OS : น้องนิติพี่วิศวะ #10waysproject
เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับโลกใบนี้ เวลาไม่เคยคอยใคร และมันหวนกลับคืนมาไม่ได้ เวลาไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เวลาจึงสำคัญมาก สำหรับทุก ๆ คนบนโลกนี้
ผู้เข้าชมรวม
495
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับโลกใบนี้
เวลาไม่เคยคอยใคร และมันหวนกลับคืนมาไม่ได้
เวลาไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
เวลาจึงสำคัญมาก สำหรับทุก ๆ คนบนโลกนี้
ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ก่อนจะลูบหน้าปัดเบาๆ ก่อนจะเหลือบสายตามองนาฬิกาดดิจิตัลบนผนังห้องที่บอกเวลาเที่ยงวัน เวลาแห่งการพักรับประทานอาหารกลางวัน แต่ตัวผมเองยังคงไม่สามารถละมือไปจากเอกสารกองโตที่อยู่บนโต๊ะได้เลย ครู่หนึ่งเสียงเปิดประตูพลันดังขึ้นพร้อมร่างของเลขาตัวเล็กของเขาที่เดินเข้ามาพร้อมกล่องข้าวพลาสติกในมือ
“พี่เอก นี้ข้าวกลางวันครับ” เขาวางกล่องลงบนโต๊ะอย่างที่ทำเป็นประจำ ก่อนจะเขยิบตัวไปยืนอยู่ด้านข้างเพื่อรอเอกสารฉบับสุดท้ายที่ผมกำลังกวาดสายตาอ่านมันอยู่
“เย็นนี้ผมมีนัดที่ไหนอีกรึเปล่า”ผมถามเขาอีกครั้งเพื่อรีเช็คเวลาให้แน่ใจว่าช่วงหลังจากนี้ผมไม่มีงานอะไรที่ไหนแล้วแน่ๆรึเปล่า
“ไม่มีแล้วครับ เซ็นเอกสารฉบับนั้นก็สุดท้ายแล้ว”
“โอเค งั้นเดี๋ยวคุณกับธัญจัดการอะไรเสร็จก็กลับได้เลยนะ บอกคนอื่นด้วยถ้าเรียบร้อยแล้วก็กลับเลย วันนี้ผมฟรีเดย์ให้วันนึง ไหนๆพรุ่งนี้ก็วันแรงงาน” ผมยิ้มออกมาหลังจากอ่านบรรทัดสุดท้ายในหน้าเอกสารจบ หยิบปากกาน้ำเงินที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมากดเซ็นชื่อลงไปยังช่องลงนามก็เป็นอันเสร็จ
ปีเตอร์พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของผมก่อนจะยิ้มกริ่ม คงเห็นว่ามันนิ่งสนิทไม่ขยับเขยื้อนกระมังถึงไม่ยิ้มเพล่ราวกับล้อเลียนผมแบบนั้น
“พี่เอก นาฬิกาตายบ่อยนะครับ ช่วงนี้” ยังไม่ทันขาดคำ เจ้าเลขาตัวดีก็เล่นผมจนได้ แต่ยังไม่ได้ทันจัดการอะไรกับคำแซว เจ้าตัวดีก็คว้าเอากองเอกสารเดินฉับๆ ออกไปอย่างว่องไวอย่างกับรู้ว่าถ้าอยู่นานกว่านี้อีกเสี้ยวนาทีจะโดนเอ็ดตะโรเอาเป็นแน่แท้
ผมทำได้แค่ส่ายหัวยิ้มๆกับท่าทีแสนซนในบางครั้งของเจ้าเลขาตัวดีที่เปิดตูดหนีออกไปจากห้องแล้ว มือก็หยิบนั้นหยิบนี้เก็บเข้าไปในลิ้นชักโต๊ะแทนที่จะหอบหิ้วกับบ้าน ผมเหลือบมองป้ายพนักงานในลิ้นชัดที่ให้ลูกกน้องทำเกินมาไว้ให้ ปลอมตำแหน่งนิดๆหน่อยๆจากรองผู้บริหารบริษัท เป็นหัวหน้าแผนกบัญชีก็เท่านั้นเอง..
ผมหยิบมันมาสวมคอทั้งๆที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่เอามาใส่แล้ว แต่ก็นะ ใส่ไปหน่อยเพิ่มลุคให้ดูน่าเชื่อถือ เดินตัวปลิวออกมาจากห้องเดินรับไหว้พูดคุยกับลูกน้องตามที่ทำเป็นประจำ ก่อนจะเดินตรงไปกดลิฟต์ รอไม่ถึงนาทีประตูลิฟต์ก็เปิดออก ผมเดินเข้าไปก่อนจะกดลงไปชั้นล่างสุดเพื่อไปเอารถที่จอดเอาไว้อยู่ที่หน้าบริษัท
ไม่นานนักรถคันสีดำสนิทค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณหน้าบริษัท ค่อยๆเลี้ยวไปตามถนนตรงไปยังระแวกพระรามเก้าที่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นักจากบริษัทของผม เพราะทำเลที่ตั้งของตึกบริษัทผมมันดีแบบนี้มันเลยไม่แปลกที่ค่าเช่าพื้นที่ในการตั้งบริษัทในตึกของผมมันเลยค่อนข้างที่จะสูงอยู่พอตัว แต่มันก็แลกมากับการเดินทางสะดวกสบายของตัวพนักงานในบริษัทอย่างนั้นเอง
ผมค่อยๆหักรถเลี้ยวเข้าถนนอโศก-ดินแดง ขับตรงไปเรื่อยๆ ฝ่าการจราจรที่ติดขัดเป็นช่วงๆตามการบริหารรถที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่นักของ…อ่า นั้นแหละครับ ไม่นานเท่าใดนักก็ถึงที่หมาย ผมค่อยๆเลี้ยวเข้าไปจอดใต้ตัวตึกให้ถูกที่ถูกทางก่อนจะเดินลงมาโดยไม่ลืมที่จะเอาของมีค่าไปไว้หลังรถ ป้อลกันการมีคนมาแอบส่องแล้วมาทุบเอาไป หายทั้งของพังทั้งรถคงเจ็บใจไม่หยอก
ผมเดินเลาะเข้ามาในตัวตึก เดินตรงไปยังจุดหมายที่ทำให้ผมต้องขับรถมาที่นี่แทนที่จะขับรถตรงกลับไปพักผ่อนที่บ้านเลยอย่างที่มันสมควรจะเป็น ก็นะน่ะ ทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน มือก็พลางแกะเอานาฬิกาที่สวมอยู่ออกแล้วนำใส่กล่องที่ไปขุดเจอมาจากลิ้นชักที่ชอบโยนๆใส่ไว้จนฝุ่นจับตามตัวหนัง ต้องให้แม่บ้านมาจัดการเช้ดให้อยู่พักนึงถึงได้ดูออกว่าสภาพเก่ามันเป็นอย่างไร
“ยินดีต้อนรับครับ”เสียงใสๆของคนที่ผมอยากจะพบดังขึ้นทักทายอย่างที่ชอบเป็นอยู่ทุกครั้งที่ผมมาหรือแม้แต่ลูกค้าคนไหนจะเข้ามาก็มักจะเจอแบบนี้ ใบหน้ากลมที่ยังก้มสนใจนาฬิกาในตู้ที่ตัวเองกำลังหยิบออกมาเช็ดทำความสะอาดค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมรอยยิ้ม
“มาอีกแล้วเหรอครับคุณเอก คราวนี้นาฬิกาเป็นอะไรครับ”
“อ่า…มันตายนะครับ นิ่งสนิทมาตั้งแต่เมื่อช่วงสิบเอ็ดโมงแล้ว” ผมอยากจะด่าตัวเอกว่าไอ้ตอแหลสักที นาฬิกาเรือนนี้มันตายตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ใส่ครั้งล่าสุดเมื่อตอนทำงานที่บริษัทแรกๆละมั้ง แถมนาฬิกาเรือนนี้ได้มาจากพ่อของผมที่ทอดนึง มันค่อนข้างจะ old fashion และไม่เหมาะกับวัยของผมอยู่พอสมควรเลยไม่ได้หยิบมาใส่ รู้อีกทีก็ตายสนิทเสียแล้ว ตอนแรกกะว่าจะเอาไปขายสะ ไม่อยากเสียเวลามาซ่อม แต่ตอนนี้…เสียเวลาทั้งวันก็อยากมาซ่อม…
ผมยื่นกล่องนาฬิกาที่ดูสภาพไม่จืดเท่าไหร่นักให้กับคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม มือขาวเอื้อมมารับจากผมไป ใบหน้าขาวนวลที่ซับสีแดงอ่อนอยู่เมื่อครู่เหมือนจะซีดลงทันทีเมื่ออ่านชื่อยี่ห้อบนหน้ากล่อง
“หือ เอาสะแล้ว Patek Phillipe แบบนี้เอาไปซ่อมที่ช๊อปโดยตรงไม่ดีกว่าเหรอครับ มาให้ผมซ่อมนี้ยเสียขึ้นมาคุณเอกไม่โดนเจ้านายเอ็ดเอาแย่เหรอ” นั้นแหละครับ อย่างที่เขาว่า ‘เจ้านาย’ผมไม่เคยบอกเขาสักทีว่านาฬิกาแต่ละเรือนที่เอามาซ่อมเป็นของผมเอง ยกเว้นเรือนแรกนั้นนะ อันนั้นมันค่อยน่าเชื่อกับสภาพผมหน่อยว่าเป็นของผมเอง
“ไม่หรอกครับ เขาอยากได้ไวๆ ไอ้ผมก็นึกที่ไหนไม่ออกเลยเอามาให้คุณป๊อกนี้ละครับซ่อม”
“โอ้ย คุณเอก ไว้ใจผมมากไปรึเปล่าครับเนี้ย” ผมมองคนพูดที่ดูจะตั้งใจพูดให้มันติดตลกพร้อมรอยยิ้มแสนน่ารัก เสียงเข้มๆที่ขัดกับใบหน้านั้นมันค่อนข้างจะน่าฟังอยู่ไม่หยอกเลยจริงๆ
“ครับ ไว้ใจสิ เอามาซ่อมทีไรก็กลับมาใช้ได้สภาพดีทุกที”
“ก็อันนั้นมันยี่ห้อธรรมดาๆนี้ครับแหม่ เรือนนี้แค่ผมเห็นหน้ากล่องมือก็สั่นแล้งครับ”
“คุณป๊อกเคยบอกผมไม่ใช่หรือครับ ยี่ห้ออะไรมันไม่สำคัญ นาฬิกาก็คือนาฬิกา จะถูกจะแพงความสำคัญและหน้าที่ของมันเหมือนกัน แค่เดินตรงตามที่มันควรเป็นถือว่ามันได้ทำหน้าที่ในการได้บอกเวลาของมันอย่างสมบูรณ์แล้ว”
“แหม่ จำได้เหมือนอัดเสียงผมไปนอนฟังซ้ำๆนะครับ ทำมายอกย้อน”
“ไม่หรอกครับ มันตรึงใจเฉยๆ”
“เปลี่ยนฐานใช้เวลาไม่นานแต่มันมีอะไรอีกนิดหน่อยที่ต้องซ่อม คุณเอกไปเดินเล่นก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมโทรไปเรียกตอนเสร็จแล้วก็ได้”
“ไม่ละครับ ผมขอยืมที่นั่งงีบตรงนี้สักหน่อยดีกว่า”
“ตามสบายเลยครับคุณเอก มานอนตรงหลังร้านก็ได้นะครับ”
“ไม่ละครับ ตรงนี้แหละดีแล้ว” มันดีมากพอแล้วละครับ มันเป็นเพียงมุมเดียวที่ผมสามารถนั่งมองหน้าคุณได้ชัดเจนที่สุด มันเป็นมุมที่ผมรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะนั่ง มันเป็นมุมที่ผมชอบที่สุด
ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่มันมักจะมาพร้อมเหตุปัจจัยที่ผมมักอ้างขึ้นมาทั้งสิ้น ความใฝ่ฝันสูงสุดในตอนนี้คงเป็นการมาที่นี่โดยไม่ต้องมีข้อแม้ใดๆ แต่ก็เอาเถอะครับ ยังไงแค่ได้เห็นหน้าเจ้าของใบหน้าน่ารักนี้ผมก็ดีใจมากพอแล้ว
ตั้งแต่เล็กจนโตผมมักถูกสอนเสมอว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่า เราร่ำรวยมีเงินทองมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อเวลาที่เราเสียไปแล้วให้มันหวนกลับมาไม่ได้ ยิ่งในการทำธุรกิจ นาทีต่อนาที มันสำคัญยิ่งกว่า ทุกๆนาทีที่เราเสียไป อาจมีคนปิดดิลที่เราต้องการได้เสมอ เพราะงั้นเราต้องทำงานนำเวลา
แต่หากอะไรตึงไปมันก็มักขาด หย่อนไปก็ไร้ประสิทธิภาพ เวลามันสำคัญก็จริงในหลายๆอย่าง แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญกว่าเวลาก็คือคนรอบข้าง ผมยอมเสียบ้างเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกลับมาแทน เช่น ที่ให้พนักงานหยุดครึ่งวันและหยุดในวันแรงงาน ก็เพื่อให้ทุกคนได้พัก เพื่อการกลับมาทำงานที่สดใสของพนักงานทุกๆคน อีกอย่างก็เพื่อให่พนักงานผูกพันธ์และรักในตัวองค์กรมากขึ้นไปด้วย
แต่ตามจริง มันก็เหมือนข้ออ้างนั้นแหละ เพราะผมก็อยากจะใช้เวลานี้ ในการทำเรื่องส่วนตัว อยากใช้เวลาครึ่งวันที่แสนจะราคาแพงนี้ในการนั่งมองคนตรงหน้านี้ รอยยิ้มที่เผยออกมาทุกครั้งเมื่อได้เห็นนาฬิกาที่ลูกค้านำมาให้ซ่อมกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ใบหน้ากลมที่บึ้งตึงในบางครั้งเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นดั่งหวัง ทุกอย่างมันแสดงถึง Passionที่คนตรงหน้าเขามีต่องานที่ตัวเองทำ เพราะแบบนี้ละมั้ง มันถึงทำให้เขาชอบคนคนนี้มาก…
“คุณเอกครับ..คุณเอก..” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกอยู่ไม่ไกลมากนัก ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมอง แสงไฟจากภายนอกที่เคยสว่างทั่วตอนนี้มีเพียงร้านที่เขาอาศัยนอนอยู่ที่กระมั้งที่ยังคงมีแสงไฟให้มองเห็นอยู่บ้างบางตรง แต่ดูก็รู้ชัดแน่แล้วว่าคนที่มาปลุกเขาเตรียมตัวปิดร้านกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว
“ก..กี่โมงแล้วครับ”
“4 ทุ่มแล้วครับ คุณเอกหลับเพลินจนร้านปิดเลย”
“4ทุ่ม ชิบละไง เอ่อ…”
“นี้ครับ นาฬิกาที่คุณเอกให้ผมซ่อม รีบกลับเถอะครับ เดี๋ยวคนที่บ้านคุณเอกเขารอ”มือเรียวยื่นถุงกระดาษที่ใส่กล่องนาฬิการาคาแพงมาให้ผม ผมรับมันมาถือไว้ ลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่อาการเมื่อยขบที่เกาะกินไปทั่วทั้งร่าง
“ไม่มีใครรอหรอกครับที่บ้านนะ”
“อ้าว เหรอครับผมนึกว่าคุณเอกมีภรรยาแล้วสะอีก”
“ยังหรอกครับ น่าจะอีกนาน อีกอย่างคนที่ผมชอบเขาจะชอบผมรึเปล่าก็ไม่รู้” ดวงตาคมสบมองคนที่อยู่ฝั่งตรงหน้าอย่างต้องการสื่อความ แต่คนที่เขาอยากสื่อความด้วยกลับหลบหน้าหันหนีไปเช็คความเรียบร้อยของร้านเสียอย่างนั้น
“ผมไปส่งคุณป๊อกดีไหมครับ”
“ดีครับ ประหยัดค่ารถผมดี แล้วก็..ถือว่าเป็นค่าที่ที่ผมให้คุณเอกนอนแล้วกัน”เอาสะแล้ว..รอยยิ้มที่ทำผมใจไม่ดีมาโดยตลอด มันมาอีกแล้ว..ผมพาเขาเดินลงมาชั้นล่างของห้าง กดเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับให้อีกคนนั่ง เขายิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะขึ้นไป
“โห.. ผมไม่เคยนั่งรถหรูแบบนี้เลย เป็นบุญตูดจริงๆ” เขาว่าออกมาพร้อมเสียงหัวเราะแสนน่าเอ็นดู ผมขึ้นไปนั่งบนรถ ถอดป้ายชื่อที่ใส่แขวนคออยู่ออกมาพันมันให้เรียบร้อยก่อนจะยื่นคืนให้อีกคน
“ฝากใส่หน้าเก๊ะทีนะครับ”
“โอเคครับ..” ผมค่อยๆขับรถออกไปจากใต้ตึกช้าๆก่อนจะออกไปถนนใหญ่ ถึงตอนนี้ฟ้าจะมืดและเป็นเวลาราวสี่ทุ่มแล้ว แต่ระแวกใจกลางเมืองก้ไม่ต่างอะไรจากพึ่งตื่นขึ้นจากการหลับใหล แสงไฟย่านพระรามเก้า รัชดา ยังคงส่องสว่าง สถานที่เริงรมราวกับเชื้อเชิญให้เข้าไปใช้บริการ เสียงทุ้มนุ่มของคนข้างๆคอยบอกทางอยู่เป็นระยะ ไม่นานนักก็มาจอดอยู่หน้าคอนโดแห่งหนึ่งในระแวกนั้น
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ค่าที่ที่ให้ผมนอนไง”
“ครับ…บริษัทคุณเอกนี้ดีนะครับ น่าจะได้เงินเดือนดีถึงขับรถหรูขนาดนี้”
“สะที่ไหนละครับ เงินผ่อนทั้งนั้นแหละครับ”
“ผมว่าไม่น่าใช่นะครับ คุณรองผู้บริหาร:)” เป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากเขาพร้อมประตูรถที่ปิดลง ร่างของคนที่ผมขับรถมาส่งเดินหายเข้าไปในคอนโดแล้ว ทิ้งให้ผมนิ่งอึ้งกับคำพูดนั้น..รู้ได้ไงวะ?
_____________________
สวัสดีค่ะ 10waysprojectเราได้โจทย์ นาฬิหาข้อมือ-พ่อค้า ตอนแรกจะเขียนLF แต่ปิดโปรเจ็คไม่ทันแน่ๆเลยมาเป็นOS แทน ถ้าใครยังอยากอ่านผลงานของเราตามที่เราตั้งใจไว้แต่แรก ฝากติดตามเราต่อไปด้วยนะคะ แล้วเราจะเอามาลงในอีกไม่นานนี้แน่นอนค่ะ
ด้วยรัก
@PTTIMLISM
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ กลิ่นสีเเละฝุ่นผง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ กลิ่นสีเเละฝุ่นผง
ความคิดเห็น