ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำของดวงจันทร์และดอกโบตั๋น#ภรรยาโปรดวางแส้ลงก่อน

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 67


    ฝ่ามือที่งดงามราวกับหยก ค่อยๆ ทำความสะอาดกะโหลกศีรษะพร้อมกับเส้นผมสีเงินยาวอย่างช้าๆ ด้วยความทะนุถนอม ผิดกับตอนที่เคยทำกับกระดูกของมนุษย์คนอื่นอย่างสิ้นเชิง

    ด้วยความที่ว่าเป็นนักพรตฝีมือดี แน่นอนว่าการที่หวังเยว่ซินจะถูกเชิญไปทำงานอันตรายก็เป็นเรื่องปกติ

    ผีทั้งหมดบนโลกนี้ ล้วนเกิดมาจากคนเป็นที่ตายแล้ว โดยปกติพวกที่ตายตามอายุขัยมักจะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะว่ายังไงพวกเขาก็อยู่บนโลกนี้มานานแล้ว ความรู้สึกคิดถึงแน่นอนว่ามี แต่ความยึดติดแทบจะไม่เหลือแล้ว

    วิญญาณประเภทนี้จึงมักจะถูกมอบหมายให้กับนักพรตมือใหม่ เพราะงานมักจะง่าย คุยกันนิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถส่งพวกเขาไปเกิดใหม่ได้แล้ว

    อารมณ์เหมือนคนแก่อยากมีเพื่อนคุยแค่เหงา ไม่มีอันตรายอะไร เพื่อให้มือใหม่ได้ชินกับผีได้เร็ว

    ส่วนประเภทที่ 2 เป็นประเภทที่อันตรายขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงชีวิต นั้นก็คือวิญญาณของพวกเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นทารกที่พึ่งเริ่มมีวิญญาณ หรือเด็กที่เริ่มพูดได้

    วิญญาณพวกนี้จะเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ความต้องการส่วนใหญ่ไม่ได้ถือว่าเป็นหนักหนาขนาดที่ทำให้ไม่ได้ จากประสมการณ์ที่เคยเจอมา ไม่ขอให้อุ้มก็แค่ให้กอดเท่านั้น

    เพราะว่าเกือบทั้งหมดล้วนเป็นเด็กที่ถูกครอบครัวทอดทิ้ง หรือไม่ก็เป็นลูกที่ตายตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ลึกๆ ข้างในพวกเขาอยากได้ความอบอุ่น ต่อให้มาจากคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตาม

    หวังเยว่ซินยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ชื่นชอบและเห็นด้วยกับคำสอนของอารามที่บอกว่า การทำให้ความยึดติดของวิญญาณหายไปก่อนจะส่งไปเกิดใหม่คือสิ่งสำคัญที่สุด

    คนเป็นยังมีคนหลากหลายรูปแบบ หลากหลายความคิด คนตายที่เกิดจากคนเป็นเองก็เช่นกัน บางคนชื่นชอบความร่ำรวย ขนาดตายไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวางจากเงินพวกนั้น ทางเดียวที่จะทำให้ความยึดติดหายไป ก็คือการเอาเงินพวกนั้นไปด้วย ซึ่งมันเป็นไม่ได้อยู่แล้ว

    หนักหน่อยก็จะเป็นพวกที่มีความอาฆาตแค้นที่อยากได้รับการชำระ ซึ่งจะให้นักพรตลงมือฆ่าคนเพราะด้วยเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้น ก็คงเป็นไม่ได้ สุดท้ายเรื่องก็จบที่การบังคับอยู่ดี

    มีเพียงวิญญาณของเด็กน้อยเท่านั้น ที่หวังเยว่ซินยินยอมที่จะถามถึงเรื่องที่อยากทำก่อนไปเกิดใหม่ เพราะตัวเขารู้ดีว่าเด็กเหล่านี้ ยังมีความคิดอ่านที่ไร้เดียงสามาก สิ่งที่พูดออกมา ก็ล้วนออกมาจากใจทั้งนั้น

    แต่ก็อย่างที่บอก รับฟัง ไม่ใช่ ทำตาม ถ้าหากคำขอไหนที่มันน่ารำคาญเกินไป ที่ปรึกษาคนงามก็พร้อมส่งวิญญาณคนนั้นไปเกิดใหม่ทันที

    วิญญาณประเภทนี้มักจะทำให้มือใหม่ส่วนใหญ่รู้สึกสงสารมากเป็นพิเศษ บางคนถึงกับทำงานต่อไม่ได้เพราะรับมือเรื่องแบบนี้ไม่ไหวด้วยซ้ำ

    เวลาเด็กใหม่ถูกมอบหมายให้มาทำงานแบบนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการให้บททดสอบเลยสักนิด

    ส่วนที่อันตรายขึ้นมาอีกหน่อยก็จะเป็นวิญญาณประเภทที่ 3 คนธรรมดาที่ตายจากอุบัติเหตุต่างๆ

    ผีกลุ่มนี้จะมีห่วงเยอะ สิ่งติดค้างเยอะ และยังตายแบบที่ไม่ได้เต็มใจ

    หวังเยว่ซินไม่คิดเคยจะเสียเวลาคุยกับวิญญาณประเภทนี้ เพราะตัวเขารู้ดีว่าต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำให้ความติดค้างของวิญญาณหายไปได้หรอก ขนาดความตายของตัวเอง ยังไม่อยากยอมรับเลย

    และวิญญาณประเภทสุดท้าย อันตรายที่สุด และเป็นวิญญาณที่ตัวเขาทำงานด้วยมากที่สุด นั้นก็คือ วิญญาณที่ตายจากการถูกฆาตกรรม

    พวกนี้อันตรายเพราะว่ามีความอาฆาตมากกว่าวิญญาณประเภทอื่น ปล่อยเอาไว้นานๆ ก็จะกลายเป็นวิญญาณร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้คนเป็น แถมวิธีจัดการมันยังยากกว่าวิญญาณแบบอื่นด้วย

    คนเราหลังจากที่ตายไปแล้วกลายเป็นวิญญาณ สิ่งเดียวที่เหลือให้คนเป็น จัดการก็คือศพ ซึ่งแต่ละครอบครัวจะเอาไปจัดการทำพิธีทางความเชื่อแบบไหนก็เป็นเรื่องของพวกเขา เพราะท้ายที่สุด ทุกศพก็จะถูกจัดการอย่างสมเกียรติ ตามที่คนคนหนึ่งควรจะได้รับ

    แต่สำหรับวิญญาณที่ถูกฆาตกรรม ถ้าหากโชคดีหน่อยก็จะเจอศพ แต่ถ้าหากโชคร้ายหน่อย แม้แต่ศพก็คงไม่เจอด้วยซ้ำ

    ซึ่งมันจะไม่เป็นเรื่องยากสำหรับนักพรตอย่างพวกเขาเลย ถ้าหากว่าทำงานกับคนตายอย่างเดียว เพราะว่ายังไงหลังจากตายไปแล้ว ยมทูตก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าจะมีศพไหม แต่ประเด็นคือ พวกเขาทำงานกับคนเป็นด้วย

    ถ้าหากเสียชีวิตจริงๆ รัฐบาลและทางเจ้าหน้าที่ต่างก็ต้องการศพเพื่อเป็นเครื่องยืนยัน ทั้งกับข้อมูลประชากร และครอบครัวของผู้เสียชีวิต มันจึงลำบากนักพรตอย่างพวกเขาที่ต้องหาศพให้เจอ แม้ว่าสภาพมันจะออกมาเป็นแบบไหนก็ตาม

    หวังเยว่ซินถึงได้ไม่ชอบทำงานกับพวกรัฐบาลไง...

    ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ไปตามเส้นผมสีเงินเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจถักให้กลายเป็นเปียยาวและม้วนเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มันหลุดร่วง ดวงตาคมสีฟ้าใสฉายแววครุ่นคิดขณะที่กวาดมองไปทั่วบ้าน

    ร่างโปร่งของที่ปรึกษารูปงามลุกขึ้นยืน เลือกเอาแจกันดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดออกมา วางลงที่กลางโต๊ะทำงาน จากนั้นก็วางหัวกะโหลกลงไป เสียบดอกโบตั๋นลงไปในจุดที่ควรจะเป็นดวงตา จมูก และจับปากให้อ้าออกเล็กน้อย ใส่ใบไม้ลงไป จัดนิดจัดหน่อยให้เข้าที่

    เท่านี้ก็กลายเป็นแจกันดอกไม้ที่มีตกแต่งแปลกๆ ไปแล้ว ถ้าหากไม่ดอกไม้ออก ยังไงก็มองไม่ออกแน่ๆ ว่ามันคือหัวกะโหลกของมนุษย์จริงๆ

    บางสิ่งที่มองอยู่ขำออกมาเบาๆ ในลำคอเมื่อเห็นสิ่งที่คนงามทำกับชิ้นส่วนร่างกายของเขา

    ยังคงเป็นคนที่ไม่เคารพคนตายเหมือนเดิมเลยนะ...

    หวังเยว่ซินมองว่าคนตายกับคนเป็นไม่ได้มีความแตกต่างกันขนาดนั้น เพราะงั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเคารพหรือทำให้มันยิ่งใหญ่ ยิ่งเป็นศพที่วิญญาณไม่อยู่ แถมยังเหลือแค่กระดูกแบบนี้ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งไปแล้ว

    ดีแค่ไหนที่ไม่ถูกนำไปบดและใส่เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้...

    เจ้าของดวงตาคู่งามจัดการล้างเนื้อล้างตัวให้เรียบร้อย อากาศข้างนอกยังคงเลวร้าย พายุฝนที่ตกลงมาพร้อมกับกระแสลมที่แรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แทบจะมองภาพข้างนอกไม่เห็น เสียงฟ้าร้องที่ดังมาเป็นระยะๆ บวกกับเสียงของกิ่งไม้ที่เอนมากระทบหน้าต่าง สร้างความรู้สึกหวาดระแวงต่อสิ่งที่มองไม่เห็นให้กับผู้ที่ได้ยินได้ไม่ยากนัก

    แต่กลับหวังเยว่ซิน เขากลับรู้สึกรำคาญใจมากกว่า

    เดี๋ยวพรุ่งนี้คงต้องตัดกิ่งไม้ลงมา..

    ที่ปรึกษารูปงามหมุนตัวกลับเข้าห้องนอน ตอนนี้หวังเยว่ซินไม่มีอารมณ์จะเขียนยันต์ ออกไปทำสวนก็ไม่ได้ ดื่มชาพร้อมกับอาบแดดก็ไม่ได้ งั้นอย่างสุดท้ายที่เขาคิดออกก็คือการนอน

    ที่นอนหนานุ่มขยับไปมาตามแรงที่กดลง ดวงตาคู่งามจ้องมองไปที่เพดานห้องด้วยสายตาว่างเปล่า เพียงไม่นานความง่วงก็ค่อยๆ เข้ามาครอบงำสติ ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าใสจะปิดลงไป ก็คล้ายกับเห็นภาพของใครบางคนก็สะท้อนอยู่ในนั้น..

    ใครบางคน... ที่สวมสุดสีแดงสดราวกับชุดแต่งงานของจีนสมัยก่อน..

    หวังเยว่ซินหลับได้เร็วในแบบที่ตัวเขาไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้นเขาก็ฝัน เป็นความฝันที่แปลกประหลาด แต่กลับสร้างความคุ้นเคยราวกับเคยเผชิญมันมาก่อน

    “ท่านเคยบอกว่าตัวเองชื่นชอบต้นแปะก๊วย” หวังเยว่ซินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้นสื่อและหนุนตักของใครบางคน สัมผัสของฝ่ามือหนาที่ลูบไล้ไปตามกลุ่มผมของเขา ทำให้ชายรูปงามอยากจะลืมตาขึ้นมอง

    แต่น่าแปลกที่ทุกส่วนในร่างกายกลับหนักอึ้งมาก ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ลืมตาหรือขยับตัวไม่ได้เลย

    “ตอนนี้เปลี่ยนไปชอบดอกโบตั๋นแทนแล้ว” น้ำเสียงถูกเปล่งออกไปโดยที่หวังเยว่ซินไม่ได้ตั้งใจจะพูด ราวกับตัวเขาในตอนนี้ เป็นเพียงผู้ชมที่เข้ามาอยู่ในร่างของนักแสดงไม่มีผิด

    “หึๆ ท่านตอบเอาใจข้ารึองค์ชาย” เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังอยู่เหนือหัวทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกจั๊กจี้ในหูเล็กน้อย

    หวังเยว่ซินแน่ใจว่าตัวเองก็ติดต่อกับผู้คนมามาก แต่เขาขอยอมรับ ว่าไม่เคยเจอใครที่มีเสียงน่าฟังขนาดนี้เลยจริงๆ

    “ก็แล้วแต่ละคิด..” สิ้นเสียงของร่างที่กำลังนอนอยู่ หวังเยว่ซินก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ตามมาด้วยรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มๆ อุ่นๆ ที่แตะลงมากลางหน้าผาก

    เดี๋ยวนะ... เมื่อกี้ จูบเหรอ!?

    ไอ้ผีตัวนี้มันเป็นใครกัน!!กล้าดียังไงถึงได้บังอาจมาจูบหน้าผากของเขา!

    พลังวิญญาณที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามอารมณ์ของเจ้าของร่าง ทำให้บางสิ่งที่สร้างฝันนี้ขึ้นมาได้แต่ยกยิ้มแบบปลงๆ

    อีกไม่นานคงฉีกความฝันนี้ออกเป็นชิ้นๆ แน่เลย...

    “เอาไว้เจอกันใหม่ องค์ชายของข้า” สิ้นเสียงนั้น สติของหวังเยว่ซินก็ดับไปอย่างรวดเร็ว สิ่งสุดท้ายที่รู้สึกถึง ถึงสัมผัสแบบเดิมที่แตะลงมาบนริมฝีปากของเขา

    ที่ปรึกษารูปงามลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยโมโห ดวงตาคมสีฟ้าใสเต็มไปด้วยจิตสังหารที่แม้แต่ยมทูตยังไม่กล้าเข้ามายุ่ง มือที่งดงามราวกับงดงามราวกับหยกกำผ้าปูที่นอนแน่นราวกับอยากฉีกมันเป็นชิ้นๆ

    หวังเยว่ซินมีนิสัยหนึ่งที่รู้กันทั่ว ก็คือคนงามเป็นคนที่หวงร่างกายของตัวเองมาก มากขนาดที่แม้แต่อาจารย์ที่เลี้ยงดูเขามากตั้งแต่เด็ก ยังต้องขอก่อนถ้าหากอยากจะจับมือ ถ้าหากมีใครเดินเข้ามาชนเขาก่อน ที่ปรึกษาคนงามก็พร้อมจะชักสีหน้าใส่ในทันที

    จริงๆ เรื่องแบบนี้ก็มีเหตุผลรอบรับอยู่ อย่างที่รู้กันว่าหวังเยว่ซินมีพลังวิญญาณที่สูง ซึ่งมันก็ทำให้ตัวเขามีความไวต่อสัมผัสมากกว่าคนทั่วไป บวกกับความไม่สนใจใครของเขา ทำให้หวังเยว่ซินมองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องสัมผัสตัวคนอื่น

    แล้วตอนนี้ มีผี วิญญาณ หรืออะไรก็ไม่รู้กล้ามาแตะต้องตัวเขาแบบใกล้ชิดแบบที่หวังเยว่ซินไม่สามารถปฏิเสธได้ คิดว่าเขาจะรู้สึกดีรึไง!

    ถ้าหากได้เจอเมื่อไหร่ หวังเยว่ซินสาบานว่าเขาจะฟาดแส้ใส่เจ้านั้นจนมันร้องขอชีวิตเลย!

    ชายหนุ่มผู้งดงามลุกขึ้นจากเตียงและตรงไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำให้หัวของตัวเองเย็นลง ไม่งั้นเขาคงเผลอปล่อยพลังวิญญาณออกไปจนทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนแน่ๆ

    หลังจากอาบน้ำเสร็จ ที่ปรึกษาคนงามในชุดกี่เพ้าสีแดงเข้ม ปักด้วยลายของกระต่ายและดวงจันทร์ ก็ตรงเข้าไปที่ห้องทานอาหาร แสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้าที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้รู้ได้ไม่ยากว่าพายุได้ผ่านพ้นไปแล้ว

    ดูเหมือนสวนของเขาก็ไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากสินะ..

    คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากันทันทีที่เห็นมื้อเช้าวันนี้ ทั้งหมดเต็มไปด้วยเมนูที่เขาชอบอย่างผิดปกติ การตกแต่งจานที่สวยงามเกินไป ไหนจะของหวานที่เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสามอย่าง

    ราวกับคนที่กำลังร้อนตัวเพราะมีความผิดเลยที่ไม่กล้าพูดเลย...

    ..........................

    ตอนนี้สั้นหน่อยนะคะ ตามจริงมันควรจะยาวกว่านี้ แต่ว่าช่วงนี้ไรท์กำลังประสมปัญหาบางอย่างที่ทำให้สุขภาพจิตเสีย ขออภัยทุกคนด้วย เดี๋ยวจะพยายามมองเมินและกลับมาเต็มที่กับงานให้ได้มากที่สุดนะคะ

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×