ตอนที่ 22 : คนคนนั้นที่มีอยู่จริง
บทที่ 22
คนคนนั้นที่มีอยู่จริง
3 ปีผ่านไป...
“สน...สนลูก อยู่ในห้องหรือเปล่า ?” เสียงเรียกอยู่หน้าห้อง...คงเป็นป้าแหวน
“ครับ ขอผมแต่งตัวก่อนนะครับป้าแหวน” ปากตอบคนเป็นป้า...แต่สายตาจ้องเขม็งไปที่ประตู
“ออกไปนะ! อย่ามาขวาง!” เสียงตะคอกที่เบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบตะคอกใส่...บางสิ่งบางอย่าง ที่ยืนขวางอยู่หน้าประตู
มันอยู่กับต้นสน...ไม่พูด ไม่ทำอะไร เพียงแต่จับจ้องมา...ด้วยแววตาน่าขนลุก...ตลอดสามปี สามปีที่ต้นสนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ไปเรียน...ไม่ได้ไปพบเพื่อน ๆ สรกับบุ้งยังคงติดต่อมาอยู่เสมอ...แต่หลัง ๆ ก็เริ่มห่างไปเรื่อย ๆ เพราะทั้งสองคนทำงานกันแล้ว...แล้วต้นสนล่ะ ?
ต้นสนเรียนไม่จบ ไม่ได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียนและไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ...ต้องติดอยู่ที่นี่ เป็นแค่คนใช้...และคงจะต้องเป็นไปตลอดชีวิต
‘คุณท่าน ผม...ผมอยากไปเรียน นะครับ ให้ผมกลับไปเรียนเถอะ..’
‘ไม่ได้! แกมันไม่ปกติ จะไปเรียนทำไมให้มันเดือดร้อนคนอื่น...อยู่ที่นี่ กินยารักษาอาการแกซะ อย่าทำให้ฉันเดือดร้อนไปมากกว่านี้!’
‘มันมีจริง ๆ ผีมันมีจริง ๆ มีแต่คุณพ่อที่เชื่อ...’
‘หุบปากนะ!...แหวน พามันไปนอน อย่าให้มันมาเพ่นพ่านบนนี้อีก!’
หายไปแล้ว...
“ครับ ป้าแหวน ขอโทษที่สนช้านะครับ...ป้ามีอะไรเหรอครับ ?” ต้นสนเปิดประตูมาพบกับป้าแหวนที่ยืนคอยอยู่หน้าห้อง
“ขอโทษที่ป้ามากวนดึก ๆ นะลูก”
“ไม่เป็นไรครับ ป้าแหวนมีอะไรเหรอครับ ?”
“คือว่า...”
******************************************************************************
“ที่นี่มีหมอเก่ง ๆ หลายคนนะครับ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง...ครับ...แค่นี้นะครับ สวัสดีครับ”
คนตัวสูงวางสายโทรศัพท์หลังจากที่ต้องรับปากกับคนปลายสายหลายครั้งหลายครา...ว่าที่นี่จะปลอดภัย สำหรับคนที่พามาอย่างกะทันหัน...ต้นสน
ยังไม่ตื่นสินะ...
สายตาคมปลาบเหลือบไปมองคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าอ่อนใสมีแววเหนื่อยอ่อนอย่างคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ...ดูเหมือนว่า จะผอมลงกว่าตอนที่พบกันครั้งสุดท้ายเสียอีก...น่าเป็นห่วง..
บางครั้ง ติยศก็รู้สึกว่าแม่ของตนแปลก...ความสัมพันธ์แปลกประหลาดของคนสองคนที่อยู่บ้านเดียวกัน แม่ทำเหมือนเกลียดเด็กคนนี้หนักหนา แต่บางครั้ง...ก็เหมือนไม่ใช่ อาจเป็นเพราะพี่ชายที่ตายไป...ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงดูยุ่งเหยิงแบบนี้..
“ถ้าพี่ยังอยู่...”
รำพึงกับตนเองได้แค่นั้นก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินมา...สงสัยจะกลับมาแล้ว
“คุณอา...”
“ชู่ว...เงียบหน่อย” ติยศสั่งคนมาใหม่ด้วยเสียงกระซิบพร้อมกับค่อย ๆ ปิดประตูห้องของคนที่นอนหลับสนิท
“คนนั้นเขา...” เมื่ออยู่กันสองคน ไววิทย์ที่เพิ่งกลับจากการไปโรงเรียนก็เริ่มบทสนทนาขึ้น
“เขาจะมาอยู่ที่นี่กับพวกเรา” คนเป็นอาพูดเพียงสั้น ๆ เพราะก่อนหน้านั้น...เรื่องที่ควรจะพูดก็ได้พูดกับไววิทย์ไปพอสมควรแล้ว
“เขาเป็น...เป็นพี่ผมจริงเหรอ ทำไมคุณย่าไม่เคยบอก แถมยัง..” ให้เป็นแค่คนใช้ในบ้าน...ไววิทย์ต่อท้ายในใจเพราะรู้สึกสงสารคนที่นอนหลับอยู่
“เรื่องบางอย่างมันก็ซับซ้อน...แต่มันผ่านไปแล้ว แกไม่ต้องใส่ใจหรอก ให้รู้ว่าเขาเป็นพี่แกก็พอ พี่ที่เกิดจากแม่คนเดียวกัน แล้วตอนนี้พี่แกก็ไม่ค่อยแข็งแรง แกเป็นน้อง...ก็ช่วยดูแลเขาดี ๆ ก็พอ” คนเป็นอาพูดเพียงแค่นั้นแล้วทั้งสองก็แยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง
ซะที่ไหน...
พอลับหลังคนเป็นอา เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าสิบหกแต่ดูจากเค้าร่างกายแล้วอีกสองสามปีคงจะตัวโตพอ ๆ กับผู้เป็นอา...ค่อย ๆ ย่องจากห้องอย่างแผ่วเบาแล้วตรงไปทางห้องห้องหนึ่งที่เพิ่งมีคนเข้ามาอยู่...
เมื่อมาถึงหน้าห้อง เด็กหนุ่มค่อย ๆ บิดลูกบิดแล้วเปิดออกเบา ๆ แล้วโน้มศีรษะแอบมองคนบนเตียง
น่ารักจังเลย...เคยเห็นแค่ผ่าน ๆ ตอนกลับบ้านคุณย่าที่เมืองไทย พอได้มามองใกล้ ๆ แบบนี้ยิ่งน่ารักมาก ๆ เลย...
คนเป็นน้องชายยืมด้อม ๆ มอง ดูคนเป็นพี่ชายที่ตอนนี้ยังนอนหลับสนิทด้วยสายตาที่หลงใหลได้ปลื้ม...
“...!!!...”
จู่ ๆ คนที่นอนหลับปุ๋ยก็ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลันทำให้คนที่แอบมองอยู่ไม่ทันได้หลบหลีก ยืนตกใจทำอะไรไม่ถูกอยู่กับที่...
“เอ่อ...คือ...” ไววิทย์ยืนติดอ่างอยู่กับที่ ในขณะที่คนบนเตียงเพียงค่อย ๆ ขยับลุกจากท่านอนเป็นท่านั่งด้วยท่าทางที่ยังง่วงซึมอยู่
“เอ่อ ใครเหรอครับ ?” เสียงแหบพร่าอย่างคนเพิ่งตื่นนอนเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู...หน้าคุ้น ๆ
“เอ่อ คือ ผม...ผม” เด็กหนุ่มหน้าแดงแล้วแดงอีกอย่างเขินจัด ยืนหันซ้ายหันขวาพร้อมกับยกมือขึ้นเกาหัว
“ผมหลับนานแล้วเหรอครับ คุณติอยู่รึเปล่า ?” ต้นสนถามเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู พลางค่อย ๆ ลงจากเตียงพร้อมกับถามตัวเองในใจ...ทำไมคุ้นจังนะ ?
“...”
“...”
เมื่อทั้งสองได้มายืนเผชิญหน้ากัน ต้นสนคิดว่าทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้...หากมันหายไปหรือว่าต้นสนลืมมันไปก็จะไม่มีวันเสียใจ...เสียใจเท่ากับการลืมเลือนคนคนหนึ่ง คนที่รักมากที่สุด...คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้...
เด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่าก้มมองคนที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้า พี่ชายของเขาตัวเล็กมาก เล็กกว่าที่คาดไว้เสียอีก ตากลม ๆ นั้นวาวไปด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นมาจนแทบจะหยาดหยด...สายใยบางอย่าง มือคู่เล็ก ๆ ที่เคยเห็นราง ๆ ยามหลับฝันบางคืน...มันกลับชัดเจนขึ้นมา ใช่แล้ว เป็นมือของคนคนนี้...พี่ชายของไววิทย์
“พี่ครับ นี่ผมเอง...ต้นหม่อน”
******************************************************************************
“คุณติคะ อาหารพร้อมแล้วค่ะ” แม่บ้านสาวเอ่ยเตือนเจ้านายถึงเวลาทานอาหาร เมื่อได้รับการพยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบรับก็ค่อย ๆ เลี่ยงออกไปจากห้องทำงานของชายหนุ่ม
เจ้าตัวก้มลงดูเวลาที่นาฬิกาข้อมืออีกครั้งแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องของหลานชาย...
“ไว” เมื่อลองเรียกและเคาะประตูกลับได้รับความเงียบงันเป็นคำตอบ คุณอาผู้เคร่งขรึมจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง...เพื่อพบกับความว่างเปล่า
“หายหัวไปไหน ?” คุณอาหนุ่มอดจะบ่นออกมาเบา ๆ ไม่ได้เมื่อไม่พบหลานชายในห้องพร้อมกับคิดว่าอีกฝ่ายคงไปเถลไถลที่ไหนโดยไม่บอกกล่าวกันก่อน เจ้าตัวส่ายหน้าเบา ๆ อย่างปลง ๆ แล้วตัดสินใจเดินไปอีกห้องห้องหนึ่ง...ที่มีคนมาอยู่เพิ่ม
ป่านนี้จะตื่นรึยังนะ ? นอนนานเกินไปแล้ว...เดี๋ยวก็ปวดหัวพอดี..
ติยศตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะเพราะคาดว่าต้นสนคงยังไม่ตื่น...
แต่เมื่อเข้ามาแล้วกลับพบกับภาพที่ไม่คาดคิดมาก่อน...
คนร่างสูงยืนมองภาพตรงหน้าพร้อมยิ้มอย่างระอาเล็ก ๆ แล้วตัดสินใจว่าจะทานอาหารเย็นแค่คนเดียวปล่อยให้สองคนพี่น้อง...นอนกอดกันอยู่บนเตียงจนกว่าจะตื่นกันเองโดยไม่เข้าไปปลุกแต่อย่างใด..
“สา พอไวกับต้นสนตื่นแล้วก็ช่วยทำอะไรง่าย ๆ ให้สองคนนั้นกินด้วยนะ ฉันมีธุระ ถ้าใครถามก็บอกว่าฉันไปบริษัทแล้วกัน”
“ค่ะ คุณติ”
หลังทานอาหารง่าย ๆ เพียงคนเดียวเรียบร้อยแล้ว ติยศก็ออกไปข้างนอกทันที...ในหัวนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้...
“แม่กังวล อยู่ที่นี่ก็มีแต่แม่ ต้นสนมันป่วยหนัก นางแหวนมันก็คงดูแลไม่ไหว...”
“คุณแม่จะให้ผมกลับไปไหมครับ ช่วงนี้ผมว่าง ให้คุณประคองดูแลบริษัทก่อนได้ไม่มีปัญหาอะไร”
“อย่าเลย แม่แค่เครียด ๆ เฮอะ! ดูพี่ชายแกสิ มันทิ้งอะไรไว้ให้ฉัน นอกจากจะทำให้ฉันผิดหวังแล้ว พี่แกยังกล้า!...”
ติยศจับกระแสเสียงของความคิดถึงถวิลหาอาวรณ์ทุกครั้งที่ผู้เป็นแม่เอ่ยถึงพี่ชายที่จากไปได้เสมอ แม้การกล่าวถึงจะเป็นเรื่องด่าทอตำหนิอีกฝ่ายก็ตาม...
“พี่เขารักต้นสนมาก...ผมเองก็..”
“อะไร...ตาติ”
“เปล่าครับ..”
“เฮอะ เอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอม พี่แกดีแต่หาเรื่อง ตายไปแล้วก็ยังหาแต่เรื่องให้ฉัน!”
ติยศฟังคนเป็นแม่บ่นเรื่อย ๆ ในใจลึก ๆ รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร...คนปากแข็ง ปากอย่างใจอย่าง นั่นล่ะ...คุณแม่
“แล้วลูกรักของพี่ชายแกก็หาแต่เรื่อง นอกจากจะไม่สบายมันยังเอาเรื่องวุ่น ๆ มาให้ฉันอีก...นี่แกรู้ไหม คนจากบ้านกิจจาวาณิชยังคอยเทียวไปเทียวมาอยู่เรื่อย ๆ...น่าปวดหัว”
“กิจจาวาณิช ? พวกเขามาทำไมเหรอครับ ?”
“ก็มาขอต้นสนมันนะสิ ฉันก็บอกแล้วว่าเด็กมันไม่ปกติ...แถมไอ้หนุ่มนั่นก็ยังอายุน้อย เอามันไปก็ขี้คร้านจะเบื่อเข้าสักวัน...ฉันไม่ไว้ใจ...เอ่อ แม่หมายถึง เดี๋ยวพอเลิกกันก็ซมซานกลับมา...ฉันเบื่อจะมองหน้ากันไม่ติดกับบ้านนั้น...”
ติยศไม่ได้สนใจว่าแม่ของตนจะกลบเกลื่อนความห่วงใยที่มีต่อต้นสนอย่างไร สิ่งที่สนใจก็คือ...
“แม่ปฏิเสธพวกเขาไปเถอะครับ”
“หะ นี่ลูกว่าไงนะ ?”
“ผมบอกว่าปฏิเสธไปเถอะครับ...แล้วบอกว่าต้นสนจะย้ายมาอยู่กับผม มารักษาตัวอยู่ที่นี่...”
“แม่หลบเลี่ยงมาตั้งนานแล้ว บอกให้รอนายเสกข์อะไรนั่นเรียนจบ จนตอนนี้เด็กนั่นก็เรียนจบมีการงานทำแล้ว ปฏิเสธตรง ๆ ก็กลัวว่าจะผิดใจกัน...” เสียงของคุณมรกตมีแววลำบากใจเพราะคำนึงถึงมิตรภาพระหว่างครอบครัวที่มีมาอย่างยาวนาน...
“คุณแม่ไมต้องห่วง...เดี๋ยวผมจัดการเอง...”
“เอ่อ...แล้วแต่ลูกเลยตาติ”
******************************************************************************
“คุณย่าครับ ผมยอมไม่ได้...ผม..”
คนสูงวัยอดสงสารหลานชายไม่ได้ แต่จะให้เธอดื้อแพ่งอยู่ก็เกรงว่าจะเสียหน้าไปเปล่า ๆ หันไปมองลูกชายและลูกสะใภ้ที่มีสีหน้าลำบากใจด้วยกันทั้งคู่
“ตัดใจเถอะลูก สามสี่ปีมานี่แม่ว่ามันก็พอพิสูจน์ได้แล้วว่าทางนั้นคงไม่เต็มใจที่จะ...” คนเป็นแม่พูดเสียงแผ่วลงในตอนท้ายเพราะกลัวจะไปกระทบจิตใจของลูกชายคนเล็กที่เธอรักมาก ๆ ให้เสียใจไปยิ่งกว่าเดิม
“ไม่จริง ตอนที่ผมไปหาน้องที่บ้าน เรายังคุยกันดี ๆ อยู่เลย เราสองคน...” อยากจะพูดว่าเราสองคนรักกันก็เหมือนมีหินมาถ่วงปาก...รักกันงั้นเหรอ ? ตัวเสกข์แน่นอนว่ารักต้นสนอยู่แล้ว...แถมรักมานานแล้วด้วย แล้วต้นสนล่ะ ? รักเสกข์หรือเปล่า...
“ถึงทางนั้นจะบอกว่าต้องพาต้นสนไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ...แต่พ่อฟังดูแล้ว ยังไง ๆ ก็เป็นการปฏิเสธทางเราอ้อม ๆ อยู่ดี พ่อว่าแกเลิกซะเถอะ...”
“ไม่ครับ!” ไม่รอให้คนเป็นพ่อพูดจบ เสกข์ก็สวนคำพูดขึ้นมาทันที จนผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ต่างก็ส่ายหน้าระอากับความดื้อดึงนั้น พลางคิดในใจว่าเด็กคนนั้นมีอะไรดีให้คนอย่างศุภเสกข์ กิจจาวาณิช หลงใหลคลั่งไคล้ขนาดนั้น...
“เฮ้อ...พ่อเบื่อจะพูดกับแกแล้ว แล้วแกจะทำยังไงต่อละ คนที่แกหมายตาเขาหนีไปไกลถึงต่างประเทศขนาดนี้...”
“ผมจะตามไป...” เสกข์บอกกับทุกคนที่นั่งอยู่อย่างมุ่งมั่น
“ถ้าเราจะไม่ได้รักกัน...ขอให้ผมได้ลองให้ถึงที่สุด นะครับคุณย่า คุณพ่อคุณแม่...”
ผู้ใหญ่ทั้งสามหันมองหน้ากันไปมาแล้วได้แต่ถอนหายใจ...
“อืม ขอให้แกโชคดี ตาเสกข์”
แม่ของเสกข์มองตามลูกชายที่เดินจากไปอย่างเป็นห่วง ในใจนึกภาวนาให้ลูกสมหวัง...ทำไมเธอจะไม่รู้ ว่าลูกเธอรักเด็กคนนั้นมากแค่ไหน...รูปถ่ายในห้องนั่น ตั้งแต่สมัยมัธยมสินะที่ทั้งสองเคยเจอกัน ดูเผิน ๆ มันเหมือนกับนิยายรักที่คนสองคนบังเอิญพบกันแล้วพรหมลิขิตก็บันดาลให้มารักกัน...แต่เรื่องของลูกชาเธอดูจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น...หากว่าความรักนั้น เกิดขึ้นอย่างยินยอมทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด อย่างเช่นฝ่ายลูกชายเธอ...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
