คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #42 : บทที่ 3 ความจริงที่ตอกย้ำ [1]
บทที่ 3 ความจริงที่ตอกย้ำ
‘...รู้ไหม ทำไมคนเราถึงโศกเศร้า ...
‘...เพราะเรารักสิ่งนั้นมากไป จนไม่อยากให้มันเปลี่ยนแปลงไป...
‘...ยิ่งรักมากก็ยิ่งโศกมาก...’
----------------------
จันทร์เพ็ญ
กลางเวิ้งฟ้ายามราตรีมีจันทร์จรัสส่องแสงนวลละออง นภากาศไร้ม่านหมอกหม่นเมฆ ราวกับความมืดแห่งรัตติกาลได้ดูดกลืนสิ่งทั้งปวงไปไว้เบื้องหลัง เหลือเพียงดวงจันทร์แจ่มรัศมีสาดแสงแก่ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่
สรรพสำเนียงเงียบสงัด นภาไร้ดาวพราว มีเพียงจันทร์เพ็ญดวงกลมมนประดับไว้ แลดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเดียวดาย
เด็กหญิงเหม่อมองดวงจันทร์ ช่างงามตายิ่งนัก งดงามจับใจ สะกดสายตาให้จดจ้อง ลืมเลือนความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ลืมความทุกข์ความโศกสลดสิ้น แหงนหน้ามองนภารับแสงจันทร์นวลประหนึ่งดอกไม้บานรับแสงอาทิตย์
จันทร์มีเพียงดวงเดียว ฉายแสงโดดเด่นกระจ่างใสอยู่เบื้องบน แสงขาวนวลแสนอ่อนโยน ชโลมจิตใจของเด็กน้อยให้บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สดใส ดั่งสีของมัน
ชีวิตก็เท่านั้น มีอยู่และจากไป ไม่มีสิ่งใดจริงแท้แน่นอน ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน
ร่างกายนี้กำลังฝืนกฎธรรมชาติอยู่ เธอรู้ตัวดี และรู้ว่าสักวันความตายย่อมมาเยือนเธอเช่นนั้น เหมือนกับสหายที่จากไป จึงได้ตั้งปณิธานแน่วแน่ ปณิธานดั้งเดิมที่ไม่เคยเสื่อมคลาย จะคืนร่างนี้กลับสู่ธรรมชาติ สู่สภาพเดิมที่ควรเป็น
จันทร์เพ็ญ ไยช่างงดงามเช่นนี้
----------------------
ในเวลาเดียวกัน ใต้จันทร์ดวงเดิม
จงชิวรีบวิ่งออกจากป่า ย่ามคู่กายยังสะพายอยู่ที่ข้างตัว สองมือว่างเปล่าไร้อาวุธ เขาละทิ้งสิ่งอื่นไว้เบื้องหลัง หากสิ่งที่ติดตามเขามากลับเป็นความกังวลที่สลัดเท่าใดก็ไม่หลุด
เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย... เด็กหนุ่มผู้ช่วยชีวิตเขาไว้นั้นตัวใหญ่และหนักกว่าเขา หากเคลื่อนย้ายโดยลำพังก็อาจกระเทือนบาดแผลเป็นอันตรายได้ เขาต้องไปตามคนอื่นมาช่วย แต่ก่อนหน้านั้น ...
ได้โปรด อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป...
เด็กชายอธิษฐานพลางวิ่งต่อไป จนกระทั่งพบแสงไฟสว่างวาบ แวบแรกเขานึกยินดีที่ในที่สุดก็กลับถึงหมู่บ้านแล้ว แต่เมื่อเห็นใบหน้าของกลุ่มคนที่รอเขาอยู่ ความเย็นชาก็ก่อตัวเป็นหน้ากากให้เขาสวมโดยทันที
ณ ที่นั้นไม่ได้มีเพียงพ่อค้าที่รอคอยอยู่ ชาวบ้านมากหน้าหลายตาต่างมาชุมนุมกัน
“เจ้าไปทำอะไรมา” ชายร่างสูงใหญ่ไว้หนวดเคราครึ้มถามขึ้นเป็นคนแรก ขณะที่คนอื่นยังคงตะลึงงัน
สภาพของเด็กชายทำให้ทุกคนตกใจ เสื้อขาวที่เขาสวมเปื้อนคราบโลหิตเป็นดวงใหญ่หลายแห่ง แสงไฟจากโคมและคบเพลิงยิ่งย้อมร่างเขาเป็นสีส้มแดงไปแถบหนึ่ง ภาพที่เห็นนั้นเตือนให้หลายคนนึกถึงเหตุการณ์ในวันวิปโยคเมื่อสองปีก่อนขึ้นมา
จงชิวยืนนิ่งไม่ตอบ เขาเพิ่งเห็นว่าเสื้อและผิวตนเปื้อนเลือดจนน่ากลัว แต่นั่นหาใช่เลือดของเขาเอง
“ข้าถามว่า เจ้าไปทำอะไรมา” ชายคนเดิมถาม ด้วยเสียงอันดังขึ้น สีหน้าแปลกใจของเด็กชายที่ปรากฏให้เห็นเพียงชั่วขณะยามเหลือบมองสภาพตัวเองทำให้เขารู้แล้วว่าเจ้าตัวไม่ได้บาดเจ็บ
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะท่านฉี” ว่านซันเฉวียนพูดแทรกแล้วก้าวขึ้นมายืนข้างคนแซ่ฉี ก่อนจะถามหาสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในตอนนี้
“สามจันทร์ล่ะ”
สิ้นเสียงถามอย่างคาดเค้นจากพ่อค้า จงชิวกวาดสายตามองเหล่าคนที่มาชุมนุมกันอยู่ที่ลานหมู่บ้านในยามดึกนี้ แล้วตระหนักได้ว่า ถ้าเขาไม่ได้สามจันทร์มา คงหนีไม่พ้นชะตากรรมเลวร้ายเป็นแน่แท้ ว่านซันเฉวียนเชิญทั้งท่านผู้เฒ่าที่นั่งพริ้มตา ไม่ทราบหลับหรือตื่นอยู่ ทั้งเถ้าแก่ร้านขายยา คาดว่าคงมาเพื่อพิสูจน์สมุนไพร ทั้งฉีเหลียง พรานใหญ่ประจำหมู่บ้าน ทั้งลูกน้อง คนติดตาม และชาวบ้านที่สนใจเหตุการณ์อีกมากมาย ทุกคนต่างมีใบหน้าคร่ำเคร่ง ตัวกาลกิณีคงได้รับความอัปยศอย่างสุดจะหลีกเลี่ยงจริง ดังคำที่พ่อค้าเคยขู่
“สามจันทร์อยู่นี่แล้ว” จงชิวคว้าสมุนไพรในย่ามขึ้นมากำมือหนึ่ง แสงเรืองอ่อนๆ จากสามจันทร์นั้นเรียกให้สายตาทุกคู่จับจ้อง หลายคนส่งเสียงฮือฮาด้วยความยินดีระคนประหลาดใจ พืชที่เคยพรากหลายชีวิตให้จากไปเมื่อเสี่ยงภัยไปเอา บัดนี้จะมาช่วยรักษาลูกหลานของพวกเขาแล้ว
เถ้าแก่ร้านขายยาลูบเคราขาวเบาพลางพยักหน้ายืนยันว่า สมุนไพรเป็นของจริงให้กับพ่อค้า ปากกล่าวกับตัวเองเบาๆ ว่า
“ข้ากะแล้วไม่มีผิด ...กะแล้วไม่ผิด”
ว่านซันเฉวียนล้วนทองคำขึ้นมาสามแท่ง ยื่นให้เด็กชาย
“นี่เป็นค่าจ้างของเจ้า แลกกับสามจันทร์ทั้งหมดที่เจ้ามี”
หากแต่ผู้ว่าจ้างก็ต้องเลิกคิ้วประหลาดใจ เมื่อจงชิวยังไม่ยอมส่งสมุนไพรให้ กลับกล่าวว่า
“ข้าขอเพิ่มเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่ง...จะได้ไหม” เสียงเขาฟังดูแข็งๆ อย่างคนที่ถือไพ่เหนือว่าในตอนแรก แต่ก็อ่อนลงประหนึ่งจะขอร้องในตอนท้าย
“เจ้าคิดจะโก่งราคาหรือ ไม่ได้ เราตกลงกันไว้แล้ว ข้ารวบรวมเงินทั้งหมดของข้ามาจ่ายเจ้าเพื่อการนี้แล้วด้วย”
จงชิวรีบกล่าวอธิบายเสริมว่า
“หามิได้ ข้าไม่ได้คิดจะโก่งราคาแต่อย่างใด สามจันทร์ทั้งหมดที่หามาได้นี้จะแลกกับทองสามแท่งเช่นเดิม ข้าแค่อยากจะขอยืมกำลังพวกท่านสักคนสองคนเข้าไปในป่า ...มีคนบาดเจ็บหนักอยู่ในนั้น เขาช่วยให้ข้ารอดปลอดภัยออกมา...” จงชิวพูดเสียงเนือยลงเนือยลง และหยุดค้างชะงักไป ด้วยความไม่มั่นใจว่าจะกล่าวอย่างไรต่อดี เขาไม่เคยขอให้คนในหมู่บ้านช่วยมาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ตาม เพราะครั้งสุดท้ายนั้น แม้ตอนจีตงป่วยหนักกะทันหันใกล้ความตายเต็มที ก็ไม่มีใครหันมาสนใจเขา กว่าจะตามหมอมาได้ก็สายเกินแก้แล้ว...
ทว่าว่านซันเฉวียนไม่เปิดโอกาสให้จงชิวเล่าต่ออีก
“เอาสามจันทร์มาก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน ถ้าไม่รีบปรุงยารักษา ลูกข้าอาจอยู่ไม่พ้นคืนนี้”
ว่านซันเฉวียนกระชากย่ามจากตัวจงชิวมาโดยพลันหลังกล่าวจบ ความยึดมั่นผูกพันในสิ่งที่เป็นของรักของตนในให้พ่อค้าผู้นี้ทำได้ทุกอย่าง เขายัดเงินค่าจ้างใส่มือเด็กชายเหมือนจะไล่ให้เขาไปพ้นๆ แล้วรีบขอให้เถ้าแก่ช่วยปรุงยา ชาวบ้านเลิกสนใจตัวกาลกิณีเปลี่ยนไปตามพ่อค้าและเถ้าแก่ร้านขายยาแทน บางคนเห็นว่าจบเรื่องแล้วก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน
“ข้าจ้างพวกท่านก็ได้นะ ด้วยทองสามแท่งนี่แหละ ข้าจะนำทางให้ เข้าไปในป่ากับข้า...” เสียงเด็กชายอ่อนลงเรื่อยๆ ชาวบ้านแค่ปรายตามองเล็กน้อยก่อนหันหนี ไม่มีใครคิดเหลือบมองเจ้าของลางร้ายอย่างจริงจัง
ชั่วขณะที่เห็นสายตาและสีหน้าเหล่านั้น จงชิวจึงรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
...เขาเป็นตัวกาลกิณีที่ทำให้คนที่ข้องเกี่ยวกับเขาต้องเคราะห์ร้าย ตกตายไปตามกัน คำขอของเขา ก็ไม่ผิดกับคำเชิญชวนให้ไปตาย ไยต้องสนใจด้วยเล่า...
จงชิวทรุดเข่าลงกระแทกพื้น น้ำตาที่แห้งเหือดไปนานไหลลงอาบหน้า ไม่ทราบจะบรรยายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไรดี ที่ผ่านมาเขาหลอกตัวเองมาตลอด หลอกว่าตัวเขานั้นไม่มีลางร้าย ไม่ใช่ตัวกาลกิณี ยึดถือตามคำสั่งของจีตง ผู้มีพระคุณที่ตายจากไปเพราะเขาเองนั่นแหละ ยามนี้ความจริงจึงย้อนกลับมาเล่นงาน กระหน่ำย้ำความเจ็บปวดให้ฝังลึกลงไป
“...ขอร้องละ ใครก็ได้ ช่วยข้าที...”
เด็กชายเหม่อมองทองแท่งในมือ ภาพที่เห็นนั้นเลอะเลือนไปด้วยน้ำตาที่นองในจักษุ แล้วพลันนึกถึงเด็กหนุ่มผู้มีพระคุณผู้มีผมสีเดียวกับทองคำนี้ แต่ค่าของสิ่งที่เขาได้มากลับเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว
ข้าผิดเองใช่ไหม ผิดที่ละเลยชีวิตผู้อื่นก่อน จึงได้รับผลกรรมเช่นนี้...
แต่ทำไมล่ะ ทำไมไม่ให้เขาเองที่ต้องตาย ไยสวรรค์จึงต้องพรากทุกสิ่งไปจากเขา ความฝันพร่ามัว ความปวดร้าว ความทรงจำในอดีตอะไรนั่นเขาไม่สนแล้ว ที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือความจริงที่ว่า
พี่ชายท่านนั้น... กำลังจะตาย...
“ใครกันที่ช่วยเจ้าไว้” เสียงหนึ่งแว่วถาม จงชิวค่อยตื่นจากภวังค์ความคิด นัยน์ตาที่เคยเลื่อนลอยย้ายมามองชายเจ้าของเสียงแทน นายพรานใหญ่ ฉีเหลียง ยังไม่จากไป ไม่ทราบว่าเขาเห็นเด็กชายตกอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นหวังนานแค่ไหนก่อนจะกล่าวคำถามนี้
“...เป็นคนจากต่างแดน ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน” จงชิวตอบตามจริง ด้วยเสียงที่พยายามให้เป็นปกติที่สุด แต่ก็ทราบดีว่าปิดบังฉีเหลียงไปก็เท่านั้น
“อย่างนั้นก็ภาวนาให้เจ้านั่นอยู่รอดถึงพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน คืนนี้ข้าไม่เข้าป่าละ มันอันตรายเกินไป”
“แต่ว่า...” ก่อนที่จงชิวจะหาเหตุผลมาชักจูงได้สำเร็จ พรานใหญ่ผู้ชำนาญก็กล่าวขัดขึ้นก่อนว่า
“ข้ายอมรับว่า เจ้าเก่งที่เข้าป่าเงี้ยวไปเก็บสามจันทร์แล้วรอดกลับมาได้ แต่หากรอยเลือดที่เห็นตามตัวเจ้า เป็นของคนที่ช่วยเจ้าไว้ละก็ ข้าเกรงว่าแผลขนาดนั้น และถูกทิ้งไว้ในป่าเงี้ยวนานเช่นนี้ด้วยแล้ว เข้าไปช่วยก็เปล่าประโยชน์” สิ้นวาจานายพรานก็หันไปกล่าวกับอีกคนที่เหลืออยู่ที่ลานนั้น ไม่คิดเหลือบแลเด็กชายอีก
แต่ข้าเห็นว่าพวกงูไม่เข้ามาทำอันตรายพี่ชายท่านนั้น...
เด็กชายต่อประโยคที่ค้างไว้ของตนให้จบในใจ เพราะพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีผู้ใดสนใจอีกแล้ว เหลือเพียงตัวเขาเองตามลำพังเช่นเคย
...ต้องพึงตัวเอง อย่าคิดหวังพึ่งผู้อื่น...
เขาลุกขึ้นยืน มุ่งหน้าวิ่งกลับกระท่อม ไม่ไยดีจะเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ปล่อยให้สายลมเย็นพัดพามันไปแทน
ขณะที่จงชิวรีบจากไป ที่ลานหมู่บ้าน ฉีเหลียงโน้มตัวลง กระซิบข้างหูหญิงชราผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้สาน
“ท่านย่า จบเรื่องแล้วละ ข้าจะพาท่านกลับไปนอนนะ”
ผู้เฒ่าสะดุ้งขึ้นนิดหนึ่ง ช่วงที่ผ่านมานี้นางหลับตลอด คนชราอย่างไรก็ยังแพ้สังขารตัวเองวันยังค่ำ
ผู้มากวัยผงกศีรษะรับทราบ ก่อนจะงึมงำถามขึ้นว่า
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“เจ้าเด็กนั่นเก็บสามจันทร์มาได้ ว่านซันเฉวียนจ่ายค่าจ้างตามจำนวน ตอนนี้กำลังไปปรุงยากันอยู่ ทุกอย่างจบลงด้วยดี”
หญิงชราผงกศีรษะเบาๆ อีกครั้ง แต่แล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาก็แปรเปลี่ยนจากเรียบสงบเป็นขมึงขึ้นมา
“ข้าได้กลิ่นเลือด”
“เลือดจากตัวเจ้าเด็กเก็บสมุนไพรน่ะท่านย่า” ฉีเหลียงอธิบาย
เด็กชายห่างไปไกลแล้ว แต่ผู้เฒ่ายังมีสัมผัสดีไม่เปลี่ยน มันไม่ใช่ประสาทสัมผัสทั่วไปอย่างที่ทุกคนมี ความชราพรากสิ่งเหล่านั้นไปจากนางนานแล้ว สิ่งที่นางมีคือสัมผัสที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ นางมักจะรู้อะไรบางอย่างล่วงหน้า และรู้มากกว่าใครๆ เสมอ และเรื่องทำนองนี้ยิ่งอาวุโสเท่าใด คนก็จะยิ่งให้ความเชื่อถือมากขึ้น
“ท่านไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ใช่เลือดจากตัวมันเอง เป็นเลือดผู้อื่น เห็นว่าเป็นคนต่างแดน”
“ไม่... ไม่ใช่แค่เลือดคน...” หญิงชราว่า “...เป็นเลือดงู”
“เลือดงูหรือ” นายพรานกล่าวเสียงหนักอย่างสงสัย เขาเคยพิฆาตงูมาหลายตัว จำกลิ่นเลือดของพวกมันได้ดี และพอจะแยกออกจากเลือดคนได้บ้าง แต่ฉีเหลียงไม่ได้กลิ่นจำพวกนั้นจากตัวเด็กชาย ...หรือจะเป็นเพราะว่ามีโลหิตมนุษย์เยอะกว่าจึงกลบกลิ่นหมด
เหนืออื่นใด ผู้เฒ่าทราบแน่แก่ใจอยู่อย่างหนึ่งว่า...
งูตัวนั้นหาใช่งูธรรมดา
ความคิดเห็น