ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำของดวงจันทร์และดอกโบตั๋น#ภรรยาโปรดวางแส้ลงก่อน

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 67


    หลังจากทานอาหารเช้าจนอิ่ม อารมณ์แย่ๆ ที่เกิดจากการถูกผีหรือวิญญาณที่ไหนไม่รู้มาล่วงเกินก็คล้ายกับดีขึ้น

    อย่างน้อยหวังเยว่ซินก็ไม่ได้คิดจะฟาดอีกฝ่ายให้วิญญาณแตกสลาย เอาแค่ตบให้เจ็บจนหน้าชาก็เพียงพอ

    บางสิ่งที่คอยมองดูที่ปรึกษาคนงามอยู่ตลอด ยกแขนเสื้อที่ทอจากผ้าราคาแพงขึ้นซับน้ำตา สีหน้าแบบนั้น เขาเดาได้เลยว่าถ้าหากตัวเองปรากฏตัวออกไป ต้องมีสักทีในร่างกายที่เจ็บแน่ๆ

    แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าดวงตาคู่งามนั้นสะท้อนภาพของเขาได้ จะอะไรก็ยอมทั้งนั้น..

    หวังเยว่ซินจ้องมองแจกันดอกไม้ตรงหน้าด้วยสายตานิ่งๆ ในฐานะของคนที่อยู่ในวงการนี้มานาน มีเหรอที่คนงามจะไม่รู้ว่า สาเหตุที่ทำให้เขาเกิดความฝันแบบนั้นได้ เป็นเพราะเอาอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกเข้ามาในบ้าน

    ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนหัวกะโหลกที่ถูกดอกโบตั๋นงามปิดบังเอาไว้จนมิด ภายในดวงตาคมสีฟ้าใสเกิดประกายความแปลกใจขึ้นชั่วขณะ

    เมื่อวานนี้ ตอนที่สัมผัสกับหัวกะโหลก หวังเยว่ซินแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกถึงพลังวิญญาณหรือความยึดติดใดๆ ของเจ้าของร่างต่อกระดูกชิ้นนี้เลย ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง ก็คืออีกฝ่ายไม่ได้สนใจร่างกายตัวเอง หรือไม่ก็เกิดใหม่ไปแล้ว

    แต่ว่าวันนี้ แม้จะเบาบาง แต่สำหรับคนที่มีสัมผัสที่เร็วอย่างเขา หวังเยว่ซินแน่ใจว่าตัวเองรู้สึกพลังวิญญาณที่อยู่ภายในหัวกะโหลกชิ้นนี้อย่างชัดเจน

    ไม่สิ... มันไม่มีความต้องการที่จะปิดบังตัวตนเลยสักนิด กล้าใช้พลังวิญญาณอันน้อยนิดที่พึ่งจะเกิดขึ้นมา หยอกล้อกับปลายนิ้วของเขาอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะถูกกำจัดด้วยซ้ำ..

    ดูเหมือนแผ่นยันต์ที่ใช้ปิดผลึกไว้จะทำได้มากกว่าแค่จองจำวิญญาณสินะ..

    ที่ปรึกษาคนงามย้อนคิดไปถึงคำที่เขียนเอาไว้บนแผ่นยันต์หนังมนุษย์ที่เขาตัดออก ถึงแม้จะเลือนราง แต่มันน่าจะเป็นคำว่าจองจำ เพราะว่าในสมัยก่อนเป็นคำที่มีความหมายชัดเจนและยังใช้ได้ง่ายที่สุด

    แต่ว่า... แค่คำว่าจองจำไม่น่าจะมีพลังมากพอที่จะสามารถผลึกคนแบบนี้ได้นะ เพราะขนาดเหลือแค่กระดูก ยังสามารถสร้างพลังวิญญาณขึ้นมาได้ สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ คงเป็นคนที่มีผู้คนให้การนับถือมากแน่ๆ

    แต่ปกติ ถ้าหากตายแล้วไปเกิดใหม่ ร่างกายก็ไม่น่าจะสามารถสร้างพลังวิญญาณออกมาได้แล้วสิ ก็ในเมื่อ วิญญาณที่จะใช้ไม่อยู่แล้ว..

    แปลว่าวิญญาณเจ้าของร่างยังไม่ได้ไปเกิดใหม่งั้นเหรอ ไม่น่าจะเป็นไปได้.. แม้ว่าพวกยกทูตจะค่อนข้างทำงานพลาดบ่อย แต่ก็ไม่น่าจะพลาดขนาดที่ปล่อยให้วิญญาณอายุเป็นพันๆ ปียังอยู่บนโลกได้หรอก

    เพราะคนตายไม่เหมือนกับคนเป็น ยิ่งอยู่บนโลกนานแค่ไหน ก็ยิ่งอันตรายขึ้นเท่านั้น

    ดวงตาคมคู่งามสะท้อนภาพของพลังวิญญาณบางๆ ที่แผ่ออกมาจากกระดูกและค่อยๆ เกี่ยวพันกับปลายนิ้วของเขา

    ครั้งหนึ่ง หวังเยว่ซินเคยเผชิญหน้ากับวิญญาณที่อายุเกือบหนึ่งร้อยปี ซึ่งนักพรตทุกคนเรียกมันว่าราชาผี

    ยอมรับว่าอันตรายจริงๆ การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้หวังเยว่ซินได้รับบาดแผลเป็นครั้นแรกในชีวิต พื้นที่แถวนั้นยังพังทลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดีเพราะฝีมือการสร้างภัยพิบัติ ศิษย์พี่ของหวังเยว่ซินก็จากไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น

    มันเป็นสูญเสียอย่างใหญ่หลวงที่ทำให้อารามเกือบครึ่งปิดตัวลงไป

    ขนาดอายุแค่หนึ่งร้อยปีมันยังทำได้ขนาดนั้น เจ้าของกระดูกนี้ที่ดูยังไงก็น่าจะอยู่มาเป็นพันๆ ปีแล้ว เขาไม่ได้อยากรู้เลยสักนิดว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดไหน

    หวังเยว่ซินชอบชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และเขาก็ไม่ได้โง่ขนาดที่แส่หาเรื่องตายเพราะแค่ความสงสัยที่ไร้หลักฐานยืนยัน อะไรที่มองข้ามได้ก็จงมองข้ามไปเถอะ

    ถ้าหากว่าเจ้าของกระดูกชิ้นนี้เป็นวิญญาณร้ายจริงๆ มันก็ไม่น่าจะทำเพียงแค่นั้นในฝันของเขา

    ไม่สิ... เป็นวิญญาณร้ายนั่นแหละถูกแล้ว กล้าดีถึงได้มาลวนเกินเขากัน

    สุดท้ายก็วนกลับมาเรื่องเดิม...

    คนงามพ้นลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินออกไปจัดการสวนที่เละเทะจากพายุเมื่อคืน โชคดีที่หวังเยว่ซินจัดการตัดดอกไม้ทั้งหมดออกและมัดต้นไม้เอาไว้แน่พอ ทำให้ไม่มีต้นไม้ต้นไหนของเขาเสียหายเลย

    ถุงมือหนังสีขาวถูกสวมลงบนฝ่ามืองาม หวังเยว่ซินค่อยๆ ทำความสะอาดสิ่งสกปรกทุกอย่างที่ถูกพายุพัดเข้ามาในสวนของเขาออกไปช้าๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นพวกใบไม้ กิ่งไม้ ก้อนหินตามธรรมชาติ หรือถ้าหนักหน่อยก็จะเป็นซากของสัตว์บางชนิดที่ตาย

    เพราะว่าภูเขาไม่ได้เปิดให้คนนอกเข้ามา ขยะทางอุตสาหกรรมจึงไม่มีที่นี่

    “หือ...” หวังเยว่ซินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ใต้กองใบไม้ที่เขากำลังเก็บออกไป

    ซากของลูกกวางที่ขาทั้งสี่ข้างหักจากการโดยพายุพัดไม่ได้สร้างความตกใจอะไรให้คนมองแม้แต่น้อย สิ่งที่สะท้องในดวงตาคู่งามมีเพียงวิญญาณใสสะอาดของลูกกวางที่เฝ้ามองร่างของตัวเองอยู่เท่านั้น

    “ไปสู่สุคติเถอะ” ปลายนิ้วเรียวยาวภายในถุงมือหนังแตะลงบนหน้าผากของลูกกวางเบาๆ วิญญาณดวงน้อยที่พึ่งจะรู้ว่ามันไม่มีชีวิตก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ

    วิญญาณของสัตว์ส่วนใหญ่นั้นบริสุทธิ์มาก ปกติแล้วต่อมองเห็น แต่หวังเยว่ซินก็จะไม่ค่อยเข้าไปช่วย เพราะอีกไม่กี่นาที เดี๋ยวก็คงไปเกิดใหม่ได้เอง แต่วิญญาณของกวางน้อยตัวนี้ค่อนข้างพิเศษกว่านั้น

    มันยังไม่ถึงเวลาตาย

    ดวงตาคมคู่งามจ้องมองไปที่ขาหลังข้างซ้ายของซากลูกกวาง เชือกหนาที่ใช้สำหรับจับสัตว์ทำให้ที่ปรึกษาคนงามเริ่มรู้สึกไม่พอใจ

    คืนนี้ มีเรื่องให้เขาจัดการอีกแล้วสินะ...

    หวังเยว่ซินหมุ่นตัวกลับเข้าไปในบ้านหลังจากที่ทำความสะอาดสวนดอกไม้ของตัวเองเสร็จ คงต้องรออีกหลายเดือนเลยกว่าดอกไม้จะบานอีกครั้ง

    ชาชั้นดีและขนมจีนโบราณที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้มากกว่าปกติ ที่ห้องรับแขกทำให้คนงามอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน รู้ดีจริงๆ ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น

    ที่ปรึกษาเพียงคนเดียวของอารามทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะนุ่ม น้ำชาชั้นดีถูกยกขึ้นจิบ ขณะที่ในใจค่อยๆ นับถอยหลังเวลาไปอย่างช้าๆ

    5....4....3....2....1

    “ก๊อกๆ” เสียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายดังออกมาจากร่างของชายหนุ่มผู้ครอบครองความเหนือกว่าผู้ใด

    “เข้ามาครับ” แม้ว่าคนที่พูดจะนั่งอยู่ในห้องรับแขก แต่น้ำเสียงเฉยชาที่แฝงไปด้วยความเบื่อหน่ายของเขากลับส่งไปถึงหูของคนที่อยู่หน้าประตูได้อย่างน่าแปลกใจ

    “หยุดทำหน้าเบื่อหน่ายแบบนั้นใส่อาจารย์สักทีเถอะ” ลู่หวังเหล่ยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่ตัวเองเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก

    ตัวเขาเป็นเจ้าของอารามแห่งนี้ ทำไมจะไม่รู้กันว่าหวังเยว่ซินมันรับรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว ในอดีตเองก็มีหลายครั้งที่ที่ปรึกษาคนงามยินยอมที่จะช่วยบอกใบ้อย่างที่ป้องกันเหตุร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น

    แต่ว่าพอโตขึ้นมา ไม่รู้ว่าไปได้นิสัยเอาแต่ใจและเกลียดความยุ่งยากนี้มาจากใคร ถึงได้ปล่อยให้อารามเกิดเรื่องอยู่ปล่อย โดยไม่สนใจจะเข้าไปช่วยเหลือ

    อย่างเมื่อเดือนก่อน เกิดไฟไหม้อย่างหนักขึ้นที่ห้องเก็บของในอาราม ลูกศิษย์ทุกคนวิ่งวุ่นเพื่อดับไฟ ในขณะที่หวังเยว่ซินนั้น นั่งจิบชามองภาพความวุ่นวายอย่างเฉยเมย

    ยังมีหน้ามาบอกให้เขาใช้พลังวิญญาณดับไฟให้เพราะตัวเองร้อนด้วยนะ!คิดดูสิว่ามันน่าโมโหขนาดไหน เขารู้แหละว่าหวังเยว่ซินรู้อยู่แล้วว่าจะเดิมไฟไหม้ขึ้น ไม่งั้นเจ้านั้นจะสั่งให้ศิษย์ทุกคนที่ทำหน้าที่ดูแลความสะอาดในนั้นออกไปทำไม

    “รีบๆ พูดคุยธุระของท่านมาให้จบเถอะ” ดวงตาคมสีฟ้าใสจ้องมองร่างของอาจารย์พร้อมกับคนแปลกหน้าอีกสามคนที่เดินเข้ามานั่งรอบโต๊ะด้วยแววตาไร้อารมณ์ พร้อมกับยกน้ำชาขึ้นจิบอีกครั้ง

    ไอความตายที่อยู่รอบตัวคนพวกนี้ทำให้เขาเดาสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้ไม่ยากนักหรอก

    คนหรือสิ่งของที่มีไอความตายลอยอยู่รอบตัว เหตุผลหลักๆ จะมีอยู่สามข้อ หนึ่งคือ ถูกใช้เป็นทางผ่านของโลกคนตาย จนโดนสิงร่างเหมือนงานเมื่อวันก่อน สองคือมีคนตายวนเวียนอยู่รอบๆ ไม่ยอมไปได้ และสามคือพยายามจะติดต่อหาคนตายโดยใช้วิธีแปลกๆ ที่ไม่ควรใช้

    ซึ่งดูแลแขกกลุ่มนี้คงเป็นประเภทที่สาม หรือไม่...ก็สอง

    อย่าได้คิดว่าความเชื่อหรือวิธีการแปลกๆ ที่ตกทอดกันมาจากคนโบราณนั้นผิดไปหมดนะ บางวิธีมันได้ผลจริงๆ เพียงแค่คนที่ทำไม่ได้มีพลังวิญญาณมากพอ ผลที่ออกมาจึงไม่ได้ตามที่ต้องการก็เท่านั้น

    ยิ่งสมัยนี้มีสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตอยู่ การค้นหาอะไรก็ยิ่งง่าย ถึงจะมีถูกบ้างผิดบ้าง แต่ถ้าทำอย่างไม่ระวัง แทนที่จะเรียกวิญญาณที่ต้องการเจอออกมา อาจจะเผลอไปเรียกวิญญาณรอบๆ เข้ามาแทนก็ได้

    วิญญาณธรรมดาส่วนใหญ่ไม่เกี่ยงเรื่องความถูกต้องหรอก ขอแค่รู้ว่าถูกเรียก พวกมันก็พร้อมเข้ามาเกาะเพื่อสูบพลังวิญญาณจากคนเป็นแล้ว แถมจากสีหน้าของแขกตรงหน้า ดูเหมือนคงลองมาเกือบทุกวิธีจนเจอดีเข้าสินะ...

    “หวังเยว่ซิน นี่คือคุณนายฟางและสามี เธอคือคนที่ขอว่าอยากให้เจ้าเรียกยมทูตให้ คุณนายฟางครับ นี่คือหวังเยว่ซิน ที่ปรึกษาเพียงคนเดียวของอารามเรา” ด้วยรู้ดีว่ายังไงเด็กตรงหน้าก็ไม่มีทางแนะนำตัวก่อน ลู่หวังเหล่ยจึงจำเป็นต้องรับหน้าที่แทน

    ดวงตาคมคู่งามหันไปมองร่างของหญิงสาววัยกลางคนที่เจ้าอารามพึ่งจะแนะนำ จากรูปหน้าตาและลักษณะโดยรวมของเธอ ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่มีดวงชะตาร่ำรวยจริงๆ แต่ว่า ในขณะเดียวก็มีชะตาที่ต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญเพื่อแลกกับความรวยนั้น

    “คุณหวังคะ.... คุณสามารถ...เรียกยมทูตได้จริงๆ ใช่ไหมคะ” คุณนายฟางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานที่แฝงไปด้วยความคาดหวังตามประสาของคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี

    เธอไม่ได้สนใจเลยว่าคนตรงหน้าจะอายุน้อยกว่าเธอเกือบสิบปี หรือว่ามีใบหน้าที่งดงามเกินกว่าจะเรียกว่านักพรต สิ่งเดียวที่เธอต้องการในตอนนี้ มีเพียงยืนยันจากคนตรงหน้าเท่านั้น

    “ได้สิครับ ผมทำได้” คนงามนิ่งเงียบไปสักครู่ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยชาตามปกติ แต่กลับทำให้คนที่ได้ยินเกิดความหวังขึ้นมาในทันที

    ความหวัง...ที่เธอเกือบจะยอมแพ้ไปแล้ว..

    “ถ้าอย่างนั้นช่วยเรียกยมทูตให้ฉันทีค่ะ จะเรียกเงินเท่าไหร่ก็ได้ ขอร้องละค่ะ!” ท่าทางของคุณนายฟางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนชายที่คิดว่าน่าจะเป็นสามีของเธอต้องรีบมาห้ามเอาไว้

    “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงินครับ ตอบผมมาว่าคุณไปรู้เรื่องยมทูตมาจากไหน และทำไมถึงต้องการเจอ” ดวงตาคู่งามจับจ้องหญิงสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง แต่กลับคนที่อยู่กับเขามานาน ต้องดูออกอยู่แล้วว่าตอนนี้ที่ปรึกษาคนงามที่กำลังคิดอะไรอยู่ 

    เจ้าอารามยกน้ำชาขึ้นจิบ ขณะที่ในก็ภาวนาให้ลูกศิษย์แสนเอาแต่ใจของตัวเองไม่เหวี่ยงในผู้จ้างวานถ้าหากว่าไม่พอใจกับเหตุผล

    “ฉันรู้มาจากหมอดูที่ทางบ้านให้ความเชื่อใจค่ะ เธอบอกว่าดวงชะตาของฉันจะร่ำรวยเงินทอง มีมากมายในแบบที่เรียกได้ว่าไม่มีทางหมดตัว แต่ว่า ก็ต้องสูญเสียสิ่งสำคัญเพื่อแลกเปลี่ยนด้วย” ระหว่างที่พูด สีหน้าของคุณนายฟางก็ดูย่ำแย่ลงไปอีก มือข้างหนึ่งของเธอถึงกับต้องสามีเอาไว้เพื่อความอุ่นใจ คงไม่อยากพูดถึงนี้จริงๆ

    คิ้วสวยได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ หมอดูคนนั้น ฝีมือดีไม่น้อยเลยนี่..

    “ในตอนนั้นฉันยังเด็ก จึงไม่ได้สนใจอะไร คิดแค่ว่าเป็นเรื่องแต่งเพื่อให้สามารถขายของต่างๆ ที่เธออ้างว่าป้องกันได้เพิ่ม แต่พอเวลาผ่านไป ยิ่งฉันโตขึ้นมากเท่าไหร่ เงินทองมากมายก็ยิ่งไหลมาเทมา ทำให้ฉันเริ่มร่ำรวยขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่เดือน” คุณนายฟางยกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อย ขอบตาของเธอแดงระเรื่อ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และเล่าต่อ

    “พอฉันแต่งงานและคลอดเด็กชายแข็งแรงออกมาได้ ฉันก็คิดว่าครอบครัวของเรากำลังจะสมบูรณ์แบบ มีทั้งเงิน ทั้งงาน และลูกที่น่ารัก แต่แล้ว วันหนึ่ง..จู่ๆ ลูกชายของฉันก็ล้มป่วยหนักอย่างไม่ทราบสาเหตุ หมอพยายามหาทางรักษา แต่ไม่ว่าจะรักษายังไง ลูกชายก็ไม่ดีขึ้น เขาเข้าโรงพยาบาลได้สามวัน จากนั้นก็เสียชีวิต” คุณนายฟางซบหน้าลงกับอกสามีพร้อมกับปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจให้ไหลอาบแก้ม

    ลูกชายคนแรกของเธอ เป็นเหมือนของขวัญที่เธอรักที่สุด ภาพของลูกที่ค่อยๆ หมดลมหายใจไปอย่างช้าๆ ยังคงติดตาเธอถึงทุกวันนี้

    แต่หวังเยว่ซินกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรนัก คุณนายฟางไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้ายที่เจอเรื่องแบบนี้ กฎแห่งกรรมนั้นเป็นอะไรที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ การขัดขวางมันย่อมเป็นไม่ได้อยู่แล้ว

    “และในตอนนั้น...ฉันก็คิดถึงคำพูดสุดท้ายของหมอดูขึ้นมา เธอบอกฉันว่าทางเดียวที่จะสามารถเอาลูกกลับมาได้ ก็คือการคุยกับยมทูต ฉันถึงพยายามทุกวิถีทาง แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ไม่เคยได้ผล นักพรตส่วนใหญ่ที่ฉันเจอต่างบอกให้ฉันถอดใจ การคืนชีพคนตายมันไปไม่ได้ แต่อย่างน้อย... ฉันก็อยากรับรู้ว่าลูกยังสบายดีในโลกทางโน้นก็เท่านั้น”

    คุณนายฟางใช้ชีวิตอยู่ในโลกปกติมาทั้งชีวิต แน่นอนว่าการยอมรับว่าลูกชายเธอจากไปเพราะกรรมที่ตัวเธอในชาติก่อนก่อเอาไว้ ย่อมเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย การที่เธอพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้เจอเขาก็ไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร

    แต่ว่า... มันก็ไม่ใช่สิ่งที่หวังเยว่ซินสนใจอยู่ดี

    “คุณนายฟาง ผมเข้าใจเหตุผลของคุณนะครับ แต่การเรียกยมทูตมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งเป้าหมายของคุณคือการถามถึงเด็กที่ตายไปนานจนน่าจะไปเกิดใหม่แล้วนั้นอีก คิดจริงๆ เหรอว่ายมทูตจะยอมตอบให้ง่ายๆ”

    เด็กส่วนใหญ่ที่ตายจากผลกรรมในชาติก่อนของผู้เป็นแม่ มักจะไปเกิดใหม่ได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะว่าพวกเขาไม่มีความผิดในเรื่องนี้ แต่จำเป็นต้องชดใช้กรรมของมารดา

    “การเรียกยกทูตต้องมีข้อแลกเปลี่ยน คุณพร้อมรับมันเหรอครับ” ดวงตาคมคู่งามหรี่มองหญิงสาวตรงหน้า

    “ข้อแลกเปลี่ยน... อะไรเหรอคะ” คุณนายฟางยกหน้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา ไม่ว่าอะไรเธอก็แลกได้ทั้งนั้น ขอแค่ได้พูดคุยกับยมทูตก็พอ

    “หน้าที่ของยมทูตคือการรับวิญญาณคนตาย เพราะแบบนั้น... การจะเรียกออกมาได้ ก็ต้องพึ่งคนตายเหมือนกัน สักคนในครอบครัวของคุณต้องตายเพื่อแลกกับการเรียกยมทูต รับได้รึเปล่าล่ะครับ”

    จริงๆ มันก็มีอีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้พลังวิญญาณจำนวนมากเพื่อเรียกยมทูตมา แต่ทำไมหวังเยว่ซินต้องลำบากขนาดนั้นด้วยล่ะ มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องรับผิดชอบต่อบาปที่คนอื่นก่อไว้สักหน่อย

    “แต่คุณคงทำไม่ได้เหรอ เพราะว่า... ขนาดพูดความจริง คุณยังทำไม่ได้เลย” สีหน้าตกใจของแขกตรงหน้าทำให้รอยยิ้มเหยียบหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม

    คิดจะโกหกคนที่มองเห็นทะลุไปถึงวิญญาณอย่างเขาเหรอ ยังเร็วไปร้อยปีนะ

    “คะ...คุณพูดอะไรคะ ทุกอย่างที่ฉันพูดไป เป็นความจริงทั้งหมด” คุณนายฟางตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามคงความเรียบนิ่งเอาไว้

    “หือ... แล้ววิญญาณของเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกคุณเป็นใครเหรอครับ” ตั้งแต่แรก หวังเยว่ซินก็เห็นแล้วว่ามีแขกอยู่สามคน เพียงแค่คนที่สามนี้ค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่นหน่อยก็เท่านั้น

    ร่างกายอึดบวมเหมือนจมน้ำมานาน เส้นผมยาวตรงสีดำเปียกชื้นติดอยู่บนแผ่นหลัง ชุดนักเรียนอนุบาลที่สวมอยู่บ่งบอกอายุได้ไม่ยากนัก ตามตัวเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยช้ำมากมาย ส่วนจุดที่ทำให้เธอเสียชีวิต ก็คือเป็นรอยบีบจากมือของใครบางคนบนลำคอ..

    ....................................

    คอมเมนต์น้อยจังเลย.. ขอนอยนักอ่านก่อนนะคะ5555

    เมื่อคืนนี้ไรท์ฝันว่าโดนเยว่ซินมองบนใส่ด้วยล่ะคะ โทษฐานไม่ยอมเขียนของเขาต่อสักที

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิด

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×