ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำของดวงจันทร์และดอกโบตั๋น#ภรรยาโปรดวางแส้ลงก่อน

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 67


    แสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านหน้าต่าง เข้ามากระทบกับใบหน้างดงามของชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียงนุ่ม คิ้วสวยได้รูปค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันอย่างช้า ๆ ขนตางอนยาวเริ่มขยับไปมา ก่อนที่เปลือกตาขาวเนียนจะเปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าใสราวกับผลึกแก้วที่ยังติดแววง่วงงุงเล็กน้อย

    ร่างโปร่งลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยอยากหาได้ยาก มืองามยกขึ้นสางผมที่ตกลงมาปิดหน้าออก ภายในดวงตาคู่งามสะท้อนภาพของผ้าห่มบนตัว

    ตอนที่ใกล้จะหลับ ต่อให้สติจะเริ่มพร่ามัวแค่ไหน แต่หวังเยว่ซินก็จำได้ว่าตัวเองไม่ได้ห่มผ้า

    ดูแล้วคงเป็นฝีมือของอะไรสักอย่างที่วนเวียนอยู่รอบตัวเขา

    ที่ปรึกษารูปงามนั่งเล่นอยู่บนเตียงไปอีกสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กี่เพ้าสีดำที่ปักด้วยลายของดอกโบตั๋นสีทองถูกหยิบขึ้นมาสวม ตามมาด้วยกางเกงสีดำแบบเดียวกัน

    วันนี้มีลมที่แรงกว่าปกติ ที่ติดผมรูปดอกโบตั๋นสีทองจึงถูกติดเอาไว้ข้างศีรษะอย่างหาได้ยาก ประกายที่เกิดขึ้นเมื่อแสงแดดตกกระทบบ่งบอกได้อย่างดีว่าสร้างขึ้นมาจากทองคำแท้

    เวลาออกไปทำสวนข้างนอก ผมจะได้ไม่ปลิวมาโดนตา

    หลังจากตรวจดูความเรียบร้อยทุกอย่างเสร็จ หวังเยว่ซินก็ก้าวออกจากห้องแต่งตัว ทานอาหารเช้าแบบจีนโบราณที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคน จากนั้นก็เดินออกมาดูแลสวนดอกไม้ที่เขาเป็นคนปลูก

    ไม่มีความจำเป็นอะไรที่หวังเยว่ซินจะต้องทำความสะอาดหรือดูแลบ้าน เพราะว่าตั้งแต่ย้ายมาอยู่อารามนี้ตอนที่อายุ 6 ขวบ บ้านของเขาก็ไม่เคยสกปรกเลยสักครั้ง

    ไม่สิ... สมัยที่ยังเป็นคุณชายหวัง ห้องหวังเยว่ซินก็ไม่เคยสกปรกเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าเป็นคนใช้ที่มาทำความสะอาดให้ก็เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่ตอนหลังๆ ที่ไม่มีใครสนใจจะดูแลเขาแล้ว ห้องก็ยังสะอาดเหมือนเดิม

    ทันทีที่มีเศษฝุ่นตกลงมา มันจะหายไปก่อนที่จะสัมผัสพื้นห้อง ของทุกอย่างบ้านจะถูกวางเอาไว้ในที่เดิม ถ้าหากว่าถูกย้าย เช้าวันต่อมามันก็จะกลับมาอยู่ที่เดิม เศษขยะต่างๆ ในถังจะหายไปก่อนที่จะถูกนำไปทิ้ง เสื้อผ้าที่วางไว้ในตะกร้ารอซัก มักจะถูกซักและตากจนสะอาดไว้ก่อนเสมอ ถ้าหากว่าไม่ยอมเก็บเข้าตู้เอง วันต่อมาเสื้อผ้าพวกนั้นก็จะกลับเข้าไปอยู่ในตู้อยู่ดี

    นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าลูกศิษย์จึงไม่ค่อยเห็นท่านที่ปรึกษาคนงามออกมาจากบ้านเท่าไหร่ เพราะตัวเขาไม่มีความจำเป็นต้องไปไหนเลย

    จะบอกว่าชีวิตของหวังเยว่ซินถูกดูแลอย่างดีมาตลอดก็ไม่ผิดนัก ทุกวันนี้นอกจากการทำสวน ปักผ้า เขียนยันต์ สร้างของวิเศษ และรับงานที่อยากรับแล้ว หวังเยว่ซินก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรอีกเลย

    ซึ่งนั้นก็ถือเป็นเรื่องดี

    ที่ปรึกษารูปงามไม่สนใจจะหาคำตอบที่ว่าใครหรืออะไรทำทุกอย่างนี้หรอก

    ถ้าหากคำตอบ เป็นการทำให้สิ่งนั้นหายไป หวังเยว่ซินก็ต้องลำบากหาอาหารกินเอง ซักผ้าเอง ทำความสะอาดเอง และล้างจานเองสิ

    ชีวิตเขาต้องการความสบาย ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องห่วง ต่อให้จะมองไม่เห็น แค่หวังเยว่ซินก็รับรู้ถึงสิ่งนั้นได้ตั้งแต่ตอนลืมตาดูโลกครั้งแรก ถ้าหากมันเป็นอันตรายจริงๆ มีเหรอที่เด็กทารกคนนั้นจะโตมาเป็นคนงามได้จนถึงวันนี้

    ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงเลย..

    มือเรียวยาววางตะเกียบลงเมื่อทานไปจนอิ่ม แม้ว่าจะกินอาหารพวกนี้มานาน แต่หวังเยว่ซินก็ไม่เคยเบื่อ เพราะว่าใครหรืออะไรก็ตามที่ทำอาหารให้เขา มักจะทำการเปลี่ยนเมนูอาหารไปเรื่อยๆ ราวกับกำลังทดสอบว่าตัวเองทำอาหารจานไหนอร่อยที่สุด

    และถึงแม้จะทำอาหารมามากมาย แต่ก็ไม่เคยจานที่ทำให้เขาเกิดอาการแพ้

    ความลับที่หวังเยว่ซินไม่เคยบอกให้ใครรู้ ก็คือตัวเขาเป็นคนที่แพ้อาหารเยอะมาก ทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ นมวัว ถั่วเหลือง และข้าว

    เป็นอาการแพ้อาหารซึ่งเกิดจากผลกระทบของพลังวิญญาณที่มีมากเกินไปมาตั้งแต่เกิด เพราะแบบนี้เวลาที่ต้องกินอาหารข้างนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังเยว่ซินจึงมักจะมีคำสั่งต่อร้านอาหารที่ยุ่งยากกว่าคนอื่น

    ซึ่งดูเหมือนว่าอะไรสักอย่างที่ทำให้อาหารเช้า เที่ยง เย็นให้เขามาตลอดจะรับรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี จึงไม่มีเลยสักครั้งที่หวังเยว่ซินจะแพ้อาหารพวกนี้

    ทันทีที่แผ่นหลังของที่ปรึกษาคนงามเดินหายไปจากห้อง อาหารมากมายที่เหลืออยู่บนโต๊ะก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

    เท้าสวยได้รูปภายในถุงเท้าหนาก้าวตรงไปที่สวนข้างหลัง แต่เมื่อเปิดประตูหลังบ้านออก คิ้วงามก็ต้องขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดกับลมแรงๆ ที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้า

    ดอกไม้สวยๆ ที่พึ่งจะบานได้ไม่นานเริ่มหลุดร่วง บางดอกที่มีขนาดใหญ่เพราะถูกดูแลเรื่องสารอาหารอย่างดีแทบจะหักลงจากต้น ในขณะที่กิ่งบางกิ่งที่หวังเยว่ซินจงใจปล่อยเอาไว้เพราะต้องการให้มีดอกไม้ก็หักลงจากต้นไปเรียบร้อย

    ลมหายใจที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดถูกพ้นออกมาจากริมฝีปากบาง ดวงตาสีฟ้าใสเงยหน้ามองฟ้า ดูเหมือนพายุกำลังจะเข้าในเร็ววันนี้

    ที่ปรึกษารูปงานก้าวลงไปที่สวนโดยไม่สนใจว่าถุงเท้าตัวเองจะเปื้อนรึเปล่า เสียงของศิษย์คนอื่นที่ลอยมาตามลมทำให้รู้ได้ไม่ยากเลยว่าลมแรงๆ พวกนี้สร้างความเสียหายให้ทุกคนมากขนาดไหน

    กรรไกรตัดกิ่งถูกนำมาตัดกิ่งที่ยาวออกมาจากต้นเกินไป ตามมาด้วยดอกไม้ทั้งหมดบนต้น ทั้งดอกตูมและดอกที่กำลังเริ่มบาน ไม้ไผ่ที่เตรียมเอาไว้ถูกนำมาเสียบลงในดิน ให้ลึกจนแน่ใจว่าจะไม่หลุดลอยออกไป จากนั้นก็นำเชือกมาผูกลำต้นของต้นโบตั๋นเอาไว้กับไม้ไผ่เพื่อป้องกันไม่ให้หักจากลมแรงๆ ของพายุ

    แม้จะทำอย่างรีบร้อน แต่ก็ยังคงความละเอียดอ่อนเอาไว้ไม่ขาด บ่งบอกได้อย่างดีเลยว่า ชายหนุ่มผู้ครอบครองความงามที่เหนือกว่าใครคนนี้ รักสวนดอกโบตั๋นที่เขาปลูกเองกับมือมากขนาดไหน

    กว่าทุกอย่างจะเสร็จจนแน่ใจว่าต้นไม้จะไม่มีทางหักเพราะลม ก็ใช้เวลาเกือบ 30 นาที หวังเยว่ซินก้าวขากลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยดอกโบตั๋นจำนวนมากที่ตัดออกมา

    ดวงตาคมสีฟ้าใสก้มมองสภาพของตัวเองด้วยสายตาปลงๆ

    เพราะว่าเอาแต่สนใจต้นไม้ แถมฝนก็เริ่มตกลงมาไม่หยุด สภาพของที่ปรึกษาเพียงคนเดียวของอารามจึงไม่ได้สมบูรณ์เหมือนปกติ เส้นผมสีดำขลับเปียกชื้นไปด้วยละอองจากน้ำฝน เสื้อผ้าตั้งแต่ส่วนเอวลงมาเปื้อนไปด้วยดินและโคลนตมจากสวน บางจุดก็ยังเศษหญ้าติดมาด้วยซ้ำ

    แต่แม้จะอยู่ในสภาพนี้ หวังเยว่ซินก็ยังคงงดงาม

    เขาล่ะเกลียดพายุจริงๆ ..

    หลังจากใช้เวลาในห้องน้ำกว่า 10 นาทีเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองสะอาดจริงๆ หวังเยว่ซินก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะรองในห้องรับแขกในชุดกี่เพ้าสีเดิม ต่างกันแค่ลายที่เป็นดอกโบตั๋นสีเงินเท่านั้น

    ห้องนี้เป็นห้องเดียวในบ้านที่ไม่มีโต๊ะแบบสูงและเก้าอี้อยู่ แต่จะเปลี่ยนเป็นโต๊ะเตี้ยๆ และเบาะรองนั่งนุ่มๆ แทน เนื่องจากแขกส่วนใหญ่ที่มาที่นี่มักจะไม่ค่อยสะดวกนั่งโต๊ะเท่าไหร่

    บางคนไม่มีขา บางคนไม่มีท่อนล่างมีแต่ลำไส้ และบางคนก็ไม่มีสติมาพอที่จะขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ด้วย

    ซึ่งหวังเยว่ซินก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร ดีซะอีก เพราะเวลาไม่มีแขก ตัวเขามักจะชอบใช้ห้องนี้ในการจัดดอกไม้ปริมาณมากๆ แบบวันนี้

    ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่หวังเยว่ซินรู้สึกชอบการนั่งจัดดอกไม้แบบนี้มากกว่าการนั่งบนเก้าอี้ปกติ ทั้งๆ ที่ถ้าหากนับกันจริงๆ การนั่งบนเก้าอี้ย่อมสบายกว่า

    แต่ปกติจะขี้เกียจมากกว่า เพราะว่าดอกไม้ที่เขาจัดในแต่ละวันมันไม่ได้เยอะขนาดที่ต้องให้จัดนานอะไร จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเปิดห้องนี้ แต่ครั้งนี้คงเป็นข้อยกเว้น 

    มืองามจับดอกไม้ที่อยู่ใกล้มือที่สุดออกมา แต่ยังไม่ทันที่ปลายกรรไกรจะแตะโดนตัวก้าน คิ้วสวยได้รูปก็ต้องขมวดเข้าหากันอีกครั้งเมื่อได้ยินฝีเท้าที่เข้ามาใกล้

    คนที่กล้าเข้ามาในบ้านของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต.. ก็มีเพียงแค่คนเดียว

    “มีธุระอะไรกับผมครับ อาจารย์” หวังเยว่ซินเอ่ยออกมาทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก โดยฝีมือของแขกไม่ได้รับเชิญ

    ชายวัยกลางคนที่ผมยังคงดกดำ รูปร่างสูงใหญ่ต่างกับนักพรตทั่วไป ใบหน้าแม้จะเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา แต่ก็ยังคงความเหล่าหล่อเอาไว้ไม่สาง ชุดนักพรตสีเหลืองอ่อนขับให้บรรยากาศรอบตัวของเขามีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น

    รอยยิ้มเปื้อนใบหน้าพร้อมกับหางตาที่ตกลงทำให้อีกฝ่ายดูเป็นคุณลุงเพื่อนบ้านแสนใจดีที่พร้อมจะช่วยเหลือทุกคนที่เข้ามาร้องขอ น้ำเสียงนุ่มละมุนหูช่วยให้ทุกคนที่รู้สึกแตกตื่นสงบลงได้ไม่ยากนัก

    ลู่หวังเหล่ย อาจารย์เพียงคนเดียวในอาราม ควบตำแหน่งเจ้าของอารามด้วย

    “หวังเยว่ซิน อาจารย์รู้ว่าเจ้าไม่พอใจกับงาน แต่ถึงขนาดที่ต้องส่งนกเชิญวิญญาณมาหาอาจารย์เลยเหรอ รู้ทั้งรู้ว่าในตอนนั้นอาจารย์กำลังทำงานใหญ่ รู้ไหมว่าอาจารย์เกือบตายเลยนะ!” ชายวัยกลางคนทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะรองที่ว่างอยู่โดยคิดจะรอคำเชิญ

    ลู่หวังเหล่ยรู้ดีว่าหวังเยว่ซินไม่มีทางเชิญแขกนั่งด้วยตัวเองหรอก ยิ่งแขกเป็นเขา เจ้าเด็กนี่คงอยากจะไล่ออกไปมากกว่า

    ในฐานะของคนที่เลี้ยงดูหวังเยว่ซินมาตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายมาอยู่ที่อาราม ลู่หวังเหล่ยรู้ซึ้งถึงนิสัยเลือดเย็นขัดกับหน้าตาของอีกฝ่ายดี

    ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก หวังเยว่ซินไม่เคยให้ความสนใจกับของเล่น เพื่อน หรือแม้แต่พ่อแม่แท้ๆ ของเขา ทำราวกับทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเพียงภาพที่ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ และไม่มีคุณค่าให้สนใจ

    ในอดีต ลู่หวังเหล่ยเลยคิดว่ามันเป็นเพราะการเลี้ยงดูจากตระกูลใหญ่หรือไม่ก็เพราะพลังวิญญาณที่มากมาตั้งแต่เกิดทำให้เด็กน้อยได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน ถ้าหากพยายามหน่อยก็คงสามารถดัดนิสัยและสอนวิธีควบคุมการรับรู้ทางวิญญาณของหวังเยว่ซินได้ นิสัยจะได้ดีขึ้น อย่างน้อยก็ดูเป็นเด็กปกติสักที

    แต่ว่า...เขาคิดผิด แม้ว่าหวังเยว่ซินจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็วแค่ไหน อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนแปลงนิสัยเลือดเย็นของตัวเองเลย

    ครั้งแรกที่ลู่หวังเหล่ยพาเขาลงจากอารามเพื่อไปลองทำงานจริงๆ ดู เผื่อว่าคำขอบคุณจากผู้ว่าจ้างจะทำให้เด็กน้องมองโลกนี้ในอีกมุมหนึ่งบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ผล หวังเยว่ซินเกือบจะทำลายวิญญาณของเด็กที่สิงไปด้วยซ้ำเพราะรำคาญเสียงร้องของอีกฝ่าย

    วีรกรรมภายในอารามก็มีไม่น้อย ทั้งสมัยที่ยังเป็นศิษย์ที่เคยล็อกประตูห้องพักรวมในวันที่พายุเข้าเพราะไม่อยากฟังเสียงคุยกันของศิษย์คนอื่น ทำให้วันต่อมาทุกคนพากันล้มป่วยจนต้องหยุดการเรียน

    เคยผลักศิษย์พี่ของตัวเองลงจากเขาเพราะขวางทางเดิน เคยทำลายสวนดอกไม้ของศิษย์น้องเพราะอีกฝ่ายดูแลสวนไม่ดีจนทำให้ดินประเด็นเลอะไปถึงห้องพักของเขา และเคยแม้กระทั่งจะฆ่าศิษย์ด้วยกันเองเพราะแค่การเคี้ยวอาหารเสียงดัง

    ไม่ใช่ว่าอาจารย์อย่างเขาไม่พยายามลงโทษนะ แต่เพราะลงโทษไม่ได้ต่างหาก

    ทุกๆ ครั้งที่มีคนสร้างความรำคาญใจหรือทำให้หวังเยว่ซินรู้สึกไม่ดี ต่อให้ตัวคนงามจะไม่ได้สนใจ แต่ชีวิตของคนพวกนั้นก็มักจะถูกอะไรบางอย่างตามลำควานจนไม่สามารถนอนหลับได้

    ทั้งการที่จู่ๆ ก็มีกระถางต้นไม้ตกลงมาจากฟ้าทั้งๆ ที่ไม่มีตึกสูง เดินอยู่ดีๆ ก็สะดุดล้มเหมือนมีคนมาดึงขา ตอนนอนก็รู้สึกอึดอัดเหมือนมีคนมาทับ ไหนจะการฝันร้ายถึงเรื่องราวที่พวกเขาไม่อยากจดจำ ทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างจบลงได้ ก็คือการไปขอโทษหวังเยว่ซินแบบตรงๆ และยอมรับว่าตัวเองทำผิดจากใจจริงเท่านั้น

    มีคนมากมายพยายามต่อต้านสิ่งที่เจอ แต่ท้ายที่สุด สิ่งที่ทุกคนเป็นเหมือนกัน ก็คือการก้มลงไปกราบเท้าของคนงาม พร้อมกับร้องขอการอภัยโทษ

    ขนาดกับลู่หวังเหล่ยที่เป็นถึงผู้มีวิชาสูงสุดในอารามนี้ ยังไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งนั้นที่อยู่ติดกับหวังเยว่ซินได้เลย อย่าได้หวังถึงการลงโทษเลย ถ้าหากเขากล้าสั่งให้หวังเยว่ซินทำความสะอาดพื้นจริงๆ ก็มีโอกาสสูงมากเลยที่อารามจะเกิดไฟไหม้แบบที่เขาไม่รู้ตัว

    นี่แหละเหตุผลที่ว่าทำไมศิษย์คนอื่นๆ ในอารามถึงได้ไม่กล้ามองหน้าที่ปรึกษาคนงามคนนี้ เพราะหากเผลอไปทำให้เขาไม่พอใจ แม้แต่ชีวิตของพวกเขาก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้

    “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่งานท่านเสร็จได้เร็ว” หวังเยว่ซินพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาราวกับความเป็นตายของคนที่เลี้ยงดูเขามาไม่ได้สำคัญเลยสักนิด

    ก่อนวันที่หวังเยว่ซินจะได้รับคำสั่งหนึ่งวัน อาจารย์ได้แจ้งกับเขาแล้วว่าตัวเองจะออกไปทำงานใหญ่กับคนของรัฐบาล อาจจะกลับมาช้าเพราะงานนี้มันหนักมาก เกิดอะไรขึ้นมาก็ให้พยายามแก้ปัญหากันเอาเองไปก่อน

    แค่ฟังก็รู้แล้วว่าวิญญาณที่อาจารย์ออกไปจัดการมันอันตรายขนาดไหน เดิมทีอีกฝ่ายคิดจะพาหวังเยว่ซินไปพร้อมกันด้วยซ้ำ แต่ที่ปรึกษาคนงามปฏิเสธเพราะไม่อยากไป

    ช่างเป็นเหตุผลที่ตรงไปตรงมาเหลือเกิน..

    นกเชิญวิญญาณ เป็นหวังเยว่ซินส่งไปให้กับอาจารย์เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจ ด้วยความที่ว่ามันถูกสร้างขึ้นจากพลังวิญญาณบริสุทธิ์แฝงด้วยกลิ่นแสงอาทิตย์จางๆ ที่ทำให้มันดูเหมือนมนุษย์

    เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ที่นกตัวนั้นจะสามารถเรียกความสนใจจากวิญญาณร้ายที่ กำลังต้องการพลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมากเพื่อเพิ่มพลังได้

    เพื่อให้แน่ใจว่าอาจารย์จะเข้าใจความไม่พอใจของเขาจริงๆ หวังเยว่ซินจึงออกคำสั่งอย่างชัดเจนให้นกเชิญวิญญาณอยู่ติดกับอาจารย์ไว้อย่าให้ห่างไปไหนเด็ดขาด

    ผลก็คือวิญญาณร้ายทั้งหมดวิ่งไล่อาจารย์คนเดียว เมินเฉยต่อนักพรตคนอื่น ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นอย่างที่หวังเยว่ซินพูด แต่ก็ทำให้อาจารย์เกือบตายเหมือนกัน

    “นิสัยไม่เกรงกลัวความตายของเจ้าเนี่ยนะ ช่างไม่เปลี่ยนไปจากอดีตเลย เอาเถอะ วันนี้ที่อาจารย์มาไม่ได้เพราะแค่อยากบ่นเจ้าหรอกนะ” ลู่หวังเหล่ยถอนหายใจ

    หวังเยว่ซินเป็นเด็กที่เดินข้ามเส้นระหว่างโลกคนเป็นและโลกคนตายมาตั้งแต่เด็ก การที่เขาจะไม่หวาดกลัวความตายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

    “ฉับ” มือเรียวบางหยิบกรรไกรขึ้นตัดแต่งก้านดอกไม้ ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์กำลังบอกเลยสักนิด

    “อย่าทำเป็นเมินอาจารย์แบบนั้นสิเยว่ซิน นี่ไม่ใช่งานใหญ่อะไร แต่มีเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้” เจ้าอารามยกมือขึ้นขยี้ผม ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนเดียวที่รับมือกับหวังเยว่ซินได้ เขาก็ไม่ได้อยากมาคุยอีกเจ้าเด็กนี่นักหรอก

    “เรียกยมทูตเหรอ” ดวงตาสีฟ้าใสเหลือบขึ้นมอง นอกจากเรื่องงานใหญ่ๆ ที่ลูกศิษย์คนอื่นทำไม่ได้ ก็มีแค่เรื่องเรียกยมทูตเท่านั้นที่อาจารย์จำเป็นต้องขอร้องเขา

    “ใช่แล้ว ผู้จ้างวานอยากจะคุยกับวิญญาณคนตาย ทางเดียวที่ทำได้ก็คือการเรียกยกทูตมาเท่านั้น อา...อย่ามองอาจารย์แบบนั้นสิ เรื่องนี้อาจารย์ก็เลือกไม่ได้” ชายวัยกลางคนถอนหายใจเมื่อเห็นประกายความดูถูกในดวงตาคู่งาม

    ถ้าหากว่าเป็นไปได้ ลู่หวังเหล่ยก็ไม่ได้อยากรับงานแบบนี้เลย เพราะในฐานะของคนที่อยู่ในวงการนี้มาเกือบทั้งชีวิต ทำไมตัวเขาจะไม่รู้กันว่าถ้าหากเล่นกับความตายแล้ว ผลที่จะตามมามันเลวร้ายมากขนาดไหน

    ถ้าหากว่าคนเป็นสมควรติดต่อกับคนตายจริงๆ แบบนั้นจะมีเส้นกั้นระหว่างโลกทั้งสองใบเอาไว้ทำไม การติดต่อกับคนที่ตายไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในโลกนั้น ไอความตายที่แผ่ออกมาจะกัดกินพลังชีวิตของคนเป็น ทำให้อายุขัยสั้นลง ดีไม่ดีอาจจะเป็นการดึงดูดวิญญาณร้ายให้เข้ามาเล่นงานตัวเองอีกด้วย

    วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือการใช้ยมทูตเป็นตัวกลาง แต่การจะเรียกยมทูตมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าหากไม่ใช่คนที่ใกล้จะตาย ก็ต้องเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณสูงเท่านั้น

    ซึ่งหวังเยว่ซินก็ตรงตามข้อสอง

    “ผมไม่ทำ” ที่ปรึกษาคนงามปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

    มาให้เขาเรียกยมทูตให้แค่เพราะเหตุผลว่าอยากเจอคนที่ตายไปแล้วเนี่ยนะ คิดว่าบนโลกนี้มีคนแค่คนเดียวรึไงที่อยากจะเจอคนที่ตายไปแล้ว

    “อาจารย์เดาไม่ผิดเลยว่าเจ้าต้องปฏิเสธ เอานี่ ของแลกเปลี่ยน ถ้าหากยอมช่วยอาจารย์ในครั้งนี้ อาจารย์ให้เลย” ลู่หวังเหล่ยถอนหายใจอีกรอบ หวังเยว่ซินก็ยังคงเป็นหวังเยว่ซินจริงๆ ...

    กล่องเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิมและคราบสกปรกถูกวางลงบนโต๊ะ มันถูกปิดผนึกเอาไว้อย่างดีด้วยยันต์แปลกๆ ที่เขียนด้วยหมึกสีแดง คำที่เขียนเอาไว้นั้นเลือนรางจนแทบจะอ่านไม่ออก แต่จากกลิ่นอายที่แผ่ออกมา ดูเหมือนพลังของมันจะยังหลงเหลืออยู่นิดหน่อย

    ดวงตาคมสีฟ้าใสกวาดมองสำหรับรอบๆ กล่อง พยายามมองความสกปรกที่แสดงอยู่ ก่อนจะไปสะดุดตากับตัวอักษรจีนโบราณที่ยังไม่ถูกสนิมเกาะ

    “แฟย...ไม่สิ เฟย..เหรอ... นี่ท่านไปได้กล่องนี้มาจากไหน ดูๆ แล้วอายุของมันน่าจะเกิน...หลักพันปีไปแล้ว” หวังเยว่ซินยกมือสัมผัสที่ตัวกล่องเบาๆ

    ยันต์พวกนี้ไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อป้องกันการเปิดกล่อง แต่ทำขึ้นเพื่อไม่ให้อะไรก็ตามที่อยู่ในนี้ออกมา..

    “พวกผีร้ายที่อาจารย์ไปจัดการมันจะเอากล่องนี้ไป ถึงขนาดยอมสละวิญญาณครึ่งหนึ่งเพื่อซ้อนกล่องนี้เอาไว้ นักพรตจากอารามอื่นก็พยายามจะเปิดกล่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่ยังไงก็เปิดไม่ออก สุดท้ายมันถึงส่งมาเก็บกับอาจารย์ ว่าไงล่ะ ถ้าอยากได้ ก็รับปากอาจารย์สิว่าจะเชิญยมทูตให้” ลู่หวังเหล่ยยกยิ้มข้างมุมปาก

    หนึ่งในนิสัยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เกี่ยวกับหวังเยว่ซินก็คือ นอกจากการปลูกดอกโบตั๋นแล้ว เด็กนี่ยังมีความสนใจต่อของวิเศษโบราณอีกด้วย ขอเพียงไม่ได้เป็นของมือสองที่ถูกคนอื่นใช้ไปแล้ว และยังมีสภาพที่ดีอยู่ ยังไงที่ปรึกษาคนงามก็ไม่มีทางปล่อยเอาไว้แน่นอน

    ซึ่งกล่องนี้มันก็ตรงตามทุกอย่างด้วยสิ...

    “ผมยอมรับว่าตัวเองอยากได้กล่องนี้ครับ แต่ว่า..” ดวงตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ

    “ผมไม่ชอบท่าทางของอาจารย์ ออกไป!” สิ้นเสียงนั้น ร่างของลู่หวังเหล่ยก็คล้ายกับถูกบางอย่างดึงอย่างแรงจนหงายไปข้างหลัง รู้สึกตัวอีกที เขาก็กลับมาอยู่หน้าบ้านของที่ปรึกษาคนเดียวของอารามแล้ว

    “หวังเยว่ซิน!!” เจ้าของอารามยกมือขึ้นขยี้ผมไปมาด้วยความหงุดหงิด จะกลับเข้าไปก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายเล่นม่านพลังวิญญาณออกมาขนาดนั้น ถ้าเข้าไปโดนก็จะถูกผลักออกมาอยู่ดี

    ไม่ได้ทั้งคำขอ แถมยังเสียของแลกเปลี่ยนไปอีก

    ชายหนุ่มผู้งดงามเมินเฉยต่อเสียงตะโกนของผู้เป็นอาจารย์ มือยังคงจัดดอกไม้ต่อไป ส่วนกล่องก็ถูกทิ้งเอาไม่ไกล เดี๋ยวจัดดอกไม้เสร็จแล้ว จะไปสำรวจดูแบบละเอียดๆ ทีหลัง

    หวังเยว่ซินไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นผิด เพราะความพอใจของเขา คือความถูกต้องของทุกอย่าง..

    บางอย่างที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ มาตลอด ยกยิ้มขึ้นมาด้วยความเอ็นดูกับความแต่ใจของผู้ที่เขาปกป้องดูแล ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะหันมองกล่องเหล็กที่วางนิ่งอยู่ไม่ไกลด้วยแววตาครุ่นคิด

    ครั้งนี้เขาไม่ได้ทำอะไรเลย สวรรค์จะหาเรื่องอะไรมาอ้างอีกนะ...

    ..................................

    เอาจริงๆ นะ ไรท์บอกเลยว่านี่เป็นนายเอกที่ไรท์แต่งออกมาได้ยากที่สุด5555

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิดค่ะ

    อย่าลืมคอมเมนต์และเกิดเลิฟให้ไรท์ด้วยนะคะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×