ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องบ้าๆ ของผม

    ลำดับตอนที่ #2 : ผม(เคย)เป็นคนธรรมดา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.42K
      6
      23 ต.ค. 53

    - 2 -

    ผม(เคย)เป็นคนธรรมดา

                เมื่อก่อน ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาที่ประหลาดที่สุดในโลกนี้ และตอนนี้ก็อาจจะยังเป็นอยู่ เพียงแต่ผมเริ่มอยากเป็นคนบ้าๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

                ต้องขอบอกว่าไว้ก่อนว่า สมัยนี้ประชากรในโลกมีอัตราการเพิ่มจำนวนที่คงที่ แม้ว่าปัญหาประชากรล้นโลกจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป และไม่มีนโยบายคุมกำเนิดหรืออะไรพวกนั้นแล้วก็ตาม มนุษย์ที่อยากมีลูกไว้ดำรงเผ่าพันธุ์ก็มีน้อยอยู่ดี ลดจำนวนลงมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ก็ในเมื่อในสมัยนี้คนสามารถอายุยืนเป็นหมื่นปีพันปีได้ไม่ต่างจากคำอวยพรถวายฮ่องเต้ แล้วจะมีลูกไว้สืบสกุลทำไมกันล่ะ แน่นอนว่านี่อาจเป็นเพียงทำเปรียบเปรยที่เกินจริงไปบ้าง เพราะเวลาที่ผ่านมายังไม่นานพอจะพิสูจน์สมมติฐานนี้ (ผมไม่ค่อยแน่นักว่ามีนักท่องเวลาข้ามไปในอนาคตเพื่อยืนยันเรื่องนี้หรือยัง) แต่อัตราคนเกิดและคนตายก็น้อยติดดินจริงๆ ละนะ

                เมื่อเป็นดังนั้น มนุษย์อายุเยาว์ทั้งหลายที่เพิ่งเกิดใหม่ขึ้นมาจริงๆ ซึ่งมิใช่ผู้เฒ่าแก่หง่อมที่ชอบคงความเด็กไว้ด้วยศาสตร์ต่างๆ เช่น ตัวผม ก็ต้องมีจุดประสงค์ในการถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งความมุ่งหมายของพ่อแม่ของผมก็คือ ต้องการสร้างคนที่ธรรมดาที่สุดขึ้นมานั่นเอง (คนอื่นเขาอยากสร้างลูกของตนออกมาให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ หรือเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่งกัน แต่พ่อแม่ของผมอยากให้ลูกเป็นคนธรรมดา ช่างน่านับถือในความไม่โลภมากของพวกท่านเสียจริง)

                ด้วยเหตุการณ์นี้เอง ชีวิตที่ผ่านมาของผมจึงเป็นไปอย่างธรรมดาที่สุดท่ามกลางความแปลกประหลาดของโลกที่หมุนไป ผมมีชื่อที่ฟังดูเหมือนคนปรกติทั่วไปในภาษา...

                ภาษาอะไรนะ ผมชักจำไม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้เอกลักษณ์ของภาษาต่างๆ ไม่ค่อยมีความสำคัญเหมือนเมื่อก่อน แม้คนจะพูดภาษาต่างกัน เขียนข้อความคนละภาษากัน ก็ยังเข้าใจกันได้ ด้วยระบบแปลภาษาอัตโนมัติที่เป็นคลื่นลอยอยู่ในอากาศรอบตัวเรานี่แหละ ถึงคุณจะพูดภาษาที่คุณคิดค้นขึ้นใหม่เองก็ยังมีคนฟังคุณเข้าใจได้เลย ถ้าคุณอยากให้อีกฝ่ายเข้าใจ เอาเป็นว่าภาษาที่ผมใช้ก็คือภาษาที่ผมพูดได้เป็นภาษาแรก เป็นภาษาที่พ่อแม่ใช้พูดกับผมและผมก็เรียนรู้จากพวกท่านมา อ้อใช่ ผมนึกออกแล้ว เขาเรียกภาษาประเภทนี้กันว่าภาษาแม่นั่นเอง

                กลับมาเรื่องชื่อของผมดีกว่า...

                ถึงจะบอกว่าธรรมดา แต่ผมก็ไม่ได้ชื่อ นายธรรมดา นายสามัญ หรือนายธรรมชาติหรอกนะ ชื่อพวกนั้นแม้ความหมายจะธรรมดาจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่ชื่อที่ธรรมดาหรอก...หรือไม่ใช่

                ผมชื่ออันเวส ถ้าออกเสียงตามภาษาแม่แล้วมันจะอ่านว่า อัน - เวด ตรงๆ ไม่มีเสียงสั่นเสียงซ่าที่ข้างท้ายตามอย่างสมัยนิยม แต่เพราะผมคิดว่ามันฟังดูไม่เป็นสากล และไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่ เลยมักบอกคนอื่นว่าผมชื่อ อันเว้ส ด้วยโทนเสียงท้ายคำที่ขึ้นสูงหน่อย

                ผมมีผมและดวงตาสีดำ ตัวสูงกำลังพอดี เกณฑ์นี้เทียบจากการที่ผมต้องเงยหน้าคุยกับคนอื่นบ้างส่วนหนึ่ง ต้องก้มหน้าคุยด้วยบ้างอีกส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็สามารถสบตาคุยกันได้ หากพิจารณาแบ่งเชื้อสายตามเผ่าพันธุ์แล้วผมก็น่าจะเป็นชาวมองโกลอยด์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ซึ่งนับว่าพอจะแปลกอยู่บ้าง เพราะยุคนี้กระแสลูกครึ่งลูกผสมต่างๆ กำลังกลับมาเป็นที่นิยม แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า กระแสนิยมเหล่านี้ก็เหมือนคลื่นน้ำ มีมาแล้วก็มีจากไป นานเข้าก็หวนย้อนกลับมาใหม่ อีกไม่นานชาวเอเชียก็คงกลายเป็นที่ชื่นชอบ แล้วผมก็จะกลายเป็นคนธรรมดาดาษๆ ยิ่งกว่าเดิม แต่ตอนนี้ก็ถือว่าผมนำสมัยไปก่อนแล้วกัน

                ผมเข้าเรียนตามหลักสูตรที่เคยเป็นพื้นฐานภาคบังคับในสมัยก่อน (ที่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครมาบังคับให้เรียนกันแล้ว) ผมรู้ข้อมูลคร่าวๆ ในเรื่องทั่วๆ ไป หลายๆ เรื่อง ผลการเรียนก็กลางๆ ทำอะไรเป็นพอประมาณ เป็นคนธรรมดาที่อยู่กลางๆ สมใจอยากพ่อแม่

                แล้วชีวิตธรรมดาของผมก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง

                ...แฟนผมเอง

                เอ่อ... จริงๆ แล้วเธอไม่ใช่แฟนผมหรอก ผมทึกทักเอาเองแหละ แต่ผมก็ช่วยดูแลเธอ เอาใจใส่เธอตั้งหลายอย่างนะ

                สำหรับคนที่ธรรมดาที่มีภูมิต้านทานต่อเรื่องประหลาดสูงอย่างผม เธอเป็นคนที่แปลกที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยละ ดูเหมือนเธอจะเป็นคนใสๆ ที่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้นัก แต่ก็ไม่เหมือนคนที่เพิ่งหลุดออกมาจากกรอบวัฒนธรรมที่ตนเติบโตขึ้นมาและได้ออกมามองโลกนอกกะลาเป็นครั้งแรกอยู่ดี เอาเป็นว่าเธอแปลกและไม่เหมือนใครก็แล้วกัน ให้ผมเล่าเรื่องของเธอออกไปก็คงไม่จบง่ายๆ อีกอย่างเรื่องเกี่ยวกับเธอผมอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำส่วนตัว ไม่อยากเปิดเผยมากนัก คุณต้องลองมาเจอเธอด้วยตัวเองแล้วจะรู้ว่าเธอแปลกและมีเสน่ห์แค่ไหน

                ผมดีกับเธอตั้งมากมาย ยอมตามใจเธอทุกอย่าง ไม่ว่าเธอขออะไรก็ให้หมด แต่แล้ว อยู่ดีๆ เธอก็บอกลาผม บอกว่าต้องไปแล้ว แล้วก็หายไปเฉยๆ เสียเลย เหมือนเธอเรียนรู้โลกนี้มากพอแล้ว ตักตวงผลประโยชน์ที่ต้องการจากผมหมดแล้วก็หายไป ที่จริงถ้าได้อยู่กับเธอต่อ ผมก็ยินยอมพร้อมใจให้เธอหลอกใช้ผมไปได้เรื่อยๆ แต่เธอก็ไม่อยู่แล้วเสียนี่ (ความจริงที่ช่วยเธอทั้งหมดนั้น ผมไม่เดือดร้อนอะไรเลย เพราะว่าในโลกบ้าๆ นี่ คนเรามีได้ทุกอย่างที่ต้องการ)

                ลองคิดดูละกันว่า คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อจู่ๆ คนที่เหมือนต้องการความช่วยเหลือจากคุณอยู่ตลอดเวลา ต้องพึ่งพาคุณเสมอ ต้องการความดูแลเอาใจใส่จากคุณหายตัวไปอย่างลึกลับ และคุณตามหาเท่าไรก็ไม่เจอเธออีก

                ผมซึมเศร้าอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เริ่มตั้งคำถามว่าทำไมผมถึงไม่เป็นที่ต้องการ ผมครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนัก วิเคราะห์ทุกแง่มุม ทีละประเด็น หน้าตาผมก็อยู่ในเกณฑ์ดีใช่จะเลวร้าย (ก็สมัยนี้ใครๆ ก็หน้าตาดีปานเทพบุตรเทพธิดากันทั้งนั้น) นิสัยผมก็ใช้ได้ นี่หาใช่การเยินยอเกินจริงหรือหลงคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะคนรู้จักทุกคนล้วนบอกว่าผมเป็นคนดีกันทั้งนั้น ผมนั่งคิด นอนคิด กลิ้งทิ้งอยู่หลายตลบแล้ว จู่ๆ ก็ได้คำตอบอันแสนบรรเจิดขึ้นมาว่า ผู้หญิงอาจจะไม่ชอบคนดีก็เป็นได้

                แต่ไหนแต่ไรมา ตัวร้ายที่ชั่วร้ายโหดเหี้ยมทั้งหลายมักได้รับความนิยมจากสาวๆ มากกว่าพระเอกแสนดี พระเอกที่นิสัยแย่กว่าพระรองที่ดีกับนางเอกมากมายก็ได้ครองคู่กับนางเอก...

                ฮ่า! หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่จริง

                ผมรีบเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของสิ่งตรัสรู้ได้กับสถิติในฐานข้อมูล และก็พบว่าตรงตามนั้น ผู้หญิงชอบคนชั่วคนเลวมากกว่าคนดีจริงๆ มีทฤษฎีทางจิตวิทยารองรับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ผมขี้เกียจจะสนใจ ในเมื่อผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากอยู่แล้ว ผมก็ไม่อยากจะเข้าใจ แค่รู้เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ

                ต่อไป ผมจะไม่ใช่คนธรรมดา ผมจะผันตัวเองเป็นคนเลวให้ผู้หญิงทั้งหลายต้องมาหลงรักแทน

                วะหะฮ่า...!

                ผมเชิดหน้า แอ่นอก และเริ่มต้นฝึกหัวเราะอย่างตัวร้ายโดยพลัน

                ว่าแต่... การจะเป็นคนเลว เป็นตัวร้ายที่ดีได้ ต้องเริ่มต้นอย่างไรล่ะ แค่หัวเราะอย่างชั่วร้ายเท่านั้นคงไม่ช่วยอะไรมากนักกระมัง

                ด้วยความสงสัย ผมจึงค้นหาข้อมูลต่อไป แล้วก็พบว่า มีกลุ่มคนที่มีความคิดคล้ายๆ ผมอยู่หลายกลุ่ม ทั้งสำนักฝ่ายอธรรมทั้งหลายในยุทธจักร (วัฒนธรรมจีนยังคงเป็นที่นิยมในซีกโลกตะวันออก) ทางด้านวัฒนธรรมตะวันตกก็มีพวกต่อต้านคริสตจักร และผู้ที่นับถือซาตานทั้งหลาย ในเกมโลกเสมือนแฟนตาซีต่างๆ ก็มีเผ่าปีศาจหรืออสูรให้เลือกเล่น ผมอาจเริ่มต้นเป็นตัวร้ายง่ายๆ ด้วยการสมัครเข้าเป็นพรรคพวกกับกลุ่มเหล่านั้น แต่พอคิดว่าเข้าไปแล้วก็คงเป็นได้แค่ลูกน้องอันดับรั้งท้ายของพวกหัวหน้าหรือผู้ก่อตั้งเท่านั้น สู้ผมสร้างหลักสูตรการเป็นคนเลวที่สมบูรณ์ของตัวเองขึ้นมาใช้เองดีกว่า ถ้าทำได้สำเร็จคงดูเท่ไม่หยอกเลย คงเหมือนได้คิดค้นสุดยอดวิชาขึ้นมา หรือได้รับรางวัลโนเบลสาขาสร้างสรรค์ตัวร้ายยอดเยี่ยมอย่างใดอย่างนั้น

                ผมเริ่มรู้สึกมีไฟ อยากทำอะไรขึ้นมาแล้วละ นี่สินะความบ้าที่คนทุกมีกัน นี่เองสินะที่เป็นตัวการขับเคลื่อนให้โลกบิดเบี้ยวนี้หมุนไปได้

                และแล้ว...ผมก็หลุดจากวิถีวงโคจรแห่งชีวิตสามัญเดิมที่เคยมี เข้าสู่หนทางแห่งความบ้าระห่ำ ชั่วช้า สามานย์และเลวทรามบริสุทธิ์ด้วยการอดหลับอดนอน ค้นข้อมูลอยู่คืนหนึ่ง โดยที่ก่อนหน้านี้ผมเป็นเด็กดี เข้านอนตรงเวลาตามที่แม่สอนเสมอ

                อา... ความบ้านี่ทำให้คนเราทำอะไรก็ได้จริงๆ ด้วย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×