คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8
“คะ.. คุณหมายความว่ายังไง...” คุณนายฟางพยายามควบคุมไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น แต่ท่าทางหวาดกลัวราวกับถูกจี้จุดที่พยายามปกปิดทำให้หวังเยว่ซินต้องกลอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
ในตอนหวังเยว่ซินคิดว่าไอความตายที่อยู่รอบตัวพวกเขามาจากความพยายามในการติดต่อคนตายด้วยหลายหลากวิธีที่ไม่ควรทำ แต่จากแรงอาฆาตที่อยู่บนร่างของแขกคนที่สาม
ดูแล้วคงเป็นความพยายามในการขับไล่วิญญาณมากกว่า แต่คงทำผิดวิธีจนทำให้แรงอาฆาตเพิ่มขึ้นจนเรียกไอความตายเข้ามาแทน
ดวงตาคู่งามเหลือบมองผู้เป็นอาจารย์
“ท่านรู้อยู่แล้วใช่ไหม” แม้ว่าลู่หวังเหล่ยจะไม่ได้มีพลังวิญญาณมหาศาลเหมือนเขา แต่อย่างหนึ่งที่หวังเยว่ซินไม่สามารถเทียบได้ก็คือประสมการณ์และวิสัยทัศน์
มันไม่มีทางอยู่แล้วที่ตัวเขาไม่รู้เบื้องลึกของสิ่งที่แขกกลุ่มนี้พูดออกมา แต่อาจารย์ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถทำอะไรในแบบที่หวังเยว่ซินทำได้ เพราะแบบนั้นถึงได้พาแขกมาพบเขาที่นี่
“ขอโทษที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยากนะ ก่อนที่จะมาหาอารามของเรา แขกกลุ่มนี้ก็ได้ขอความช่วยเหลือจากอารามมากมาย แต่ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาให้พวกเขาได้ อารามของเราเป็นตัวเลือกสุดท้ายของแขก จึงถูกจับตามองไม่น้อย” แม้ว่าผู้เป็นเจ้าของอารามจะพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้แผ่นหลังของเขากำลังชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะสายตาเย็นยะเยือกของที่ปรึกษาคนงามตรงหน้า
ความหมายของลู่หวังเหล่ยก็คือ ตอนนี้อารามของพวกเขาถูกจับตามองโดยอารามมากมาย ดีไม่ดีอาจจะมีคนของรัฐบาลด้วยซ้ำ ถ้าหากคนพวกนั้นรู้ว่าเหตุผลที่ตัวเองไม่สามารถช่วยแขกกลุ่มนี้ได้ เป็นเพราะการโกหกของตัวแขกเอง ไม่ช้าก็เร็วคงได้หาเรื่องอารามของพวกเขาแน่นอน
นักพรตเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไปหรอก พวกเขายังมีความรัก โลภ โกรธ หลง หลายคนมีมากกว่ามนุษย์ทั่วไปด้วยซ้ำ เพราะว่าถือว่าตัวเองยิ่งใหญ่จากวิชาที่มี
อารามจางเหว่ยเป็นอารามเพียงหนึ่งเดียวที่มีลูกศิษย์น้อย แต่กลับสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย แถมยังได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาล พวกเขาจึงถูกเพ่งเล็งอยู่บ่อยครั้ง
เพื่อตัดความยุ่งยากและป้องกันไม่ให้มีใครหาเรื่อง ลู่หวังเหล่ยจึงตัดสินใจยกเรื่องนี้ให้หวังเยว่ซินจัดการ
เพราะว่านักพรตทุกคนที่ทำงานในอยู่วงการนี้ ล้วนรู้ดีถึงนิสัยเอาแต่ใจและไม่ไว้หน้าใครของที่ปรึกษาคนงามดี ถ้าไม่พอใจก็จะไม่ทำ หากพอใจต่อให้จะมีคนขวางมากแค่ไหนก็ทำอยู่ดี ซึ่งหลายครั้งที่การกระทำของเขาดึงดูดความไม่พอใจของนักพรตคนอื่น จนทำให้เกิดการปะทะขึ้น
แต่หวังเยว่ซินก็ยังคงเป็นหวังเยว่ซิน เขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะเกลียดเขารึไม่ ทั้งชีวิตเหมือนเกิดมาเพื่อทำในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น ใครที่คิดเข้ามาขวาง ก็มักจะต้องถอยกลับไปพร้อมกับความเจ็บปวดจากแส้ขาวของคนงาม
สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือ แส้ของหวังเยว่ซินสร้างความเจ็บปวดให้คนตายมากขนาดไหน มันก็สร้างเจ็บปวดให้คนเป็นได้มากขนาดนั้นเช่นกัน แถมยังฝากรอยแผลเป็นที่ไม่มีทางลบได้บนไว้ร่างกายของที่ถูกฟาดอีก
นั้นคือเหตุผลที่ว่า นักพรตหลายคนที่มีอายุพอๆ กับหวังเยว่ซินส่วนใหญ่มักจะสวมใส่ชุดที่มิดชิด เพื่อเป็นการปกปิดรอยแผลเป็นพวกนั้น แต่ก็ยังมีคนที่ชอบใจจนเปิดเผยรอยแผลให้คนอื่นเห็นอยู่
เหมือนเป็นการบอกว่าตัวเองเคยท้าทายดอกไม้งามผู้มากด้วยอันตรายคนนี้มาก่อน
จะบอกว่าลู่หวังเหล่ยใช้ลูกศิษย์ของตัวเองเป็นโล่ก็คงไม่ผิดนัก ยังไงซะ ทุกอารามก็รู้ถึงความเก่งกาจของคนงามอยู่แล้ว การที่อีกฝ่ายสามารถแก้ไขปัญหาที่แม้แต่พวกเขายังแก้ไม่ได้จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ชวนหงุดหงิดอะไร
แต่ดูจากประกายความหงุดหงิดในดวงตาคู่งามนั้น เจ้าอารามก็รู้เลยว่าตัวเองต้องเผชิญกับโชคร้ายไปอีกหลายวันแน่นอน
จริงอยู่ที่หวังเยว่ซินไม่เคยแคร์ใคร แต่เขาก็ไม่ได้ชอบใจเมื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือเหมือนกัน
“หึ...ข้ออ้างขี้ขลาดจริงนะอาจารย์ เอาล่ะ คุณนายฟาง ผมจะไม่พูดอะไรมาก บอกความจริงมาเถอะ ไม่งั้นเรื่องมันจะยิ่งแย่ลงนะ” คนงามเหยียดยิ้มสมเพชให้กับผู้เป็นอาจารย์ ก่อนจะหันกลับมาสนใจแขกตรงหน้าอีกครั้ง
ตอนนี้สีหน้าของคุณนายซีดเผือดราวกับคนที่พร้อมจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ ดวงตากว้าง ปากก็พึมพำออกมาแบบไร้เสียง ส่วนคุณสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยกมือขึ้นขยี้ศีรษะไม่หยุด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อมากมายทั้งๆ ที่ในนี้อากาศเย็นมาก
หวังเยว่ซินยกชาขึ้นจิบ เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับท่าทางของแขกตรงหน้าเลยสักนิด
วิญญาณของเด็กหญิงคนนี้ ดูยังไงก็ไม่น่าจะตายโดยธรรมชาติ แรงอาฆาตที่รุงแรงในแบบที่สามารถสร้างไอความตายจนกระทบกับคนเป็นได้แบบนี้ วิญญาณเด็กทั่วไปทำไม่ได้หรอก
ก่อนตายคงทั้งทรมานและไม่เข้าใจมากเลยสินะ...
แม้ใบหน้าของเด็กหญิงจะทั้งอึดและบวบ แต่โครงหน้าที่คล้ายกับคุณนายฟางเกือบ 80% ก็บ่งบอกได้ไม่ยากนักว่าเธอคงเป็นลูกของแขกในวันนี้อย่างแน่นอน
“คุณเป็นคนฆ่าเหรอครับ” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบ หวังเยว่ซินที่เริ่มรำคาญก็ต้องเป็นคนเปิดประเด็นเอง
“ไม่!ฉะ...ฉัน...ไม่ได้ทำ เด็กนั้นมันตายเองต่างหาก!!ฉัน... ฉันไม่ผิด!” คุณนายฟางตอบปฏิเสธแทบจะในทันที ก่อนที่ประโยคต่อมาของเธอจะแผ่วเบาราวกับกำลังพูดกับตัวเอง
ร่างกายสั่นระริกเหมือนคนกลัวความผิด ใบหน้างดงามซีดเผือดจนเหมือนไม่มีเลือดไหลเวียนในร่าง ลมหายใจหอบถี่และแววตาที่เต็มไปด้วยความกลัว ทุกอย่างที่แขกทั้งสองแสดงออกมา ล้วนสะท้อนอยู่ในดวงตาคมคู่งาม
“รู้อะไรไหมครับ วิญญาณของเด็กส่วนใหญ่มันจะไม่ค่อยโกรธแค้นผู้ให้กำเนิดมากนัก ต่อให้ผู้ให้กำเนิดจะทำร้ายทั้งทางร่างกายจะจิตใจขนาดไหน หรือต่อให้ลงมือฆ่าด้วยตัวเอง เด็กเหล่านั้นก็ไม่ได้โกรธแค้นเลย สิ่งเดียวที่พวกเขารู้สึกคือความไม่เข้าใจ” เห็นแก่ที่วิญญาณของเด็กน้อยยังต้องการคำตอบของสิ่งที่ต้องการ หวังเยว่ซินจึงยอมสละเวลาอธิบายสักหน่อย
“ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องตาย ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงถูกทำร้าย และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกฆ่า เมื่อความไม่เข้าใจมีอยู่เต็มอกแต่กลับไม่มีใครให้คำตอบให้ ความไม่เข้าใจนั้นก็กลายเป็นความคับข้องใจ และแปลเปลี่ยนเป็นแรงอาฆาตในที่สุด”
แต่ถ้าหากเป็นวิญญาณทั่วไป พอตายแล้วก็จะเกิดเป็นความแค้นเลย ไม่มีหรอกการพยายามหาคำตอบแบบวิญญาณเด็กน่ะ
ยิ่งปล่อยเวลาผ่านมานานขนาดที่แรงอาฆาตส่งผลกับร่างกายคนเป็นขนาดนั้น เด็กหญิงคนนี้ความสามารถมากพอที่จะดึงอันตรายถึงชีวิตมาสู่พวกเขาด้วยซ้ำ
แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ทำ เพราะถ้าทำจริงๆ วิญญาณของเธอไม่มีทางเข้ามาในบ้านของเขาได้หรอก
บ้านของหวังเยว่ซินอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์ ภายในบ้านก็เต็มไปด้วยยันต์ซึ่งส่งผลต่อวิญญาณร้ายโดยตรง และของวิเศษมากมายที่ถูกเก็บไว้ทุกมุมของบ้าน
ทุกๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่อันตรายต่อวิญญาณร้าย ไม่มีทางอยู่แล้วที่จะเดินเข้ามาได้แบบสบายๆ อย่างที่เด็กคนนี้ทำ
แม้จะมีแรงอาฆาต แต่เธอก็ไม่เคยมีเจตนาจะทำร้ายใครเลยสินะ...
“เด็ก... เด็กคนนั้น.. เป็นลูกคนแรกของเรา..” หลังจากได้ยินคำพูดของนักพรตผู้งามตรงหน้า ในที่สุดคุณนายฟางก็ตัดสินใจพูดความลับที่ตัวเองตั้งใจจะให้มันตายไปกับเธอออกมา
“ฉันมีลูกกันครั้งแรกในตอนที่ยังเรียนอยู่ ไม่ใช่กับสามีคนนี้หรอก แต่เป็นผู้ชายสักคนที่ฉันไม่รู้จัก เกิดจากความสนุกเพียงข้ามคืน ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าเด็กคนนั้นเกิดมาได้ยังไง ทั้งๆ ที่แน่ใจว่าป้องกันแล้ว” หญิงสาววัยกลางคนยกมือขึ้นปิดหน้า
ตอนนี้เธออายุ 46 ปีแล้ว แต่เด็กคนนั้นกลับเลือกที่จะมาเกิดตอนที่เธออายุเพียง 17 ปี กลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ
“ในตอนรู้ว่าตัวเองท้อง ฉันก็พยายามทุกทางที่จะเอาเด็กออก ฉันรู้ว่าตัวเองในตอนนั้นไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ พ่อแม่ก็ไม่มีทางยกโทษให้กับความผิดพลาดของฉัน แถมตอนนี้ที่บ้านก็ไม่ได้พร้อมสำหรับการเลี้ยงเด็กเลยด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยความอัดอั้นใจ ราวกับไม่เคยมีใครเข้าใจเธอ
“แต่รู้อะไรไหมคะ เด็กคนนั้น ไม่ว่าฉันจะพยายามใช้วิธีไหน ก็ไม่สามารถเอาเธอออกไปได้ จะไปทำแท้งก็เลยเวลาที่ปลอดภัยมาแล้ว ถ้าหากยืนยันที่จะทำ มันก็คงส่งผลเสียต่อร่างกายของฉันในระยะยาว”
ดวงตาคมสีฟ้าใสเหลือบมองวิญญาณเด็กน้อยที่นั่งฟังทุกอย่างข้างผู้ให้กำเนิด สีหน้าของเธอยังคงนิ่งสงบ แต่น้ำตาสีแดงสดที่ไหลออกมาจากดวงตา ก็บ่งบอกได้อย่างดีว่าเธอเสียใจกับคำพูดของมารดาขนาดไหน
ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นหรือคนตาย ต่างก็ปรารถนาความรักจากครอบครัวทั้งนั้น
น่าเสียดายที่หวังเยว่ซินไม่มีความรู้สึกแบบนั้น เขาจึงไม่สามารถตอบได้ว่าสิ่งที่เด็กสาวกำลังรู้สึกอยู่ถูกต้องหรือไม่
“ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ ท้องของฉันแทบจะไม่ใหญ่ขึ้นเลย ขนาดตอน 5 เดือน ยังดูเหมือนคนที่พึ่งจะกินอิ่มเท่านั้น ไม่มีอาการแพ้ท้องหรือว่าอาการเหม็นอะไรด้วยซ้ำ ฉันยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ เหมือนเด็กในท้องรู้ว่าแม่ไม่ได้ต้องการให้ตัวเองเกิดมา จึงพยายามหลบซ่อนตัวเองไว้ให้มากที่สุด” นั้นคือเหตุผลที่ทำไมพ่อแม่ของเธอถึงไม่เคยสงสัยจนกระทั่งเธอถึงวันคลอดของเธอ
“ในวันที่คลอดลูก ฉันไม่ได้รู้สึกรักเด็กคนนั้นเลยสักนิด สำหรับฉัน ลูกเป็นเหมือนก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด ขัดขวางความฝันและชีวิตที่ฉันต้องการไปให้ถึง” ครอบครัวของเธอในตอนนั้นเต็มไปด้วยหนี้มากมาย เธอเป็นความหวังเดียวของพ่อแม่ แต่ทุกอย่างก็ต้องมาพังทลายเพราะเด็กเพียงแค่คนเดียว
“ถ้าหากว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชายก็คงจะดี เพราะอย่างน้อยพ่อแม่ของฉัน รวมถึงฉันอาจจะรู้สึกรักเธอมากกว่านี้ก็ได้” พ่อแม่ของเธอเป็นพวกหัวโบราณที่อยากได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว เมื่อเห็นว่าหลานคนแรกของตัวเองเป็นผู้หญิง พวกเขาก็โกรธมากจนแทบจะไล่เธอออกจากบ้าน
“ฉันเลี้ยงดูเด็กคนนั้นจนโตและส่งเธอเข้าโรงเรียน ในใจก็แอบหวังว่าถ้าเธอเรียนได้ดีก็คงสามารถช่วยเหลืออะไรฉันได้บ้าง แต่น่าเสียหน่อยที่เด็กคนนั้นห่วยมาก ไม่มีอะไรที่ดีเลยสักอย่าง” ทั้งเกิดมาเป็นเด็กผู้หญิง ทั้งเรียนได้ห่วยแตก และทำให้ชีวิตของเธอพังทลาย จะไม่ให้คุณนายฟางเกลียดเด็กคนนั้นได้ยังไง
“คุณก็เลยฆ่าเธอเหรอ” หวังเยว่ซินไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เธอทำเป็นสิ่งที่ผิดหรือถูก เพราะตัวเขาไม่ได้อยู่ในจุดนั้นสักหน่อย และก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องสนใจด้วย
“ไม่!มันเป็นแค่อุบัติเหตุ!...ฉัน....ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” คุณนายฟางพูดเสียงสั่น ความหวาดกลัวฉายชัดอยู่ในดวงตา
“วันนั้น ฉันกลับมาบ้านหลังจากทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน ข้างนอกก็ฝนตกหนักจนทำให้ฉันหงุดหงิดกว่าเดิม ตอนแรกฉันตั้งใจจะนอนพักเพื่อให้อารมณ์ตัวเองเย็นลง แต่ว่าเด็กนั้น... ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน จู่ๆ ก็เข้ามาเกาะแกะและเอาพูดจาน่ารำคาญอยู่ข้างหู ตอนนั้นฉันสติหลุดมาก ภาพทุกอย่างเหมือนถูกหมอกปกคลุม รู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่เด็กนั้นหมดหายใจไปแล้ว” คุณนายฟางก้มลงมองมือตัวเอง เธอยังจำความรู้สึกในตอนที่ออกแรงบีบคอเล็กๆ นั้นจนหักได้อยู่เลย
มันเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอมานาน กว่าที่เธอจะหลุดพ้นได้ ก็ใช่เวลาเป็น 10 ปี การที่ต้องพูดแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการเปิดแผลที่เธอพยายามปิดมันเลยสักนิด
ลู่หวังเหล่ยที่นั่งฟังทุกอย่างมาตั้งแต่แรกค่อยๆ หลับตาลง ในใจรู้สึกสลดกับชะตากรรมที่เด็กสาวคนนั้นเผชิญ
“คุณซ่อนศพเธอเหรอ” น้ำเสียงของหวังเยว่ซินยังคงเต็มไปด้วยความเฉยชาเหมือนเดิม
ไม่ได้มีความสงสาร ไม่มีเห็นใจ เพราะสำหรับเขา ทุกอย่างที่หญิงสาวตรงหน้าเล่ามา ก็แค่เนื้อหาของงานที่เขาจำเป็นต้องรู้
“ไม่..เธอไม่ได้ทำ เป็นฉันเอง ฉันโยนศพของเด็กคนนั้นลงไปในทะเลในตอนที่พายุเข้า มันคงถูกพัดออกไปไกลจากเมือง จะไม่มีใครเจอเธออีก” ครั้งนี้สามีที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นคนตอบ สีหน้าของเขาดูบิดเบี้ยวไม่ต่างจากคุณนายฟาง ดูแล้วคงรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปมาก
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเธอ ฉันแค่...แค่ขาดสติไปเอง ส่วนเรื่องศพ ฉันให้ตำรวจรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่งั้นชีวิตของฉันคงพังทลายลงแน่ๆ ฉันเหรอไงที่อยากมีชีวิตที่ดีแบบตอนนี้” คุณนายฟางยกมือขึ้นกุมศีรษะ ต่อให้เด็กคนนั้นจะเหมือนข้อผิดพลาดในชีวิต แต่เธอก็ไม่เคยอยากจะฆ่าเด็กคนนั้นเลย
แต่ในเมื่อทุกอย่างมันไปถึงขนาดนั้นแล้ว จะให้เธอยอมมอบตัวกับตำรวจในสิ่งที่เธอไม่ได้ตั้งใจทำเหรอ เธอไม่มีทางทำหรอก!
“ผมไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถตัดสินได้หรอกครับ” ยังไงซะ หลังจากตายไปแล้ว ทุกคนก็ล้วนถูกตัดสินใจในแบบเดียวกันอยู่แล้ว
“หลังจากเด็กคนนั้นตาย พวกคุณก็มีลูกชายตามที่ต้องการ แต่ลูกชายคนนั้นป่วยตายขึ้นมาทั้งๆ ที่สุขภาพดีมาตลอด คุณถูกทักว่ามีวิญญาณเด็กหญิงตามติด เพราะแบบนั้นถึงได้พยายามอยากจะส่งวิญญาณของเด็กคนนั้นให้ยมทูตใช่ไหมครับ” ถ้าเอาเรื่องทั้งสองมาปะติดปะต่อกันมันก็เดาได้ไม่ยากนัก
“ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้ผิดสักหน่อย เรื่องทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ ทำไมเธอถึงได้ใจร้ายทำกับลูกของฉันได้ลงคอก่อน!!” พอพูดมาจนถึงตรงนี้ ท่าทางหวาดกลัวของคุณนายฟางก็หายไปในทันที เหลือไว้เพียงความโกธร
ทำอย่างกับเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ลูกของเธอ...
“เฮ้อ... เห็นแก่ที่คุณพยายามมาจนถึงตรงนี้ได้ ผมจะช่วยไขข้อสงสัยให้นะครับ เหตุผลที่ลูกชายของคุณตาย ไม่ได้เป็นเพราะเด็กหญิงคนนั้น แต่เป็นเพราะตัวคุณเองต่างหาก” หวังเยว่ซินถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าของแขกทั้งสอง
แบบนี้เรียกว่ากรรมได้รึเปล่านะ..
“มะ....หมายความว่ายังไง...” คุณฟางถามเบา แต่สีหน้านั้นกลับซีดเผือดราวกับพร้อมจะเป็นลมทุกเมื่อ
“คุณก็รู้นิครับ ว่าชะตาของคุณจำเป็นต้องสูญเสียสิ่งสำคัญบางอย่างเพื่อแลกกับฐานะที่ดีขึ้น ตามจริงคนที่ควรจะตายน่าจะเป็นลูกสาวของคุณ เพราะเธอเป็นลูกคนแรก แต่พอพวกคุณฆ่าเธอไปก่อนที่ผลกรรมนั้นจะทำงาน ลูกชายของคุณจึงถูกเลือกแทน หือ... สีหน้าแบบนั้น อย่าบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดเหรอครับ” ดวงคมคู่งามหรี่ลง พร้อมกับประกายความอันตรายที่แผ่ออกมาจนทุกคนที่นั่งอยู่ขนลุก
ต่อให้หวังเยว่ซินจะปากร้าย เลือดเย็น และเอาแต่ใจแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่ทำก็คือการโกหก
“คะ...คุณ...คุณอย่ามาพูดบ้าๆ คำทำนายอะไรพวกนั้นก็แค่เรื่องไร้สาระ!” คุณนายฟางได้ยินคำทำนายนี่มาตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นความจริงเลยสักนิด ที่เอามาพูดก็เพื่อให้คำโกหกของเธอดูสมจริงขึ้น
“งั้นคุณจะปฏิเสธเหรอครับว่าตั้งแต่ลูกชายของคุณจากไป ฐานะของพวกคุณดีขึ้นมาก มากในแบบที่เทียบแบบเดิมไม่ติดเลย”
“นะ...นั้นมันก็เพราะพวกเราตั้งใจทำงานกันมากขึ้น” สามีที่นั่งนิ่งมาตลอดพูขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
พวกเขามีลูกในตอนที่อายุมากแล้ว ลูกชายของพวกเขาจึงเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจที่สำคัญที่สุด ในตอนที่เสียเขาไป หัวใจเหมือนถูกควักออกไปจากอก พวกเขาคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะเด็กคนนั้นที่กลับมาทำร้ายครอบครัวของเขา
ให้จะยอมรับว่าเกิดขึ้นเพราะตัวเองงั้นเหรอ ไม่นะ...เขาไม่ยอมรับหรอก!
“จะเชื่อหรือไม่นั้นก็เป็นปัญหาของพวกคุณ มานี่สิเด็กน้อย ได้ยินคำตอบของคำถามที่ต้องการแล้ว พร้อมไปเกิดรึยัง” ปลายนิ้วเรียวยาวยื่นออกไปเตะที่หน้าผากของวิญญาณเด็กสาวเบาๆ ไม่นานสภาพของเธอก็เริ่มดีขึ้น กลายเป็นเด็กหญิงที่มีร่างกายไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ เด็กน้อยที่ไม่มีแม้แต่ชื่อโค้งศีรษะให้กับคนงามตรงหน้า จากนั้นร่างของเธอก็ค่อยๆ สลายกลายเป็นฝุ่นละออง
ก็บอกแล้วว่าเด็กๆ น่ะ ไม่ได้มีความแค้นอะไรหรอก
“เป็นไปไม่ได้... เป็นไปไม่ได้...” เสียงพึมพำด้วยความไม่อยากเชื่อดังออกมาจากปากของคุณนายฟาง เธอกุมมือสามีเอาไว้แน่นขณะที่มองภาพตรงหน้า
ลูกสาวของเธอ... ลูกสาวที่เธอลงมือฆ่าด้วยตัวเอง ลูกสาวที่เธอจำไม่ได้แม้แต่ชื่อ ไปเกิดใหม่แล้วงั้นเหรอ
“เอาล่ะ ตอนนี้งานทั้งหมดจบลงไปแล้ว ต่อจากนี้จะทำอะไรก็เป็นปัญหาของพวกคุณ ออกไปได้แล้วครับ” สิ้นเสียงของหวังเยว่ซิน ทุกคนในห้องยกเว้นเขาก็หายไปจากห้องรับแขกไปอยู่ที่ทางเข้าบ้านในทันที
คนงามยกมือเสยผมสีดำข้างหน้าขึ้น ก่อนจะยกชาขึ้นจิบเมื่อรู้สึกคอแห้งจากการพูดนานๆ แต่คิ้วสวยได้ก็ต้องรูปกระตุกเล็กน้อย
น้ำชา... เย็นหมดแล้ว
“ตึง!” มือที่งามราวกับหยกกระแทกถ้วยชาราคาแพงลงกับโต๊ะไม้ด้วยความหงุดหงิด
“อาจารย์... ทั้งเอางานที่ผมไม่ชอบมาให้ ทั้งใช้ผมเป็นโล่ และยังทำให้น้ำชาของผมเย็นอีก เข้าโรงพยาบาลไปสักสองเดือนแล้วกัน!”
บางอย่างที่อยู่ข้างที่ปรึกษาคนงามมาตลอดพยักหน้ากับคำพูดขององค์ชายของเขา จากนั้นก็หายออกไปจากบ้าน
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีข่าวที่ทำให้ลูกศิษย์ทั้งอารามหันมองท่านที่ปรึกษาคนงามอย่างพร้อมเพรียงกัน
ลู่หวังเหล่ย เจ้าอารามที่เดินขึ้นเขาบ่อยจนแทบจะกลายเป็นสวนหลังบ้านของตัวเอง เกิดพลัดตกจากภูเขาสูง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาสองเดือนถึงจะออกมาได้
ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าเมื่อวันก่อนอาจารย์พึ่งจะพาแขกไปหาท่านที่ปรึกษาเพื่อให้แก้ไขปัญหาให้...
หวังเยว่ซินเอนหลังอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ทรงรังนกที่สวนข้างหลังอย่างสบายอาราม โดยมีขนมและน้ำชาอย่างดีวางไว้บนโต๊ะข้างหน้า
เวลาว่างสองเดือนนี่มันดีจริงๆ ....
..........................................
หวังเยว่ซินก็ยังคงเป็นหวังเยว่ซิน555555
ขอโทษที่ลงช้านะคะ ช่วงนี้ไรท์ไม่รู้เป็นอะไร ปวดหัวบ่อยๆ เมื่อวานก็หลับตั้งแต่ตี 4 อาจจะนอนไม่พอละมั้ง5555
ปล.ยังไม่ตรวจคำผิดนะคะ
ความคิดเห็น