ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #40 : บทที่ 2 นักรบแดง [1]

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 53


    บทที่ 2 นักรบแดง

    เมื่อกลับมาถึงกระท่อมอันเป็นที่พัก เด็กชายก็ทรุดนั่งพิงฝาผนังห้องทันที มือซ้ายพลันยกขึ้นกุมหน้าเอาไว้ซีกหนึ่ง อาการปวดศีรษะดั่งมีกลองย่ำอยู่ภายในกลับมาอีกแล้ว...

    ข้าไม่น่าพูดไปเช่นนั้นเลย...

    เด็กชายพยายามเบนความสนใจของตนออกจากความปวดร้าวในศีรษะ เปลี่ยนมานึกถึงเรื่องที่เพิ่งรับทำไป เขาไม่มีความมั่นใจสักนิดว่าจะเก็บสามจันทร์มาได้ ภารกิจเสี่ยงตายนี้แม้แต่จีตงที่เป็นคนสอนเขาเก็บสมุนไพรยังไม่กล้ารับทำเลย แล้วเขาเป็นใครกัน ก็แค่เด็กไร้ที่มาคนหนึ่งเท่านั้นเอง...

    อย่างไรเสีย เมื่อได้เอ่ยคำมั่นไปแล้ว จงชิวก็ต้องปฏิบัติตาม การยึดมั่นในความสัตย์เป็นนิสัยติดตัวเขาอย่างหนึ่ง คุณธรรมความดีเป็นสิ่งที่ค้ำจุนเด็กชายยากไร้ไม่ให้ตกต่ำลง

    จงชิวฝืนลุกไปหยิบหนังสือมาเปิดอ่านทั้งยังมีอาการอยู่ คนเก็บสมุนไพรมีหนังสืออยู่เพียงไม่กี่เล่ม ล้วนเกี่ยวกับสมุนไพรและยา เมื่อเขาตายไป ทั้งหมดก็ยังอยู่ในกระท่อมเช่นเดิม เด็กชายมักจะหยิบมาอ่านอยู่เรื่อยๆ ก่อนอ่านทุกครั้ง เขาจะขออนุญาตในใจเสมอ จงชิวไม่เคยยึดถือสมบัติของจีตงเป็นของตน จีตงจากไปอย่างกะทันหัน ไม่มีโอกาสบอกยกสิ่งใดให้กับเขา ด้วยเหตุนี้แม้แต่แซ่จีของคนเก็บสมุนไพร เด็กชายก็ไม่นำมาใช้ เขาจึงเป็นเด็กไร้แซ่ ไร้ความทรงจำ

    เด็กชายพลิกหน้าหนังสือด้วยความคุ้นเคย เขามาหยุดอยู่ที่หน้าที่มีอักษรเขียนกำกับว่า ‘สามจันทร์’ ในนั้นมีภาพประกอบของพืชล้มลุกขนาดเล็ก จุดเด่นของพืชชนิดนี้คือใบ มันเหมือนประกอบขึ้นจากวงกลมสามวงวางซ้อนกัน หน้าข้างๆ มีคำอธิบายไว้ว่า ใบของสามจันทร์จะสะท้อนแสงจันทร์นวลในยามราตรี และนี่ก็เป็นที่มาของชื่อพืชนี้ เด็กชายอ่านรายละเอียดของสมุนไพรที่มีในหนังสือหลายรอบจนจำได้ขึ้นใจ มองลายเส้นไร้สีจนมั่นใจว่าสามารถวาดเองได้โดยไม่ต้องดูแบบ ก่อนจะหันไปตระเตรียมของสำหรับเดินทางคืนนี้

    ในถุงย่ามของเขามีมีดขนาดเล็กไว้ตัดสมุนไพรเล่มหนึ่ง ช้อนปลายแหลมคันหนึ่งสำหรับขุดสมุนไพรที่ใช้รากเป็นยา ถุงหนังบรรจุน้ำเผื่อกระหาย และของปฐมพยาบาลอย่างง่ายชุดหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์เดินป่าสามัญประจำตัวเขา เด็กชายไม่พกอาวุธไว้ป้องกันตัว หนึ่งเพราะเขาไม่รู้วิชาอาวุธ และสองเพราะเขาคิดว่ามันหนักและเกะกะรบกวนการทำงาน

    คราวนี้เมื่อต้องเสี่ยงชีวิตไปถึงบ่องู จงชิวก็คิดจะหาอาวุธติดตัวไว้บ้าง แต่พอมองไปรอบกระท่อมก็ไม่พบอะไรเหมาะสม ดาบหนาของที่แขวนประดับฝาผนังไว้นั้นหนักเกินไป อย่าว่าแต่จะใช้เป็นอาวุธเลย กว่าจะไปถึงบ่องูเขาคงเหนื่อยหอบมากเกินว่าจะทำอย่างอื่นแล้วหากต้องแบกมันไปด้วย ขวานผ่าฟืนด้ามเก่าก็ไม่สะดวกจะใช้ป้องกันภัย ท้ายที่สุดเขาก็เลือกไม้พลองที่ความยาวพอเหมาะและจับถนัดมือมาท่อนหนึ่ง

    ...มีไม้ไว้ตีงูก็ยังดี

    กว่าจะเสร็จสิ้นการเตรียมตัวในยามเช้า ตะวันก็ตรงเหนือศีรษะแล้ว เด็กชายออกไปซื้อของรับประทานที่ตลาด พอทานก็กลับมาที่กระท่อมทันที จงชิวใช้เวลาที่เหลือในช่วงบ่ายทำสมาธิ มิใช่นึกปลงตกหรือคิดเตรียมใจไปตาย เด็กชายทราบดีว่าโอกาสได้ไปพบยมบาลก่อนได้สามจันทร์มามีสูงมาก แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

    ใช่ว่าสภาพจิตใจเขาจะไม่เคยตกต่ำเลย จงชิวเคยถึงขั้นคิดปลิดชีพตนประชดฟ้าดินให้รู้แล้วรู้รอดกันไปด้วยซ้ำ แต่ทุกครามันก็เป็นแค่อารมณ์เพียงชั่ววูบที่ผ่านมาแล้วผ่านไป คราวนี้เขาก็เผลอรับคำไปเพราะอารมณ์วูบเดียวนั้น ก็ต้องรับผิดชอบแก้ไขด้วยตนเอง ต้องคิดหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้

    ข้าจะต้องรอด จะต้องเอาสามจันทร์กลับมา

    แล้วก็จะจากหมู่บ้านนี้ไป...ตลอดกาล...

    เด็กชายวางแผนเอาไว้ในใจ ทองสามแท่งคงเพียงพอเป็นค่าเดินทางของเขาได้นานทีเดียว ถ้าเขาได้มันมาก็ไม่ต้องรอเก็บเงินอีกต่อไปแล้ว เขาจะออกตามหาอดีตของเขาทันที...

    จงชิวเผยยิ้ม มือขวากำจี้หยกโดยไม่รู้ตัว จีตงเคยขอดูหยกของเขาแล้วบอกว่ามันเป็นหยกชั้นดี ฝีมือแกะสลักก็เป็นเลิศ ไม่แน่ถ้าถามจากช่างหยกตามเมืองต่างๆ อาจจะทราบที่มาของเขาก็เป็นได้ บางทีถ้าเขาจำอดีตได้ ฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนก็คงจะหากไป บางทีครอบครัวที่รักเขาอาจจะยังอยู่ดี และรอคอยให้เขากลับไปอยู่ก็ได้

    ความฝันถึงอนาคตแสนสุขเหล่านั้นเป็นแรงผลักดันให้จงชิวอดทนเรื่อยมา ตลอดสองปีมานี้เขาทนทุกสายตาดูแคลน ทุกวาจาเหยียดหยาม ทุกเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ประสบ ทุกความผิดที่ถูกผลักไสให้แบกรับ ก็เพื่อความฝันนั้น ทว่าวันนี้ความอดทนของเขาขาดสะบั้น ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ...เป็นถ้อยคำที่ว่าร้ายจีตง วินาทีนั้น เขาทราบทันทีว่ามันเป็นฟางเส้นสุดท้าย...

    เด็กชายทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างใจเย็น ไม่หลงไปตามอารมณ์ของเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมาแล้ว เขาย้อนนึกไปถึงแต่ละครั้งที่เขาเข้าป่าไปเก็บสมุนไพร เถ้าแก่ร้านยาพูดถูก พวกสัตว์ไม่เคยทำอันตรายเขา ที่ได้แผลมาแต่ละครั้งก็มีเขาสะดุดล้มเอง บางทีลางร้ายที่ท่านผู้เฒ่าบอกว่าสถิตอยู่กับเขาอาจจะมีดีที่ตรงนี้ก็เป็นได้

    ไม่ใช่สิ ข้าไม่มีลางร้ายเสียหน่อย...

    จงชิวส่ายศีรษะรุนแรง รีบไล่ความคิดเลวร้ายนั้นออกไป พอเขาขาดสติ หรืออารมณ์ไม่ดีขึ้นหน่อยมันก็จะถือโอกาสย้อนกลับมาเล่นงานเขาเสียทุกที ถึงจะบอกตนเองไม่ให้คิดในทางนั้นอยู่ตลอด หากพอโดนสายตาทิ่มแทง และคำพูดเสียดสี ซ้ำๆ ไปนานเข้า ใครกันจะทนไหว

    จีตงเคยชมว่าเด็กชายเข้มแข็ง ทว่าเจ้าตัวย่อมรู้ดีกว่าใครว่าตนเข้มแข็งเพียงไร พอที่พึ่งสุดท้ายจากไป จงชิวที่เหลือเพียงลำพังจึงสร้างเกราะป้องกันตัวขึ้นมา... สีหน้าเรียบเฉย สายตาเย็นชา ท่าทางนิ่งสงบ และริมฝีปากเหยียดตรง ไร้รอยยิ้มประดับ เหล่านี้คือสิ่งที่เด็กชายแสดงออกมาให้ชาวบ้านเห็น

    บุคลิกของเขามันชวนห่างเหินกับผู้คนอยู่แล้ว วันที่มาอยู่แรกๆ คนเก็บสมุนไพรก็แซวเล่นด้วยความเอ็นดูว่า เขาเหมือนคุณหนูตกยาก ไว้ท่ามากมาย งานการทั่วๆ ไปก็ทำไม่ค่อยเป็น แต่ต่อมาเด็กชายปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มแย้มมากขึ้น พูดคุยมากขึ้น งานหนักงานเบาก็ทำหมด เจ้าของบ้านจึงออกปากชมว่า ค่อยสมเป็นชาวบ้านชาวช่องกับเขาหน่อย แต่ไม่ทันไรบุรุษผู้ผูกพันกับเด็กชายที่สุดก็จากไป บุคลิกของเด็กชายจึงพลิกผันอีกครั้ง มันมิใช่ความเหินห่างอย่างชนชั้นสูงเช่นกาลก่อน หากเป็นความเย็นชาที่ลึกล้ำยิ่ง ประหนึ่งเกราะน้ำแข็งหนาได้ห่อหุ้มทุกส่วนของเขาเอาไว้

    จงชิวรู้สึกว่าตนยิ่งคิดถึงอดีตยิ่งฟุ้งซ่านขึ้นทุกที จึงปรับวิธีใหม่ เขาใช้อนาคตที่ใฝ่ฝันหาเป็นแรงผลักดันในตอนต้น จากนั้นจึงละทิ้งทุกอย่าง แล้วทำจิตให้นิ่ง ...เป็นสมาธิ เขามิได้คาดหวังสิ่งใดเลย ไม่นานนัก จิตใจของเด็กชายก็นิ่งสงบ และอยู่ในภาวะนั้นเป็นเวลานาน...

    เมื่อจงชิวลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบเย็นแล้ว เด็กชายลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตามกิจวัตรปกติ ทว่าเสื้อที่เขาสวมหาใช่เสื้อธรรมดาทั่วไป เขาเลือกผ้าเนื้อดีที่สุดที่เขามีมาใส่...เสื้อของเขาเอง ชุดยาวสีขาวที่เขาใส่มาเมื่อสองปีก่อน ในวันที่ฟ้าวิปโยคนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามันเป็นสีขาว ผ้าทั้งชุดถูกย้อมเป็นสีแดงไม่ต่างจากสีโลหิตเช่นเดียวกับเจ้าของ เด็กชายจำได้ว่าเสื้อตัวนี้ยาวรุ่มร่ามอยู่เล็กน้อยตอนเขาใส่ครั้งสุดท้าย แต่ตอนนี้เขาสวมมันได้พอดีตัว ส่วนที่ขาดแหว่งเป็นรูไปก็ได้รับการปะชุนซ่อมแซมเรียบร้อยหมดแล้ว

    จงชิวเลือกแต่งชุดนี้เพราะเคยได้ยินเรื่องนักบวชชุดขาวจากจีตงและคนในหมู่บ้าน แม้จะไม่เคยเห็นคนเหล่านั้นกับตาตัวเองก็ตาม เด็กชายก็คาดเดาได้ว่า คณะนักบวชดังกล่าวต้องแต่งกายด้วยชุดขาวเข้าไปในป่าเงี้ยวเป็นแน่ ถ้าคนเหล่านั้นแต่งชุดคล้ายๆ กับที่เขาสวมอยู่นี้เดินไปทำพิธีถึงบ่องูได้โดยไม่เป็นไร บางทีถ้าเขาใส่บ้างอาจจะปลอดภัยด้วยก็ได้ ปกติในหมู่บ้านไม่นิยมใส่สีขาวกันนักหรอก มันเป็นสีอัปมงคล ไว้ใส่กันในงานศพ

    เด็กชายสะพายย่ามไว้ที่ไหล่ซ้าย ในมือขวามีไม้พลองถือต่างไม้เท้า เมื่อเตรียมตัวเตรียมใจเสร็จสรรพก็ออกเดิน แต่ก็ต้องแปลกใจที่พบคนผู้หนึ่งรอพบเขาอยู่หน้ากระท่อมซอมซ่อ

    ท่านกำลังจะเข้าไปในป่าเงี้ยวหรือ” พ่อค้าแซ่ว่านที่เห็นจงชิวก้าวออกมาพร้อมด้วยอุปกรณ์ร้องทัก

    ใช่แล้ว ท่านคิดว่าข้าจะผิดคำพูดหรือ”

    หามิได้ๆ” ว่านซันเฉวียนรีบแก้ตัว “ข้าแค่จะมาส่งท่านเท่านั้นเอง”

    ไม่จำเป็นต้องมากความ ข้าจะกลับมาก่อนรุ่งสาง ท่านรออยู่ที่ลานหมู่บ้านก็แล้วกัน เตรียมค่าจ้างไว้ให้พร้อมด้วย” จงชิวกล่าวจบก็เดินเข้าป่าไป

    “...ได้ ข้าจะรอท่านกลับมา” ว่านซันเฉวียนรับคำ แล้วมองส่งเด็กชายร่างผอมเข้าไปในป่า

    ชั่วขณะที่เห็นชายเสื้อขาวสะอาดสะบัดพลิ้วลู่ตามแรงลมนั้น ชายพ่อค้าหลงคิดว่า นักบวชชุดขาวได้มาช่วยเขาแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×