล้วเจ้าชายอาเธอร์ผู้เป็นผู้ปกครองก็เหมือนจะไม่ใส่ใจเด็กนี่นัก ก็พากันกล้ามากขึ้น และนึกสนุกกันขึ้นมา

                กลุ่มของเขาเป็นกลุ่มที่ทรงอิทธิพลที่สุดแล้วในระดับชั้น ดังนั้นเมื่อเด็กคนอื่นรู้ว่าวิลเลียมกำลังโดนหมายหัวโดยผู้ใดก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งด้วย คงจะมีแต่ก็แดเนียลที่พยายามทำดีกับทุกคนคอยช่วยเด็กชายในบางครั้ง

                แต่วิลเลียมก็ใช่จะนิ่งเฉยอยู่นาน ตอนแรกที่เขาไม่โต้ตอบก็เพราะต้องการดูสถานการณ์ไปก่อน พอเริ่มจับได้ว่าใครเป็นตัวการคิดแกล้งเขา เด็กชายก็ตรงเข้าไปท้าทายทันที

                “นี่ นายหัวหงอก ถ้าต้องการจะมีเรื่องกับข้านักก็มาสู้กันซึ่งๆ หน้าเลยสิ ทำไมต้องใช้คนอื่นด้วย อย่างนี้มันขี้ขลาด ไม่ใช่ลูกผู้ชายนี่หว่า”

                พรรคพวกของไลนัสเตรียมเข้าไปจัดการวิลเลียมทันทีที่ได้ยินประโยคเหล่านั้น ทว่าไลนัสก็ยกมือห้ามเอาไว้ก่อน

                “เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะข้าได้หรือ” ไลนัสถามไป

                “ก็เออสิ” วิลเลียมตอบ ถึงเขาจะชนะอีกฝ่ายไม่ได้ แต่แพ้เด็กชายแค่คนเดียว ก็ดีกว่าโดนรุมจนทำอะไรไม่ได้เลยละนะ

                เมื่อนั้นไลนัสก็ประกาศว่าจะประลองกับเขา และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดาเลย...วิลเลียมพ่ายแพ้ยับเยิน

                แต่ถึงกระนั้น เด็กชายผมน้ำตาลก็ยังมีหน้ามาพูดอีกว่า

                “ที่จริงเจ้าก็มีฝีมือสู้เองได้เหมือนกันนี่ สู้เองตั้งแต่แรกก็ได้...”

                “สู้กับเจ้าแล้วก็เปลืองแรงเปล่าๆ ฝีมืออย่างข้าไม่จำเป็นต้องลงมือเองหรอก” ไลนัสปัดมือตัวเองไปด้วยขณะกล่าว

                “กลัวแพ้ข้าละสิไม่ว่า” วิลเลียมเปรยขึ้นเบาๆ

                ไลนัสที่ตั้งท่าจะเดินจากไปแล้วได้ยินเข้า จึงหันมากล่าวว่า

                “ข้าน่ะหรือจะแพ้คนอย่างเจ้า”

                “ก็ใช่น่ะสิ” วิลเลียมบอกเสียงดัง “เจ้าเห็นข้ามีแววว่าจะเก่ง จึงคิดกำจัดทิ้งตั้งแต่แรกใช่ไหมล่ะ ข้าเพิ่งเริ่มเรียน เพิ่งเริ่มฝึก จะให้ไปเก่งเทียบเจ้าทันทีได้อย่างไร แต่ถ้าให้เวลาข้าอีกหน่อย รับรองว่าในอนาคตข้าจะทิ้งห่างเจ้าไม่เห็นฝุ่นแน่”

                “เจ้าเพิ่งแพ้ไป ยังคิดจะท้าประลองกับข้าอีก...”

                “ถ้าเจ้าปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับว่ากลัวข้าจริง” วิลเลียมว่า

                ไลนัสมองอีกฝ่ายแล้วชั่งใจคิด... เขารู้ว่าวิลเลียมคิดท้าทายเช่นนี้เพื่อจะเปลี่ยนเขาจากที่เคยเป็นอาวุธร้ายทิ่มแทงใส่ ให้กลายเป็นโล่รับประกันความปลอดภัยของตัวเองชั่วคราว... คนที่คิดอ่านได้เช่นนี้นับว่าฉลาดใช่ธรรมดา

                ทว่าถึงจะรู้ว่านั่นเป็นหลุมพราง ไลนัสก็ยังจงใจเดินเข้าไป เพราะเขามั่นใจว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะวิลเลียมได้ ไม่น่าจะในตอนนี้ หรือในอนาคตอีกยาวไกลเท่าใดก็ตาม

                “เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้าจะรอประลองกับเจ้าในชั้นเรียน และในสนามสอบละกัน”

                ถ้าเป็นในชั้นเรียนหรือในสนามสอบแล้ว วิลเลียมก็ไม่สามารถอ้างว่าแพ้เพราะเริ่มต้นทีหลัง หรือว่ายังเรียนมาไม่มากพอได้อีก ผลลัพธ์ออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับไปเช่นนั้น

                “ได้...” วิลเลียมคลี่ยิ้มยินดี

                ไลนัสเดินจากไปโดยไม่คิดจะเหลียวมองใบหน้ายิ้มนั่นอีก

                ถึงแม้เขาจะมีสิ่งที่พวกอาจารย์ผู้สอนเรียกว่า พรสวรรค์ในเชิงอาวุธ อยู่ก็จริง แต่ไลนัสก็ไม่มีคิดจะพอใจเพียงแค่สิ่งนั้น เขาทราบดีว่า หากมีพรสวรรค์แต่ไร้ความพยายามในการพัฒนามัน พรสวรรค์ที่มีอยู่นั้นก็คงเสมือนไร้ค่าไป

                และคนที่เอาแต่พูด แต่ไม่เคยลงมือทำตามดังที่กล่าวจริง ก็ไม่มีทางเป็นได้มากกว่าพวกดีแต่ปาก

                เมื่อถึงเวลาประลองจริง เขาจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่า หมอนั่นก็แค่พวกดีแต่ปากเท่านั้น

    ---

    S.O.

    November 10, 2010

    เหมือนจะจำเป็นต้องเขียนถึงไลนัส... คิดว่าเข้าใจอารมณ์ของตัวละครตัวนี้ดี แต่รู้สึกว่ายังถ่ายทอดออกมาไม่ดีเท่าไหร่... เอาแบบนี้ไปก่อนละกัน

    ...ทำไมตอนเด็กนี่ดูนิ่งกว่าวิลเลียมอีกแฮะ แต่ก็นะ...ตัวละครเรื่องนี้มีอะไรที่พลิกผันเยอะ

    เดี๋ยวไว้ถ้ามีเวลา หรือมีอารมณ์ส่ง จะลองมาแก้ตอนนี้อีกที...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×