ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำของดวงจันทร์และดอกโบตั๋น#ภรรยาโปรดวางแส้ลงก่อน

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 67


    หลังจากใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงไปกับการจัดการดอกไม้ ในที่สุดทุกอย่างออกมาตามที่หลังเยว่ซินคิดไว้ มืองามราวกับหยกวางแจกันดอกโบตั๋นที่ถูกจัดอย่างสวยงามลงในจุดที่โดยแสงแดดส่องถึง

    จำนวนของแจกันที่มากขึ้นกว่าเดิมถึงห้าชิ้นทำให้การหาที่วางยากขึ้นเล็กน้อย แต่พอจัดทุกอย่างเข้าที่

     สิ่งที่ออกมาคือภาพของบ้านที่ดูมีความหวานละมุนราวกับอยู่ท่ามกลางสวนดอกโบตั๋น กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่อบอวลอยู่ทั่วห้องสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้กับคนที่สูดดมเข้าไป ทำให้บรรยากาศที่ปกติจะเต็มไปด้วยเย็นชาในห้องลดลงเล็กน้อย 

    หวังเยว่ซินจ้องมองภาพของดอกโบตั๋นมากมายที่ถูกจัดอย่างประณีตบนแจกันเรียบๆ คงเพราะว่าดอกโบตั๋นส่วนใหญ่ที่เขาปลูกมีสีชมพูเป็นหลัก ทำให้พอเอามารวมกันเยอะๆ แบบนี้ สีสันมันจึงไปด้วยกันจนรู้สึกว่าไม่มีมิติในการแสดงออก ถ้าหากมีดอกไม้แบบอื่นมาช่วยตัดก็ดี 

    อย่างกล้วยไม้ กุหลาบ หรือว่าคาเนชั่น 

    น่าเสียดายที่หวังเยว่ซินปลุกดอกไม้แบบอื่นนอกจากโบตั๋นไม่ขึ้นเลย คงต้องหาดอกโบตั๋นสีอื่นมาปลูกแทน 

    ดวงตาคมสีฟ้าใสเหลือบมองดอกโบตั๋นดอกใหญ่ที่มีกระต่ายตัวหนึ่งเอามาให้ มันเป็นดอกโบตั๋นดอกเดียวที่หวังเยว่ซินไม่รู้จะจัดมันลงไปกับพวกยังไง เพราะขนาดของดอกค่อนข้างใหญ่ และสีที่โดดเด่นจากพวก 

    โดยปกติ ดอกโบตั๋นจะมีประมาณ 5 สี คือชมพูปกติ ชมพูบานเย็น ขาว แดง และเหลือง แต่ดอกโบตั๋นที่อยู่บนมือเขาตอนนี้ กลับมีสีชมพูติดม่วง ซึ่งไม่มีทางหาได้โดยทั่วไป ถ้าหากไม่ใช่สายพันธุ์โบราณ ก็เป็นต้องแบบที่ตัดแต่งพันธุกรรมมา

    ซึ่งจากที่ดูแล้ว ก็น่าจะเป็นแบบแรกมากกว่า 

    หวังเยว่ซินไม่สามารถใส่ดอกไม้ดอกนี้ลงในแจกันได้ เพราะตัวมันดึงดูดความสนใจไปจนหมดทำให้ดอกไม้ดอกอื่นดูหมอง อีกอย่างคือ... ดอกมันใหญ่เกินกว่าจะอยู่ในแจกันได้ 

    ชายหนุ่มผู้ครอบครองความงามเหนือกว่าใครถอนหายใจเสียงเบา ก่อนจะตัดสินใจตัดตัวก้านของดอกไม้ออกจนเหลือเพียงดอก ค่อยๆ ดึงกลีบดอกทั้งหมดออกอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหาย เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ ก็นำกลีบดอกและเกสรวางลงในทรายดูดความชื้น 

    ที่เหลือก็แค่รอให้แห้ง...

     ดวงตาคู่งามมองออกไปนอกหน้าต่าง พายุที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อากาศตอนเช้าที่ควรจะสดใสเริ่มขุ่นมัวลง แสงแดดตอนเช้าถูกเมฆเคลื่อนเข้าบดบังจนหายไปหมด ราวกับตอนนี้กำลังจะตกเย็นไม่มีผิด

     อุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วบวกกับความชื้นในอากาศทำให้คนที่ชอบอากาศหนาวรู้สึกสบายตัว จนอารมณ์ที่ไม่ดีเพราะเจอคนที่ไม่ชอบเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย 

    เสียงของฝนที่กระทบหลังคาและเสียงของลมที่กระแทกกับหน้าต่างอาจจะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่พึ่งมาอยู่ใหม่ๆ ได้ แต่กับหวังเยว่ซินที่อยู่ในอารามแห่งนี้มานาน ตัวเขาไม่ได้มีแม้แต่ความหวาดระแวงว่าหน้าต่างจะพังเลยสักนิด

    อารามแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาที่สูงที่สุดในกุ้งหลิน เวลาที่เกิดพายุนอกฤดูเหมือนอย่างตอนนี้ แน่นอนว่าต้องรุนแรงกว่าในเมืองมาก แต่เหตุผลที่ทำให้หวังเยว่ซินไม่กลัว  

    เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก บวกกับตัวเขาเองก็ไม่ได้โง่ขนาดมองไม่ออกว่าทำไมอาจารย์ถึงได้เลือกภูเขานี้เป็นที่ตั้งอาราม

    คนสมัยก่อน มักจะมีความเชื่อที่ว่า ภูเขาทุกลูกมีเทพปกป้องคุ้มครองอยู่ เวลาที่พวกเขาจะขึ้นไปหาของป่าบนภูเขา ก็มักจะมีการทำพิธีตามความเชื่อ เพื่อให้เทพที่อยู่บนภูเขารับรู้ 

    ถ้าหากให้พูดตามสิ่งที่เคยเจอมา หวังเยว่ซินกล้าพูดเลยว่า สิ่งที่เรียกว่า เทพภูเขาน่ะ ไม่มีอยู่จริงหรอก มันก็เป็นเพียงสิ่งที่คนพวกนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุนความตั้งใจของตัวเองและที่พึ่งหาทางจิตใจ

    บ้างก็เชื่อว่าถ้าทำแล้วจะได้รับการปกป้อง ปลอดภัยจากการเดินเขา ทั้งๆ ที่ถ้าหากมองกันตามความจริง การที่คนๆ นั้นรอดออกมาจากภูเขาได้ก็เพราะความชำนาญของเขาเองทั้งนั้น 

    แต่ก็นะ ต้องขอบคุณคนสมัยก่อนที่มีความเชื่อแบบนี้ ทำให้พอเวลาผ่านไป ความ ศรัทธาที่มาจากจิตของผู้คนมากมาย ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า เทพภูเขาขึ้นมาจริงๆ 

    มันไม่ได้มีความนึกคิดหรือสติปัญญา เป็นเพียงก้อนพลังวิญญาณที่เกิดจากแรงศรัทธาของผู้คน หน้าที่ของมันก็มีเพียงการปกป้องภูเขาที่มันอยู่เท่านั้น ไม่ได้สร้างอันตรายอะไร 

    ในภูเขานี้เองก็มีเทพแบบนั้นดูแลอยู่ แถมยังเป็นพวกที่ทรงพลังเอาเรื่อง ขอเพียงแค่ไม่ใช่ระดับราชาผีหรือว่ายมทูตเข้ามา มันก็สามารถป้องกันได้หมด นั้นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมภายในภูเขาถึงได้มีวิญญาณน้อยมากๆ 

    ทางเดียวที่วิญญาณจะเข้ามาได้ ก็คือการได้รับอนุญาตจากเจ้าของอาราม หรือไม่ ก็ได้รับเครื่องรางจากพวกลูกศิษย์ ซึ่งเป็นอะไรที่หวังเยว่ซินไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เพราะลูกศิษย์ที่นี่ส่วนใหญ่มีแค่พวกใจดีไม่เข้าเรื่อง ชอบพาวิญญาณเข้ามาในอารามทั้งๆ ที่ไม่ได้ญาติหรือแม้แต่คนที่ตัวเองรู้จัก 

    บางครั้งยังมีพวกวิญญาณแฝงตัวเข้ามาอีก มันทำให้สัมผัสอันตรายของเขาร้องเตือนไม่หยุดจนนอนไม่หลับ สุดท้ายหวังเยว่ซินก็ต้องลำบากลงไปจัดการเอง  เพราะว่าอาจารย์ไม่อยู่ 

    วางใจได้เลย ต่อให้พายุจะรุนแรงแค่ไหน ขอเพียงไม่ออกไปข้างนอก ก็ไม่มีทางเกิดอันตราย

    อุณหภูมิที่ลดต่ำลงและความชื้นในอากาศที่มากกว่าปกติ ทำให้คนที่ชื่นชอบอากาศเย็นๆ รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคมจ้องมองกล่องที่วางเอาไว้บนพื้นห้อง ใบหน้างดงามฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย 

    สำรวจกล่องนี้เสร็จค่อยไปนอนแล้วกัน....

    มืองามออกแรงยกกล่องขึ้นบนโต๊ะ น้ำหนักของมันไม่ได้มาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าน้อย ดูเหมือนอาจารย์เองก็ทำความสะอาดมาแล้ว เพราะไม่มีดินติดมาด้วยเลย 

    แน่ล่ะ ถ้าเขากล้าเอาดินเข้ามาในบ้านหลังนี้ อาจารย์จะไม่ได้โดนแค่ไล่ออกไปเฉยๆ อย่างแน่นอน

    ถึงหวังเยว่ซินจะไม่ใช่คนทำความสะอาด แต่เขาก็ไม่ได้ชื่นชอบเวลาที่พื้นบ้านของตัวเองเปื้อนหรอกนะ 

    นิ้วเรียวยาวแตะลงไปที่ตัวกระดาษยันต์ซึ่งปิดปากกล่องเอาไว้แน่น คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากันในทันทีเมื่อรู้สึกถึงแรงดีดเบาๆ คล้ายกับไฟสถิตที่เกิดขึ้นบนปลายนิ้ว 

    ยันต์กำลังปฏิเสธเขางั้นเหรอ

    สิ่งของต่างๆ ที่นักพรตใช้กัน มักจะเป็นของวิเศษที่มีพลังวิญญาณประกอบอยู่ เพราะว่ามันสามารถสร้างอันตรายให้กับสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในโลกคนเป็นได้

     ทั้งยันต์คาถา เครื่องรางของขลัง และสารพัดสิ่งต่างๆ ที่มีความสามารถในการไล่วิญญาณได้ โดยปกติก็จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่ทั้งหมด 

    ถามว่าทำไมมันถึงสามารถไล่วิญญาณได้ ทั้งๆ ที่วิญญาณเกือบทั้งหมดล้วนต้องการพลังวิญญาณเพื่อให้ตัวเองมีพลังแข็งแกร่งมากขึ้นจนถึงขนาดที่สามารถสร้างตัวตนให้คนเป็นเห็นขึ้นมาได้ 

    นั้นก็เพราะว่า พลังวิญญาณที่ใส่ลงไปในของต่างๆ มันไม่ใช่พลังวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เป็นพลังวิญญาณที่แฝงมนต์ดำเข้าไปนิดหน่อย เพื่อทำให้พวกวิญญาณไม่ชอบและสามารถส่งพวกเขาไปเกิดได้โดยไม่ทำให้เจ็บปวดมากนัก 

    ในยุคสมัยนี้ มนต์ดำไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายอีกแล้วล่ะนะ...

     เพียงแต่หวังเยว่ซินทำแบบนั้นไม่ได้ ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทุกครั้งที่พยายามจะเรียนรู้หรือมนต์ดำ ร่างกายก็มักจะเกิดอาการคลื่นไส้ จากนั้นก็จะอาเจียน หรือไม่ก็ล้มป่วย 

    แน่นอนว่าหวังเยว่ซินรู้ ว่ามันคือสัญญาณที่บอกว่าร่างกายกำลังปฏิเสธ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือ ทำไมตัวเขาถึงใช้มนต์ดำไม่ได้ 

    ถ้าหากการมีพลังวิญญาณหมายถึงการมีบุญมาจากชาติก่อน การใช้มนต์ดำก็คือการมีบาปจากชาติก่อนเช่นกัน 

    มนุษย์ทุกคนมีบาปอยู่ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำผิดเล็กๆ น้อยๆ แค่ไหน ก็ล้วนถูกนับเป็นบาป ไม่เกี่ยวเลยว่าตอนนั้นคนที่สร้างจะทำเพราะเหตุผลอะไร 

    เพราะในท้ายที่สุด เมื่อขึ้นไปถึงการตัดสินเพื่อเกิดใหม่ พวกยมทูตก็ล้วนตัดสินเอาจากสิ่งที่ผิดเท่านั้น พวกเขาไม่ได้สนใจจะถามหรอก ว่าทำไปเพื่ออะไร 

    จริงอยู่ที่ว่าหวังเยว่เป็นพวกหลงตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดีขนาดที่จะไม่มีบาปติดตัว

     แต่เอาเถอะ หวังเยว่ซินก็ขี้เกียจเกินกว่าจะหาเหตุผลแล้ว การไม่ใช่มนต์ดำก็ไม่ได้แย่ อย่างน้อยมันก็ทำให้ยันต์ของเขา สร้างความเจ็บปวดให้วิญญาณได้ยันชาติหน้าเลย...

     ดวงตาคมสีฟ้าใสจ้องมองยันต์เก่าแก่ที่อยู่บนกล่องด้วยสายตาครุ่นคิด ดูยังไงก็ไม่มีทางเป็นของที่สร้างขึ้นจากมนต์ดำแน่ๆ แล้วทำไมถึงได้ต่อต้านเขาที่มีพลังวิญญาณแบบเดียวกันล่ะ...

    คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกคุ้นเคยกับสัมผัสบนปลายนิ้ว แต่เพื่อความแน่ใจ หวังเยว่ซินจึงยกมือขึ้นสัมผัสกับยันต์อีกครั้ง ไฟฟ้าสถิตยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิม แต่รอบนี้ ที่ปรึกษารูปงามรู้เหตุผลแล้ว ว่าเป็นเพราะอะไร 

    ยันต์นี่... ไม่ได้ใช้กระดาษในการเขียน แต่เป็น... หนังของมนุษย์..

    ก็ไม่แปลกเลยว่าทำไมเขาถึงสัมผัสมันไม่ได้ ร่างกายของหวังเยว่ซินบริสุทธิ์มาก มากในแบบที่วิญญาณร้ายยังไม่กล้าแตะต้องตัวเขาเลย การใช้หนังมนุษย์มาทำเป็นยันต์ผนึกไว้แบบนี้...

     ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่เรื่องดีเลย..

    รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเจ้าของเก่าของกล่องนี้เป็นใคร แต่ว่าตอนนี้มันตกเป็นของเขาแล้ว คิดว่าแค่ยันต์หนังมนุษย์เท่านี้ จะสามารถขัดขวางเขาได้เหรอ!

    หวังเยว่ซินลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องทำงาน

    ในยุคจีนโบราณ นักพรตมักจะเป็นตัวตนที่เรียกได้ว่า อันตรายและน่าหวาดกลัวต่อคนธรรมดา เพราะความเชื่อที่แตกต่าง และมุมมองที่ไม่เหมือนกัน นำไปสู่การเข่นฆ่าจนสายโลหิตท้วมแผ่นดิน

    ไม่แน่ว่าความนิยมของหนังมนุษย์อาจจะเริ่มขึ้นจากตรงนั้นแล้วก็ได้ เพราะว่ามีศพเยอะ ยังไงก็ต้องมีสักคนที่รู้สึกสงสัยและตั้งถามขึ้นมาว่า

    ถ้าหากเอาหนังมนุษย์ไปสร้างยันต์ได้ ผลที่ออกมาจะเป็นยังไงนะ..

    หวังเยว่ซินก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนัก เขารู้แต่ว่า เหตุผลที่สร้างกระดาษจากหนังของมนุษย์ขึ้นมา ก็เพราะความเชื่อโง่ๆ ที่บอกว่ามันจะผนึกวิญญาณเอาไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิดได้

    ที่ปรึกษาคนงามไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมคนสมัยนั้นถึงมีความคิดแบบนั้นได้ วิญญาณคนตายก็คือสิ่งที่ไม่ควรจะอยู่ในโลกของคนเป็น 

    ต่อให้จะพยายามมากขนาดไหน ในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้หรอก 

    เว้นแต่จะเป็นราชาผีน่ะนะ..

    มือบางเอื้อมไปหยิบของบางอย่างที่ถูกผ้าขาวคลุมไว้อย่างมิดชิด จนไม่เห็นแม้แต่เศษเสี้ยวของมัน ขายาวก้าวกลับไปที่ห้องรับแขก ก่อนจะหยิบของที่ต้องการออกมาจากห่อผ้าสีขาว 

    มีดพกสีขาวปลอกราวกับทำมาจากกระดูกของสัตว์ป่า ขนาดที่กำลังพอดีมือและอักษรบนใบมีดที่คล้ายกับที่สลัก อยู่บนแส้ประจำตัวของที่ปรึกษาคนงาม เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างดีว่าใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา  

    หวังเยว่ซินถือมีดไว้ในมือแบบหลวมๆ ดวงตาคมคู่งามกวาดมองไปทั่วกล่อง ก่อนจะตวัดปลายมีดลงไปที่ในตำแหน่งที่คิดว่าน่าจะบอบบางที่สุด

    ทั้งๆ ที่ตัวมีดดูไม่มีความคม แต่ด้วยแรงตวัดเบาๆ จากข้อมือบอบบาง กลับสามารถทำลายสนิมที่เกาะแน่นในจุดนั้นออกได้

    ชายหนุ่มผู้ครอบครองความงามเหนือกว่าใคร เอียงคอมองสนิมที่หลุดออกมาด้วยความสงสัย 

    เมื่อกี้นี้ หวังเยว่ซินไม่ได้ต้องการจะทำลายสนิม แต่เขาต้องการจะทำลายยันต์ที่ปิดไว้ต่างหาก ทำไมถึงไปโดนสนิทที่อยู่ข้างๆ แทนได้ล่ะ 

    เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังออกมาจากริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อ มือที่งามราวกับหยกออกแรงกระชับด้ามมีดเอาไว้มากกว่าเดิม

    ดูเหมือนจะต้องเหนื่อยกว่าที่คิด...

    30 นาทีผ่านไป 

    “แฮ่ก... สาบานเลย ถ้าได้เจอคนที่สร้างยันต์บ้าๆ นี้ขึ้นมา จะฉีกวิญญาณของมันออกเป็นชิ้นๆ!” หวังเยว่ซินหอบหายใจเสียงเบา รอบตัวของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยคราบของสนิมที่หลุดออกมาจากรอบตัวกล่อง และเศษซากของยันต์หนังมนุษย์ที่ถูกหันออกเป็นชิ้นๆ

     มือขาวเนียนมีรอยแดงขึ้นมาเล็กน้อย จากการที่ต้องออกแรงจับมีดนานๆ รอบกรอบหน้างาม ผุดเม็ดเหงื่อขึ้นมาเล็กน้อย 

    มีดที่หวังเยว่ซินใช้ เป็นของวิเศษที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ความสามารถของมันคือการฟันทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะของธรรมดาหรือว่าวิญญาณคนตาย แต่เพราะถูกสร้างมาจากกระดูกของยมทูต เวลาใช้ก็เลยกินพลังวิญญาณเยอะเอาเรื่อง..

    อะไรเหรอ... สงสัยเรื่องกระดูกยมทูต อ่อ... ตอนนั้นมันเกิดเรื่องเข้าใจผิดกันขึ้นมานิดหน่อย หวังเยว่ซินก็เลยเชือดยมทูตคนหนึ่งเพื่อเป็นการรับคำขอโทษ

    แล้วไหนๆ มันก็กลายเป็นแค่โครงกระดูกไร้ประโยชน์ไปแล้ว หวังเยว่ซินก็เลยเก็บส่วนกระดูกแขนมาสร้างเป็นมีดเล่มนี้ขึ้นมา

    ดวงตาคมสีฟ้าใสจ้องมองกล่องเหล็กเก่าๆ ที่ตอนนี้สนิมหายไปจนเกือบหมด ด้วยสายตาที่ไม่พอใจนัก จากกล่องเหล็กสกปรก กลายเป็นกล่องเหล็กสีเงินคล้ำๆ ที่เต็มไปด้วยตัวอักษรจีนโบราณมากมายไปแล้ว  

    ผ้าเช็ดหน้าที่ปักด้วยลายดอกโบตั๋นถูกยกขึ้นมาจับเหงื่อเบาๆ ขนาดตอนลงจากภูเขา เขายังไม่เหงื่อออกขนาดนี้เลย..

    พอใช้พลังวิญญาณเยอะๆ แล้วมันเหนื่อย เหงื่อก็จะออก และเมื่อเหงื่อออก เขาก็จะไม่สบายตัว ตอนนอนก็คงต้องเสียเวลาไปอาบน้ำอีกรอบอีก...

    หวังเยว่ซินพยายามมองข้างความไม่พอใจและความคิดที่จะโยนกล่องนี้ทิ้ง มือบางยกขึ้นสัมผัสกับตัวกล่องเบาๆ ตอนแรกเพราะว่ามีสนิมบังอยู่ ทำให้เขาอ่านตัวอักษรไม่ชัด แต่ตอนนี้คราบสนิมทั้งหมดถูกกำจัดไปแล้ว หวังเยว่ซินจึงมองเห็นทุกอย่างที่เขียนเอาไว้

    “เฟยหนิงเทียน... องค์ชายผู้ก่อบาปอย่างไม่น่าให้อภัย การกระทำของเขาทำให้ประชาชนทั่วแคว้นต้องเผชิญกับหน้าสงครามที่รุนแรง พราดชีวิตของผู้คนนับแสน สมควรถูกจองจำเอาไว้ตลอดกาล...” หวังเยว่ซินจ้องมองคำด่าทอมากมายที่ถูกเขียนทับลงบนชื่อของคนที่น่าจะเป็นเจ้าของกล่องนี้ 

    ดูแล้ว.....น่าจะเป็นองค์ชายที่ไม่ได้เป็นที่รักของประชาชนเลยสินะ

    เฟยหนิงเทียน ทำไม.....ถึงได้รู้สึก...เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนเลย 

    หวังเยว่ซินส่ายหัวไปมา เพื่อไล่ความสงสัยที่ตัวเขารู้ดีว่า ไม่มีทางหาคำตอบเจอออกไปจากหัว ปลายนิ้วเรียวแตะลงที่ฝากล่อง และออกแรงเปิดออกอย่างช้าๆ 

    สิ่งที่อยู่ข้างในทำให้รูม่านตาสีฟ้าอ่อนหดลงในทันที

    กะโหลกศีรษะของคนๆ หนึ่งนอนนิ่งอยู่ภายในกล่อง มันไม่ได้ต่างอะไรจากโครงกระดูกทั่วไปนัก ไม่มีดวงตา ไม่มีใบหน้า ไม่มีลิ้น และไม่มีผิวหนัง เป็นเพียงกระดูกสีขาวที่เชื่อมกับกระดูกคอซึ่งมีรอยตัด

    แต่สิ่งที่แตกต่างจากโครงกระดูกทั่วไปก็คือ  เส้นผมยาวสีเงินที่ติดอยู่กับกะโหลกข้างหลัง มันทั้งยาวและหนาในแบบที่คิดไม่ถึงเลยโครงกระดูกคนหนึ่งจะมีผมที่สวยได้ขนาดนี้ 

    มือผอมบางทั้งสองข้างจับเข้าที่สันกราม ก่อนจะยกหัวกะโหลกนั้นขึ้นสุดแขนโดยไม่มีท่าทางขยะแขยงเหมือนปกติ กลับกัน ท่าทางของจับของหวังเยว่ซินกับดูทะนุถนอมในแบบที่ตัวเองยังไม่รู้ตัว

    หัวกะโหลงนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าพันปี แต่กลับยังคงสภาพเดิมเอาไว้ได้ ไม่มีส่วนไหนที่หายไปเลย ข้างในก็ไม่มีกลิ่นเหม็นหรือฝุ่นอะไร ชัดเจนแล้วว่าหวังเยว่ซินเป็นคนแรกจริงๆ ที่เปิดกล่องนี้ออกมาหลังจากที่มันถูกปิดผนึก

    ดวงตาคมสีฟ้าใสสะท้อนภาพของหัวกะโหลงบนฝ่ามือ เส้นผมสีเงินที่ตกลงโดนใบหน้าสร้างความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก 

    จู่ๆ หยาดน้ำก็ปรากฏภายในดวงตาคู่งาม ค่อยๆ ไหลผ่านแนวขนตาหนา ลงมาอาบแก้มขาวและสิ้นสุดที่ปลายคาง...

    หวังเยว่ซิน...ผู้ที่ไม่เคยแยแสต่อทั้งคนเป็นและคนตาย กำลังหลั่งน้ำตาให้กับหัวกะโหลกแปลกหน้าที่เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่เจออีกฝ่ายมาก่อน 

    แต่ทำไม...ทำไมถึงได้เศร้าใจขนาดนี้กัน..

    “อยู่ในกล่องแคบๆ มืดๆ แบบนั้น มาเป็นพันปี คงเหงาและอึดอัดมากสินะ...”

    ‘ไม่เลย เพราะข้ารู้ว่าองค์ชายจะหาข้าเจอ แม้ว่าจะต้องรอเป็นพันปีก็ตาม’ 

    ใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนซบลงบนแผ่นหลังบาง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน ไม่มีทางมองเห็น และไม่มีทางสัมผัสเขาได้ แต่เฟยหนิงเทียนก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นต้องหม่นหมองเพราะความเศร้าเลย

    .......................................

    อะๆ คนนี้ใช่พระเอกไหมนะ5555

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิด

    จริงๆ แค่ 14 หน้ากำลังดีเลย55555

    อย่าลืมคอนเมนต์และกดเลิฟให้ไรท์ด้วยนะคะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×