ตอนที่ 1 : บทที่ 1
เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่เซวียซานซานทำโอทีติดต่อกันเป็นวันที่ห้า
ทั้งๆ ที่เป็นวันฉลองวันชาติแท้ๆ แต่เพราะต้องสรุปบัญชีประจำเดือน ฝ่ายการเงินทุกคนจึงต้องทำโอที โดยเฉพาะน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานอย่างเซวียซานซานด้วยแล้ว ยิ่งถูกโยนงานให้ทำกองใหญ่เสียจนหน้ามืดตาลายไปหมด กว่าที่หัวหน้าแผนกจะประกาศปิดจ๊อบงานสรุปบัญชีรายเดือนในเย็นวันที่สาม ซานซานก็พาตัวเองกลับห้องไป โผเข้าใส่เตียงอย่างพร้อมจะนอนสลบไปในทันที
ทว่าในระหว่างที่เธอกำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็คล้ายจะได้ยินเสียงมือถือดัง ซานซานจึงยื่นมือออกไปคลำหามือถือที่อยู่บนเตียงทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ก่อนกดปุ่มรับสายโดยอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ และพูดเสียงอู้อี้ว่า “ฮัลโหล”
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าใช่คุณเซวียซานซานหรือเปล่าคะ”
“อืม ใช่ค่ะ”
“นี่โทร.จากโรงพยาบาล XXX นะคะ ขอความกรุณาคุณช่วยมาที่แผนกสูตินรีเวชที่โรงพยาบาล XXX ด่วนเลยนะคะ”
“อืม...ได้ค่ะ”
อีกฝ่ายยังคงพูดเสียงงึมงำอะไรต่อไปอีก แต่ก็ไม่ได้เข้าไปในหัวสมองของซานซานเลยสักนิด เธอได้แต่ตอบรับเสียงอือออไปเรื่อย จนในที่สุดเมื่ออีกฝ่ายวางสายลงไปแล้ว และโลกกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ซานซานถึงได้ม้วนตัวกลับเข้าไปหลับในผ้าห่มอีกครา
ผ่านไปสองสามนาที เซวียซานซานก็กระเด้งตัวจากเตียงขึ้นมานั่งทันควัน
เมื่อกี้เธอได้ยินว่ายังไงนะ โรงพยาบาลเหรอ
!!!!!!
คงไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกใช่ไหม
ซานซานรีบใส่รองเท้าและพุ่งตัวออกนอกประตูเพื่อเรียกรถ เร่งให้คนขับเหยียบไปส่งที่โรงพยาบาล XXX อย่างรวดเร็ว แต่แล้วจู่ๆ เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่ใช่สิ ตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว แล้วญาติผู้ใหญ่ของเธอจะมาอยู่ที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ได้ยังไง แถมเมื่อกี้อีกฝ่ายยังเหมือนจะบอกเธอว่าเป็น...แผนกสูติฯด้วย?
และเรื่องราวต่อจากนี้ สำหรับบุคคลชนชั้นกรรมาชีพอย่างซานซานแล้วเรียกได้ว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ราวกับหนังสือนิยายก็ไม่ปาน
เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เธอลงรถที่หน้าประตูโรงพยาบาล ยังไม่ทันที่ซานซานจะได้หายปวดใจกับค่ารถราคาห้าสิบกว่าหยวน ก็มีผู้ชายใส่แว่นตาดำ ตัวใหญ่ล่ำบึ๊ก ที่ดูท่าจะมาคอยอยู่ที่หน้าประตูโรงพยาบาลได้พักใหญ่แล้ว เดินเข้ามาหา อย่างรู้จักท่าทางของเธอดี
“คุณซานซานครับ เชิญตามพวกเรามาด้วย”
จากนั้น ซานซานที่กำลังช็อกว่าตัวเองมาเจอเข้ากับแก๊งมาเฟียอะไรเข้าหรือเปล่า ก็มีอันถูกพาตัวมาอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดของแผนกสูติฯ แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่มีเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าโผเข้ามาจับมือเธอเอาไว้แน่น
“คุณเซวียซานซาน ได้โปรดช่วยภรรยาของผมด้วย”
เขาจับซานซานแกว่งไปแกว่งมาจนหัวหมุนไปหมด “เอ่อ เรื่องนั้น...”
ใครก็ได้บอกเธอทีว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น...ยังมีอีก คุณพี่คะ มือของดิฉันจะถูกคุณบิดหักอยู่รอมร่อแล้วนะคะ...
“เหยียนชิง ปล่อยมือ”
คำสั่งที่แผ่วเบาทว่าทรงพลังอย่างมากทำให้ผู้ชายคนที่ชื่อเหยียนชิงคนนั้นปล่อยมือจากเธอทันที
ซานซานจึงอดหันไปมองทางต้นเสียงไม่ได้ สายตาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่เพียงลำพังนั้น ทว่านัยน์ตาของเธอก็คล้ายจะถูกตรึงเอาไว้ที่ร่างสูงสง่าทราวกับเปล่งรัศมีออกมา เขาดูเหมือนจะเพิ่งออกมาจากงานเลี้ยง สวมชุดสูทสีดำอย่างเป็นทางการ แม้จะมีร่องรอยเหนื่อยล้าบนใบหน้า แต่ก็ดูสูงส่งจนไม่อาจล่วงล้ำ และมีท่าทีคุ้นชินกับการออกคำสั่งอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า ชายหนุ่มปัดชายเสื้อเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นยืนและเดินก้าวเข้ามาหาเซวียซานซานด้วยท่าทีเย่อหยิ่งทะนงตน
“เซวียซานซาน?”
ซานซานพยักหน้าอย่างทึ่มทื่อ
“เลือดกรุ๊ปเอบี อาร์เอช เนกาทีฟ?”
ซานซานพยักหน้าอีก
ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้ยังมีท่าทีอวดหยิ่งไม่หาย แต่สายตาของเขากลับฉายแววโล่งใจออกมาจางๆ
“น้องสาวของผมมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับคุณ เธอเพิ่งถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดเตรียมคลอด แต่คลังเลือดขาดเลือดกรุ๊ปนี้ขึ้นมาชั่วคราว ดังนั้นจึงต้องขอให้คุณอยู่ที่นี่ด้วย เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ซานซานเข้าใจได้ในนาทีนั้น เพราะตอนตรวจร่างกายสมัยยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยนั้น เธอก็รู้แล้วว่ากรุ๊ปเลือดของตัวเองหายากมาก ดังนั้นทุกครั้งที่ต้องข้ามถนน เธอจะระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เนื่องจากกลัวว่าถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ตัวเองอาจมีสิทธิ์เสียเลือดตายได้
“ไม่มีปัญหาค่ะ ไม่มีปัญหา” ซานซานพลันรู้สึกเห็นใจว่าที่คุณแม่ที่อยู่ในห้องเตรียมคลอดซึ่งเป็นคนกรุ๊ปเลือดหายากเหมือนเธอ จึงตอบรับไปอย่างไม่มีลังเล แต่ว่า...
หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเก้อๆ ว่า “คือ...ฉันขอถามปัญหาข้อหนึ่งได้ไหมคะ”
“เชิญ” ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือ แต่ชายหนุ่มกลับแสดงท่าทีแบบผู้ที่อยู่เหนือกว่า ซ้ำคนที่อยู่รอบตัวเขาก็เหมือนจะยอมรับการแสดงออกของเขาเช่นนี้กันโดยดุษณี และนั่นทำให้ซานซานชักเริ่มรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ
“เอ่อ...พวกคุณเป็นใครเหรอคะ” แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอมีกรุ๊ปเลือดอะไร
ผู้ชายคนนั้นมองเซวียซานซานด้วยสายตาประหลาดอยู่หลายวินาที ก่อนจะตอบช้าๆ “ผม...เฟิงเถิงครับ”
ซานซานคิดอยู่นานก่อนถามขึ้นอย่างเกรงใจอีกครั้ง “แล้ว...ฉันรู้จักคุณด้วยเหรอคะ”
เหยียนชิงยกมือขึ้นปาดเหงื่อ “คุณเซวียครับ คุณเป็นพนักงานของบริษัทเฟิงเถิงไม่ใช่เหรอ หรือว่าตอนที่อบรม คุณไม่ได้เรียนเรื่องประวัติของผู้ก่อตั้ง หรือไม่เคยเข้าเว็บไซต์ของบริษัทเลย”
ซานซานอ้าปากค้างเป็นรูปตัวโอ แล้วก็เปลี่ยนเป็นร้องครางออกมา เออใช่ เธอนึกขึ้นได้แล้ว...
งะ...งั้น...นี่ก็...บอสใหญ่ล่ะสิ
ซานซานนั่งสงบเสงี่ยมรอบริจาคเลือดอยู่ที่หน้าห้องคลอด และในระหว่างนั้นบอสใหญ่ก็เรียกเธอให้ไปตรวจเลือดเพื่อยืนยันความสมบูรณ์แข็งแรงทางด้านสุขภาพ และความเข้ากันของเลือด
และแล้วภายในห้องคลอดก็เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นดังคาด ซานซานจึงถูกถ่ายเลือดออกไป ๓๐๐ ซีซี เพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์วิกฤตให้กลับมาสงบได้อีกครั้ง หลังได้รับคำขอบคุณนับร้อยนับพันรอบจากเหยียนชิงแล้ว ซานซานก็เดินออกจากโรงพยาบาล แต่เดินไปได้พักหนึ่ง เธอก็หยุดเท้าและแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์พลางถอนหายใจยาว
“พวกนายทุนนี่สูบเลือดสูบเนื้อกันจริงๆ แถมยังไม่มีน้ำใจ ไร้มนุษยธรรมกันอีกต่างหาก”
ซานซานที่มัวแต่ส่ายหน้าปลงอนิจจังอยู่ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ห่างออกไปเล็กน้อยที่ด้านหลัง มีรถหรูคันยาวสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ พอได้ยินคำรำพันของเธอแล้ว ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ด้านหลังก็กระตุกมุมปากนิดหนึ่งก่อนเลื่อนปิดกระจกที่เพิ่งแง้มลง
“ออกรถ”
“ท่านครับ ไหนท่านบอกว่าจะไปส่งคุณเซวียก่อนไม่ใช่หรือครับ”
“ไม่ต้องแล้ว” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ยี่หระ “พวกนายทุนมักแล้งน้ำใจกันไม่ใช่หรือไง”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สำหรับเรา จริง ๆ ยังไงก็ได้ ปกติไม่ค่อยชอบอ่านแปลไทย แต่อ่านแปลอังกฤษยังไง บริบทโดยรวมก็ไม่ครบอยู่ดี เพราะก็แปลมาอีกทีทั้งคู่ เลยขอเลือกอ่านของไทยค่ะ
นอกนั้นความเห็นเราก็เหมือนกับของคอมเม้นต์ด้านบนค่ะ ปรับนิดหน่อย แก้คำผิด เว้นวรรคให้อ่านง่ายนิดนึง คือบางประโยคมันยาวพรืดไปเลย ทั้งที่มันคนประโยคกันแล้วค่ะ
รอติดตามต่อนะคะ
บุคคลชนชั้นกรรมาชีพ เปลี่ยนเป็นชนชั้นลูกจ้างหรือชนชั้นแรงงานก็พอมั้งคะ เทียบกับประโยคโดยรอบภาษามันสะดุดเพราะมันเป็นภาษาคนละระดับกัน ชานชานเป็นคนทั่วไปใช้คำที่คนทั่ว กรรมาชีพนี่ไม่ใช่ศัพท์ที่คนทั่วไปใช้เลยค่ะ
และเราว่าอรุณใช้คำเชื่อมแปลกมากเลยค่ะ ฮือ
ขอยกตัวอย่างนะ
"เดินเข้ามาหาอย่างรู้จักท่าทางเธอดี" นี้ เรานิ่งคิดนานเลยค่ะ "มันต้องบอกว่าเหมือนรู้จักท่าทางเธอดีรึเปล่า" (ประโยคนี้เราไม่รู้ว่าจีนเป็นไง แต่เราว่าเข้ากับสถานการณ์คือ "เหมือนรู้ปฏิกิริยาของเธอดี" หรือ"เหมือนรู้จักเธอดี"เฉยๆ แต่รู้จักท่าทางเธอดีในรูปประโยคของไทยไม่ได้ใช้กับสถานการณ์นี้นะคะ มันจะใช้ในกรณียืนยันคนที่รู้จักจากท่าทาง ซึ่งไม่น่าจะตรงกับสถานการณ์นี้ในนิยายเพราะคนที่เดินเข้ามาน่าจะรู้จักหน้ามากกว่าเพราะเคเห็น แต่รู้จักท่าทางนี่คือต้องแอบมอง หรือรู้จักกันมาพักนึงแล้ว คิดว่าอาจเพราะแปลจากจีนมาตรงๆเลยรึเปล่ามันเลยแปลได้แบบนี้ เกลาหน่อยก็ดีนะ)
"มาเจอเข้ากับมาเฟียอะไรเข้ารึเปล่า" เข้าซ้ำซ้อนค่ะตัดออกสักที่เถอะ "ก็มีอันถูก"ก็แปลก ตัด"มีอัน"ทิ้งหรือเปลี่ยนเป็น"ก็ได้ถูก"หรือ"ก็ถูก" ก็ได้นะคะ คำแปลกไม่ได้แปลว่ามันจะดีนะ สะดุดมากกว่า ยิ่งกับแนวปัจจุบันเราว่าใช้คำเชื่อมทั่วไปก็พอนะ
ตรง"มีชายคนหนึ่งที่มีเหงื่อแตกพลั่ก" ตัด"มี"ออก"เป็นชายคนหนึ่งที่เหงื่อแตกพลั่ก"ก็พอค่ะ ซ้ำซ้อนอ่านแล้วมันจะไม่ลื่นนะ
คำผิด
สูงสง่าทราว-->สูงสง่าราว
แต่ส่วนอื่นโอเคแล้วนะ ติดแค่ตามที่บอกค่ะ เราไม่ใช่มืออาชีพ แค่นักอ่านคนนึง เพิ่งมาอ่านจีนไม่นานด้วยแค่ราวๆปีกว่า ติตามมีตามเกิดนะคะ อันนี้ความเห็นเราคนเดียวนะ รอฟังเพื่อนๆด้วยว่าโอรึเปล่า เราอาจคิดมากไป ไม่เคยตามงานอรุณมาก่อนด้วย จะมาตามก็เซ็ตนี้นี่แหละ อยากอ่านนนนน แต่เห็นของเว่ยเว่ยล้วช๊อคตาตั้ง ดีที่ สนพ จะปรับปรุง ค่อยโล่งหน่อย ฮ่าๆๆๆ เรื่องนี้ดีขึ้น แต่เราว่าสนพ ชวนจะเกลาคำเชื่อมเยอะๆเลยค่ะ บางประโยคไม่จำเป็นต้องแปลประโยคเรียงตามจีนก็ได้ เพราะบางประโยคในแบบจีน คนไทยไม่ใช้ เราสามารถมาเรียบเรียงเป็นประโยคแบบไทย แต่ความหมายคงเดิมได้นะคะ (ไม่เคยเรียนจีเคยแต่ญี่ปุ่น เคยเจอแบบที่แปลเป็นไทยจะประหลาดมากเพราะความคิดในการใช้ประโยคบ้านเรากับเราไม่เหมือนกัน ต้องเรียบเรียงคำใหม่ทั้งหมด แต่ความหมายคงเดิม คิดว่าน่าจะกรณีเดียวกัน)
ยังไงก็จะตามอุดหนุนนะคะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 ธันวาคม 2559 / 01:02
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 18 ธันวาคม 2559 / 01:03
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 18 ธันวาคม 2559 / 01:05
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 18 ธันวาคม 2559 / 01:09
แก้ไขครั้งที่ 5 เมื่อ 18 ธันวาคม 2559 / 02:06