นานโขแล้วที่ตลาดแห่งนี้มิได้มีมหรสพให้ได้ยินยล...
เสียงระนาดเอกบรรเลงเพลงนกขมิ้นดังก้องกังวาลกลบเสียงจอกแจกจอแจไปเสียสิ้น นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เช้านี้ตลาดแลดูคึกคัก และคงเป็นครั้งแรกกระมังที่เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายรู้สึกว่าสินค้าของตนถูกแย่งความสนใจโดยวงมโหรีแปลกหน้าวงนี้
อย่าว่ากระนั้นเลย ขนาดพ่อค้าแม่ขายด้วยกันเองยังต้องทิ้งเพิงอาชีพทำกินเพื่อมาชมดนตรีไพเราะที่มิได้มีโอกาสสดับตรับฟังบ่อย ๆ
"มือระนาดเอกเป็นผู้ใดกัน ไยข้อมือข้อแขนถึงแข็งแรงนัก บรรเลงเพลงได้ไพเราะยิ่ง"
"ข้าจักหารู้ไม่ แต่เห็นว่ามาจากแขวงบางช้าง"
"เป็นผู้ใดข้าไม่สนใจ เพียงแต่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่างามหนักหนา"
"แต่มือระนาดเอกมักเป็นชาย จักงามได้เยี่ยงไรเล่า"
"หากเอ็งไม่เชื่อก็ลองดูเอาเถิด"
พลัน ชายคนที่นึกฉงนสงสัยถูกสหายอีกคนผลักเข้ามาประจันหน้ามือระนาดเอกที่หน้าเวที แรงผลักนั้นทำให้น้ำจัณฑ์ในไหที่ถือติดมือมากระฉอกหกเรี่ยราดลงบนผืนดิน
ฤทธิ์มึนเมาของน้ำจัณฑ์อาจทำให้วิสัยทัศน์พร่ามัวไปสักหน่อย แต่เมื่อได้เห็นโฉมหน้าเจ้าของเสียงระนาดไพเราะนั้นใกล้ ๆ แล้ว ดวงตาสีขุ่นของชายขี้เมาก็เป็นประกายลุกวาวขึ้นมาทันที
"งามยิ่ง"
แม้นจะตกใจไปบ้าง แต่จิตวิญญาณนักดนตรีที่ฝังลึกอยู่ในสายเลือดทำให้มือระนาดเอกดำเนินบทเพลงต่อไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย
เยาว์ชินชาเสียแล้วกับเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะเมื่อทะเวนไปแสดงมหรสพตามเมืองต่าง ๆ ก็มักได้ยินคำติฉินนินทาทำนองเดียวกันเสมอ ทว่ามิยักรู้ว่าเพราะเหตุอันใด ไยเพื่อนพ้องร่วมวงที่เป็นหญิงแท้ ๆ ถึงไม่ถูกวิจารณ์บ้าง
เสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราวจากชาวบ้านที่แห่มารับชมวงมโหรีพเนจรก่อนจะแยกย้ายกันไปจับจ่ายสินค้าและทำกิจธุระของตน บางส่วนก็แวะเวียนเข้ามาให้อัฐให้เบี้ยเป็นของกำนัลบ้างตามความพึงพอใจ เยาว์ประนมมือขึ้นไหว้ระนาดเอกอันเปรียบเสมือนครูและผู้ชี้นำให้รู้จักวิถีทางทำมาหากินนอกจากการทำเกษตร จากนั้นก็ยกไปเก็บที่หลังเวทีเพื่อถนอมไว้สำหรับการแสดงรอบถัดไปยามอาทิตย์อัสดง ซึ่งผู้ชมจะเยอะกว่านี้มาก เพราะตรงกับประเพณีลอยกระทงพอดิบพอดี
"เยาว์" บุญผ่องเรียกเสียงแหลมเหมือนไก่โดนเชือดพร้อมยื่นถุงผ้ากำมะหยี่ในมือให้
"มีคนฝากมาให้เอ็ง หนักแท้เทียว เห็นทีจะเป็นทองเสียกระมัง"
"เอ็งก็พูดไปเรื่อย อีบุญผ่อง" เยาว์เอ็ดสหาย แต่ในใจก็นึกหวังอยู่ไม่น้อย
ครั้นเปิดดูก็พบเงินพดด้วงจำนวนหนึ่งกลิ้งไปมาอยู่ข้างใน แม้นมิใช่ทองดังใจหมาย ทว่ามูลค่าของมันก็มากพอที่จะซื้อสร้อยทองได้สักเส้นสองเส้นทีเดียว
"โอ๊ย ตายแล้ว เอ็งนี่มันหนูตกถังข้าวสารได้ทุกเพลาสิน่า!"
บุญผ่องเอะอะ จ้องมองเม็ดเงินขดกลมคล้ายตัวด้วงในถุงตาเป็นมัน
"ผู้ใดฝากเอ็งมา"
เยาว์เอ่ยถาม ในใจนึกกังวล เพราะตั้งแต่เล่นระนาดเอกมานับร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ไม่มีครั้งใดได้เงินมหาศาลเท่านี้มาก่อน
"ข้ามิทันได้ถามชื่อแซ่ดอก เพียงแต่รูปหล่ออย่าบอกใคร"
เป็นชายกระนั้นรึ…
"อ้อ เกือบลืมไปเสียสิ้น พ่อหนุ่มนั่นอยากพบเอ็งด้วย รออยู่ที่ใต้ต้นคูนหลังวัดโน่นแน่ะ"
"อยากพบข้ารึ"
"ก็ใช่น่ะซี แล้วเอ็งจักรอช้าอยู่ไย รีบไปเถิด"
ต้นคูนใหญ่ที่ยืนต้นเดียวดายหลังกำแพงวัดไชยวัฒนารามยามนี้ผลิดอกเป็นช่อเหลืองอร่ามไปทั่ว แม้นลำต้นจักแลดูใหญ่โตแข็งแรง แต่กลีบดอกของมันนั้นช่างบอบบางนัก เพียงสายลมพัดมาวูบเดียวก็ร่วงหล่นเป็นสายดุจหยาดฝนเสียแล้ว
ภายใต้ฝนดอกคูน มีชายรูปร่างสันทัดค่อนข้างเหลื่อมไปทางผอมคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอกแสดงทีท่ารอคอย
เยาว์หมายจะย่องเข้าไปหาเงียบ ๆ เนื่องจากอยู่ ๆ ก็เกิดเคลือบแคลงใจขึ้นมาว่าจักใช่คนเดียวกับที่อีบุญผ่องบอกหรือไม่ ทว่าเสียงกรอบแกรบของเศษใบไม้แห้งที่ถูกเหยียบย่ำนั้นดันเพรียกให้เขาหันหน้ามาเสียก่อน
"มือระนาดเอกใช่หรือไม่"
คนผิวขาวดุจน้ำนมที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ พยักหน้าตอบ หัวใจที่เต้นระรัวเร็วขึ้นหลายจังหวะบีบมิให้เอ่ยคำใด
"ได้รับของกำนัลจากข้าแล้วหรือยัง"
"เจ้าไปเอาเงินมากมายปานนั้นมาจากที่ใด" เยาว์ถามกลับเพราะนึกสงสัยบางอย่างในตัวพ่อหนุ่มเบื้องหน้า
ทั้ง ๆ ที่แต่งกายละม้ายคล้ายชาวบ้านทั่วไป ไยจึงมีเงินทองมากมายปานนั้น เห็นทีคงเป็นบุตรเจ้าพระยาหรือไม่ก็บุตรข้าราชการแผ่นดินแน่
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินเสียงของเยาว์แล้วไซร้ คนแปลกหน้าก็มิวายสงสัยเช่นเดียวกัน
"เจ้าเป็นชายกระนั้นรึ"
"ใช่"
คนแปลกหน้ายกยิ้มที่มุมปาก
"ข้านึกไว้อยู่แล้วเชียวว่าคงไม่มีเหตุผลใดที่พ่อครูวงมโหรีจักให้หญิงตีระนาดเอก"
"พี่สาวน้องสาวข้าล้วนตีระนาดเอกได้ทั้งสิ้น มิใช่ข้าคนเดียวดอก"
"แต่เจ้าเก่งที่สุดใช่หรือไม่"
เยาว์ได้ยินดังนั้นก็สบโอกาสชะม้ายชายตา
"จักว่าอย่างนั้นก็ย่อมได้"
คราวนี้คนแปลกหน้าแอบหัวร่อเบา ๆ รอยยิ้มทรงเสน่ห์นั้นช่างเหมาะเจาะกับใบหน้าขาวหมดจดยิ่งนัก เยาว์ไม่เคยเห็นไพร่ฟ้าผู้ใดมีผิวกายและแต่งตัวสะอาดสะอ้านเท่านี้มาก่อน
"เจ้าชื่อกระไรรึ"
"เยาว์"
คนแปลกหน้ายกยิ้มอีกครั้ง
"หน้าตาเหมือนหญิง ไยชื่อจึงเหมือนหญิงอีก"
"ถ้าอยากรู้นักก็ไปถามพ่อแม่ข้าสิ"
เยาว์ตวัดตาค้อน กิริยากระเง้ากระงอดนั้นทำให้อีกฝ่ายกลั้นหัวร่อไว้แทบไม่อยู่
"แล้วเจ้าชื่อกระไร"
"ข้าชื่อมั่น"
"แล้วเป็นใคร มาจากที่ใด เหตุไฉนจึงมีเงินทองเหลือใช้นัก"
"หวังว่าคงมิได้ปล้นจี้ใครมา..."
แม้ว่าถ้อยคำสุดท้ายจะเล็ดลอดตามมาอย่างแผ่วเบา แต่คนอย่างไอ้มั่นกลับยินเต็มสองหู ชายหนุ่มสืบเท้าเข้ามาใกล้พลางจ้องดวงหน้าหวานนวลเยี่ยงอิสตรีอย่างท้าทาย
"หน้าข้าเหมือนโจรมากเลยหรือ ไยเจ้าจึงดูแคลนข้าเช่นนั้น"
รอยยิ้มหยั่งเชิงผนวกรูปหน้าหล่อเหลาพาลทำให้หัวใจร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครา ตั้งแต่เกิดมาอายุย่างเข้ายี่สิบเอ็ดฝน เยาว์ยังไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ และหากปล่อยไว้นานคงไม่ดีแน่ จึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธจนอีกฝ่ายยอมถอยห่าง
"พ่อของข้าเป็นผู้มีตำแหน่งในวัง เจ้ารู้เท่านี้ก็เพียงพอ"
นั่นประไร นึกอยู่แล้วว่ารูปร่างหน้าตาแบบนี้หาใช่ไพร่ฟ้านอนกลางดินกินกลางทรายไม่
"ข้ารู้มาว่าคืนนี้มีประเพณีลอยกระทง…" ไอ้มั่นเริ่ม
"วงมโหรีของเจ้าจักแสดงอีกหรือไม่ หากใช่ ข้าใคร่มาชมอีกสักครา"
คนผิวขาวมือระนาดเอกแย้มยิ้มหลบ ๆ ซ่อน ๆ และเปลี่ยนสีหน้าทันควันเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสังเกต
"ใคร่มาก็มาเถิด ประเดี๋ยววันพรุ่งข้าก็กลับบางช้างแล้ว"
"ระหกระเหินครานี้ได้เงินมาก เห็นทีคงพอกลับไปทำไร่ไถนาเลี้ยงชีพได้"
พ่อหนุ่มร่างสันทัดพยักหน้า
"เจ้าเป็นคนต่างถิ่นต่างแดน ไยข้าถึงคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้านัก"
"ในฝันกระมัง" เยาว์ตอบพลางหัวเราะร่า
"เป็นแน่แท้"
เยาว์ช้อนสายตามองไอ้มั่น บุตรชายข้าราชการผู้นี้ช่างใจถึงผิดมนุษย์มนายิ่ง เพิ่งเจอะกันครั้งแรกก็พูดจาแทะโลมเสียแล้ว... ที่น่ากลัวกว่านั้นคือดูเหมือนตนเองก็เผลอใจตามไปด้วย
"ข้าขอตัวก่อน ป่านนี้พ่อแม่ข้าคงถามหากันขวักไขว่แล้ว"
เยาว์ตัดบทพลางเดินออกมาจากร่มเงาต้นคูน
"อ้อ แล้วก็ขอบน้ำใจมากสำหรับเงินกำนัล"
ไอ้มั่นยิ้มกว้างประหนึ่งปลื้มอกปลื้มใจ
"ข้าจักมารอดูเจ้าตีระนาดเป็นคนแรกเชียว"
พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงเหลืองนวลบนนภาตามประสาคืนวันเพ็ญ ห้อมล้อมไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับนับร้อย ยามมองลงมาที่ลำน้ำกว้างก็เห็นเปลวเทียนดาษดื่นจากกระทงที่ผู้คนต่างพากันมาลอยจนตัดสินได้ยากว่าสิ่งใดงดงามน่าชมกว่ากัน
แต่สำหรับมั่น สิ่งที่งดงามที่สุดในคืนนี้คงเป็นมือระนาดเอกบนเวทีกระมัง เพราะบรรเลงเพลงเรื่อยมาจวนจะเสร็จลุล่วงแล้ว ยังมิอาจละสายตาไปจากดวงหน้าหวานกับพวงแก้มอิ่มคู่นั้นได้เลย
มั่นมานั่งรอเป็นคนแรกดังที่เคยให้สัจจะไว้ ครั้นเริ่มแสดง เหล่าชาวบ้าน ลูกเล็กเด็กแดงก็ทยอยกันเข้ามานั่งชมอย่างเนืองแน่นจนเดินเข้าออกลำบาก
พ่อหนุ่มจากตระกูลผู้ดีนั่งชมอยู่แถวหน้าสุดเพื่อที่จะได้เห็นเยาว์อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ต้องคอยชะเง้อคอมองเหมือนเช้าที่ผ่านมา และบางคราก็สังเกตเห็นว่าเยาว์เองก็ละสายตาจากลูกระนาดเพื่อชำเลืองมองตนเหมือนกัน
ระหว่างกำลังเพลิดเพลินกับการแสดง หูก็ได้ยินเสียงผู้คนรอบข้างพูดถึงเยาว์บ่อยครั้ง และส่วนใหญ่มักเป็นคำชมเชยในรูปลักษณ์มากกว่าฝีมือระนาดเอก
นั่นทำให้หัวใจของมั่นว้าวุ่น
ยังไม่ทันได้ครอบครอง ก็รู้สึกหวงแหนเสียแล้ว...
เสียงปรบมือเกรียวชุดสุดท้ายดังขึ้นปลุกมั่นให้ตื่นจากห้วงภวังค์ เยาว์ประนมมือทำความเคารพระนาดเอกคู่บุญกับผู้ชมก่อนจะลุกเดินหายลับเข้าไปในฉากผ้าใบด้านหลัง พ่อหนุ่มเชื้อสายชาววังไม่รีรอคอยท่า รีบวิ่งไปดักทันที
"ไปลอยกระทงกับข้าได้หรือไม่"
คนถูกถามลอยหน้าลอยตา
"เหตุไฉนข้าถึงต้องไปด้วย"
"ก็ข้าอยากให้เจ้าไปนี่ ไปเถิดหนา"
มั่นคะยั้นคะยอราวกับเป็นเด็กหัวรั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตนอายุมากกว่า เยาว์เองก็อิดออดเล่นตัวให้โมโหเล่น แท้จริงแล้วหาได้ปฏิเสธไม่
วัดไชยวัฒนารามยามราตรีช่างงดงามน่าเลื่อมใส ยามนี้คลาคล่ำไปด้วยชาวบ้านในท้องถิ่นที่ต่างแวะเวียนกันเข้ามาสักการะองค์พระพุทธรูปตามความเชื่อที่สืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น
ในขณะเดียวกัน ผู้คนบริเวณท่าน้ำด้านนอกกำแพงวัดก็เริ่มเบาบางลงไปบ้าง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมหรสพเสร็จสิ้นไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว คงเหลือไว้แต่เพียงเสียงสายลมพัดผ่านใบไม้ใบหญ้ากับเสียงแหลมเล็กของจิ้งหรีดที่กำลังกรีดปีกหาคู่
มั่นชายดวงตาคมมองคนผิวขาวละเอียดยกกระทงซึ่งทำจากกะลามะพร้าวขัดมันขึ้นเหนือหัวพร้อมหลับตาพริ้มอธิษฐานด้วยความเอ็นดู
"อธิษฐานขอกระไรรึ"
มั่นถามพออีกฝ่ายลืมตาขึ้น
"ข้าขอให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์"
"เจ้าล่ะ"
"ข้ามิขอสิ่งใดดอก"
"นั่นน่ะซี อันตัวเจ้าก็เพียบพร้อมอยู่แล้ว คงหาต้องการสิ่งอื่นใดอีกไม่"
"แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าโหยหามานานโข"
เยาว์ทำหน้าครุ่นคิด
"สิ่งใดรึ"
"ความรักอย่างไรเล่า"
มั่นปลีกสายตาจากดวงจันทราไปมองดวงเนตรเป็นประกายสุกใสของผู้ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เคียงข้าง
"เจ้าเชื่อในรักแรกพบหรือไม่"
ไพร่ฟ้าผิวขาวผมดำสนิทส่ายหน้า
หนุ่มผู้ดียิ้มพลางค่อย ๆ หย่อนกระทงลงไปในลำน้ำและออกแรงผลักเบา ๆ ให้มันลอยออกไป
"ข้าก็เคยคิดเช่นนั้น"
"กระทั่งได้พบกับเจ้า..."
เยาว์สบตามั่นอีกคราพร้อมขยับรอยยิ้มบาง หัวใจแทบหลอมละลายเหมือนดังเทียนในกระทงด้วยถ้อยคำเหล่านั้น
มือระนาดเอกหน้าหวานปานนางในวังหย่อนกระทงของตนลงไปในลำน้ำบ้าง และเฝ้ามองมันในความเงียบสักครู่
"เจ้ารู้หรือไม่..."
"เขาว่ากันว่าหากกระทงของคู่รักสามารถลอยอยู่คู่เคียงกันได้ คู่รักคู่นั้นจักครองรักกันชั่วนิจนิรันดร์"
เยาว์กล่าวด้วยท่าทีอ่อนโยนนุ่มนวล
มั่นมองอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ หากแต่ฝ่ายนั้นไม่มองตอบดังเช่นครั้งก่อน ๆ เอาแต่มองกระทงของตนที่กำลังลอยมุ่งหน้าไปปะปนกับของผู้อื่นนับร้อยที่อยู่ห่างไกลออกไปจากท่าน้ำ ในขณะที่กระทงของตนนั้นหยุดนิ่งไปเสียแล้ว
ทว่าไม่นาน กระทงของเยาว์ก็ลอยเอื่อย ๆ ไปพานพบพอดี ช่างประจวบเหมาะกับสายลมเย็นสดชื่นที่พัดผ่านมาเสียนี่กระไร
นั่นทำให้มั่นพออกพอใจออกหน้าออกตายิ่ง
"ดูเหมือนกระทงของข้าจักรอกระทงของเจ้าอยู่นะ"
จวนสองยาม งานประเพณีรื่นเริงก็เลิกราสิ้น เหลือไว้เพียงแต่ดวงจันทรากับดวงดาราที่ยังไม่หลับใหล คอยส่องแสงนวลสลัวให้พอแลเห็นหนทางกับดวงหน้าหวานละไม
"ขอบน้ำใจที่อุตส่าห์เดินเป็นเพื่อน เจ้ารีบกลับเรือนเสียเถิด ดึกดื่นเช่นนี้พวกขโมยขโจรชุกชุมนัก"
เยาว์เอ่ยหลังเดินมาถึงต้นคูนใหญ่ต้นเดียวกับที่พบพ่อมั่นเมื่อกลางวัน
"ข้ากับครอบครัวพักอยู่หลังเวทีนี่แล เพลานี้คงหลับนอนกันหมดแล้ว"
"แต่ก่อนลาจากกัน ข้าใคร่ขอถามเจ้าสักนิด"
"ถามมาเถิด" อีกฝ่ายไม่ขัดข้อง
เยาว์เงียบไปชั่วครู่ แววตาเย็นเยียบถูกแทนที่ด้วยประกายแห่งความอาวรณ์
"ข้าจักมีโอกาสได้พบเจ้าอีกหรือไม่"
รอยยิ้มโอนอ่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา มั่นยกมือหนาข้างหนึ่งขึ้นมาลูบผมดกดำของอีกฝ่ายเบา ๆ เปี่ยมด้วยใจรักใคร่
"ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้าเช่นนั้น"
"หากข้าใคร่ร้องขอให้เจ้ากับครอบครัวปักหลักอยู่ที่อโยธยาแห่งนี้เป็นการถาวร เจ้าจักว่าอย่างไร"
เยาว์ถอนหายใจเบา ๆ
"ข้าหาได้มีเหย้าเรือนอยู่ที่นี่ไม่ แม้นมีสินทรัพย์ติดตัวก็คงไม่เพียงพอต่อการปลูกสร้าง"
"เจ้าอย่ากังวลไปเลย ปล่อยให้เป็นธุระของข้าเถิด"
มั่นปลอบประโลม
"ข้าจักอุปถัมภ์วงมโหรีของเจ้าให้เป็นวงดนตรีประจำพระราชสำนัก ข้าขอให้สัจจะ"
เยาว์คลี่ยิ้มหยอก
"เจ้านี่ช่างอวดยศอวดศักดิ์จริงเชียว"
พ่อมั่นหัวร่อเบา ๆ พลางเหนี่ยวข้อแขนข้างหนึ่งของเยาว์ไว้พอเห็นมีแววว่าจักเดินหนี ครั้นได้สัมผัสก็อดฉงนมิได้ว่าผู้ซึ่งเป็นทั้งนักดนตรีและเกษตรกร เหตุใดผิวพรรณจึงนวลเนียนอ่อนนุ่มยิ่ง
ครั้นช้อนสายตามองที่ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อก็ทำให้ยิ่งฉงนว่าจักอ่อนนุ่มเท่าผิวพรรณหรือไม่
"ตั้งแต่เกิดมา ข้ามิเคยพบชายใดงามเยี่ยงเจ้า"
"ชะรอยว่าข้าคงเสียทีตกหลุมรักเจ้าเข้าแล้ว"
สิ้นเสียงแผ่วเบาของมั่น สายลมเย็นก็พัดพาดอกคูนบอบบางเหลืองอร่ามร่วงหล่นสู่ธุลีดิน กระแสความอบอุ่นไหลเวียนเข้ามาประหนึ่งเป็นสักขีพยานหนึ่งเดียว ณ ขณะนั้น
มั่นเชิดคางสวยของเยาว์ขึ้นมาเชยชม แววตาคมกล้าของทั้งสองฉายแววปรารถนาโดยมิได้นัดหมาย มั่นโน้มเข้าไปใกล้หมายจุมพิตบนหน้าผากขาวเนียน ทว่าเสียงม้าควบดังแว่วเข้ามาเสียก่อน ห้วงรักจึงถูกทำลายแทบหมดสิ้น
บุรุษสองนายควบม้าใหญ่รูปร่างปราดเปรียวสองตัวเข้ามาประชิด หากพินิจจากการแต่งองค์ทรงเครื่องอันมีความปราณีตงดงามแล้ว คงมียศฐาบรรดาศักดิ์เหนือทหารไพร่ทั่วไปเป็นแน่
คนแต่งกายคล้ายข้ารับใช้กระโดดลงจากหลังม้า เดินเหย่าเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้ากราดเกรี้ยวแฝงไว้ด้วยความยำเกรงเล็ก ๆ ในระหว่างที่อีกนายนั้นแต่งกายคล้ายทหารนั่งแช่อยู่บนหลังม้า ในมือกำคบเพลิงลุกโชติช่วง
เยาว์หวั่นกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม ตั้งแต่เกิดมาตนมิเคยพบพาลเหตุการณ์น่าสะพรึงเช่นนี้มาก่อน ในขณะที่มั่นคอยกางปีกปกป้องไม่ห่าง
แต่เมื่อใกล้ประชิดจวนตัว บุรุษผู้นั้นกลับคุกเข่าลงกับผืนดินที่ละลานไปด้วยกลีบดอกคูนพร้อมประนมสองมือขึ้นเหนือหัวราวกับถวายความเคารพพระขัตติยวงศ์
"ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าให้รออยู่ที่หน้าประตูวัด" มั่นออกปากด้วยน้ำเสียงขึงขัง เหยียดกายตรงดูน่าเกรงขาม
"ขอเดชะใต้ฝ่าพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าเห็นพระองค์เสด็จนานเกินเพลาที่ทรงรับสั่งไว้ เกรงว่าจักเกิดภยันตรายจึงตัดสินใจออกทะเวนหาพะยะค่ะ" เขากล่าวตอบ มือยังคงประนมไม่ลดละ
สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าคือกระไรกัน...
หัวใจของเยาว์กระเพื่อมไหวยากจะสงบ พยายามประติดประต่อเรื่องราวตั้งแต่ต้นด้วยใบหน้าซีดไร้สีเลือดฝาด แต่ก็ล้มเหลวเพราะความรู้สึกนึกคิดนั้นตบตีกันให้วุ่น หัวใจสับสนเหลือคณา
"ไอ้มั่น เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่"
"เจ้าต่างหากเป็นผู้ใด ไฉนจึงกำเริบอาจหาญใช้วาจามิบังควรกับองค์เจ้าฟ้ามัฆวานตฤณโชติ"
ข้ารับใช้ตวาดแหวด้วยน้ำเสียงอันดังจนเจ้าตัวตกใจกลัว ก่อนที่ผู้มีศักดิ์เป็น องค์เจ้าฟ้า จักกันท่าเอาไว้มิให้เกิดการวิวาทใหญ่โต
"ไอ้ทองคำ เอ็งจงกลับไปรอที่เดิม แล้วข้าจักตามไปในไม่ช้า" คนกลางออกคำสั่ง น้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเก่าเล็กน้อย
บุรุษนามทองคำรับปากอย่างว่าง่าย แต่เยาว์แลเห็นความไม่เห็นพ้องต้องกันอยู่ในแววตาขุ่นคู่นั้น นายทองคำแสดงความเคารพแล้วจึงล่าถอยจากไปพร้อมกับทหารผู้คอยสังเกตการณ์อยู่เบื้องหลัง
มั่น ผู้ที่กลายเป็นคนแปลกหน้าอีกหนหันกลับมามองคนยืนจังงังกำลังก้าวถอยออกห่างช้า ๆ แววตาที่เคยอ่อนโยนยามนี้กลับเปี่ยมล้นไปด้วยความเคลือบแคลง
กายขาวของเยาว์สั่นระริก รู้สึกละอายเหลือแสนจนอยากวิ่งหนีไปให้ไกล
แต่ใจนั้นยังรัก... จึงได้แต่เพียงทรุดเข่าลงหมอบกราบองค์เจ้าฟ้าผู้สูงส่ง พระองค์ไม่รีรอ รีบยื่นสองพระหัตถ์หนาข้ามาประคองทันท่วงที
"ลุกขึ้นเถิด" ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวล แต่ไพร่ฟ้าผู้เป็นที่รักตรงหน้าปฏิเสธโดยมิเงยหน้าขึ้นมาสบพระเนตรแม้แต่เสี้ยวเพลา
"จักลุกขึ้นดี ๆ หรือจักให้ข้าลงไปนั่งเสมอเจ้า"
"ข้าแต่องค์เจ้าฟ้า ได้โปรดประทานอภัยโทษในสิ่งที่ข้าได้กระทำการใด ๆ อันมิบังควรกับพระองค์ด้วยเถิดพะยะค่ะ"
เยาว์เค้นถ้อยคำเหล่านั้นออกมาอย่างยากลำบาก เนื่องจากตนนั้นต่ำต้อยเกินกว่าจักมีโอกาสใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์
เจ้าฟ้ามัฆวานตฤณโชติทรงพระสรวลด้วยความเอ็นดูพลางประคองหนุ่มสามัญชนให้ยืนขึ้นด้วยกิริยาถ่อมพระองค์เฉกเช่นบทบาทสมมุติที่ทรงสร้างขึ้น
"ไม่ต้องขอโทษดอก อย่างไรเสีย ข้าก็ยังอยากเป็นไอ้มั่นของเจ้าดังเดิม"
พระองค์ตรัสพร้อมเชยคางสวยให้เข้ามาประชิดใกล้
แม้นอีกฝ่ายจะเกรงจนเนื้อตัวสั่น ทว่าความดื้อดึงหาได้เสื่อมคลายลงไม่ แล้วยังบังอาจขัดพระประสงค์ด้วยการสะบัดหน้าหนีอีก
"พระองค์ทรงมดเท็จกับข้าถึงเพียงนี้ แล้วจักให้ข้าเชื่อใจพระองค์ได้อย่างไรพะยะค่ะ"
"มดเท็จอันใดกัน จงชี้แจงให้ชัดแจ้ง"
ดูเหมือนเยาว์จักคลายความหวั่นเกรงลงพอสมควร สังเกตจากลักษณะการชะม้ายชายตามองไปรอบ ๆ
"ก็ที่พระองค์ตรัสว่าเป็นบุตรของผู้มีตำแหน่งในวังหลวงอย่างไรเล่า"
เจ้าฟ้าผู้ทรงพระสิริโฉมและมีพระวรกายสันทัดสง่างามแย้มพระสรวลสำราญ
"แล้วข้าพูดผิดกระนั้นรึ"
นั่นทำให้เยาว์ฉุกคิดครู่หนึ่ง
"หามิได้พะยะค่ะ"
แต่ใครเล่าจักคิดว่าเป็นโอรสของพ่ออยู่หัว...
"เห็นหรือไม่ ทั้งหมดที่ข้าพูดเป็นความจริง"
"และถ้าหากว่าเจ้าหยิบยกเรื่องชื่อเสียงเรียงนามของข้าขึ้นมาแทนที่... จงยอมแพ้เสียเถิด เพราะข้าล้วนให้มิตรสหาย รวมไปถึงคนที่ข้ารักใคร่เรียกข้าว่ามั่นทั้งนั้น"
"แล้วเหตุใดพระองค์จึงเลือกเสด็จประพาสต้นเช่นนี้ ทรงไม่กลัวชาวบ้านจับได้หรือพะยะค่ะ"
เยาว์ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
"ไยข้าต้องกลัวเล่า ข้าเป็นลูกกษัตริย์ ข้าจักเดินทางไปที่ใดก็ย่อมได้ตามใจข้า"
"ข้ามิได้ต้องการเป็นจุดสนใจ ฤๅให้ผู้ใดต้องเดือดร้อน หวาดกลัวข้านี่"
"เข้าใจหรือยัง พ่อมือระนาดเอกจอมจุ้นจ้าน"
เยาว์ทำหน้าตาสลดพร้อมกล่าวรับว่าพะยะค่ะงึมงัม ๆ ในคอ
องค์เจ้าฟ้าเห็นดังนั้นก็ทรงคว้าร่างนวลมากอดตระกองในอ้อมพระอุระ แล้วจึงจุมพิตประทับลงบนหน้าผากเนียนด้วยพระอากัปกิริยาอ่อนโยน
เยาว์หลับตาพริ้ม น้อมรับความรักจากชายแปลกหน้าผู้มีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดินเติมเต็มสู่หัวใจดวงน้อยซึ่งไม่เคยได้สัมผัส
"เจ้ายังมิได้ตอบคำถามข้าเลยว่าเจ้าจักยอมปักหลักอยู่ที่อโยธยาแห่งนี้เป็นการถาวรหรือไม่" เจ้าชายรูปงามตรัสถาม
"แต่ข้าเป็นสามัญชน มิคู่ควรกับพระองค์"
"แม้เพียงคบหาในฐานะสหายก็หาคู่ควรไม่..."
เยาว์พูดขึ้นอย่างแผ่วเบาราวกับเกรงว่าจักมีใครผ่านมาได้ยินเข้า ดวงตากลมโตลึกล้ำแฝงความรู้สึกอันยากแท้หยั่งถึง
"เจ้าคิดผิดเสียแล้ว ความรักสำหรับข้าไม่เคยแบ่งวรรณะ"
"ยามใดที่ข้าอยากรัก ข้าก็พร้อมรัก..."
"และคนที่ข้าอยากรักที่สุดก็คือเจ้า"
"เจ้าเป็นคนบอกเองนี่ว่าหากกระทงของคู่รักลอยเคียงกัน คู่รักคู่นั้นจักครองรักกันไปชั่วนิรันดร์…"
"ข้าใคร่อยากท้าพิสูจน์นัก แต่เห็นทีข้าคงทำคนเดียวมิได้"
"จึงต้องวานให้เจ้าช่วยอีกแรง"
มือระนาดเอกหันมองพระพักตร์สิริโฉมของเจ้าฟ้ามัฆวานตฤณโชติพร้อมรอยคลี่ยิ้มบาง ๆ แทนคำตอบ
แล้วพระโอษฐ์ก็แย้มกว้างด้วยความปีติยินดีเหลือล้น
"วันพรุ่ง ข้าจักมาเอาคำตอบจากเจ้าแต่เช้าตรู่ จงใคร่ทบทวนให้ดีเถิด"
"พระองค์ไม่ทรงคิดว่ามันรวบรัดเกินไปหรือ"
เยาว์ถามหลังเป็นฝ่ายเงียบมานาน
"ข้าเพียงอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่ หวังพอให้ได้เห็นเจ้า สนทนากับเจ้า เรียกหาเจ้าทุกวี่วัน หาได้มุ่งหมายจัดพิธีอภิเษกวันนี้วันพรุ่งไม่"
"พระองค์!"
หนุ่มน้อยทำหน้าตูมพร้อมยกมือขึ้นกอดอก สร้างความขบขันให้เจ้าชายมิน้อย
ความเหนียมอายทำให้คนลืมตัวได้จริง ๆ ...
"ข้าคงต้องไปแล้ว อย่าลืมสิ่งที่ข้าฝากให้เจ้าพิจารณาล่ะ"
ครั้นตรัสเสร็จ พระองค์ก็ทรงดึงเยาว์เข้ามาประทับจุมพิตที่หน้าผากบอกลา แล้วจึงเสด็จกลับไปยังที่ ๆ ได้ทรงนัดหมายนายทองคำ มหาดเล็กคนสนิทไว้
"แล้วถ้าหากข้าไม่ประสงค์จักอยู่ที่นี่ถาวรเล่า ใต้ฝ่าพระบาท"
เยาว์ถามหยั่งเชิงอีกครั้ง พยายามควบคุมเสียงให้เบาที่สุด กระทั่งพระองค์ทรงหันพระพักตร์กลับมา
"ข้าอาจเก่งกล้าสามารถกับทุกศาสตร์วิชา แต่หาใช่ความรัก..."
"ข้าคงคุกเข่าวิงวอนจนกว่าเจ้าจักยอมกระมัง"
"ฉะนั้นแล้ว อย่าใจร้ายกับข้าเลย"
อ่านบทต่อไป คลิก → https://writer.dek-d.com/BookkieEmerson/story/view.php?id=2123011