ในชีวิตของเราจะไม่มีความหมายเลยหากขาดเพื่อนที่รู้ใจ
                                                              \"  Life is nothing without friendship \"
                                                  ~~ ในชีวิตหนึ่ง หากเรามีเพื่อนรักซักคนก็เพียงพอแล้ว ~~
          การที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่เพียงแต่มุ่งหวังเดินไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่รับรู้ว่าคนรอบข้างจะเป็นอย่างไร เราก็จะไม่มีเพื่อนซักคน เมื่อเรามีเพื่อนที่รู้จักแล้วเข้าใจเราซักคน เราคงไม่ต้องมานั่งคิดเรื่อง เพศ อายุ ระดับการศึกษาของเค้าหรอก ไม่ว่าเค้าจะดีหรือเลว ชายหรือหญิง อายุมากกว่าหรือน้อยกว่า เค้าก็เป็นเพื่อนกับเราได้ เราไม่ได้คบใครที่หน้าตาหรือฐานะ แต่เราคบกันที่ใจ ลองหันมาใส่ใจกับคนรอบข้างคุณบ้าง แล้วคุณจะพบว่าคุณได้เจอเพื่อนที่รู้ใจมากมาย
          เมื่อคนเราเกิดมา คนแรกที่เราได้รู้จักคือ พ่อ-แม่ และเมื่อเราเข้าเรียนหนังสือ ก็มีคุณครูที่ท่ายคอยสอนหนังสือให้เรา บุคคลที่ 3 ก็คือ เพื่อนที่ร่วมเรียนหนังสือในชั้นเดียวกับเรา เพื่อนสนิทอาจเป็นคนที่อายุน้อยกว่าเราสักห้าปี สิบปีก็ได้ และมันคงไม่แปลกเลย ถ้าเพื่อนรักของเราจะมีอายุมากกว่าเรา เพราะส่วนสำคัญของคำว่า \" มิตรภาพ \" มันอยู่ที่ความจริงใจ ความหวังดี ความห่วงใย การรับฟัง และการให้อภัยกันและกัน พร้อมที่จะเตือนเพื่อนเมื่อเพื่อนหลงทาง เดินทางผิด พลั้งเผลอ เพื่อนสนิทของเราอาจเป็นกระเป๋ารถเมล์ คนขายกล้วยแขก เจ้านาย แม่บ้านคนขายหมูปิ้ง หรือพนักงานส่งเอกสารก็ตาม เพื่อนสนิทของเราเป็นใครก็ได้ อยู่ในสถานที่ใดก็ได้ ไม่ว่าทอมหรือดี้ พวกคนเหล่านี้ก็เป็นเพื่อนกับเราได้ทั้งนั้น ขอเพียงเขารักเรา พร้อมที่จะมอบความเข้าใจ และรับฟังเรื่องราวของเรา มีแววตาที่อ่อนโยนให้เราเป็นกำลังใจเพียงบีบมือเบาๆ หรือโอบกอดเราในวันที่เราหลงทาง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพื่อนเป็นเหมือศิราณีคอยให้คำปรึกษาทุกเรื่อง เพื่อนเป็นเหมือนธนาคารเมื่อยามจำเป็น เพื่อนเป็นเหมือนคนที่โอบกอดคอบซับน้ำตา เมื่อเราต้องการใครซักคนเคียงข้าง บางคนเดินผ่านมาพบกันประทับใจในกักันและกัน ต่างคนก็มีภาระหน้าที่ต่างกัน ต่างคนก็มีเส้นทางของตัวเองที่จะต้องเดิน บางทีมันก็ถูกลืมไปจากความทรงจำของเรา แต่มันยังซ่อนอยู่ในส่วนลึกๆของความทรงจำ และพร้อมที่จะย้ำเตือนให้เรานึกถึงวันเก่าๆ เมื่อเราว่างและมีเวลาอยู่กับตัวเองจริงๆ
          จำได้ไหมว่าสมัยเป็นเด็กอนุบาล ฉันมีเพื่อนที่คอยเล่นขายข้าวแกง เล่นวิ่งไล่จับตามประสาเด็กๆ เมื่อเราไม่มีตังทำตังหายจะมีเพื่อนให้เรายืมตัง เมื่อเราหกล้มเลือดออก ก็จะมีเพื่อนวิ่งไปตามคุณครูมาพาเราไปทำแผล เมื่อเราโดนเพื่อนแกล้งก็จะมีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเคียงข้าง
          พอเราเข้าเรียนประถม เราก็มีเพื่อนมากขึ้นมีเวลาพูดคุยกัน สนุกสนานกันน้อยลง เพราะต้องเรียนมากก่าเมื่อตอนอนุบาล จำได้ไหม...ที่เรากับเพื่อนตั้งกลุ้มกันทะเลาะกับเพื่อนในห้องและบางครั้งในวัยนี้ ก็อาจจะมีบางคนที่เคยสัญญาเป็นเพื่อนกินเพื่อนตาย และเรากับเพื่อนต่างรักกันมาก แต่เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเค้าจะจริงใจกับเราแค่ไหน
          เมื่อเราเรียนมัธยม เราเริ่มมีเพื่อนเยอะขึ้นกว่าเดิม เริ่มมีการนัดไปเที่ยว โตพอที่จะมีความรักและบางครั้งก็เริ่มไม่สนใจเรียน จำได้ไหม...เพื่อนคนนึงที่เคยชวนเราโดดเรียน ชวนเราไปเที่ยว กลับบ้านดึก บางครั้งยืมตังแล้วไม่ยอมคืน เราก็ทวงเอ๊า...ทวงเอา จำได้ไหม...ที่เพื่อนชวนเราไปยกพวกตีกันกับคู่อริอีกกลุ่มหนึ่ง หรือไม่ก็ด่าให้เราตั้งใจเรียน ตอนนี้เราเริ่มรู้แล้วว่า ใครจริงใจกับเราหรือไม่จริงใจกับเรา เรารักกันแต่ไม่มีใครรู้ว่าเราสนิทกันได้อย่างไร เทอนั้นเป็นนักกีฬาโรงเรียน ส่วนชั้นเป็นนักกิจกรรม เทอนั้นเรียนเก่งเป็นบ้า แต่ชั้นเกือบตกเกือบผ่านเสมอมา เราไม่เคยทานข้าวด้วยกัน ไม่ได้ไปเที่ยวพร้อมกัน ไม่ได้สนใจในสิ่งเดียวกันซักเท่าไหร่ แต่มีอยู่อย่างนึงที่เราชอบเหมือนๆกัน คือ ตัวหนังสือ บทความ และการอ่านหนังสือ เมื่อเทอมีเรื่องราวเข้ามากระทบหัวใจ เทอก็จะหันมาหาชั้นเสมอ เมื่อชีวิตเทอและชั้นดำเนินไปด้วยดี เราต่างก็อยู่คนละที่คนละทาง ขนานทางกันก็บ่อยไป ใช่แล้ววว การจะเป็นเพื่อนกันมันไม่ต้องอาศัยสูตรสำเร็จตายตัวอะไรเลย เพียงแต่ว่าต่างคนต่างเป็นตัวของตัวเอง และรักกันอย่างที่แต่ละคนเป็นมันก็เพียงพอแล้ว ถึงชั้นจะไม่ได้เจอเทอ แต่ชั้นยังคิดถึงเทออยู่เสมอ และถ้าชั้นมีเวลาว่างพอที่จะนั่งทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต เทอยังคงเป็นเพื่อคนเดิมที่ชั้นนึกถึง และยังอยู่ในหัวใจขงชั้นเสมอในอันดับต้นๆ ชั้นเคยตั้งคำถามให้ตัวเองว่า...มีวิธีใดบ้าง ที่จะทำให้มิตรภาพหล่นหายไปจากความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่ง คำตอบของชั้นคือ ... ไม่มีทาง ...
          เมื่อเรารับใครซักคนเข้ามาเป็นเพื่อนแล้ว มันจะอยู่ตรงนั้น และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป มันยังมั่นคงกว่าคนรักอีกด้วยซ้ำไป ถึงแม้ว่าบางคราวเพื่อนจะร้าย จะรังแกความรู้สึกเรา บางทีก็กัด หยิก เหน็บแนม เราข้างหลังบ้าง บางครั้งเพื่อนก็ทำรุนแรง จนดูเหมือนมันไม่คิดถึงหัวใจเราเลย แต่ลึๆคือ เราไม่สามารถตัดคนที่เราเรียกว่า \" เพื่อน \" เคยผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านเมา ผ่านหัวเราะ ร้องไห้มาด้วยกัน แต่เราก็ต้องเปลี่ยนวิธีที่จะอยู่ร่วม เปลี่ยนวิธีที่จะสนิทสนม เปลี่ยนความรู้สึกตัวเอง ไม่มีใครหรอกที่อยากจะเสียใจ อยากจะผิดหวังอยู่เรื่อยๆ ถ้าเจอเพื่อนประเภทหลังที่ชั้ว่า ให้ถอยออกมาสิบก้าว เลิกคบไปเลยก็ไม่แปลก แต่ก็อย่าเลิกรัก อย่าเลิกหวังดี อย่าเลิกคิดถึงวันดีๆที่เคยมี และเคยผ่านมาด้วยกัน สำหรับชั้น เพื่อนมุมร้ายในความรู้สึกของชั้น ก็ยังวนเวียนอยู่ในความรักชั้นเสมอ เพราะมุมดีที่เราเคยมีให้กันมันมากเสียจนลืมไม่ลง มันคงคล้ายแผลที่เมื่อหายแล้วก็ยังมีริ้วรอยให้เห็น เห็นทีไรก็นึกถึงทุกที ว่าผ่านมาได้อย่างไง ไม่มีใครบอกหรอกว่ากว่าแผลจะหายทุกวันนี้ มันต้องเจ็บมาก และใช้เวลาเยียวยาเพียงไร ของอย่างนี้มันต้องเจอกับตัว และหัวใจ สำหรับเพื่อนบางทีม บางกลุ่มที่คบกัน รักกันด้วยดี เมื่อต้องจากลากันไป เพราะย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนมุมมองของชีวิต
          วันที่ต้องบอกลากันก็เป็นวันที่เจ็บปวด แต่มันก็เป็นเพียงขั้นตอนการชำระความรู้สึกของกาลเวลาเท่านั้น เวลาจะทำให้เราเศร้า และเวลาก็จะพาเราไปพบกับสิ่งใหม่ที่ดีๆ คนเก่าๆ เรื่องเก่าๆ ก็จะกลายเป็นอดีตที่ยังสวยงามอยู่ทุกครั้งเมื่อนึกถึง ชั้นจำได้ว่าวันที่สอบวันสุดท้าย วันที่เสื้อนักเรียนเต็มไปด้วยลายมือเพื่อนผ่านปากกาหมึกแห้งหมึกเมจิก สีสารพัดต่างๆ วันที่ชั้นกับเพื่อนในกลุ่มกอดคอกันร้องไห้ ชั้นอธิบายไม่ได้ว่าวันนั้นมันเป็นวันที่ดี หรือเป็นวันที่ไม่ดีสำหรับชั้น รู้แต่ว่าคืนก่อนที่จะไปนั่งทำข้อสอบ จิตใจมันไม่ได้คิดถึงเนื้อหาในหนังสือที่จะเอาไปสอบ มันหวิวหวิว ยังไงไม่รู้มันบอกไม่ถูก หลังจากส่งข้อสอบฉบับสุดท้ายเสร็จ ชั้นรู้สึกว่าตัวเองเบาหวิว เดินออกมานั่งท้าวคางอยู่หน้าห้องสอบ \" น้ำตา \" ไหลอยู่คนเดียว อยู่พักใหญ่ \" เพื่อน \" ที่ชั้นหมายถึง ไม่ได้หมายความเพียงเพื่อนร่วมชั้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงเพื่อนร่วมชมรม ภารโรง คนสวน แม่บ้าน ยามหน้าโรงเรียนและอาจารย์ เขาเหล่านี้เป็นเพื่อนของชั้น รักบ้าง ไม่รักบ้าง แต่ก็ผูกพันธ์ด้วยความรู้สึก ชั้นไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร แต่เวลาได้ทำหน้าที่อะไร ชั้นจะทำมันอย่างดีที่สุด
          สุดท้ายชั้นก็เดินหน้า ทำหน้าที่ของชั้นต่อไป มีบทเพลงมากมายที่ตอกย้ำคำว่า \" เพื่อน \" แต่ที่ชั้นประทับใจที่สุดคือ  เพลงที่ชั้นและเพื่อนร่วมกันร้องในงานวันอำลาอาลัย พวกเราจับมือกัน ทั้งอาจารย์ นักเรียน คนเรียนเก่งและคนเรียนไม่เก่ง ทั้งพวกที่มีแฟนแล้วและพวกยังไม่มี โยกซ้าย-ขวาไปตามเสียงเพลง ที่ไม่มีดนตรีใดๆนอกจากเสียงของพวกเรา วันนั้นไม่มีคนไหนที่จะไม่ร้องไห้ ต่อให้แข็งยังไง ถึงแม้บนใบหน้าและสองแก้มของเข้าจะไม่มีน้ำตา แต่ชั้นไม่เชื่อหรอกว่า หัวใจของเพื่อนๆของชั้นจะไม่ร้องไห้... จริงๆแล้ว การร้องไห้ ไม่ใช่การบ่งบอกถึงการอ่อนแอ อ่อนไหว และเศร้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมไปถึง ความรู้สึกหลายๆความรู้สึก และทุกครั้งที่ชั้นตัดสินใจทำอะไร ชั้นไม่เคยลืมสัญญาที่มีไว้กับเพื่อน ครูของชั้น การประสบความสำเร็จในชีวิตของชั้น ชั้นคิดว่ามันไม่ใช่มีเงินเต็มกระเป๋า หรือได้รับความนิยมจากคนอื่น ชั้นหันกลับไปในมุมมืด ถามตัวเองอยู่บ่อยๆ...ว่าชั้นทำอะไรไปบ้างแล้วหรือยัง
เพื่อน...คนนึงที่ครั้งหนึ่งเป็นเพียงคนแปลกหน้า เมื่อวันเวลาผ่านไป คนแปลกหน้าคนนั้นกลับกลายมาเป็นคนที่เรา \" ไว้ใจ \"
เพื่อน...คนที่พร้อมจะอยู่กับเราเสมอ ไม่ว่าทุกข์ สุข เหงา เศร้า หรืออย่างไร
เพื่อน...คนที่พร้อมจะแชร์ความรู้สึกต่างๆ
เพื่อน...คนที่ไม่เคยสนใจว่า เราจะหน้าตาดี มีสกุล ร่ำรวย ยากจน สูง ต่ำ ดำ ขาว หรือไม่
เพื่อน...คนที่ไม่เคยเสแสร้ง คนที่คอยให้อภัยเราเสมอ
          แต่!!! เพื่อนตาย ก็หายากเหลือเกิน เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่า คนๆนี้เป็นเพื่อนตายของเราหรือไม่ เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่า คนๆนี้เป็นคนที่พร้อมจะเคียงข้างเราเสมอไปมั้ย เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่า คนๆนี้จริงใจกับเราแค่ไหน ทั้งหมดเราใช้ \" ตา \" มองไม่เห็น แต่ทั้งหมดนี้ เราสัมผัสได้ด้วย \" ใจ \" เราใช้ใจมองเห็นได้ วันนี้คุณใช้อะไร คบเพื่อนของคุณ ...อย่าบอกนะ... ว่าคุณก็เป็นคนที่คบเพื่อนด้วยตา เพราะถ้าเราเป็นอย่างนั้น คุณคงเป็นคนไม่น่าคบคนนึง
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น