คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #38 : บทที่ 1 ตัวกาลกิณี [1]
บทที่ 1 ตัวกาลกิณี
เด็กชายลืมตาตื่นขึ้นพร้อมความปวดร้าวดั่งมีกลองศึกย่ำมาอยู่ในศีรษะ เขาฝันเห็นภาพพร่าเลือนของอดีตอึมครึมนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าจะเพียรพยายามเท่าใดก็ตาม ก็ไม่สามารถจดจำภาพเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนสักที จะเพิกเฉยต่อมันเสียก็ย่อมได้ หากเมื่อทำเช่นนั้นแล้วกลับยิ่งทวีความปวดร้าว เสมือนว่าเขาได้ละทิ้งสิ่งสำคัญไป... ไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับใครบางคน...
ร่างผอมแห้งดึงผ้าห่มขึ้นกระชับ ขดตัวอยู่ในที่นอนมอซอ สั่นระริกไปกับเหงื่อเย็นที่ไหลอาบผิวกาย นอนทรมานกับอาการนั้นอยู่พักหนึ่งก่อนลุกขึ้นนั่งกระสับกระส่าย มือทั้งสองกำจี้หยกที่คล้องไว้กับตัวแน่น ภาวนาอย่างเงียบงันให้ความทุกข์นี้ผ่านพ้นไป
แล้วเวลาก็ค่อยๆ กล่อมจิตใจที่สับสนให้สงบ ครั้นความปวดร้าวทุเลาลง นัยน์ตาสีดำสนิทก็ลืมตาขึ้นพลางค่อยๆ หันมองออกไปนอกหน้าต่าง
เช้าตรู่แล้ว...นี่คือเวลาที่กิจวัตรของเขาเริ่มต้น เวลาเดียวกับที่ความปวดร้าวข้างในคลายลง
กระท่อมซอมซ่อนี้เป็นของเขา แม้จะไม่ได้รับกรรมสิทธิ์ถูกต้องจากทางการ แต่เหมือนทุกคนในหมู่บ้านจะไม่คัดค้านอะไรที่เขาอยู่ที่นี่ เนื่องจากคนเก็บสมุนไพรยากจนเจ้าของเก่าตายไปหลังจากรับเขามาอยู่ด้วยได้เพียงหนึ่งเดือน และกระท่อมนี้ก็อยู่ห่างจากตัวหมู่บ้านออกมาทางตะวันออก ค่อนมาบริเวณชายป่า... ป่าเงี้ยวที่ทุกคนหวาดกลัว
ไม่มีใครอยากอยู่ที่นี่...
เด็กชายผู้อยู่กระท่อมเพียงลำพังคิดเช่นนั้นในตอนแรก มันน่ารันทดหดหู่อยู่บ้างที่เขาต้องมาอยู่ในที่ที่ใครๆ ก็ไม่อยากอยู่ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาประจักษ์จากพฤติกรรมของชาวบ้านที่มีต่อเขา
...ไม่มีใครอยากให้เขาอยู่ใกล้
มุมปากยกขึ้นนิดๆ ประหนึ่งให้กำลังใจแลเยาะเย้ยตนเองในขณะเดียวกัน เขาควรเลิกคิดเรื่องเหล่านี้เสียที คิดไปมีแต่ทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือ การมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ เพื่อสักวัน...เขาจะเอาความปวดร้าวทั้งหมดออกไปให้พ้นตัว
ร่างผอมจัดแจงเก็บที่นอน แล้วลุกไปอาบน้ำแต่งตัว อากาศหนาวเย็นนัก แต่เขาก็ต้องอาบน้ำ มันเป็นนิสัยรักสะอาดของเขาเอง กระท่อมคนเก็บสมุนไพรปลูกใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติ การอาบน้ำจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร และเขาก็คิดว่าการทำอาชีพเก็บสมุนไพรไม่จำเป็นต้องสกปรกโสโครกสักหน่อย
เสร็จธุระส่วนตัวในยามเช้าแล้ว เด็กชายก็กลับเข้ามาในกระท่อมน้อย ที่พักอาศัยแห่งนี้ประกอบด้วยห้องสองห้องเท่านั้น หนึ่งคือห้องนอน และอีกหนึ่งห้องอเนกประสงค์ที่ใหญ่กว่า ซึ่งเคยเป็นทั้งห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น รวมถึงห้องรับแขกมาแล้ว แต่ในห้องนี้มีมุมมุมหนึ่งซึ่งจัดไว้เป็นพิเศษ แยกออกต่างหาก เด็กชายคุกเข่าลงตรงบริเวณนั้น แล้วน้อมร่างคารวะป้ายวิญญาณของผู้ล่วงลับ เจ้าของกระท่อมนี้ ผู้ที่นับเด็กชายที่หลงเข้ามาในวันวิปโยคเป็นญาติคนหนึ่ง...
เขายังจำเหตุการณ์ในวันที่พวกเขาพบกันครั้งแรกที่คนเก็บสมุนไพรเล่าให้ฟังได้...
วันนั้น...ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน เมฆถูกย้อมเป็นสีเลือดทั้งที่ยังกลางวันแสกๆ อยู่ มีเสียงลือกันในหมู่บ้านว่าจะเกิดอาเพศขึ้นตามคำบอกของท่านผู้เฒ่า เมื่อไม่นานมานี้หมู่บ้านเพิ่งประสบวาตภัยมา บ้านเรือนหลายหลังเสียหาย ไร่นาพังทลายยับเยิน คนเสียชีวิตก็มีบ้าง ชาวบ้านที่ยังไม่หายหวาดกลัวต่างเกรงว่าจะมีพายุใหญ่ซัดเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง ก่อนเกิดเหตุคราวที่แล้ว ฟ้าก็วิปริตเช่นกัน แต่คนความจำดีหลายคนต่างบอกว่า วันนี้ฟ้าแดงยิ่งว่าวันก่อนอีกเสีย น่ากลัวนักว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ชาวบ้านเฝ้ารอคอยอย่างหวาดหวั่น จนตะวันใกล้ตกดินแล้วก็ยังไม่มีอาเพศภัยใดๆ อุบัติขึ้น หลายคนเริ่มคลายใจ ทุกคนทำงานของตนต่ออีกสักหนึ่ง พอถึงเวลาเลิกงานก็พากันเก็บล้างอุปกรณ์ ชวนกันเดินกลับบ้าน พูดคุยกันด้วยความสบายใจ อย่างน้อยวันนี้คงไม่มีเภทภัยอะไร ท่านผู้เฒ่าทำนายว่าอาเพศจะมาเยือนก่อนยามโพล้เพล้ซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้แล้ว
ขณะเดียวกันนั้น... ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ทุกคนต่างหันหลังให้... เด็กชายคนหนึ่งเดินซัดเซมาตามลำพัง เขาเปิดปากออกพยายามเปล่งถ้อยคำ แต่ทุกสำเนียงกลับไร้ผู้รับฟัง ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา นอกเสียจากชายนักเก็บสมุนไพรที่เดินย้อนกลับมาเอาถุงย่ามที่ลืมไว้
ทุกสรรพสิ่งที่คนเก็บสมุนไพรเห็นตรงนั้นถูกย้อมด้วยสีแดง มีเพียงสีแดงและดำตัดกัน ด้วยฟ้ายังคงเตือนเหตุร้าย แลฤทธิ์ตะวันที่กำลังลาลับ เด็กชายพยุงแขนซ้ายของตนไว้ขณะเดินเข้ามาใกล้ ขยับปากเอ่ยบางอย่างออกมา แต่โสตประสาทของคนเก็บสมุนไพรไม่รับฟัง
ชั่วเสี้ยวความคิดนั้น เขาเห็นเด็กชายบาดเจ็บโชกเลือดอยู่แทนที่คนที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ ปางตายแต่ไม่ยอมตาย กำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด ภาพนั้นสะกดเขานิ่ง มันเรียกความรู้สึกบางอย่างของเขาออกมา...ความรู้สึกที่บรรยายเป็นคำพูดได้ยากยิ่ง รู้เพียงแต่ว่าเขาต้องช่วยเด็กคนนี้ให้ได้
เมื่อสติสัมปชัญญะของคนเก็บสมุนไพรกลับคืนมาอีกครั้ง เด็กชายก็ล้มฟุบลงไปแล้ว เขาเรียกคนอื่นมาช่วย ตะโกนเรียกให้ไปตามหมอมา แต่ชาวบ้านกลับบอกให้เขาสงบสติลง เด็กนั่นแค่แขนหักเอง ไม่เป็นอะไรถึงแก่ชีวิตสักหน่อย
คนเก็บสมุนไพรพิจารณาตามพบว่าเป็นเช่นนั้นจริงก็ค่อยคลายกังวล แสงสีแดงนั่นคงหลอกตาเขาไปชั่วขณะ นอกเหนือจากแขนซ้ายที่หักแล้ว เด็กชายมีเพียงรอยขีดข่วนตามตัวนิดหน่อยเท่านั้น คนเก็บสมุนไพรเคลื่อนย้ายร่างของเด็กชายไปให้หมอรักษาแขนด้วยความระมัดระวัง แล้วจึงพากลับมาพักรักษาตัวที่กระท่อมของตน
หมอบอกว่าเด็กไม่เป็นไร แขนรักษาหายได้ ที่สลบไปเพราะขาดอาหาร ป้อนข้าวป้อนน้ำหน่อยเดี๋ยวก็ฟื้น ทว่าคนเก็บสมุนไพรยังไม่ทันเตรียมอาหารมาให้ เด็กชายก็ฟื้นขึ้น...พร้อมความปวดร้าวในศีรษะ
ตอนนั้นคนเก็บสมุนไพรตกตะลึงจนไม่ทราบจะช่วยอย่างไรดี เขาได้แต่กดหัวไหล่ซ้ายไว้ไม่ให้สามารถเคลื่อนไหวแขนที่บาดเจ็บได้ เด็กชายดิ้นพล่านอย่างไร้จุดหมาย มือข้างที่เป็นอิสระพาลไล่ทึ้งศีรษะและเส้นผมของตน คล้ายคิดจะเอาความปวดร้าวทั้งหมดออกมา จนกระทั่งในที่สุดมือนั้นก็คว้าสิ่งหนึ่งไว้ได้...จี้หยกที่คล้องไว้กับตัว เด็กชายกำมันไว้แน่นแล้วเริ่มสงบลง
คนเก็บสมุนไพรไม่แน่ใจว่าเด็กชายจะอาละวาดอีกหรือไม่ เลยยังคงกดหัวไหล่เด็กชายไว้ สองคนต่างวัยจึงค้างอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานาน ...แล้วทุกอย่างที่สิ้นสุดลงเมื่อเด็กชายบอกว่า
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณท่านมาก”
เมื่อนั้นคนเก็บสมุนไพรจึงปล่อยมือออก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สบตาเด็กชายโดยตรง แล้วก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาคู่นั้น แม้สงบดั่งผืนน้ำนิ่ง แต่ก็แฝงความร้าวระทมไว้อย่างในอย่างลึกล้ำ เขาไม่อยากเชื่อว่าเด็กตัวแค่นี้ อายุอานามไม่น่าจะถึงสิบปีดีด้วยซ้ำ จะมีความทุกข์สาหัสขนาดนี้ได้
กำพร้าหรือ... โดดเดี่ยวหรือ... หิวโหยหรือ...
เขาเองก็เคยกำพร้า โดดเดี่ยว และหิวโหยเหมือนกัน แต่กลับจำไม่ได้ว่าพวกนั้นมันทำให้ทุกข์ได้ขนาดนี้ มันต้องไม่ใช่ความทุกข์ธรรมดาอย่างแน่นอน
คนเก็บสมุนไพรไม่ได้กล่าวอะไรตอบเด็กชาย เขาเดินไปอีกห้อง กลับมาอีกครั้งพร้อมอาหารเล็กน้อยเท่าที่หาได้ เด็กชายรับอาหารไปทานโดยดี ระหว่างนั้นทั้งคู่ไม่ได้สนทนาอะไรกัน จนกระทั่งเด็กชายรับประทานอาหารเสร็จ คนเก็บสมุนไพรจึงตั้งต้นถาม
“เจ้าชื่ออะไร มาจากไหน”
เด็กชายนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำ คนเก็บสมุนไพรคิดว่าเด็กชายไม่ไว้ใจตนเลยเริ่มชวนคุย
“เจ้าผิวพรรณดี เสื้อที่ใส่ก็เนื้อดี ถึงจะขาดลุ่ยหรือสกปรกไปบ้าง แต่จับดูก็รู้แล้ว ผ้าแบบนี้มีแต่พวกคนมีอันจะกินเขาใช้กัน หมู่บ้านจนๆ แห่งนี้ แม้แต่คนที่มีทรัพย์สมบัติเยอะสุดยังไม่แน่ว่าจะมีปัญญาหาซื้อมาใส่ได้ -- เฮอะ” คนเก็บสมุนไพรแค่นเสียงในลำคอ “แต่เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป แม้ข้าจะไม่พอใจพวกคนรวยที่ชอบเอารัดเอาเปรียบอยู่บ้าง ข้าก็ไม่ใจไม้ไส้ระกำขนาดจะทำร้ายเด็กหรอก วางใจเถอะ หากข้าคิดร้ายต่อเจ้า มีหรือจะตามหมอมารักษาแขนของเจ้า ให้เจ้านอนบนเตียงของข้า กันเจ้าไม่ให้ทำร้ายตัวเอง”
เด็กชายได้ฟังดังนั้นก็ได้แต่ส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างเชื่องช้า
“ท่านผู้มีพระคุณ ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
คนเก็บสมุนไพรเอ่ยถามต่อทันที
“เข้าใจผิดอันใด”
“ข้ามิได้ไม่ไว้วางใจท่าน ข้าทราบน้ำใจดีงามของท่านอย่างแจ่มแจ้ง เพียงแต่ข้าไม่อาจบอกได้ว่าข้าเป็นใคร หรือมาจากไหน เพราะว่า...ข้าจำไม่ได้”
จำไม่ได้! นี่มันเรื่องอะไรกัน!
คนเก็บสมุนไพรเคยได้ยินมาเหมือนกันว่า หากศีรษะถูกกระแทกแรงๆ ก็ทำให้คนโง่ลงได้ แต่ไม่เคยรู้ว่าก่อนว่า ความโง่ที่ว่าจะรวมถึงลืมอดีตของตนไปด้วย แม้จะไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อมองหน้าเด็กชายแล้ว เขาก็รู้ว่าทุกคำพูดคือความสัตย์จริง หรือความปวดร้าวที่ปรากฏให้เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้กัน
“ข้าจำได้แค่ว่า ข้านอนเกยอยู่ที่ริมตลิ่ง รอบตัวข้ามีเพียงเศษไม้กระดานที่ถูกพัดมาตามน้ำ... เรื่องราวก่อนหน้านี้ข้านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก...” เด็กชายพูดได้ราบเรียบเหมือนเป็นมันเป็นความทุกข์ของผู้อื่นหาใช่ของตน แต่ยิ่งพูด คนฟังก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความปวดร้าวที่แฝงไว้
“เจ้าอยู่กับข้าไปก่อนก็ได้” คนเก็บสมุนไพรเสนอ “ข้าเป็นเพียงคนเก็บสมุนไพรธรรมดา แม้ขัดสนอยู่บ้าง แต่พอจะเลี้ยงเด็กอีกคนไหว อยู่กับข้าไปจนกว่าจะนึกออก หรือจนกว่าจะมีคนมารับเจ้าก็ได้”
ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างขึ้น “แต่ข้า...”
“ไม่ต้องมาแต่” คนเก็บสมุนไพรรีบขัด “ฟังจากที่เจ้าเล่าแล้ว เรือที่เจ้าโดยสารมาคงล่มกลางพายุ ดูจากจี้หยก ผิวพรรณ และเสื้อผ้าของเจ้าแล้ว บ้านเจ้าคงร่ำรวยน่าดู ไว้พอคนที่บ้านมารับเจ้า ข้าค่อยเรียกเงินค่าดูแลเยอะๆ ก็ได้ ต่อไปข้าจะได้นั่งกินนอนกินไปวันๆ”
เด็กชายเป็นเด็กฉลาด เขาเข้าใจอุบายของคนเก็บสมุนไพรในทันที คนคนนี้หาใช่คนโลภเห็นแก่เงินอย่างที่พูดหรอก อีกอย่าง ถ้าเรือแตกทั้งลำก็คงไม่มีใครคิดว่าจะมีคนรอดชีวิตมาเกยตื้นได้
ที่บ้านหรือ... เขานึกอะไรเกี่ยวกับมันไม่ออกเลย อย่างไรก็ตาม เด็กชายก็รู้ว่าคนเก็บสมุนไพรมีเมตตา อยากช่วยดูแลตน ความรู้สึกอุ่นใจนั้นทำให้รอยยิ้มเล็กๆ เผยออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ายิ้มแล้วดูดี” คนเก็บสมุนไพรเปรยขึ้น “ข้าถือว่ารอยยิ้มนั้นคือคำตอบตกลงของเจ้าแล้วกัน ข้าชื่อจีตง ส่วนเจ้า... จำชื่อของตัวเองไม่ได้ใช่ไหม”
เด็กชายส่ายหน้า จีตงจึงกล่าวต่อ
“ดี ข้าจะตั้งชื่อใหม่ให้เจ้า ต่อไปนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘จงชิว’ เพราะข้าพบเจ้าในวันนี้ วันกลางฤดูใบไม้ร่วง ใครว่าฟ้าวันนี้วิปโยค ข้าว่ามันเป็นลางดีมากกว่า เพราะข้าได้พบกับเจ้า แล้วเจ้าจะทำให้ข้ารวย จีตง จงชิว คล้องกันดีใช่ไหมล่ะ”
คนเก็บสมุนไพรหัวเราะเสียงดังปิดท้ายหลังกล่าวจบ คนฟังก็ยิ้มไปกับเขาด้วย เป็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ตั้งแต่วันนั้น เด็กชายก็ยึดถือนาม ‘จงชิว’ เป็นชื่อของตนเรื่อยมา
ความคิดเห็น