ตอนที่ 2 : บทที่ 2
หลังจากหายตกใจ ตัว ‘ข้า’ ที่อยู่ตรงหน้าก็ดึงกริชที่ปักอยู่บนเตียงออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และจ้องตัวอักษรบนกริชอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “อวิ๋น? หึ ราชสกุลของแคว้นตงหยวน เป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นตงหยวน อีกทั้งยังรู้วรยุทธ์ อืม เจ้าคงเป็นองค์หญิงฉางอี้กระมัง”
ข้าถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
กล่าวตามตรง การได้เห็นหน้าตนเองและใช้น้ำเสียงแปลกชอบกลพูดกับตนเองช่างให้ความรู้สึกซับซ้อนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ราวกับได้ดูเงาของตนในน้ำ แต่จู่ๆ ก็มีก้อนหินโยนใส่จนผิวน้ำเกิดวงกระเพื่อม เป็นคลื่นสีเขียวมรกต ทำให้ตนดูแปลกพิกลและเลือนรางไม่กระจ่างชัด
“องค์หญิงฉางอี้มีวรยุทธ์สูง เป็นอิสตรีที่มีความสามารถ กล้าหาญ แล้วยัง…” อีกฝ่ายเล่นกริชในมือ ขณะพูดยกยอข้าอยู่หลายคำ
แม้ฟังดูไม่เลว แต่ในความเป็นจริงย่อมเป็นคำพูดซ้ำซากจำเจ เมื่อพูดถึงพี่หญิงทั้งหลายของข้า ผู้คนต่างพากันกล่าวว่า ‘องค์หญิง… นิสัยอ่อนโยน อ่อนหวาน เก่งงานเย็บปักถักร้อย คัดอักษร วาดภาพด้วยพู่กัน และยังเชี่ยวชาญทางดนตรี…’ ส่วนข้าย่อมไม่นับว่าเป็นคนอ่อนโยน อ่อนหวาน พูดให้ถูกคือเป็นคนขวานผ่าซาก ไม่ชำนาญงานเย็บปักถักร้อย คัดอักษร และวาดภาพ อีกทั้งหาได้มีความเชี่ยวชาญทางดนตรี เหล่าขุนนางบุ๋นต่างจำใจกล่าวถึงวรยุทธ์ของข้า อันพิสูจน์ว่าข้ามิใช่ผู้ที่ทำอันใดมิได้เลย…
“ข้ายังรู้ว่าเจ้ามีนามว่าเจี่ยว เป็นชื่อที่ดี แสงจันทร์ส่องแสงสุกสกาว…” เขาเอ่ยเรียบๆ
“เจ้าคืออู๋หมิ่นจวิน?” ข้าขัดจังหวะเขา
เขาพยักหน้า “ใช่”
ข้าไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งตัวเข้าไปแย่งกริชจากมือของเขา เขากลับไม่แม้แต่หลบหรือซ่อนตัว ปล่อยให้ข้าแย่งกริชไป
แม้จะแปลก แต่ข้าก็ยังกดกริชลงบนคอของเขา…หรือควรพูดว่า คอของข้า
อู๋หมิ่นจวินหัวเราะ “เจ้าต้องการฆ่าตัวตาย?”
ข้าแค่นเสียงเย็นชาว่า “อย่างมากก็ตายไปพร้อมกัน”
“เช่นนั้นเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากร่างกายเจ้าตาย วิญญาณของข้าจะไม่มีที่ไป ต้องกลับคืนร่างของตนเอง ถึงเวลานั้น เจ้าตาย แต่ข้าปลอดภัย ไม่เป็นอันใด…จะว่าอย่างไร?”
“…” มือที่กำกริชอยู่ชะงักค้าง “เป็นไปได้รึ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” เขายังคงสงบ ใจเย็น และแค่นยิ้มให้ข้า “แม้แต่ร่างกายยังสามารถสลับกันได้ ข้าไม่เชื่อว่าใต้หล้านี้ไม่มีอันใดที่เป็นไปไม่ได้”
อันที่จริง ข้ารู้สึกเช่นเดียวกัน…
ข้าค่อยๆ ถอนกริชออก จากนั้นกดมันลงกับคอของตนเอง “เช่นนั้นข้าจะฆ่าตัวตาย เมื่อร่างของเจ้าตาย วิญญาณของเจ้าก็จะกลับคืนร่างไม่ได้อีก”
อู๋หมิ่นจวินเลิกคิ้ว “ใจเด็ดไม่เลว แคว้นตงหยวนกำลังสูญสิ้น คุ้มค่าที่เจ้าจะทำเช่นนี้อย่างนั้นหรือ”
“หากมิใช่เพราะเจ้าให้ท้ายเหล่าทหาร เข่นฆ่าราษฎรในดินแดนที่ยึดครองตามอำเภอใจ ข้าคงไม่ต้องสังหารเจ้าหรอก”
อู๋หมิ่นจวินครุ่นคิดสักพัก “หากเจ้าฆ่าตัวตาย ข้าย่อมกลับคืนร่างไม่ได้ แต่เจ้าอย่าได้ลืมว่า ถึงแม้ข้าจะอยู่ในร่างของเจ้า ข้าก็ยังสามารถเขียนหนังสือด้วยลายมือตนเองได้ดังเดิม แต่หากเจ้าตาย ข้าจะปลอมแปลงจดหมายเลือด บอกว่าคนของแคว้นตงหยวนฆ่าข้าและให้ทหารของซียางแก้แค้นแทนข้า เมื่อพวกเขาโจมตีเมืองหลวงของตงหยวนจนแตกแล้วก็ให้ลงมือสังหารหมู่ทันที ไม่ว่าพวกเขาจะขอยอมแพ้หรือไม่”
นั่นเป็นเสียงของข้า ลิ้นของข้าที่ถูกควบคุมโดยอู๋หมิ่นจวินให้พ่นคำพูดชั่วร้ายอำมหิต ข้าเริ่มโกรธ “เจ้าช่างไร้ยางอาย!”
“ถึงอย่างไรมันก็เป็นหน้าของเจ้า” เขาหัวเราะเยาะข้า
“…”
ข้าอยากสละทุกสิ่งทิ้ง แล้วลากเขาตายไปพร้อมกับข้า…
ครู่ต่อมา อู่หมิ่นจวินเก็บรอยยิ้ม กล่าวอย่างจริงจังว่า “องค์หญิงฉางอี้ ไม่ว่าอย่างไร ยามนี้พวกเราไม่สมควรเป็นศัตรูกัน แต่ควรจะร่วมมือกัน เสด็จพ่อของข้ากำลังประชวรหนัก และเสด็จอาทรงจ้องบัลลังก์ราวกับเสือจ้องตะครุบเหยื่อ แม้ข้าจะเชื่อมั่นในตนเอง แต่เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว หากเสด็จอาทรงยึดบัลลังก์ ประชาชนแคว้นตงหยวนก็ไร้หนทางรอด”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร”
“ข้าจะแต่งงานให้เจ้า”
อู๋หมิ่นจวินมองข้า แล้วหัวเราะ “หรือควรจะพูดว่า…เจ้าจะแต่งงานให้ข้า”
“…” นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าที่รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เริ่มจากกลางกะโหลกศีรษะของข้าไปจนถึงลำคอ รู้สึกทั้งสยดสยองและเจ็บปวด…
“คราองค์หญิงฉางอี้เสด็จเยือนแคว้นซียาง ได้พบกับองค์รัชทายาทอู๋หมิ่นจวินโดยบังเอิญ หนุ่มสาวทั้งสองต่างตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ เมื่อเจอกันครั้งที่สามจึงตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน อู๋หมิ่นจวินปรารถนาสาวงาม หาได้ปรารถนาใต้หล้าไม่ ยินยอมปล่อยมือจากแผ่นดินแคว้นตงหยวนที่อยู่แค่มือเอื้อมคว้า”
อู่หมิ่นจวินพูดออกมาหลายประโยคยาวๆ ราวกับว่าท่องจำมาจากหนังสือ “องค์หญิงฉางอี้ เจ้ารู้สึกว่าเรื่องเล่านี้เพียงพอจะโน้มน้าวให้คนเชื่อถือหรือไม่”
ข้าค่อยๆ ตอบว่า “ขึ้นอยู่กับหน้าตาของ ‘องค์หญิงฉางอี้’…”
อู๋หมิ่นจวินพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นลุกขึ้นยืน เดินไม่กี่ก้าวด้วยท่าทางแข็งๆ ไม่คุ้นชิน ไปหยิบคันฉ่องขึ้นมาส่องตนเอง
แล้วคันฉ่องบานนั้นพลันร่วงตกพื้น
เขาหันกลับมามองข้าด้วยสีหน้าผิดหวัง “องค์หญิงฉางอี้ รูปโฉมเจ้าดูสามัญเกินไป…หาได้มีความเป็นโฉมสะคราญล่มเมืองสักเพียงนิด”
ข้าหยิบคันฉ่องขึ้นมา กล่าวด้วยเสียงรู้สึกผิดว่า “ข้าหน้าตาน่าเกลียด ขอโทษด้วย…”
ความจริง ข้าหาได้ใส่ใจรูปร่างหน้าตาของข้าไม่ แต่หากเปรียบเทียบกับพี่หญิงที่พักตร์งามดั่งจันทราเหล่านั้นแล้ว อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าข้าด้อยกว่าพวกนางอยู่หลายขุม ยิ่งกว่านั้น ข้าไม่เคยประทินโฉมมาก่อน เสื้อผ้าล้วนเรียบง่าย ขอเพียงเป็นชุดรัดรูป ใส่สบาย สามารถฝึกยุทธ์ได้สะดวกเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ส่วนเครื่องประดับผม ข้าไม่เคยใส่มาก่อน เพราะมันส่งเสียงดังเปิดเผยที่ซ่อนตัวของข้า
ข้ามองคันฉ่องแล้วแทบสะดุ้งตกใจ ชายหนุ่มที่สะท้อนในคันฉ่องมีผิวพรรณขาวผ่องดุจหยก ดวงเนตรดุจดวงตาหงส์ คิ้วเรียวดุจกระบี่ แม้มีรอยเลือดสกปรกบนหน้าผาก หาได้ส่งผลต่อรูปโฉมของเขาแม้แต่น้อย เสื้อคลุมสีดำตัดกับผิวของเขาทำให้ดูโดดเด่น ข้าอดอุทานมิได้ “อู๋หมิ่นจวิน เจ้าช่างมีโฉมงามล่มเมืองจริงๆ…”
อู๋หมิ่นจวินแย่งคันฉ่องกลับมาด้วยสีหน้าดำคล้ำ “หากเจ้าพูดอีกประโยคเดียว พวกเรามาตายพร้อมกัน!”
“…”
“ช่างเถิด สามส่วนหน้าตา อีกเจ็ดส่วนคือการแต่งกาย แม้เจ้าดูธรรมดา แต่ก็ไม่น่าเกลียด เจ้าแต่งตัวอีกสักนิดก็สามารถออกไปพบผู้คนได้แล้ว” อู๋หมิ่นจวินถอนหายใจ “พวกเราจะเป็นเช่นนี้มิได้ อีกครู่ข้าต้องไปเยี่ยมเสด็จพ่อ เช่นนั้นเรียกคนเข้ามาช่วยหวีผมล้างหน้าให้พวกเราก่อนเถอะ”
ข้าพยักหน้า “ได้ แต่ยามนี้ข้ามีปัญหาร้ายแรง”
สีหน้าของอู๋หมิ่นจวินไม่น่าดูนัก “ข้ารู้ว่าเจ้าหมายถึงอันใด เพราะข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน”
หลังจากฟ้าสาง ย่อมต้องมีของสกปรกที่สะสมอยู่ภายในร่างกายทั้งคืนกำลังรอการปลดปล่อย อืม บัดนี้พวกเรากำลังเผชิญกับปัญหา
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ข้ายังไม่เป็นอันใด ข้าสัญญาว่าจะไม่มอง”
ข้ากล่าวว่า “ข้าก็สัญญาว่าจะไม่มอง”
อู๋หมิ่นจวินส่ายหน้า “ถ้าเจ้าอยาก…ด้านหน้าหรือด้านหลัง”
ข้าอายเล็กน้อย “ด้านหน้า”
“ขณะบุรุษทำกิจจะต้องยืน” เขาอธิบาย “ถ้าต้องการให้ตรงเป้า จำต้องใช้มือช่วยประคอง…”
ข้านิ่งอึ้งอยู่เป็นนาน ก่อนส่ายหน้า “ข้าไม่อยากจับ! ข้า ข้านั่งยองๆ ก็ใช้ได้แล้ว…”
อู๋หมิ่นจวินกล่าวอย่างลำบากใจว่า “แต่มันจะสาดกระเซ็น”
ข้าเริ่มโมโห “ไฉนบุรุษอย่างพวกท่านถึงน่ารังเกียจเพียงนี้!”
สีหน้าของอู๋หมิ่นจวินซีดเผือด “อันใดน่ารังเกียจ…หาไม่เจ้าก็หลับตา ข้าช่วยเจ้าจับ…”
มุมปากข้าค่อยๆ กระตุก “ถ้าใช้มือของข้า มันจะเลอะ…”
อู๋หมิ่นจวินเอ่ยอย่างรำคาญว่า “เช่นนั้นเจ้าจะเอาอย่างไร!”
ข้าลังเลอยู่นาน สุดท้ายคิดได้วิธีหนึ่ง…หาเชือกมาเส้นหนึ่ง หลับตา เอาเชือกไว้ข้างใต้เจ้านั่น แล้วมือจับเชือกทั้งสองข้างยกมันขึ้น นับว่าได้ประคองมันแล้ว…
เราทั้งคู่ต่างเห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดอู๋หมิ่นจวินจะต้องแผ่จิตสังหารออกมาจากร่างด้วย…
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตาข้าเป็นต้อแล้ววววว
ขอบคุณครับไรต์