ตอนที่ 6 : คนขี้หึง
บทที่ 6
คนขี้หึง
‘พี่จะให้ผมช่วยอะไร...พี่เสกข์’ ปั้นจั่นถามด้วยแววตายิ้ม ๆ เพราะรู้ทันเรื่องที่พี่ชายคนสนิทจะให้ตนช่วย
‘ก็...ไม่มีอะไรมาก แค่ตอนมึงไปหาแฟนแล้วเจอต้นสน ก็พูด ๆ แบบ...พูดถึงกู’ ปั้นจั่นมองดูพี่ชายสายรหัส ซึ่งเป็นพี่รหัสโดยตรง เพราะตามธรรมเนียมของสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ถ้าปีไหนมีรุ่นพี่มากกว่ารุ่นน้อง หรือรุ่นน้องมากกว่ารุ่นพี่ ถ้าเกิดว่ารุ่นพี่คนไหนจับฉลากแล้วไม่ได้น้องรหัส ปีนั้นรุ่นพี่คนนั้นก็ไม่มีน้องรหัสของตนเอง ซึ่งเสกข์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ช่วงหลังมานี้ ไอ้เพื่อนร่วมรุ่นเกิดมีจิตเมตตาอยากได้น้องนุ่งเด็ก ๆ เข้าใหม่มาดูแล ประกอบกับปีที่ปั้นจั่นเข้ามาเรียนนั้น มีจำนวนเด็กใหม่มากกว่ารุ่นพี่ปีสอง ปั้นจั่นเป็นคนหนึ่งที่ไม่มีพี่รหัสร่วมกับเพื่อน ๆ อีกบางส่วน บางส่วนที่ว่าจึงได้ตกเป็นเหยื่อของพี่ ๆ ปีสี่ที่อยากมีน้องรหัสแล้วไม่ได้มีจนจะเรียนจบอยู่รอมร่อ...
แล้วพี่เสกข์ก็จับได้น้องปีหนึ่ง...น้องปั้นจั่น พี่เสกข์ก็จัดการเลี้ยงดูปูเสื่อน้องนุ่งอย่างดี ด้วยเหล้าบ้าง...บุหรี่บ้าง...เอ็นดูหนักเข้า ก็เลี้ยงด้วย...ลำแข้ง..
โธ่!...พี่กู ดูจากสภาพก็รู้ ว่าแอบเล็งเค้ามาหลายปีดีดัก แต่ที่ไม่ได้แด-สักทีก็เพราะ... ‘โห่ ผมก็นึกว่าพี่จะให้ผมหาอุบายหลอกล่อ แล้วพี่ก็ฉุด! อะไรงี้’
‘ก็มันแบบ...แบบว่า...’ ถ้าปั้นจั่นตาไม่ฝาด เหมือนเห็นพี่ชายตัวใหญ่...ยืนบิดด้วยความเขินอายประดุจสาวน้อย..
จะได้แอ้มเค้ามั้ยเล่า! ไอ้พี่บ้า ‘พี่เสกข์ ถ้าพี่อยากสมปรารถนา พี่ต้องรุกเลย! เดี๋ยวผมช่วย บอกสรให้ช่วยด้วยเลยเอ้า! พี่บุ้งด้วย ผมจะดึงมาเป็นพวก...’
‘เออ ๆ พอก่อน...ก็..คนมันกล้าแค่นี้นี่หว่า เดี๋ยวค่อยเป็นค่อยไป..’ คนพูดพูดพลางก้มหน้างุดซึ่งปั้นจั่นเห็นแล้วอยากจะหัวเราะและร้องไห้พร้อมกัน
‘ค่อยเป็นค่อยไปบ้านพี่นะสิ! คิดว่าตัวเองเป็นเด็กปีหนึ่งอยู่รึไง!’ ปั้นจั่นเริ่มอารมณ์ขึ้นเมื่อพี่ชายผู้เพอร์เฟคไม่ได้ดังใจในเรื่องความรัก ‘พี่ต้องลุยได้แล้ว! นะ ๆ ผมช่วยเต็มที่’
‘เอ่อ...ไว้จะคิดดูอีกทีนะ..’ ปั้นจั่นถึงกับกลอกตามองบนทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ชาย... ‘หึงเค้าขนาดนี้ยังจะรออะไรอยู่อีก ?’
******************************************************************************
“วันนี้ ๆ วันนี้ไอ้จั่นบอกว่าน้องมากินข้าวที่คณะวิทย์...” บ่นพึมพำกับตัวเอง..
“ไอ้เสกข์ไปเหอะ ไปกินข้าวกัน...บ่นไรวะ ?” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้นมา
“วันนี้กูอยากไปกินที่คณะวิทย์” บอกอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ
“ห๊ะ...ไปทำไมตั้งไกล”
“หึ ๆ ในหัวมันมีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ” ได้ยินดังนั้นทุกคนจึงเข้าใจเจตนาของเพื่อนที่อยากไปกินข้าวที่อื่นให้เสียเวลาเดินไปทำไม
“ไม่ต้องมายิ้มล้อกู ก็พวกมึงนั่นแหละ คืนนั้น...ไม่น่าเลย ทำไมไม่ห้ามกู...อุตส่าห์ตามดูมาตั้งนาน...อยู่ ๆ น้องก็หายไป กว่ากูจะจับทางได้เหมือนเดิมเล่นเอาเหนื่อยเลย”
“อ้าวโทษพวกกูอีก ก็คนมันเมานี่หว่า...มึงก็ด้วยนั่นแหละ ตัวนำเพื่อนเลย” ว่าออกมาด้วยความรู้สึกผิดเหมือนกัน...น้องคงกลัวมาก...
“ลืมให้หมด ๆ พวกมึงต้องลืมให้หมด พวกมึงไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!” พอพูดถึงเรื่องคืนนั้นคนก่อเรื่องหลักก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ‘ไอ้พวกนี้มันเห็น...แถมยังได้จับด้วย..อ๊ากกกก!!! อยากควักตาแล้วก็ตัดมือพวกมันจริง ๆ’
“ก็อยากลืมอยู่หรอก...แต่มันขาว...มา..ก...โอ้ย!!! เบา ไอ้เสกข์!” พูดออกมาอย่างเพ้อ ๆ แล้วก็หายเพ้อทันใดด้วยโดนฝ่ามือใหญ่กระชากผมแทบขาดและทำท่าว่าจะกดกระแทกโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า
“เฮ้ย ๆ พอไอ้เสกข์ ๆ พอ ๆ” เพื่อนคนอื่นรีบห้ามคนมือไวทันทีทันใดกลัวได้เกิดการฆาตกรรมขึ้น มาด้วยสาเหตุจากพิษรักแรงหึง
“เออ...โทษทีไอ้เสกข์ แฮะ ๆ” คนพูดไม่ระวังจนเกือบเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุรีบกล่าวขอโทษอย่างออดอ้อน...ซึ่งเสกข์มองแล้วอยากเข้าไปลูบปลอบที่ทำรุนแรงเมื่อกี้...ลูบด้วยฝ่าเท้านะ..
“กูรู้ว่ามึงหยอกเล่น แต่คนนี้ไม่ได้จริง ๆ ที่กูไม่มีแฟนก็เพราะรอ...คนนี้แหละ” คนพูดเปลี่ยนอารมณ์เป็นพื้นหลังสีชมพูในทันใดสลัดคราบปีศาจเมื่อครู่เสียสิ้น
“เออ ๆ เข้าใจแล้ว ๆ”
หลังจากนั้นทัพหนุ่มหล่อก็ได้ฤกษ์เคลื่อนย้ายไปสู่โรงอาหารคณะวิทยาศาสตร์เพื่อมาตามหาหัวใจโดยมีสายสืบฝีมือดีเป็นผู้บอกเส้นทาง...
“นั่นพี่ นั่งอยู่นั่นไง!”
******************************************************************************
ท่ามกลางความจอแจของโรงอาหารคณะวิทยาศาสตร์ กลุ่มเด็กหนุ่มสาวจากคณะมนุษยศาสตร์กลุ่มใหญ่ก็ก้าวเข้ามา พลันสอดส่ายสายตามองหาที่นั่ง
“นั่น ๆ นั่งตรงนี้เหอะ!” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มตะโกนออกมาพลางวางกระเป๋าลงเพื่อจองที่นั่งทันทีทันใด
“สน กินไรดีอ่ะ ?” เสียงทุ้มเข้มถามเพื่อนสนิทตัวเล็กข้างกาย
“เหมือนเดิมป่ะ ? ตอนรับน้อง..” ต้นสนตอบกลับพร้อมยิ้มให้อย่างรู้กัน
ต้นสนกับอันดาเป็นเพื่อนคนแรก ๆ ที่ต่างคนต่างที่มาแล้วมารู้จักกันในวันรับน้อง ในตอนปีหนึ่งช่วงที่การรับน้องยังไม่สิ้นสุด หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมอันแสนเหนื่อยล้า ต้นสนกับอันดามักชวนกันไปกินข้าวหน้าเป็ดของคณะวิทย์เป็นประจำ จนกระทั่งห่างกันก็ไม่มีโอกาสได้มากินอะไรแบบนี้บ่อยนัก
วันนี้ต้นสน บุ้ง และสร เผอิญเดินมากินข้าวที่คณะวิทยาศาสตร์แล้วเจอกับกลุ่มของอันดาพอดี จึงตัดสินใจไปด้วยกัน
“คนเยอะจัง อุตส่าห์เปลี่ยนบรรยากาศจากคณะตัวเองมาเป็นที่นี่...นึกว่าคนจะน้อยซะอีก..”
“คนเยอะไม่เป็นไร...อาหารตา” คนพูดว่าพลางหัวเราะพร้อมทำหน้าตาเจ้าชู้
“หูดำหมดแล้วครับคุณอันดา ฮ่า ๆ”
ด้วยความที่ไม่ได้คุยกันบ่อยแต่ไม่ได้ทำให้ความสนิทสนมน้อยลงกว่าเดิม เพื่อนคนอื่นในกลุ่มเก่าของต้นสนก็เช่นกัน ทุกคนสนิทกันหมดเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมีบุ้งกับสรเข้าไป ทั้งหมดพูดคุยกันเสียงดังแต่ไม่เป็นการเสียมารยาทเพราะโรงอาหารที่ไหน ๆ มันก็เสียงดังเหมือนกันหมด คนโน้นคุยกับคนนี้ คนนี้คุยกับคนโน้น ทำให้การกินอาหารกลางวันเป็นไปได้ช้ากว่าทุกวัน...
ต้นสนนั้นคุยกับทุกคนในโต๊ะอย่างสนุกสนาน...ไม่ทันเห็นสายตาอำมหิต ปนอคติด้วยความหึงหวงของผู้ชายคนหนึ่ง
“ไม่ใช่แน่นอน พี่เสกข์ นั่นก็เพื่อน ๆ เค้านั่นแหละ หายใจลึก ๆ พี่”
“เพื่อนประสาอะไรนั่งใกล้กันขนาดนั้น แถมคุยกันแค่สองคน หึ้ย!! ไหนมึงบอกไม่มีใครมาจีบเค้าไง!” ปั้นจั่นรวมถึงเพื่อน ๆ ที่เหลือมองหน้ากันไปมา ‘มึงนี่หึงจนหน้ามืด...น้องเค้าก็คุยกับทุกคนป่ะวะ ?’
ได้แต่บ่นออกมาแค่ในใจเพราะไม่อยากขัดอารมณ์ขี้มโนขี้โมโหของเพื่อน พลันน้องเล็กสุดในกลุ่มก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จากที่จะแก้ต่างให้เป้าหมายของพี่ชายคนสนิท กลับพูดในทางยุงยงขึ้นมา...
“เออ เห็นแบบนี้ก็ชักไม่แน่ใจแล้วซิ ผมก็มัวแต่คอยระวังคนนอกให้พี่ลืมระวังคนใกล้ชิดอย่างเพื่อนในคณะไปสนิท...” ว่าพลางมองสีหน้าของคนบ้ายุ
“...”
“แต่ความจริงแล้ว พี่เค้าก็มีสิทธิ์จะคุยจะศึกษาดูใจกับใครก็ได้นะ ก็เค้าโสดนี่...” ว่าไปอีกดอก
“...” มีเพียงความเงียบตอบกลับมาจากคนนั่งนิ่ง พาให้ทุกคนในกลุ่มกลั้นหายใจ
“เอาไงต่อ...ไอ้เสกข์”
“กูว่ากูต้องจัดการ...”
******************************************************************************
เช้าวันต่อมา ท่ามกลางสายฝนปรอย ๆ ละอองเล็ก ๆ ที่หน้าคณะมนุษยศาสตร์ตึกสามอันเป็นที่พบปะพูดคุยของนักศึกษาสาวิชาเอกภาษาอังกฤษ กลับมีสิ่งแปลกปลอมโพล่ขึ้นมา...
เป็นชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ มีมากันห้าคน...การแต่งกายดูก็รู้ว่ามาจากคณะไหน...
“ขอโทษครับ น้องต้นสนพี่ขอโทษครับ!”
“ใครมาตะโกนอะไรวะ...เฮ้ย โดนลงโทษไรเปล่า ?” เสียงจอแจเริ่มดังขึ้น “หล่ออะแก!” ทุกคนร่วมกันเริ่มซุบซิบนินทา
“ขอโทษครับ น้องต้นสนพี่ขอโทษครับ!” เสียงตะโกนของคนหน้าคณะยังดังต่อเนื่อง พูดซ้ำไปซ้ำมาอย่างกับแผ่นหนังสะดุด
“ต้นสนไหนอ่ะ ? เขินแทนอะแก!” เสียงถามไถ่ไปมาด้วยความสงสัยดังขึ้นเป็นระยะ ๆ อย่างไม่มีหยุด
******************************************************************************
ภายในห้องเรียนเย็นฉ่ำพาให้ง่วงหงาวหาวนอนนั้น อยู่ ๆ อาจารย์ประจำวิชาก็เรียกต้นสนออกไปพบ
“แดนสรวง มาหาครูเดี๋ยวซิ” ต้นสนเดินออกไปหาอาจารย์ที่หน้าห้อง ระหว่างที่อาจารย์ปล่อยให้เพื่อน ๆ ง่วนกับการทำงานที่อาจารย์สั่งให้ทำจึงไม่ค่อยมีคนสนใจต้นสนมากนักว่าอาจารย์เรียกเพื่อนไปทำไม...
“หัวหน้าภาควิชาเค้ามาแจ้งกับอาจารย์ เรื่องที่...มีนักศึกษาปีสี่จากคณะวิศวกรรมศาสตร์มาขอพูดคุย”
ต้นสนเกร็งตัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน...
“เรื่องคืนนั้น...อาจารย์รู้แล้วนะ หนูโอเคมั้ย ? หรือยังกลัวอยู่” อาจารย์สาวถามอย่างเอื้ออารี
“เอ่อ...เค้าบอก...พวกเค้าบอกเหรอครับ..” ต้นสนถามเสียงสั่น ใบหน้าใบหูสลับกันเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด
“พวกพี่เค้าอยากมาขอโทษหนู...เรื่องที่...มันจริงใช่มั้ย ? มีอะไรเกินเลยกว่านั้นหรือเปล่า บอกอาจารย์ได้นะ ไม่ต้องกลัว”
‘โกหก!...แต่ดีแล้วที่ไม่บอก..’ “เอ่อ...เป็นอย่างนั้นแหละครับ แต่..อาจารย์ ผมไม่อยากเจอพวกเค้า” ว่าออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี
“ไปเถอะลูก มา...มากับอาจารย์” อาจารย์กล่าวกับต้นสนพลางบอกให้เพื่อน ๆ ทำงานให้เสร็จหรืออยากจะออกจากห้องก่อนเวลาก็ย่อมได้เลย พลางขอตัวพาต้นสนออกไปพร้อมกัน
“อาจารย์พาผมไปไหนครับ ?” ต้นสนถามขณะลงลิฟต์มาชั้นล่างสุดกับอาจารย์
อาจารย์สาวไม่ตอบอะไรจนกระทั่งมาถึงที่หมายจึงจูงมือต้นสนมาที่หน้าตึก...
‘อ่ะ! คนวันนั้น!’ แม้ต้นสนจะไม่รู้จักมักคุ้นในหน้าตาของคนพวกนั้น แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร... ‘แล้วยังตะโกนอะไรน่าอายแบบนั้น...น่าขายหน้า...น่าขายหน้าที่สุด!’ ใบหน้าน่ารักเริ่มร้อนขึ้นมาจากความอายและความโกรธ...
“นี่พวกเธอ!! หยุดตะโกนได้แล้ว! ต้นสนมานี่ซิลูก”
“...” ต้นสนเดินออกมาหาอาจารย์อย่างว่าง่ายพลางก้มหน้าก้มตามองแต่ทาง
“ให้พี่เค้าขอโทษนะลูก”
“...”
“น้องครับ วันนั้น...พวกพี่ขอโทษนะ เรามาดีกันนะ ?” เสียงขอโทษดังออกมาจากปากทุกคนในกลุ่มซึ่งต้นสนไม่ได้สนใจฟังว่ามันดังมาจากใครบ้าง
‘อยากออกจากที่นี่ เมื่อไหร่...จะได้ไปจากตรงนี้..’
“ต้นสน ว่าไงคะ ? อภัยให้พี่เค้ามั้ย”
“ครับ” ตอบทั้ง ๆ ที่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่ อาจารย์สาวก็มองอย่างกลุ้มใจแต่ก็ยังเห็นด้วยว่าอย่างน้อยก็ให้ขอโทษไปก่อน
“พวกพี่เค้าโดนพักการเรียนหนึ่งสัปดาห์ แจ้งเรื่องถึงผู้ปกครองรับทราบ แล้วถ้าทำผิดอีกก็จะถูกไล่ออก...อย่างนี้ดีมั้ยคะ ?”
“ครับ” ต้นสนก็ยังคงตอบรับออกมาอย่างว่าง่าย ‘ไม่หายโกรธหรอก...ไม่มีวั..น...อะ!’
อยู่ ๆ ผู้ชายที่อยู่หน้าสุดก็ทำเรื่องให้ต้นสนไม่อยากมามหาลัยอีกหลาย ๆ วัน เพราะตกเป็นที่นินทาของเพื่อนในคณะ หรืออาจจะเป็นคณะอื่น ๆ...แทบจะทั้งมหาลัยเลยก็ว่าได้เพราะดันมีมือดีถ่ายคลิป..
“ยกโทษให้พี่ได้มั้ยครับ...นะ..” คนที่ชื่อ เสกข์ คนที่ต้นสนจำได้ว่าเป็นคนลงมือ...อยู่ ๆ ก็คุกเข่าลง แล้วดอกกุหลาบสีแดงสด ‘เอามาจากไหน ?’ ก็ยื่นมาตรงหน้าต้นสน
“...!!!???...”
อาจารย์สาวถึงกับทำตัวไม่ถูก เมื่อในขั้นแรกคิดว่าตนเองมาเป็นตัวแทนเจรจาไกล่เกลี่ยเรื่องกลั่นแกล้งรังแกรุ่นน้อง แต่ไหงตอนนี้...เธอรู้สึกว่าตัวเองมาเป็นพยานในการสารภาพรักไปซะได้ ?..
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
