มิตรภาพ...ในเรือนกระจก
ทะเลาะกับเพื่อน...ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่มันจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น เมื่อได้รู้จักอีกมุมหนึ่ง ของคนอีกหนึ่งคน
ผู้เข้าชมรวม
125
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย ท้องฟ้าสีเทาที่ดูทึมทึมมัวหมอง ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับจิตใจอันสับสนว้าวุ่นของฉันนัก
วันนี้เป็นวันหยุด เป็นวันที่ทุกคนรอคอยประจำสัปดาห์ ปกติแล้วฉันก็คงเป็นหนึ่งในกลุ่มคนส่วนมากนั้น แต่ตอนนี้อารมณ์ของฉันช่างไม่ต่างไปจากสีของท้องฟ้าวันนี้เอาเสียเลย
ฉันตัดสินใจคว้าร่มออกจากบ้าน เดินกางร่มฝ่าสายฝนออกมาตั้งแต่เช้า เสียงเม็ดฝนกระหน่ำลงมาปะทะกับคันร่มในมืออย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน
ฉันยังคงเดินต่อไปอย่างคนไร้จุดหมายปลายทาง
.
..ไม่บ่อยครั้งนักในชีวิตที่คนอย่างฉัน คนที่ยึดมั่นในหลักการและเหตุผลมาตลอด คนที่มองว่าอารมณ์เป็นเพียงสิ่งสิ้นเปลือง แปรปรวนและไร้สาระจะตัดสินใจทำอะไรตามความรู้สึกของตนเองเช่นนี้
มันเป็นการตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐานของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ ไร้เหตุผลสิ้นดี ตัวฉันเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าอะไรคือแรงจูงใจที่ผลักดันให้ฉันทำแบบนี้ ฉันรู้เพียงวันนี้ฉันไม่อยากอยู่บ้าน จมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ กับภาพความทรงจำอันเลวร้ายที่คอยผุดขึ้นมาทุกครั้งที่หลับตา ระหว่างฉันกับเพื่อนรัก
..
"ยัยพิม!!
นี้มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ทำไมเราต้องมาทะเลาะกันเรื่องนี้ด้วย"เสียงแหลมปรี๊ดของหญิงสาวที่ดังขึ้นตามอารมณ์
"แล้วเธอล่ะ ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ที่ไม่เคยรอเพื่อน เอาแต่ตัวเองให้รอด แล้วเพื่อนล่ะ เคยคิดบ้างไหมว่าคนอื่นเค้าจะเป็นยังไง"ฉันโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว
"เพื่อนคบกันให้มันได้ดีนะ ไม่ใช่คบให้ล่มจม" เธอพูดออกมาหน้าตาเฉย เหมือนสิ่งที่เธอพูดมันถูกเสียเต็มประดา
"แต่ที่ได้ดีน่ะ คงมีแต่เธอคนเดียวแล้วแหละ เพราะเธอไม่เคยรอใคร ทำงานเป็นกลุ่ม จะล่มก็ต้องล่มด้วยกันสิ ปล่อยให้คนอื่นรับแต่คำติ แล้วตัวเองรับแต่คำชม มีความสุขแล้วหรือที่ดีอยู่แต่ตัวเองคนเดียวแบบนี้ เคยมองบ้างมั้ยเพื่อนรอบข้างเธอน่ะ เค้าคิดยังไง" ฉันตะโกนออกไปอย่างเหลืออดเต็มทน มันมากพอแล้วกับารต้องทนอยู่กับเพื่อนแย่ๆแบบนี้ เห็นแก่ตัวที่สุด
"เพี๊ยะ!!!................................."
ใบหน้าของฉันหันไปตามแรงตบ เจ็บจนรู้สึกชา หากแต่ความเจ็บทางกายหรือจะเท่าทางใจ
ฉันมองกลับไปยังเจ้าของฝ่ามือ หยาดน้ำตาเริ่มไหลริน ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป รอยแดงๆรูปฝ่ามือเริ่มปรากฎบนใบหน้า เจ็บจนต้องเอามือกุม
สายตาที่มองกลับมาพอจะมองออกได้ว่าคงเจ็บปวดไม่แพ้กัน
______________________________________
นึกถึงตรงนี้ทีไรน้ำตาเจ้ากรรมต้องไหลออกมาทุกที ทำไมนะ เพื่อนที่คบกันมาหลายปี เธอเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เมื่อก่อน
มีอะไรเกิดขึ้นฉันต้องวิ่งเข้าไปหาเธอเป็นคนแรก
อย่างน้อย
ฉันต้องพูด เพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในใจ
อย่างน้อยการที่เธอได้รับรู้ ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจ ว่าอย่างน้อยยังมีเพื่อนคนนึงที่เข้าใจฉัน ยังอยู่ข้างฉันเสมอ และไม่เคยทิ้งฉันไปไหน
แต่ตอนนี้มันอะไรกัน เพื่อนคนเก่าของฉันหายไปไหน นี่มันใครกันที่ฉันกำลังพูดอยู่ด้วย ฉันอดคิดอย่างท้อแท้ไม่ได้
เผลอนึกถึงความหลงได้ไม่นาน เท้าของฉันก็พาฉันมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันจำได้ว่าบรรยากาศภายนอกนี้เคยเห็นจนเจนตา แต่ไม่เคยเข้าไปสัมผัสข้างใน เพราะทุกครั้งผู้คนมักเดินผ่านไปเพราะต้องรีบทำภารกิจขงตัวเองในแต่ละวัน รวมทั้งตัวฉันเอง
ฉันก้าวเข้าไปข้างในหลังจากเดินฝ่าสายฝนมานานพอสมควร นึกแปลกใจที่สวนธรรมดาแห่งนี้ ภายในมีเรือนกระจกกว้างใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่กลางสวน เรือนนี้ถูกสร้างด้วยกระจกทั้งหมด ทั้งตัวตึก ผนัง และหลังคา ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นกระจกหนาเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ มองดูมั่นคง คล้ายตึกที่ทำด้วยกระจกทั้งหลัง จึงทำให้สามารถมองเห็นเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่องได้ชัดเจน เมื่อมองเข้าไปภายในคล้ายสวนหย่อมแต่ใหญ่กว่ามากนัก มีต้นไม้ใบหญ้าดูร่มรื่น ดอกไม้ใบไม้บานสะพรั่ง ทำให้ฉันหันเหความสนใจและความว้าวุ่นต่างๆไปได้ชั่วครู่
ฉันเดินเขาไปสำรวจภายใน แม้เดินเขาไปไม่กี่ก้าว ฉันก็รู้สึกรักและผูกพันที่นี่ขึ้นมาอย่างจับใจ
กึก
กึก
ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าคนจากทางด้านหลัง
"สวัสดีพิม ฉันนึกแล้วว่าเธอจะต้องมา"เสียงเล็กๆเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง ฉันค่อยๆหันไป แปลกใจที่มีคนอื่นอยู่ในสถานที่ซึ่งแปลกประหลาดแห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
หญิงสาวคนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันเลย ผมยาวสลวยทองน้ำตาลถูกรวมขึ้นไว้ด้านหลัง รับกับใบหน้าออกทางแนวตะวันตกของหล่อน เธอกำลังจ้องมองมาที่ฉัน ฉันจ้องตอบพลางถามว่า
"ที่นี่ที่ไหนกันแน่"ฉันถามเสียงแผ่วเบา ด้วยเริ่มไม่มั่นใจว่าเป็นเพียงสวนสาธารณะเล็กๆธรรมดา แต่เสียงนั้นกลับดังสะท้อนกลับมาดังก้องไปทั่ว
"ก็ที่ที่เธอควรจะมามากที่สุดในตอนนี้ไงล่ะ"เธอตอบเรียบๆที่ก้องสะท้อนไปทั่วเช่นเดียวกัน
ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันควรอยู่ที่ไหน(หมายถึง นอกจากที่รู้ว่ามันคือสวนสาธารณะ) และในเมื่อฉันเองยังไม่รู้เลย แล้วคนอื่นจะรู้ดีกว่าฉันได้อย่างไรเล่า โดยเฉพาะคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก ฉันคิดอย่างสับสน แต่ฉันก็ไม่ต้องรอคำตอบนานนัก เพราะเสียงของเธอก็สะท้อนกลับมาในทันที
"ไม่ต้องคิดมากหรอก เอาว่าเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับเธอตอนนี้ก็แล้วกัน"เธอกล่าวตัดบท เธอมองหน้าฉันด้วยแววตาอันเฉียบคมระคนอ่อนโยนและเข้าใจ เหมือนว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันคิด ฉันกังวล หรือกลุ้มใจ
"มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือ"เธอถาม
"ทะเลาะกับเพื่อนนิดหน่อย"ฉันตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
"ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก การทะเลาะกับคนที่เป็นเพื่อนกัน เป็นเรื่องธรรมดา" เธอพึมพำด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังแปลกใจ จะธรรมดาได้อย่างไร น่าเบื่อจะตายไป ทะเลาะกันแต่ละครั้ง เพราะไม่เข้าใจกัน คุยกันไม่เข้าใจ ความเห็นไม่ตรงกัน แต่ละคนไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนเป็น รับในสิ่งที่เพื่อนเป็นไม่ได้ แล้วแบบนี้จะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง
"ยิ่งทะเลาะกันมาก พวกเธอก็จะยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น
"
"ไม่หรอก ทะเลาะกันเพราะไม่เคยเข้าใจกันเลยต่างหาก" ฉันกล่าวอย่างเหลืออด
"ถ้าเธอไม่ทะเลาะกัน มีอะไรต่างคนก็ต่างเก็บเงียบเอาไว้ในใจ แล้วจะเข้าใจกันได้อย่างไร ตรงกันข้าม ถ้าเธอมีอะไรไม่พอใจ แล้วสองฝ่ายต่างพูดออกมา ไม่เป็นทางที่จะแก้ปัญหาได้ดีกว่าหรือ"
"ถึงจะพูดออกมาทั้งคู่ แต่เราก็ไม่เข้าใจกันอยู่ดี ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้"
"บางทีเพื่อนของเธออาจจะไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็ได้ เพียงแต่เค้าคงมีเหตุผลของเค้าที่ทำแบบนั้น"เธอพูดเหมือนรู้ต้นตอทุกอย่างของเรื่อง
"ขอให้เป็นแบบนั้นทีเถอะ" ฉันกึ่งพูดกึ่งภาวนา
"เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม" เธอพูดขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ"ฉันตอบอย่างแทบไม่ต้องคิด มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะ ที่รู้ว่าจะได้เพื่อนใหม่อีกสักคนที่เข้าใจเรา ฉันกับเธอนั่งคุยกันต่อที่ม้านั่งในสวนดอกไม้บานสะพรั่ง ฉันยังตอบคำถามและคุยกับเขาด้วยจิตใจที่ยังว้าวุ่นอยู่บ้าง แต่ความว้าวุ่นของฉันอยู่ได้ไม่นานก็คลายลง เหมือนถูกแบ่งเบาออกไปจากใจ ฉันสบายใจขึ้น เหมือนเธอเข้าใจฉันทุกอย่าง ทั้งที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และมันก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ ในเวลาที่เรามีความสุข เราเดินสำรวจดอกไม้ชนิดต่างๆ สวนหย่อม แปลงดอกไม้ แม้กระทั่งต้นไม้ต้นที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งแผ่กึ่งก้านสาขาอย่างกว้างขวาง เราเดินกันจนทั่ว จนฉันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เรายิ้มให้กันอย่างมีมิตรภาพ ดีใจที่มีเธออยู่เป็นเพื่อนในเวลาเช่นนี้
และแล้วเมื่อดวงตะวันคล้อยต่ำ ท้องฟ้ากลายเป็นสีแสดเข้มจัด ฝนหยุดตกแล้ว เรานั่งดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าด้วยกัน ขณะที่มันคล้อยต่ำลงทุกทีจนลับตาไป
"ฉันต้องกลับแล้วนะ"ฉันเอ่ยอย่างเศร้าหมอง
"งั้นหรือ เธอเก็บนี่เอาไว้ได้ไหม เปิดมันหลังจากที่เธอกลับถึงบ้านแล้วนะ"เธอกล่าวพร้อมยื่นกระดาษโน๊ตเล็กๆแผ่นหนึ่งให้ฉัน ฉันรับมั้นไว้พร้อมรอยยิ้มที่แต่งแต้มใบหน้าเปี่ยมสุข นี่ฉันยิ้มได้แบบนี้เมื่อไหร่กัน จำครั้งสุดท้ายที่ได้ยิ้มเต็มที่แบบนี้แทบไม่ได้เลย
"เราจะเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ตลอดไปใช่ไหม"เธอถาม
"แน่นอน"
"สัญญาสิ"
ฉันยกมือขึ้นมาแทนคำสัญญา "เราจะเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ตลอดไป"
"ฉันสัญญา"
เราล่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นฉันก็เดินออกไปสู่โลกภายนอก ฉันจ้องมองมันเป็นครั้งสุดท้าย น่าแปลกในเมื่อฝนเพิ่งหยุดตก แต่ทว่ากลับไม่มีหยดน้ำฝนเกาะอยู่ที่กระจกแม้แต่น้อย
กระจกยังคงอยู่ในสภาพวาววับ ทอประกายล้อกับแสงแดดอ่อนๆ ซึ่งเป็นแดดสุดท้ายของวัน ฉันหันหลังกลับแล้วเดินจากไป เพื่อนใหม่ของฉันก็คงเดินออกไปแล้วเหมือนกันกระมัง ฉันคิดหากแต่เมื่อหันหลังกลับไปอีกครั้งกลับพบเพียงความว่างเปล่า เรือนกระจกแห่งนั้นหายไปไหนแล้ว!!
ฉันกระพริบตาอีกที แล้วเสียงผู้คนอันวุ่นวายสับสนในโลกของความจริงที่คุ้นเคยก็แจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง ผู้คนมากมายเดินกันอยู่บนทางเท้า ร่มที่ฉันกางฝ่าสายฝนมาถูกพับเก็บไว้อย่างปลอดภัยในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ฉันนั่งอยู่บริเวณที่รอรถโดยสารประจำทางหรือที่เรียกกันว่า "ป้ายรถเมล์" ที่เห็นกันจนชินตา ฉันรีบเดินทางกลับบ้าน เดินเข้าห้องนอนแล้วนั่งตรงขอบเตียง แล้วถามตนเองว่า ผู้หญิงคนที่นั่งคุยกับฉันตั้งครึ่งค่อนวันนั้นเป็นใคร??
ข้อความสุดท้ายของเธอที่ทิ้งเอาไว้ในกระดาษโน๊ตนั้นมีเพียงว่า
' I enjoyed the time with you but it's not the most important thing
..The most important is that I had another friend that I will always remember
'
แต่เท่าที่ฉันรู้เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และเข้าใจฉันมากที่สุดตลอดชีวิตของฉันที่ผ่านมา และตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์...
คำถามที่ว่า เธอเป็นใคร?ยังดังก้องอยู่ในหูของฉันแทบทุกคืน... เพื่อนรักเสมอและตลอดไป...
ผลงานอื่นๆ ของ Fine DaY ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Fine DaY
ความคิดเห็น