เพียงแว๊บนึงจึงคนึงหา - เพียงแว๊บนึงจึงคนึงหา นิยาย เพียงแว๊บนึงจึงคนึงหา : Dek-D.com - Writer

    เพียงแว๊บนึงจึงคนึงหา

    คนเราจะรู้ว่าตัวเองมีความรักเมื่อเคยสัมผัสกับความรัก *นิยายสั่นเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนหนังสั่นที่ตัดไปทีละฉากของการเติบโตของตัวละครหลักนะคะให้ผู้อ่านจินตนาการว่ากำลังดูหนังสั้น*

    ผู้เข้าชมรวม

    117

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    117

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 ก.ค. 65 / 23:25 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    คนเราจะรู้ว่าตัวเองตกหลุมรักใครสักคนเมื่อเราเคยสัมผัสกับความรัก

    และคนเราจะรู้ค่าใครสักคนตอนที่เขาหายไปจากชีวิตเราแล้ว

    สวัสดีค่ะฉันคือตัวละครที่พวกคุณอ่านตอนนี้และเป็นตัวเอกของเรื่องนี้ด้วยค่ะ เดิมทีฉันเป็นคนที่ไม่กล้าที่จะเล่าเรื่องอะไรกับใครเท่าไหร่แต่ว่าวันนี้ฉันดันไปฟังเพลงเพลงนึงมาแบบบังเอิญค่ะ ทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนนึกถึงเหตุการณ์นึงขึ้นมานั้นก็คือรักแรกนั่นเองค่ะ ฉันสามารถเรียกความรู้สึกว่ารักแล้วฉันก็เพิ่งแน่ใจเมื่อกี๊นี้เองค่ะ ทุกคนรู้จักความรักกันตอนไหนหรอคะ? 

    ย้อนกลับไปเมื่อตอนประถมฉันมีเพื่อนคนนึงเธอเป็นคนชอบวาดรูปมากมีความทะเยอทะยานมากทั้งการเรียนและก็การวาดรูปแถมเป็นคนที่มีหัวคิดมากๆและนี่คือหน้าตาความรักของฉัน

    ตอนนั้นเราเรียนอยู่ในโรงเรียนศาสนาคริสต์ ฉันเห็นเธอคนนั้นตั้งแต่ตอนป.1 ถักเปียผมยาวมีหน้าม้าใส่เอี๊ยมสีน้ำเงินหน้าขาวๆมาโรงเรียนเธอเป็นเด็กที่ตัวสูงที่สุดในห้องทำให้เธอคนนี้ดูสดุดตาที่สุดเลย ฉันยังจำครั้งแรกที่เราพูดกันได้อยู่เลย ตอนนั้นฉันสนิทกับเพื่อนสมัยอนุบาลจริงๆก็ไม่เชิงว่าสนิทเพียงแต่ตอนเด็กๆฉันเป็นคนที่ไม่ใช่คนช่างพูดช่างจาเลยหาเพื่อนที่เคยเรียนอนุบาลและเกาะเขาป็นเพื่อนคุณแม่ก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันไม่พูดไม่จาของฉันมากจนต้องไปปรึกษาคุณครูและคุณหมอหลายคนเลยค่ะฉันเป็นคนเข้าสังคมไม่เก่งและปรับตัวยากมากทีเดียวแต่สิ่งที่ทำให้ฉันเริ่มที่จะสนทนากับคนแปลกหน้าคนนี้เริ่มจากที่ฉันไปนั่งข้างๆเพื่อนคนนี้ ตอนนั้นเธอทักฉันก่อนเธอบอกบอกว่า...

    "สวัสดีเค้าชื่อพริมนะ" แล้วฉันก็พยักหน้ากลับไปแล้วก็อ่านชื่อที่ปักตรงหน้าอกของเธอคนนั้น พริมดารา ในใจก็คิดว่าคนปลกหน้าทักเราควรจะตอบไปดีไหมด้วยความที่ฉันยังเด็กและคุณพ่อก็สอนเสมอว่าอย่าพูดกับคนแปลกหน้านะรู้ไหม

    "ตัวเองชื่ออ้อนหรอ" เธอคนนั้นถามกลับ

    "ตัวเองรู้ชื่อเค้าได้ไง"  ฉันถามเธอคนนั้นกลับไป 

    "ก็เธอเขียนชื่อไว้ทุกอย่างที่เธอเป็นเจ้าของเลยนี่นา" ตอนนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าการตอบกลับคนแปลกหน้าที่อยู่ในห้องเรียนเดียวกันมันก็ไม่ได้แย่นี่ฉันค่อยๆเรียนรู้ที่จะพูดกับคนแปลกหน้ามากขึ้นจากคนแปลกหน้าก็กลายมาเป็นคนรู้จักจากคนรู้จักก็กลายมาเป็นเพื่อนและจากเพื่อนก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิท วันเวลาผ่านไปเรากลายเป็นเพื่อนสนิทที่สนิทกันมากจริงๆฉันสนิทกับเธอคนนั้นตั้งแต่ป.1 เราผ่านอะไรกันมามากมายทั้งทะเลาะเรื่องเล็กๆน้อยๆและก็การงอนกันของเด็กประถมสมัยนั้นถ้าจะโทรคุยกันเราต้องใช้โทรศัพท์บ้านไม่ก็เบอร์ผู้ปกครองเขาค่ะเธอโทรมาหาฉันในทุกวันที่เราไม่ได้เจอกันเราเล่นๆคุยกันราวๆครึ่งชั่วโมง-2ชั่วโมงและทุกครั้งที่เธอโทรมาฉันก็จะยิ้มร่าเสมอราวกับรอสายของพริมมาตลอด

    วันเวลาไปไวเหมือนโกหกเราเดินทางมาสามปีจนปีที่เราป.4ฉันจำได้แม่นเลย ว่าโรงเรียนมีโครงการใหม่แยกห้องเรียนแบบพิเศษและธรรมดาคนที่เรียนแบบพิเศษแค่อัพค่าเทอมราวๆ 5 พันบาทก็ได้เข้าไปเรียนที่ห้องพิเศษนั้นและห้องพิเศษนี้มีออพชั่นการเรียนการสอนเพิ่มคาบเรียนอิ้งกับเจ้าของภาษามีค่ายต่างประเทศตอนแรกคุณแม่ของฉันตกลงให้ฉันเรียนที่โครงการนี้เพราะเห็นว่าอัพค่าเทอมมาไม่เยอะก็ได้คุ้มถึงขนาดนี้เลยและฉันก็ไม่ได้ติดใจอะไร จนกระทั้งพริมเพื่อนสนิทของฉันเธอไม่ได้อยากเข้าเรียนในห้องพิเศษตอนนั้นฉันแทบจะหน้าชาเลยต้องแยกกันอยู่กับเพื่อนคนนี้งั้นหรอ แค่ฉันคิดมันก็เป็นฝันร้ายมากๆแล้วฉันไม่อยากไปทำความรู้จักกับคนใหม่ฉันมีเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ในห้องนี้แล้วนี่นาทำไมฉันต้องแยกกับเธอด้วยมีคำถามวกไปวนมาในหัวมากมาย เย็นวันนั้นฉันเลยตัดสินใจบอกคุณแม่ไปว่าฉันไม่เรียนห้องเรียนพิเศษแน่นอนตอนแรกคุณแม่เขาก็ขัดฉันเลยต้องร้องไห้งอแงอยู่สองสามวันคุณแม่เลยลบจากสมัครใจยินยอมเปลี่ยนเป็นไม่สนใจที่จะส่งฉันไปเรียนในห้งพิเศษนั้นแทน ฉันเลยมีเพื่อนสนิทเป็นพริมเหมือนเดิม

    วันเวลาผ่านไปเราก็มาถึงช่วงเวลาป.6 เป็นวัยที่จะย่างก้าวเข้าชีวิตมัธยมและตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาดีๆที่จะตกหลุมรักใครสักคนพริมดาราสารภาพรักกับฉัน หากแต่คนนั้นดันไม่ใช่ฉัน...เธอชอบเพื่อนร่วมห้องชื่อบีมตัวสูงมากสูงกว่าพริมดูเหมาะสมกันมาเลย เธอแอบชอบคนนี้มาตั้งแต่ป.4จะขึ้นป.5 ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกันตอนนั้นฉันยินดีกับเธอมากๆเลย

    "อ้อนถ้าแกอยากได้คืนแกก็กระโดดให้ถึงดิ" บีมเอากล่องดินสอของฉันไปแล้วเขาก็ยืดแขนเต็มส่วนสูงของเขา ตอนนั้นฉันก็กระโดดเต็มความสูงของฉันแต่ฉันดันสูงไม่พอ บีมก็มีท่าทีที่สนุกกับการกระทำนั้นของตัวฉันมากเลยฉันได้แต่ยืนมองเดี๋ยวบีมเบื่อคงปล่อยมาเองแหละ แล้วจู่ๆพริมก็เดินมาแล้วกระโดดเอากระเป๋าดินสอมาคืนฉัน

    "อย่าแกล้งแฟนเค้าดิบีม" วินาทีนั้นฉันทึ่งมาก พริมไหนว่าเธอบอกว่าชอบบีมแล้วเธอพูดแบบนี้ทำไม... ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจมากเลยกับการทำหลายๆอย่างเช่นการซื้อน้ำให้ การรอ หรือแม้กระทั่งการปกป้องฉันจากคนที่แกล้งฉันเอาสนุก มันคือการกระทำของเพื่อนทั่วๆไปหรือเปล่า

    "ผมแกหอมจัง" พริมก้มลงแล้วดมผมของฉัน ตอนนั้นมีหลากหลายความคิดโพลงขึ้นมาในหัว ผมเราหอมเพราะอะไรแล้วทำไมพริมต้องดมหัวเราล่ะ

    ในช่วงนั้นเราตัวติดกันมากจนหลายๆคนคิดว่าเราเป็นแฟนกัน จะเป็นได้ไงก็พริมชอบบีม... ในตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าความรักต้องรู้สึกยังไงถึงเรียกว่ารัก ฉันไปเปิดอ่านหนังสือนิยายรัก บทความ และกระทู้ต่างๆว่าแฟนกันเขาทำอะไร การกระทำต่างที่ตอบมาทั้งหมดฉันกับพริมก็เคยทำมาแทบทั้งหมดเหลือเพียงอย่างเดียวที่ทั้งฉันละพริมไม่ทำคือการสารภาพรักและการที่ทั้งสองรู้สึกดีต่อกันไม่สิการที่พริมรู้สึกดีต่อฉัน

    เด็กป.6เป็นวัยที่กำลังย่างก้าวเข้าสู่มัธยมซึ่งหมายความว่าเราอาจจะแยกกัน...

    และใช่เราแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง

    พริมเรียนสายวิมย์-คณิต ฉันเรียนอินเตอร์ แม้ตึกของเราอยู่ห่างกันแต่อย่างน้อยก็อยู่ในรั้วโรงเรียนเดียวกันแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เจอพริมน้อยลงแถบจะไม่ได้เจอเลยและทุกครั้งที่เจอเธอฉันก็จะรู้สึกดีใจยิ้มให้พริมตลอด การที่เราแยกจากกันมันทำให้ฉันไม่รู็สึกชินเลยและนั่นทำให้ฉันยิ้มน้อยลงไปมากจนกลายเป็นคนที่ทำหน้านิ่งและเบื่อโลกตลอดเวลา

    วันเวลาผ่านไปจนปลายๆม.2ฉันมารู้ว่าพริมเรียนพิเศษโรงเรียนเดียวกันกับฉันเราคุยกันเยอะมากเกี่ยวกับวิชาที่เรียนเรื่องราวในห้องเรียนว่าเป็นยังไงบ้างคุยกันสารทุกข์สุขดิบจนมีเรื่องนึงที่ทำให้ฉันตกใจ "อ้อนเราขอบีมคบ" ตอนนั้นฉันทั้งอึ้ง ประหลาดใจ ดีใจ แต่ก็ใจหายในเวลาเดียวกัน...

    "แล้วเป็นไงบ้าง" ฉันถามพริมไปอย่างนั้นเพราะสมองคิดอะไรไม่ออกแล้วแม้อยากจะคุยมากมายแต่ว่าสมองฉันตื้อเหลือเกิน ตอนฉันมองแค่ปากของพริมมองทุกกริยาของพริมแต่ว่าฉันไม่ได้ยินพริมเลย

    "เค้ากลับก่อนนะ" พริมเดินกลับเข้าไปหาคุณแม่ของพริมนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่เสียงโทรศัพท์ฉันดันดังขึ้นมา แม่มารับกลับบ้านแล้ว...

    คงลาความรู้สึกนี้ได้สักทีนะไอ้การรอเนี่ย...

     

    เรื่องราวผ่านไปเราเดินทางมาถึงตอนที่เาจะจบม.3ตอนนั้นปัจฉิมเพื่อนๆทุกคนต่างใส่ผ้าคลุมแจกรูปอำลากันและกันและฉันก็เดินเข้าไปในโรงอาหารสะดุดตากับโต๊ะๆนึง มีเด็กผู้หญิงใส่ผ้าคลุมสีเลือดหมูบนหัวมีมงกุฎขนนกใส่แว่นตากรอบกลมๆกำลังโบกมือให้ฉัน พริมดารา

    "มานี่เลยเพื่อนรักอะนี่กูแพ็คให้มึงถุงนี้พิเศษใส่ใจ" พริมยื่นทุกกระดาษขนาดเล็กให้

    "แป๊บนึงนะ" ฉันบอกกับพริมพร้อมกับวิ่งไปหน้าโรงเรียนเพื่อที่จะไปซื้อดอกกุหลาบสีขาวมาแล้วฉันก็วิ่งเข้าโรงอาหาร

    "อะนี่...โต๊ะข้างๆเขาฝากมา" ฉันพูดกับพริมพร้อมความรู้สึกเหนื่อยหอบ

    "55555ไม่ต้องมาโกหกกูเห็นตั้งแต่มึงวิ่งออกไปนอกโรงเรียนและ" พริมพูดพร้อมกับหัวเราะ

    "แล้วนี่ไปถ่ายรูปกับบีมยัง ให้กูเป็นตากล่องให้เปล่า" ฉันถามแซวพริมไป

    "กูกับมันเลิกกันแล้วอะตั้งแต่ต้นม.3เลย" ตอนนั้นฉันอยากจะตีปากตัวเองที่ถามอะไรโง่กับพริมไปจัง

    "อ้อนกูมีเรื่องให้มึงช่วยกูหน่อย" ฉันพยักหน้ามองพริมแล้วพริมก็ถือรูปๆนึงที่มีเข็มกลัดห้อยออกมา

    "เอาไปติดให้บีมหน่อยสิแต่อยากบอกบีมนะว่ามันเป็นรูปกู" ในตอนนั้นฉันรู้ได้ทันทีเลยว่ามันคือความรู้สึกอาวรณ์ทั้งของพริมและฉันแต่ต่างกันตรงที่พริมอาวรณ์บีมแต่ฉันอาวรณ์พริมเหลือเกิน

    ฉันเดินไปตรงโซนเด็กกิฟท์วิทย์ตรงหน้าฉันมีเด็กผู้ชายตัวสูงราวๆ 180 เซนติเมตร มีเพื่อนมุงมากมายแล้วฉันก็เดินเข้าไปพร้อมกับเงยหน้ามองอีกฝ่าย

    "บีม"เราเรียกชื่ออีกฝ่ายคนที่เรารู้จักเขามาตลอดหลายปีแถมยังเคยเป็นแฟนเพื่อนสนิทเราอีกด้วย

    "เห้ยไอ้บีมมีสาวมาหาว่ะ เพิ่งเลิกกับพริมไปไม่นานคนนี้ใครอีกวะ" หนึ่งในบรรดาเพื่อนของบีมพูดแซวขึ้นมา

    "สาวพ่อง" บีมตะโกนใส่อีกฝ่ายแม้บีมจะเป็นคนที่ฉันค่อนข้างหมั่นไส้แต่ยอมรับเลยว่าบีมเป็นคนที่ดีมากๆคนนึงบีมไม่ชอบเวลาที่เพื่อนๆในทีมบาสมาแซวผู้หญิงซึ่งมันดันเกิดขึ้นบ่อยๆกับคนที่เป็นแฟนนักบาสในโรงเรียนเรา

    "อ้อนแกมีอะไรหรอ" บีมโค้งตัวมาลงมานิดหน่อยเราไม่ได้ใกล้กันแต่บีมก้มตัวให้มันพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกไม่ปวดคอเวลาคุยด้วยถึงอย่างนั้นก็ไม่พ้นเสียงแซวของเพื่อนๆ

    "เค้าเอารูปมาให้แกอะบีม หันหลังมาหน่อยเค้าจะติดรูปนี้ให้" บีมจะรู้อยู่ไหมนะว่าพริมก็แอบมองเขาอยู่ห่างๆ บีมหันหลังให้แล้วฉันก็บรรจงติดรูปนี้อย่างดีเลย จากนั้นฉันก็ไม่ได้พูดอะไรกับบีมเลยเพียงแต่ยิ้มบางๆให้แล้วก็หันหลังจากบีมไป ฉันเดินกลับไปหาพริมและทั้งวันนั้นเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันตั้งแต่เช้าจนเย็นเพราะลึกๆแล้วในใจเราดันคิดว่าม.ปลายเราก็คงไม่ได้อยู่ด้วยกันมากขนาดนี้หรอกพี่ม.ปลายน่ะยุ่งจะตายไปเลยนี่นา

    "มึงเคยชอบใครในโรงเรียนเราหรือเปล่าวะ"

    เพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันตอนม.ต้นที่อยู่ก็ถามขึ้นมาระหว่างทางการเดินไปเรียนพิเศษ 

    "เคยดิ" ฉันตอบกลับไป

    "คนไหนอะตอนม.ต้นมึงไม่เคยบอกกูเลย" อีกฝ่ายพยายามเค้นฉันราวกับว่าฉันเป็นผู้ต้องหา

    "เป็นเพื่อนสมัยตอนประถม" อีกฝ่ายตาเบิกโพลงตบไหล่ฉันปุๆ

    "ไม่เป็นไรนะออนถ้ามึงจะชอบกู..."

    "ไม่ใช่มึง"

    "งั้นจะเป็นใค-- หรือว่าพริม!!!"

    ฉันไม่ได้ตอบอะไรอีกก่อนจะเดินนำหน้าไป

    ใช่กูชอบพริมกูก็เพิ่งมารู้ว่าตลอดมาตัวเองชอบพริมหลังปัจฉิมนี่เอง

    พอเป็นพี่ม.ปลายแล้วฉันรู้สึกว่าเราเจอกันน้อยลงฉันย้ายมาเรียนห้องวิทย์คณิตแบบภาคพิเศษเธอเรียนห้องวิทย์คณิตแบบภาคปกติเดิมทีห้องของพริมมีการแข่งขันวิชาการเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนส่วนห้องฉันก็มีการทำวิจัยส่งไปแข่งการเรียนหนักเท่าทวีคูณและการเข้าห้องแล็บทุกวันในตอนเย็นเพื่อทดลองผิดถูกของงานวิจัยที่ตัวเองสร้างไหนจะต้องเตรียมตัวเข้าไปสอบแข่งวิชาการโอลิมปิกนักเรียนในห้องต่างพากันนอนน้อยความเหนื่อยจะถูกแสดงผ่านสีหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราเจอกันน้อยลงพอเจอกันเราก็แค่เพียงยิ้มให้กันโบกมือบ้างพูดคุยเล็กๆน้อยๆอาจเป็นเพราะพริมเห็นความเหนื่อยล้าบนสีหน้าของฉัน ทุกๆเที่ยงฉันจะเดินไปที่คาเฟ่ประจำโรงเรียนเพื่อสั่งลาเต้ไม่ก็เดินไปหน้าโรงเรียนเพื่อไปรับครื่องดื่มลาเต้เย็นที่สั่งเดลิเวอรี่มาฉันมักจะเจอพริมหน้าห้องเล็บวิจัยห้องฉันนั่นเป็นช่วงเวลาพักที่นัหเรียนห้องของฉันต้องเจียดเวลาพักไปใส่ทำแล็บพริมก็จะคุ้นตาที่ฉันใส่เสื้อกาวน์เดินไปเดินมาด้านหน้าห้องแล็บไม่ก็หน้าโรงเรียนระแวกตึกวิทย์2ตึก เธอต้องเรียนในห้องสอนทฤษฎีข้างๆ บางครั้งฉันก็แอบสงสารเพื่อนที่เรียนทฤษฎีห้องข้างๆในขณะที่ฉันกำลังทำแล็บทดสอบโมเมนตัม พริมคงไม่ค่อยชอบใจกับเสียงดังเวลาเรียนเท่าไหร่...

    "อะนี่กูให้มึง" ฉันยื่นแก้วบลูเบอร์รี่ปั่นให้พริม

    "ขอบใจแต่มึงไม่กินหรอ" พริมถามกลับ

    "กินไม่ทันอะมีแล็บด่วนเลย" ฉันพูดก่อนจะทำท่าทีลนลานเข้าห้องแล็บไม่ได้อยู่ฟังพริมทักท้วงอะไรเลย

    จริงๆแล้วฉันกินลาเต้ทุกวันไม่ใช่บลูเบอร์รี่ปั่น...

    วันเวลาผ่านไป1ปี ตอนฉันม.5

    เราคุยกันน้อยมากและบทสนทนาที่คุยกันยาวที่สุดในรอบปีคือวันเกิดเธอ

    ฉันรอคอวันเกิดของเธอเพื่อที่จะหาเรื่องคุยกับเธอ "วันนี้วนมาอีกปีแล้วสินะ :-)"

    "แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะมึงมีความสุขมากๆมีเงินเยอะๆนะพริม ขอให้มึงสุขภาพร่างกายแข็งแรง" ฉันส่งข้อความในอินสตาแกรมให้พริม

    "ขอบใจมากนะเพื่อนรัก" พริมตอบกลับมา

    "ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วอะพริม" ฉันถามพริมกลับไป

    "อายุ18ปีแล้วจร้า"

    "โอนตังให้แล้วนะ 18 บาท55555555"

    "5555555ขอบใจมากน้า" และสิ้นสุดบทสนทนาของเราตอนม.5

    เรื่องราวผ่านไปไวราวกับโกหก ตอนนี้เราดำเนินเรื่องมาถึงตอนฉันม.6 ฉันได้เห็นข่าวดีพริมได้เรียนในคณะที่ตัวเองอยากเรียนแถมติดรอบแรกด้วย

    "เก่งมากเลย" ฉันรีพลายสตอรี่พริมไป

    "ขอบใจมึงก็เก่งคิดไว้แล้วหรือยังว่าจะเรียนอะไร" พริมถามกลับ

    "ไม่เลย เดี๋ยวกูก็เจอทางของกูเองแหละมั้ง กูไม่รีบเท่าไหร่อะ55555"

    "ขอให้มึงได้เรียนในที่ๆอยากในคณะที่มึงอยากเข้านะ" พริมตอบกลับและนั่นคือทั้งหมดของรอบ3เดือนที่เราคุยกัน

    เมื่อช่วงสอบแอดมิดชั่นเสร็จและเป็นช่วงประกาศผลรอบ3ทุกคนต่างดีใจที่เราติดคณะที่อยากเข้ามันเป็นคณะที่เรียนคล้ายกับพริมแต่ก็ไม่ได้เหมือนเสมอไปพริมเรียนสายสุขภาพฉันที่ทำวิจัยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็มาเรียนต่อทางด้านเทคโนโลยีเพราะมีพื้นฐานความรู็จากตอนม.ปลายมาอยู่แล้ว

    "ติดแล้วดีใจด้วยเรียนคล้ายกูเลย" พริมรีพลายสตอรี่ฉันมา

    "5555555 จริงแต่นี่เน้นไปทางเทคโนมากกว่าส่วนมึงก็อนาโตมี่" ฉันตอบกลับ

    "อ๋อใช่กูเน้นไปทางนั้นปั้นโมอะไรทำนองนี้"

    "แล้วเป็นไงบ้างช่วงนี้"

    "เรื่อยๆเลยกูไม่มีอะไรทำ55555เดี๋ยวสักพักคงต้องย้ายของเข้าหอ"

    "จากนี้ก็สู้ๆนะมึงกูรอดูมึงเติบโตอยู่นะ" ฉันพูดกับพริม

    "อืม มึงก็ด้วยนะอ้อนสู้ๆ"

    และนี่คือประโยคสุดท้ายก่อนที่เราจะแยกย้ายไปเติบโต

    ฉันใช้เวลาทั้งปิดเทอมในการเล่นเกมกับเพื่อนเก่าสมัยประถมเป็นเพื่อนผู้ชาย "มึงเต้ถ้าเกิดมีงานเลี้ยงรุ่นเรามึงอย่าลืมเชิญกูนะTT" ฉันพูดกับเต้เพื่อนเก่าที่กำลังเล่นเกมด้วยกันอย่างเมามัน "มึงว่ากูมีเพื่อนเยอะนักรึไง" เต้ถามฉันกลับมา "เยอะกว่ากูและกัน" ฉันตอบกลับไป "เออจริงแต่ก่อนมึงเล่นกับใครบ้างนอกจากพริมดารา" หลังเต้พูดประโยคนี้จบฉันก็ต้องกลับเอาไปคิดเป็นวันๆ นั่นสิเราเล่นกับใครบ้างเราเปิดใจที่จะคุยอย่างสะดวกใจกับใครได้มากกว่านี้บ้างแล้วคนที่ไม่ใช่พริมดาราล่ะ

    ในตอนประถมฉันไม่เคยเห็นใครเลยในสายตาฉันไม่เคยแคร์คนทั้งห้องต่อให้คนทั้งห้องจะไม่ชอบขี้หน้าต่อให้คนทั้งห้องจะนินทาฉันก็ไม่สนใจฉันไม่สนใจว่าคนในห้องตอนนั้นจะคิดอะไรกับฉันด้วยซ้ำคนเดียวที่ฉันแคร์คือพริมและคงเป็นเธอมาตลอดจนถึงตอนนี้หลังจากที่เธอแยกย้ายไปเติบโตฉันก็ยังคงห่วงพริมเสมอ

    และในตอนนั้นทำให้ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่การแอบชอบแต่มันคือความรู้สึกว่าเรารักตังหากฉันสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าพริมคือหน้าตาของรักของฉันและเป็นพริมมาโดยตลอดเวลาหลายปีจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงไม่ลืมพริมเลย รักแรกนั้นลืมยาก...เพียงแค่แว๊บเดียวหรือสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันนึกถึงรักแรกคนแรกที่ฉันจะคิดถึงคือพริมเพราะพริมคือหน้าตารักแรกของฉันค่ะ

    นิยายเรื่องนี้ดำเนินมาถึงตอนท้ายตัวละครหลักของนิยายเรื่องนี้ก็นั่งอยู่หลังคอมกำลังพิมพ์ประโยคบอกลาผู้อ่านอยู่ฉันอยากให้ทุกคนเจอคนที่ตัวเองรักและอยากให้ทุกคนที่อ่านเรื่องนี้ลองคิดย้อนกลับไปหารักแรกของคุณคุณยังจำเรื่องราวหรือน้ำเสียงคนนั้นได้หรือไม่?

    แล้วคุณล่ะคะมีรักแรกหน้าตาเป็นยังไง

    ถึงพริมของฉัน จากอ้อน

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×