ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 เมืองไร้ผู้คน [1]

    • อัปเดตล่าสุด 13 เม.ย. 52


    บทที่ 1 เมืองไร้ผู้คน

    [1]

     

                    แสงสว่างหลากสีสันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ายามราตรีอันเงียบสงบเหนือเมืองเมืองหนึ่ง ประกายแสงสวยงามเรียงตัวกันเป็นริ้วผ้ากลางอากาศ งดงามหมดจดดุจดั่งม่านสวรรค์กางกั้นระหว่างแผ่นฟ้า ผืนม่านกำลังพัดพลิ้วอย่างอ่อนช้อย สรรพแสงสีแปลงเปลี่ยนไป ไล่ระดับไปเรื่อยตามจังหวะการเคลื่อนไหวของกระแสลม

                    เด็กน้อยคนหนึ่งล่องลอยออกมาจากม่านแสง ร่างเยาว์วัยนั้นอยู่ในท่าที่กางแขนออกห่างจากลำตัวเล็กน้อย ราวกับว่าสามารถร่อนไปบนท้องฟ้าได้ตามใจปรารถนา หากมองดูดี ๆ คงสังเกตได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิง แม้ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอจะถูกตัดสั้น แลดูคล้ายเด็กชายอยู่บ้าง แต่ด้วยปลายจมูกเชิดรั้น ผิวสีขาวออกเหลืองนวล และปากเล็กจิ้มลิ้ม ที่ทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักสดใสสมวัย ก็เพียงพอจะเป็นข้อสรุปเรื่องเพศของเด็กน้อยได้แล้ว

                    กระแสอากาศที่โอบอุ้มอยู่รอบกายเธอค่อย ๆ นำพาร่างเล็กลอยต่ำลงช้า ๆ ก่อนส่งต่อให้ผืนแผ่นดินคุ้มครอง เด็กหญิงเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อฝ่าเท้าสัมผัสพื้น นัยน์ตากลมโตสีน้ำเงินเข้มที่ขุ่นมัวในตอนแรกกลับมีประกายแวววาวสดใสเรืองรองดั่งอัญมณี ร่างที่เคยโงนเงนไปมาอยู่บ้างก็เปลี่ยนเป็นท่ายืนหยั่งเท้าอย่างมั่นคง สติรับรู้พลันหวนคืน

                    เด็กหญิงกวาดตามองไปโดยรอบ เมื่อสังเกตเห็นสิ่งที่นำพาเธอมาจึงเอ่ยเอื้อนออกมา

                    “คราวนี้ลงจอดดีนี่ ขอบคุณมากนะ !” ประโยคแรกคล้ายพึมพำกับตัวเอง ส่วนประโยคหลังนั้นหันไปตะโกนให้กับม่านแสง

                    เสมือนรับรู้เสียงของเธอ สีสันของม่านแสงอ่อนจางลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเลือนหายไปในที่สุด เมื่อนั้นเด็กหญิงจึงละสายตา หันเหความสนใจมายังตัวเองแทน

                    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มไล่สำรวจตั้งแต่เสื้อแขนยาวลายทางสีฟ้าขาวตัวใน สวมทับด้วยเสื้อแขนกุดพร้อมฮู้ดคลุมสีเข้าชุดกัน กางเกงเป็นกางเกงขายาวสีดำที่ปลายขากางเกงถูกพับขึ้น ควบคู่กับรองเท้าผ้าใบสีขาวคล่องตัว ด้านหลังสะพายกระเป๋าเป้สีน้ำตาลขนาดพอเหมาะ... สรุปว่าของสำคัญทุกอย่างอยู่ครบ ทดลองขยับแขนขาดู ก็พบว่าร่างกายเคลื่อนไหวได้เป็นปกติดี ทราบเช่นนั้นแล้ว เด็กหญิงจึงเปลี่ยนไปศึกษาภูมิประเทศโดยรอบ

                    ตอนนี้ตัวเธออยู่บนเนินสูงโล่งในป่าโปร่งข้างเมืองแห่งหนึ่ง มองจากระยะนี้ สามารถเห็นโครงสร้างบ้านเมืองมีลักษณะคุ้นตาอยู่บ้าง คงเป็นเพราะที่นี่มีความเหลื่อมล้ำทางมิติซึ่งไม่แตกต่างจากดินแดนที่เธอเคยไปเยือนนัก แต่กะทันหันเช่นนี้ยังนึกไม่ออกว่าเป็นที่แห่งไหน

                    โมงยามนี้เป็นเวลากลางคืน ท้องฟ้ามืดสนิท มีเมฆสีเทาเข้าปกคลุมทั่วไปหมด บดบังทั้งดวงจันทร์ดวงดาว นภากาศเหลือเพียงแสงสลัว ๆ หม่น ๆ ให้พอมองเห็น แลอึมครึมชอบกล มองถัดไปยังบ้านเรือนก็ดูเงียบเชียบ แต่เธอคิดว่าไม่น่าแปลก เพราะอยู่ไกลขนาดนี้ก็คงไม่ได้ยินเสียงอะไรอยู่แล้ว สิ่งที่ดูผิดปกติคือไม่ปรากฏแสงไฟให้เห็นจากหน้าต่างห้องหอใดเลย

                    การสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ เสร็จสิ้น เด็กหญิงตัดสินใจปฏิบัติงานต่อทันที มือเล็กเคลื่อนไปหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา...

                    มันเป็นสร้อยคอที่เธอคล้องติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา วัตถุที่คล้องไว้กับสายสร้อยสีเงินมีลักษณะเป็นวงแหวนแบนราบสองวงซ้อนกัน วงในสีเงิน วงนอกสีทอง แต่ละวงมีรอยสลักเป็นเส้นตรงขีดโดยรอบตามแนวรัศมี อักขระภาษาโบราณสลักล้อมรอบนอกอีกชั้น ตรงจุดศูนย์กลางของวัตถุมีเข็มเรียวยาวสีแดงอยู่ภายใน

                    เด็กหญิงประคองวัตถุนั้นไว้ในฝ่ามือทั้งสอง หลับตาลง ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ นึกถึงภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จลุล่วง วัตถุนั้นค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นสูงจากฝ่ามือเล็กน้อย สายสร้อยที่คล้องเกี่ยววงแหวนไว้ก็เลือนหายไป พร้อมกับวงแหวนทั้งสองที่เริ่มหมุน มันไม่ได้หมุนอยู่กับที่เป็นแนวขนานกับพื้นตามธรรมดา แต่กลับหมุนคว้างเป็นวงสามมิติในทิศทางที่ไม่แน่นอน ปราศจากแกนการหมุนที่แน่ชัด ไม่นานนักความเร็วของการหมุนก็เพิ่มสูงขึ้นจนมองเห็นเป็นทรงกลมสีทองซึ่งมีเงาเลือน ๆ ของทรงกลมสีเงินขนาดเล็กกว่าซ้อนอยู่ภายใน ตัวเข็มสีแดงเองก็หมุนอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน จากนั้นการหมุนก็เริ่มช้าลง กลายเป็นหยุดนิ่งในที่สุด วงแหวนสีทองวางตัวอยู่ในแนวขนานกับพื้น ส่วนวงแหวนสีเงินตั้งฉากกับสีทอง เข็มสีแดงชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ในแนวที่เอนขึ้นจากพื้นดินเล็กน้อย

                    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มลืมขึ้นมา... ทอดมองตามปลายเข็ม ณ ตำแหน่งที่ห่างออกไป ปรากฏเป็นอาคารสูงในใจกลางเมือง มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่โดดเด่นเหนือสถานที่อื่น มองจากระยะนี้ยังคงความตระการตาไว้มากทีเดียว

                    เด็กหญิงเริ่มใช้วัตถุในมือกะทิศทาง คำนวณตำแหน่งต่าง ๆ อย่างคร่าว ๆ เจ้าสิ่งที่อยู่ในมือเธอคือเข็มทิศนั่นเอง แต่มันย่อมไม่ใช่เข็มทิศธรรมดา เข็มทิศนี้หาได้ชี้ไปทางทิศเหนือตลอดเวลาอย่างที่ควรจะเป็น หน้าที่ของมันคือหาตำแหน่งของสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการรู้ โดยบอกทิศทางเป็นสามมิติ ซึ่งนั่นหมายถึงมันอาจชี้ขึ้นฟ้าหรือลงดินก็เป็นได้

                    ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการ เข็มทิศวิเศษก็คืนรูปกลับสู่สภาพเดิม - แบนเรียบ พร้อมสายสร้อยสีเงินที่ร้อยอยู่กับวงแหวนก็กลับคืนมา เพื่อที่เจ้าของจะได้นำมาคล้องไว้กับตัวอีกครั้ง

                    สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาทางเข้าเมืองให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปยังอาคารนั้น และบางทีครั้งนี้อาจจะโชคดีก็ได้

                    จุดมุ่งหมายถูกกำหนดขึ้นในใจเรียบร้อย เด็กหญิงยิ้มน้อย ๆ ให้กับความหวังของตน แล้วเริ่มก้าวขาเดิน มองจากมุมนี้ เธอสามารถเห็นประตูเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่มากนัก อีกทั้งป่าแห่งนี้ก็เป็นป่าโปร่ง การเดินทางในป่าตอนกลางคืนจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับเธอผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในป่ามาแล้ว

                    สาวเท้าก้าวย่างอยู่พักหนึ่ง ประตูเมืองบานหนาก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เปิดอ้ากว้างไว้ทั้งที่เป็นเวลากลางคืน

                    แปลกจัง ประตูไม่ได้ปิด...

    เธอสอดส่ายสายตามองรอบ ๆ เพื่อยืนยันความมั่นใจ

                    ไม่มีคนเฝ้าประตูเลยด้วย...

                    แต่ก็... ช่างเถอะ...

                    ผู้มาเยือนละความคิด แล้วเดินเข้าเมืองต่อ ภายในเมืองเงียบ มืด และวังเวงกว่าที่คาดไว้เสียอีก ไม่มีมนุษย์ สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอื่นใดเดินผ่านมาให้เห็น เสียงที่ได้ยินก็มีแต่เสียงฝีเท้าของตัวเธอเองกับเสียงลมเอื่อย ๆ ที่พัดผ่าน พอเดินลึกเข้าไปก็เกิดความรู้สึกประหลาด เหมือนมีคนจ้องมองมาอยู่ตลอดเวลา ...หลายคนเสียด้วยสิ... ทว่าเด็กหญิงหาได้กังวลหรือหวาดกลัวไม่ ยังคงก้าวเดินไปยังจุดหมายปลายทางอย่างไม่ลดละ พลางสำรวจสภาพบ้านเรือนเพื่อสืบเสาะข้อมูลไปด้วย

                    ถนนที่เธอกำลังอาศัยนำทางอยู่นั้นกว้างขวาง คาดว่าคงเป็นถนนสายหลักของเมือง บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ วางตัวกระจายอยู่ห่าง ๆ กันตามรายทาง โครงสร้างและแบบแผนของสถาปัตยกรรมที่นี่ดูเก่าแก่กว่ายุคของเธอ มีความงดงามอลังการเสมือนผู้สร้างจงใจสะท้อนความยิ่งใหญ่ของวัฒนธรรมและความภาคภูมิใจในฝีมือแห่งตนออกมา หากเทียบตามตำราประวัติศาสตร์ของโลกอนาคต แนวทางเช่นนี้คงคล้ายคลึงกับแดนตะวันออกโบราณ

                    ความเหลื่อมล้ำทางมิติในด้านวัฒนธรรมอยู่ในเกณฑ์ที่ปรับตัวเข้าหาได้...

                    เด็กหญิงประเมินข้อมูลอยู่ในหัว ตามหลักอันพึงกระทำที่มีคนแนะนำมา ความเหลื่อมล้ำทางมิติจำเป็นต้องนำมาพิจารณาเสมอเมื่อมายังดินแดนใหม่ ...หากความเหลื่อมล้ำทางมิติมีมากเกินไป ที่นี่อาจเป็นอันตรายได้

                    นัยน์ตาคมเคลื่อนคล้อยมองถัดไป พบเห็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ริมทาง บริเวณนั้นคงเป็นสวนอะไรสักอย่าง สังเกตจากต้นไม้ที่ขึ้นอยู่มากมาย ทว่าเมื่อเดินเข้ามาใกล้และทอดสายตามองต่ำลงไปที่พื้น กลับเห็นเป็นวัชพืชขึ้นรกรุงรังอยู่ในแปลงดิน มีดอกไม้เล็ก ๆ แทรกขึ้นมาบ้าง ครั้งหนึ่งที่นี่คงเคยเป็นแปลงดอกไม้แสนสวย แต่ยามนี้ปราศจากคนเหลียวแล ดอกไม้ก็เหยี่ยวเฉาร่วงโรย... นอกจากตรงจุดนี้แล้ว สภาพเมืองโดยรวมก็ดูสะอาดเรียบร้อยและเป็นระเบียบดี

                    เมื่อเดินข้ามสะพานตัดข้ามคลองขุดก็เข้ามาสู่เขตที่คาดได้ว่าเป็นย่านการค้า เนื่องจากมีป้ายร้านรวงต่าง ๆ เต็มไปหมด หากแต่ไม่มีร้านใดเลยที่เปิดทำการในตอนนี้

                    เวลานี้คงดึกมากแล้ว... ทุกคนจึงนอนหลับกันหมด... ไม่เช่นนั้นที่นี่คงมีกฎห้ามออกนอกบ้านเวลากลางคืน... บางทีอาจจะมีปีศาจอาละวาดเวลากลางคืนก็เป็นได้...

                    คนตัวเล็กคิดหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองเสร็จสรรพอย่างไม่นึกหวาดกลัว...

                    แต่ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉันนี่...

                    ก่อนจะปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้พ้นตัว ดังความผิดปกติทุกอย่างไม่สลักสำคัญสำหรับเธอ คิดได้เช่นนั้นแล้วก็เดินชมเมืองต่ออย่างสำราญใจ

                    ตัวอักขระบนป้ายของที่นี่ดูวิจิตรพิศวง ดูเผิน ๆ คล้ายกับภาพวาด ซึ่งเธอคงอ่านไม่ออก และไม่มีทางเข้าใจความหมายได้ ถ้าปราศจากเครื่องมือช่วยแปลภาษาที่พกติดตัวไว้ตลอด

                    มีข้อมูลเกี่ยวกับมิตินี้เพียงพอสินะ... ยังไม่ทันคุยกับใครเลยก็แปลได้แล้ว...

                    ยอดเยี่ยมเหมือนเคย...

                    เด็กหญิงยกมือขึ้นสัมผัสสายสร้อยสีเงินที่คล้องเข็มทิศไว้ แต่เพียงครู่หนึ่งก็ละออก เมื่อนั้นเอง สีสันของมันก็เลือนหายไปกับสิ่งรอบข้าง

                    หากมีใครคิดวิ่งราวสร้อยเส้นนี้ไปคงแย่ ซ่อนไว้อย่างเดิมดีที่สุดแล้ว แม้ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีใครเลยก็เถอะ...

                    การระแวดระวังไว้ก่อนย่อมไม่เสียหายอะไร ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้ปลูกฝังนิสัยนี้ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเธออย่างแยกไม่ออกเสียแล้ว

                    ขาคู่เล็กก้าวย่างอย่างรวดเร็ว เร่งนำพาเจ้าของเข้าไปยังใจกลางเมือง ข้ามผ่านสะพานอีกแห่งหนึ่งสู่เขตชั้นใน สภาพบ้านเรือนแถบนี้แลแออัดกันมากขึ้น แต่ก็ได้รับการออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ ดูประณีตกว่าบ้านเรือนชั้นนอก คนกำลังเดินเล่นชมเมืองเพลิน ๆ จึงสรุปเอาว่านี่คงเป็นถิ่นของชนชั้นกลางไม่ก็ชั้นสูง

                    ในที่สุดก็มาถึงอาคารหลังนั้นจนได้ ความรู้สึกว่าถูกจับตามองมาตลอดทางเริ่มมลายหายไป เด็กหญิงผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ไม่หยุดพักนานให้เสียเวลา เธอสำรวจตัวอาคารต่อทันที

                    สิ่งก่อสร้างเบื้องหน้าโดดเด่นด้วยความสูงเหนือกว่าอาคารอื่นในเมือง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือความงดงามของการตกแต่งตัวอาคาร โค้งหลังคามุงกระเบื้องอย่างบรรจง เสา วงกบ หน้าต่าง และบานประตูต่างสลักเสลาลวดลายชดช้อย รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะกึ่งรูปธรรมกึ่งนามธรรมหลากหลายลักษณ์ตั้งตระหง่านตามทางเดินซึ่งนำพาเข้าสู่โถงประตูทางเข้าใหญ่ รวมกันทั้งหมดแล้ว... ที่นี่คงเป็นพระราชวัง ไม่ก็ที่พักของผู้มีอำนาจสูงสุดของเมือง

                    เด็กหญิงเดินเข้าไปในตัวอาคาร ความตื่นเต้นซุกซ่อนอยู่ในดวงตาคู่สวย เธอชื่นชอบศึกษาความแปลกใหม่ของวัฒนธรรมของสถานที่ต่าง ๆ ด้วยตาตนเองเสมอ แม้ว่าจะเคยไปเยือนมาหลายที่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ ในความคลับคล้ายมักมีความแตกต่างที่น่าค้นหา นี่เป็นนิสัยแบบเด็ก ๆ อย่างหนึ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในตัวเธอกระมัง - ยินดีที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้สำรวจ ได้ค้นพบ

                    ภายในอาคารไม่ได้มืดสลัวแบบภายนอก มีโคมไฟทรงกลมประดับอยู่ตลอดทางเดิน ไฟถูกจุดไว้คล้ายต้อนรับการมาเยือนของเธอ เด็กหญิงตัดสินใจพักการชมความงามของสถานที่ไว้ก่อน มุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของอาคารแทน ถ้าเธอคำนวณไม่ผิด เข็มทิศชี้มายังจุดนั้น

                    ระหว่างทางก็ไม่พบเจอผู้คนอยู่ดี แต่เด็กหญิงไม่สนใจ เมื่อใกล้ถึงที่หมาย เธอก็เริ่มคิดถึงเรื่องอื่นเสียแล้ว

                    บางทีคราวนี้อาจจะง่ายก็ได้...

                    บางทีอาจจะได้เจอก็ได้...

                    เพราะเธอนึกถึงคนคนนั้น แล้วเข็มทิศก็ชี้มายังที่นี่ ปกติแล้วถ้าไม่เจอร่องรอยของสิ่งที่ตามหาเลย เข็มทิศจะไม่มีปฏิกิริยา แต่ครั้งนี้กลับกัน และเหตุการณ์เช่นนี้ก็น้อยครั้งนักจะประสบ ยิ่งคิด ยิ่งมีความหวัง เด็กหญิงรีบก้าวเดิน จากเดินเป็นวิ่ง และวิ่งเร็วขึ้นอีกหลายระดับ ก้าวกระโดดขึ้นบันไดไปเรื่อย หักเลี้ยวหัวมุมอีกสองสามแห่ง เธอสามารถเดินได้ถูกทาง โดยไม่หลงเลยสักนิด จนกระทั่งมาถึงชั้นบนสุด

                    เธอเปิดประตูที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเข้าไปโดยไม่คิดจะรีรอ...

                    “ยินดีต้อนรับท่านผู้กล้าจากต่างมิติ”

     

                                   

                     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×